คือจิตที่ยังไม่หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
แต่จิตจะเป็นธาตูรู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีมิติใดๆ ดังนั้น
การ “ดูจิต” ในที่นี้ จึงไม่ใช่การดูตัวจิตจริงๆ
แต่เป็นการ “รู้สึก”ว่าจิตเป็นอย่างไร
เช่น จิตมีราคะ-จิตไม่มีราคะ จิตมีโทสะ-จิตไม่มีโทสะ ฯลฯ
การดูจิต เบื้องต้นจึงเป็นการหัดที่จะ “รู้สึก”ว่าจิตเป็นอย่างไร
ซึ่งเมื่อมีรู้สึกได้ว่าจิตเป็นอย่างไรแล้ว
ก็ต้องหัดรู้สึกต่อไปโดยไม่จงใจที่จะไปทำอะไรขึ้นมา (เรียกว่า ดู)
เช่น เมื่อรู้สึกว่า จิตมีโทสะ ก็ไม่ต้องจงใจที่จะทำอะไรขึ้นมา
ไม่ต้องจงใจที่จะทำให้โทสะดับลงไป
ไม่ต้องจงใจที่จะทำให้ปราศจากโทสะ
เพียงแค่รู้สึก เหมือนเป็นคนดูอีกคนที่กำลังดูจิตที่มีโทสะไป
หากรู้สึกว่าจิตมีโทสะได้จริงๆ จิตที่มีโทสะจะดับลงไปเอง
แล้วเกิดจิตทีมีสติ มีความรู้สึกตัว หรือมีจิตที่ไม่มีโทสะเกิดขึ้นแทน
แต่ถ้ารู้สึกได้ว่าจิตเป็นอย่างไรแล้ว ไม่ได้เพียงแค่รู้สึก
แล้วก็จงใจไปทำ จงใจไปจัดการอะไรบางอย่างต่อจิตในขณะนั้น
เช่นพอรู้สึกว่าจิตมีโทสะ ก็พยายามปัดความโกรธออกไปด้วยวิธีการต่างๆ
ก็จะไม่ใช่การ “ดูจิต” แต่เป็นการ “ไปยุ่งกับอาการของจิต”
หรือบางคน แทนที่จะ “ดูจิต” หรือ “ดูไตรลักษณ์ของจิต”
ก็ไปพยายามที่จะ “ดูลักษณะเฉพาะของตัวสภาวะ”
เช่น พอรู้สึกว่าจิตมีโทสะ(โกรธ) แทนที่จะมีสติรู้สึกไปว่าจิตมีความโกรธ
แทนที่จะดูว่า จิตที่โกรธก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
ก็ไปพยายามที่จะดูว่า ความโกรธเป็นอย่างไร โกรธแล้วร่างกายเป็นอย่างไร
ความโกรธต่างกับความหงุดหงิดอย่างไร
หากดูแบบนี้ก็เป็นการไป “ดูลักษณะเฉพาะของตัวสภาวะ”
หรือบางทีก็เรียกว่า “ดูอาการของจิต”
ซึ่งก็ไม่ใช่การ “ดูจิต” เพราะการดูจิตนั้นมีเป้าหมายที่
เห็นไตรลักษณ์ของจิต
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่