การรู้จิตที่เกิดดับ สักว่ารู้ สิ่งใดเข้ามากระทบ สักว่ารู้ เมื่อรู้แล้วปล่อยวาง เหตุใดทำไมถึงไม่ใช้
อารมณ์พระกรรมฐานที่เป็นคู่ปรับกับอารมณ์กระทบ เข้ามาอบรมจิตในทันที?
การปฏิบัติภาวนานั้น มีอยู่ ๒ ฝ่ายคือ
ฝ่ายสมถะและฝ่ายวิปัสสนา
ฝ่ายสมถะนั้น มุ่งหมายเอาความสงบเป็นสำคัญ
จึงสามารถที่จะใช้ธรรมที่เป็นคู่ปรับ หรือใช้อุบายอื่น
มาทำให้จิตสงบจากอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศลได้
แต่การที่มุ่งทำอะไรบางอย่างเพื่อให้จิตสงบนั้น
จิตจะไม่สามารถเห็นประจักษ์แจ้งได้ว่า สิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นมีดับเป็นธรรมดาได้
หากจะให้จิตเห็นประจักษ์แจ้งได้ว่า สิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นมีดับเป็นธรรมดาได้
ต้องหัดรู้อารมณ์หรือสภาวธรรมต่างๆ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
ไม่ใช่เป็นผู้เข้าไปจัดการต่อสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
ซึ่งการหัดรู้อารมณ์เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์นี้
ก็คือการปฏิบัติภาวนาในฝ่าย วิปัสสนา
การปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลาจะต้องเข้าใจและรู้อยู่ว่า
ควรปฏิบัติภาวนาในฝ่ายของสมถะหรือวิปัสสนา
จึงเป็นการเหมาะเป็นการควรในขณะนั้น
โดยถ้ายังสามารถที่จะมีศีลสำรวมกายวาจาอยู่ได้ และมีกำลังจิตที่ตั้งมั่นพอ
แม้จะเกิดสภาวะที่เป็นอกุศล ก็ควรที่จะปฏิบัติวิปัสสนา
เพื่อให้จิตได้เจริญปัญญาไปสู่ความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
แต่ถ้าขณะใดอกุศลรุนแรง จนไม่มั่นใจว่าจะรักษาศีลสำรวมกายวาจาอยู่ได้
หรือเห็นว่าจิตขาดกำลังตั้งมั่นพอ ขณะนั้นก็ควรทำสมถะเพื่อให้จิตสงบลงก่อนครับ
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่