จากการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์มติชน เปิดจดหมายน้อย2ฉบับอ้างลายมือ “พระปราโมทย์” เขียนถึง “ฐิตินาถ” ซึ่งอ้างถึงจดหมาย 2 ฉบับ ดังนี้
จากข่าวดังกล่าวนั้น ในส่วนที่เป็นการพิสูจน์ว่าจดหมายทั้งสองฉบับนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ การพิสูจน์ย่อมตกเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ เราๆท่านๆในฐานะคนติดตามข่าว คงไม่สามารถที่จะไปพิสูจน์อะไรได้จริงๆจังๆแน่นอน ดังนั้นจะเว้นธุระตรงนั้นไปก่อน และเราจะมาดูในตัวสาระสำคัญของจดหมายฉบับนี้แทน (ขอใช้คำว่า “ผู้เขียนจดหมาย” แทนตัวผู้เขียนจดหมาย และคำว่า “ผู้รับจดหมาย” แทนตัวผู้รับจดหมายไปก่อน เพราะเหตุที่ยังไม่ทราบเป็นที่แน่นอนว่า เป็นจดหมายที่ใครเขียนขึ้น)
หากเราพิจารณาถึงสาระสำคัญที่ได้จากจดหมายฉบับนี้ ก็น่าเป็นเรื่องของเจตนาของผู้เขีียนจดหมายที่ต้องการสื่อสารไปถึงผู้รับจดหมาย ซึ่งอ่านแล้วก็เข้าใจได้ว่า ผู้เขียนจดหมายมีเจตนาที่จะกระตุ้นเตือนให้ผู้รับจดหมายนั้น ตั้งใจภาวนา มีความมั่นคงในการภาวนา อย่าปล่อยปละละเลย อย่าประมาท อย่าทอดธุระเสีย โดยไม่ได้มีส่วนใดที่เขียนไปเพื่อเรียกร้องหรือชักจูงให้ผู้รับจดหมายต้องบริจาคเงินทอง ทำการเรี่ยไร หรือทำการอื่นใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองแม้แต่น้อย ส่วนเนื้อหาในเรื่องที่อ้างถึง เจ้าของจดหมายก็มิได้เป็นผู้บอก ว่าตนเป็นผู้ระลึกได้เอง ย่อมไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้ว่า เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมแต่อย่างใด
การอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนแ่ก่อนุปสัมบัน (ผู้ที่ไม่ไ่ด้บวช) นั้น จะเข้าข่ายอาบัติปาราชิกก็ต่อเมื่อ
1. การพูดต้องระบุชัดเจน ว่าตนเองได้ภูมิอริยะชั้นใด เช่น ได้โสดาบัน ได้สกทาคามี หรือ ว่าตนเองได้สมาธิในฌานระดับใด เช่น ได้ปฐมฌาน ได้ทุติยฌาน เป็นต้น
2. ผู้พูดต้องเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถตามที่กล่าวอ้าง และรู้ตัวอยู่ด้วยว่าไม่มีตามที่กล่าวอ้าง (แต่หากเข้าใจผิด ไม่ต้องอาบัติปาราชิก)
3. ผู้พูดจะพูดเอง หรือ จะนัดแนะให้คนอื่นพูดแทนตนก็ดี หากเข้าข่าย 2 ข้อข้างบน ต้องอาบัติปาราชิก แต่หากมีคนอื่นไปพูดต่อๆกันไปเอง ไปตีความกันเอาเอง โดยที่ผู้พูดไม่ได้นัดแนะให้พูด ก็ไม่เข้าข่ายอาบัติปาราชิกเช่นกัน
และหากพิจารณาต่อไปอีกว่า ทำไมผู้เขียนถึงต้องเลือกใช้วิธีการเช่นนี้ ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่ตนเองจะต้องเดือดร้อนในภายหลัง เพียงเพื่อกระตุ้นให้ผู้รับจดหมายหมั่นเพียรภาวนา ก็น่าจะได้เห็นการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของความเป็นครู (ซึ่งหาได้ยากยิ่งในยุคสมัยนี้) ที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อให้ลูกศิษย์ได้มีความมั่นคงในการภาวนา สมดังคำที่เคยได้ยินมาในอดีตว่า “ธุระของศิษย์ คือ ธุระของครู”
และเมื่อพิจารณาถึงผลที่เกิดขึ้นในวัีนนี้ ก็น่าพิจารณาต่อไปได้อีกว่า เมื่อการตัดสินใจใช้วิธีการที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้แล้ว แต่ผลสุดท้ายกลับมาเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น มีการแปรเจตนาอันดีของผู้ส่งจดหมายมาเป็นเรื่องในทำนองนี้ด้วยแล้ว ก็น่าจะมองเห็นภาพรวมของความเป็นจริงได้อีกมาก
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ได้รู้ก็คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ได้พยายามทำหน้าที่ของตนจนถึงที่สุดแล้ว
หมายเหตุ ขออ้างถึงคำกล่าวของ อ.สุรวัฒน์ ที่ว่า
“เรื่องการตีความคำพูดนั้น ก็แล้วแต่ใครจะตีความจะเข้าใจกันว่าอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญคือ ต้องดูว่าการสนทนานั้นมุ่งเพื่อประโยชน์ใดเป็นสำคัญครับ … ในการสนทนาครั้งนั้น ฟังดูก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า เพื่อประโยชน์ของการแนะนำการปฏิบัติภาวนา หาใช่เพื่อประโยชน์อื่นใดเลยครับ … และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ได้มุ่งเพื่ออวดอ้าง ไม่ได้เพื่อทำให้ใครหลงเชื่อ ไม่ได้เพื่อหวังลาภสักการะ แต่ประการใดทั้งสิ้น ^_^”
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่