Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

การดูจิตคืออะไร?


MP3 :การดูจิตคืออะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

ร่างกายเป็นอย่างไรเราคอยรู้สึก จิตใจเป็นอย่างไรคอยรู้สึก บางคนสงสัยนะดูจิตดูอย่างไรเอาอะไรไปดู  จริงๆก็คือการรู้ทันความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นเท่านั่นเอง การดูจิตคอยรู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้น

มันจะมีสองกลุ่มความรู้สึกที่เกิดขึ้นนะ

(๑)รู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ เช่น ความสุขความทุกข์ความเฉยๆผ่านเข้ามาเราก็รู้ เห็นเลยว่ามันไม่ใช่จิตไม่ใช่ตัวเราเป็นสิ่งที่แปลกปลอมมา ทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งเฉยๆ นอกจากสุขทุกข์เฉยๆ ก็เป็นกุศลและอกุศลทั้งหลาย ปิติสุข เอกัคคตา โลภโกรธหลง ฟุ้งซ่านหดหู่ สงสัย ความรู้สึกใดๆกำลังปรากฏขึ้นแก่จิตแก่ใจก็รู้ไป ก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นแก่จิตมันไม่ใช่ตัวเราหรอกเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็สลายหายไป  อันนี้คือกลุ่มที่หนึ่งนะรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น

(๒) รู้ทันกริยาอาการของจิต จิตมันวิ่งไปวิ่งมาได้ อันนี้เราจะรู้สึกเอา   เช่นจิตหลงไปทางตา หลงไปทางหู หลงไปคิด หลงไปเพ่งเวลาปฏิบัติ จิตมันก็หลงไปหลงมาเราก็ค่อยๆรู้เอา

ดูจิตดูใจก็ดูสองอย่างนี้แหละ อันแรกดูความรู้สึกของจิต อันที่สองคือดูกริยาอาการของจิต ความรู้สึกทั้งหลายมันก็สะท้อนให้เห็นว่า ความรู้สึกทั้งหลายมันไม่ใช่ตัวเราหรอก มันเป็นของเกิดๆดับๆ เป็นของบังคับไม่ได้ เป็นของถูกรู้ถูกดูไม่ใช่ตัวเรา ส่วนกริยาอาการของจิตมันก็จะสอนให้เองว่า ตัวจิตก็ไม่เที่ยง ตัวจิตเองก็เกิดดับตลอดเวลา หัดใหม่ๆสติปัญญาเราไม่พอเราเห็นว่าจิตมีดวงเดียวแล้ววิ่งไปวิ่งมา เดี๋ยวจิตวิ่งไปที่ตาแล้วก็กลับมา เดี๋ยวจิตวิ่งไปทางหูแล้วก็กลับมา เดี๋ยววิ่งไปคิดแล้วก็กลับมา บางคนเลยพยายามดึงไม่ให้มันไป   พอมันไปแล้วก็รู้ว่ามันไป เช่นหลงไปดูแล้วก็ดึงคืนมา หลงไปฟังแล้วดึงคืนมา หลงไปคิดแล้วดึงคืนมาที่ไปดึงเพราะมีมิจฉาทิฐิ  เห็นว่าจิตนั้นเป็นตัวเรา จิตมันมีดวงเดียว

เบื้องต้นเห็นว่ามันวิ่งไปวิ่งมาหรอก  แต่พอสติปัญญาแกร่งกล้าขึ้นจะเห็นว่ามันไม่ได้วิ่งหรอก สิ่งที่เรารู้สึกว่ามันวิ่งไปวิ่งมาคือภาพลวงตา เหมือนเราเห็นตัวการ์ตูนมันเคลื่อนไปเคลื่อนมา ทั้งที่จริงมันไม่ได้เคลื่อนไหว จริงๆมันเป็นรูปแต่ละรูป   รูปมันไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนจิตนี้ก็เหมือนกัน จิตก็ไม่ได้วิ่งไปวิ่งมาหรอก แต่จิตมันเกิดที่ตาแล้วก็ดับ จิตที่เกิดที่หูแล้วก็ดับ จิตเกิดทางใจแล้วก็ดับเกิดตรงไหนดับตรงนั้น จิตมันเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วเลยดูเหมือนว่าจิตเคลื่อนที่ได้ กระทั่งตอนนอนหลับนะจิตยังเกิดดับเลย   ตอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องเลยจิตยังเกิดดับเลย แต่ว่าเกิดดับอยู่ในภวังคจิตในภพเดิมของจิต

พวกเราเคยรู้สึกไหมตั้งแต่เด็กๆบางคนจะฝันอย่างหนึ่งบรรยากาศแบบนั้น ตอนโตก็ยังฝันอยู่ในบรรยากาศอย่างเดิม ในภวังคจิตนั้นมันจะไปจับอารมณ์ดั้งเดิม จะจับอารมณ์ซ้ำๆลักษณะเดียวกัน ตั้งแต่เกิดจนตาย บางคนใครเคยเป็นไหม ใครเคยรู้สึกอยู่ตรงนี้ ฝันทีไรก็รู้สึกสวยงาม ฝันทีไรก็รู้สึกปอนด์ๆอยู่ตรงนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนๆอยู่ตรงนี้ ในภวังค์จิตก็ทำงานแล้วจับอารมณ์เก่าๆ ตัวปฏิสนธิจิต ตัวภวังคจิต ตัวจุติจิตเป็นลักษณะอันเดียวกันในภพเดียวกัน

เราไม่ต้องไปสนใจมากนะ ดูเล่นๆ ฟังเล่นๆ จิตมันเกิดดับตลอดเวลากระทั่งเวลานอนหลับจิตก็ทำงาน นี่เราไปเห็นทุกอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกทั้งหลายก็ไม่ใช่ตัวเราเกิดแล้วก็ดับ จิตเองเกิดที่ตาแล้วก็ดับเกิดที่หูแล้วก็ดับ เกิดที่ใจแล้วก็ดับ  รวมความแล้วไม่มีอะไรเลยที่เกิดแล้วไม่ดับ เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก นานๆ เจ็ดวันเจ็ดเดือนเจ็ดปี ถ้าเจ็ดปีไม่ได้ผลก็สิบหกปีตลอดชีวิตเจ็ดชาติทำไปเถอะ

หลวงพ่อเคยถามครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมีญาณทัศนะคมมากองค์นี้ บอกชื่อได้เพราะท่านไม่ได้อยู่แล้ว ท่านชื่อหลวงพ่อกิม กิมไม่ได้แปลว่าทองนะ นั่นมันคนเขมรคนสุรินทร์ กิมแปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันเป็นภาษาเขมรเหมือนกัน ถามว่าคนซึ่งหัดภาวนาหัดเจริญสติ ใช้เวลานานไหมครับกว่าคนคนหนึ่งจะได้พระโสดาบัน ไม่นานหรอก ใช้เวลาเจ็ดชาติเท่านั้นแหละถ้าเริ่มต้นจากเจริญสติ ไม่นานหรอกใช้เวลาแค่เจ็ดชาติเอง เราหัดนะคนไหนเป็นชาติที่เจ็ดแล้วก็คงจะได้เรื่องแล้ว คนในชาติที่หกชาติต่อไปจะได้เรื่องแล้ว คนไหนชาติแรกก็ยังไม่นานหรอก อีกแป๊ปเดียวอีกเจ็ดชาติก็ได้เรื่องแล้ว อันนี้เป็นทัศนะของท่าน   แต่ในคัมภีร์ในพระไตรปิฎกไม่ได้มีเรื่องพวกนี้ไว้อาจจะจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ แค่ความเห็นส่วนตัวของท่าน   อยู่ที่ว่าในปัจจุบันนี้เราใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดหรือเปล่า เราปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้สาระไหม ปล่อยจิตปล่อยใจเรื่อยเปื่อยตามกิเลสไปเรื่อยๆหรือเปล่า หรือเราหัดภาวนา หัดภาวนาแล้วเราภาวนาถูกไหมหรือเราภาวนาผิด ผู้ภาวนาส่วนมากภาวนาผิด ภาวนาทีไรไม่บังคับกายก็บังคับใจ บังคับลูกเดียว คิดว่าบังคับไว้แล้ววันหนึ่งจะบรรลุมรรรคผลนิพพาน บรรลุไม่ได้ ถ้าบังคับไปเรื่อยๆจะรู้สึกว่ากูเก่งๆแทนที่จะรู้สึกว่าตัวกูไม่มี บังคับไม่ได้ ถ้าเรารู้ถูกต้องเราจะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปจิตใจเราเป็นคนดู เห็นจิตใจมันทำงานไปนะ ใจเราก็เป็นคนดู มีใจดวงหนึ่งไปรู้ใจที่ดับไปสดๆร้อนๆรู้ตามไปเรื่อยๆ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 1,760 times, 1 visits today)

Comments are closed.