Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ แห่งวัดป่าเขาน้อย หนึ่งใน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์


ชาติภูมิ

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ มีชาติกำเนิดในสกุล “ทองศรี” ท่านมีนามเดิมว่า “สุวัจน์” เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 10  ปีมะแม ณ ตำบลตากูก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

โยมบิดาชื่อ “บุตร” โยมมารดาชื่อ “กึ่ง” ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน โดยมีพี่ชาย 2 คน และน้องสาว 2 คน

วัยเด็กและการศึกษา

เมื่ออายุถึงเกณฑ์ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น และท่านได้อยู่ช่วยงานด้านเกษตรกรรมร่วมกับบิดามารดา และพี่ ๆ น้อง ๆ นอกจากนั้น ท่านได้มีโอกาสเรียนวิชาชีพกับช่างทองจนมีความรู้พอประกอบอาชีพได้

สู่เพศพรหมจรรย์

ด้วยจิตใจที่ฝักใฝ่ทางธรรมและรักในเพศบรรพชิตมาตั้งแต่เป็นเด็ก ดังนั้นในปี พ.ศ. 2481 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 19 ปี ท่านก็ได้ขออนุญาตบิดามารดา เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร โดยเข้าพิธีบรรพชา ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก นั้นเอง

ท่านได้ตั้งใจศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม จนเมื่ออายุใกล้ครบบวช ซึ่งแม้ว่าการปฏิบัติธรรมของท่านในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นี้จะไม่นานนัก แต่ความศรัทธาต่อศาสนธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้หยั่งลงลึกในจิตใจท่าน และเพียงพอที่จะเกิดเป็นปณิธานภายในใจท่านว่า อย่างไรเสียท่านต้องอุปสมบท เพื่อประพฤติธรรมในสมณเพศนี้สืบไป ดังนั้นท่านจึงได้ของอนุญาตโยมบิดามารดาเพื่ออุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง

อย่างไรก็ดี ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวพอดี ประกอบกับเพื่อจะได้จัดการในเรื่องต่าง ๆ ก่อนที่จะอุปสมบท ท่านจึงได้ลาสิกขาบทจากสามเณรเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน

ในปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่ท่านได้จัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับท่านมีอายุครบ 20 ปีท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท อยู่ในภิกษุภาวะสมความตั้งใจ ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก ซึ่งเป็นวัดมหานิกายที่ท่านเคยบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้รับฉายาว่า “สุวโจ” โดยมี

พระครูธรรมทัศน์พิมล (ด้น) เจ้าอาวาสวัดศาลาลอย (เมื่อครั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระอาจารย์เคลือบ วัดดาวรุ่ง บ้านขาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอาจารย์อุเทน วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ในพรรษาแรกนั้นเอง ได้มีชาวบ้านบุแกรง อำเภอท่าตูม (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระ) จังหวัดสุรินทร์ พากันมาอาราธนาท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุแกรง ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ต่อมาด้วยเห็นว่า หากจะอยู่ทำประโยชน์ไว้ในพระบวรพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จำเป็นที่ท่านต้องศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2483 หลังออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทในปี พ.ศ. 2483 และ 2484 ตามลำดับ

พระธาตุของหลวงปู่ สุวัจน์ สุวโจ

ญัตติใหม่เป็นพระธรรมยุต

ในปี พ.ศ. 2484 ภายหลังที่ท่านสอบได้นักธรรมโทแล้ว เกิดมีศรัทธาหนักไปทางปฏิบัติจิตตภาวนา ดังนั้นท่านจึงได้ญัตติใหม่ในธรรมยุติกนิกาย ณ วัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี

ท่านเจ้าคุณพระธรรมฐิติญาณ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอาจารย์ทองดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

จากนั้น ท่านได้กลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าศรัทธารวม เป็นเวลา 2 พรรษา ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินธุดงค์ในปี พ.ศ. 2486

ประวัติการอยู่จำพรรษา

พ.ศ. 2486  วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ. 2487  วัดโยธาประสิทธิ บ้านห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ (ในพรรษานี้ ท่านได้จำพรรษา ร่วมกับท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ประกอบกับได้ดูแลโยมบิดามารดา ซึ่งกำลังป่วยอยู่)

พ.ศ. 2484  วัดป่าศรีไพรวัน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามเขาภูพาน ไปวัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

พ.ศ. 2489-2492  หลวงปู่มั่น ท่านพิจารณาเห็นว่าท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรเป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ยังไม่มีผู้ดูแลอุปัฏฐากจึงมอบหมายให้ท่านอาจารย์สุวัจน์ไปเป็นพระอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์ฝั้น ในระยะเวลา 4 ปีนี้ ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยในช่วงเวลาออกพรรษาของแต่ละปี ท่านอาจารย์สุวัจน์จะลาท่านพระอาจารย์ฝั้นไปศึกษาธรรม และอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาในอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2493  วัดเทพกัลยาราม บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2494  วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

พ.ศ. 2495  สำนักสงฆ์ควนเขาดิน อำเภอท้ายเมือง จังหวัดพังงา

พ.ศ. 2496  วัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2497  วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2498  วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

พ.ศ. 2499  วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2500-2501  วัดป่าปราสาทจอมพระ  อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

พ.ศ. 2502  วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2503  วัดป่าบ้านไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2504  วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2505  สำนักสงฆ์ถ้ำขาม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2506  วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2507  วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

พ.ศ. 2508  วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2509-2514  วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2515-2524  สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว ตำบลสร้างค้อ อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. 2525-2526  สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองซีแอตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน

พ.ศ. 2527  สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองแอนนาไฮม์ฮิล มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2528  สำนักสงฆ์ป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2529  สำนักสงฆ์นอร์ธแซนฮวน เมืองซาคราเมนโต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2530-2533  วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2534  วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2535  วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2536-2538  วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2539  วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์

พ.ศ. 2540  วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน  วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

การรับแต่งตั้งให้ปฏิบัติศาสนกิจ และการรับสมณศักดิ์

1. ตามหนังสือที่ 26/2529 ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นพระอุปัชฌาย์

2. ตามหนังสือที่ 9/2529 ลงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุตในประเทศสหรัฐอเมริกา

3. วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น “พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ”

4. วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “พระโพธิธรรมจารย์เถร”

พระธาตุของหลวงปู่ สุวัจน์ สุวโจ

การปฏิบัติศาสนกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา

นับแต่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตจากคณะสงฆ์ไทย ในปี พ.ศ. 2525 เพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ปฏิบัติศาสกิจนี้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างวัดภูริทัตตวนาราม และวัดเมตตาวนาราม มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้เป็นที่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างของวัดกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และพุทธศาสนิกชนชาวอเมริกาหนึ่งในจำนวนนั้นได้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถวายปัจจัยแด่ท่าน เพื่อซื้อที่ดินบนเขา เนื้อที่ 60 เอเคอร์ (ประมาณ 150 ไร่) คิดเป็นเงิน 700,000 ดอลล่าร์ (ประมาณ 17,500,000 บาท) ให้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา ซึ่งก็คือ วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปัจจุบัน

พิมพ์บูชาคุณองค์หลวงปู่โดยน้องนุดีค่ะ

จากคุณ : ไก่แก้ว [ 10 เม.ย. 2545]

“รำลึกพระคุณหลวงปู่”

เนื้อความ :

ได้มีโอกาสไปร่วมงานพระราชทานน้ำอาบศพหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจที่วัดป่าเขาน้อย จ. บุรีรัมย์มาค่ะเลยอยากนำบรรยากาศและเรื่องราวต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆ ฟังรวมทั้งปฏิปทาขององค์หลวงปู่ซึ่งตนเองได้รับความเมตตามาและได้รับฟังมาจากพี่ ๆ น้อง ๆ ที่บุรีรัมย์ข้อความต่าง ๆ อาจจะไม่ต่อเนื่องนัก และไม่สละสลวยสวยงามต้องขออภัยด้วยค่ะ

ขอเริ่มจากลำดับเหตุการณ์ที่องค์หลวงปู่ท่านละสังขารก่อนนะคะ

สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทร

องค์หลวงปู่ท่านมีปัญหาเรื่องปอดไม่แข็งแรงมานานแล้วในช่วงระยะ 1 ปีที่ผ่านมา องค์หลวงปู่ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคปอดติดเชื้อมาตลอด (ประมาณ 4-5 ครั้ง)ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ องค์หลวงปู่เข้ามารักษาองค์ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธและหัวใจท่านได้หยุดเต้นไปแต่เป็นบุญที่คณะแพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาได้ทันท่วงทีจึงสามารถช่วยท่านไว้ได้ตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษาองค์หลวงปู่มักจะปรารถอยู่เนือง ๆ ว่าท่านอยากกลับไปวัดจนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม องค์หลวงปู่แข็งแรงขึ้นมากและแพทย์เห็นสมควรให้ท่านเดินทางกลับบุรีรัมย์ได้

หลวงปู่ท่านสดใสมาก เมื่อได้กลับไปที่วัดป่าเขาน้อยอาการท่านก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แข็งแรงมากพอที่จะไปโปรดญาติโยมที่วัดป่าปราสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ได้หลวงปู่เมตตาพำนักที่วัดป่าปราสาทจอมพระและแสดงธรรมโปรดญาติโยมประมาณ 1 อาทิตย์คือช่วงวันที่ 13 มี.ค. ถึง 20 มี.ค. จึงได้กลับเดินทางกลับวัดป่าเขาน้อย

หลังจากที่หลวงปู่ท่านเดินทางกลับมาพำนักที่เขาน้อยได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมาก จนต้องพาท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์หลังจากที่ท่านได้เข้าไปรักษาตัวได้ 2 วัน อาการดีขึ้นมากแพทย์ที่ถวายการรักษา ขอดูอาการ ซึ่งหากไม่ทรุดลงไปก็จะอนุญาตให้กลับวัดได้แต่แล้ว…อาการของหลวงปู่ ก็เริ่มทรุดลงเมื่อวันที่ 2 เม.ย.และอาการหนักในคืนวันที่ 3 เม.ย.เนื่องจากโรคปอดติดเชื้อที่แทรกซ้อนขึ้นมาเช้าวันที่ 5 เป็นวันที่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดและแพทย์ต้องตัดสินใจแพทย์แนะนำให้เจาะคอองค์หลวงปู่แต่เมื่อประชุมกันแล้ว ลงความเห็นว่าไม่สมควรเจาะคอเพราะจะเพียงแค่ยืดอายุขัยท่าน แต่ก็จะทรมานองค์หลวงปู่มากมายแพทย์หลาย ๆ คนพยายามติดต่ออาจารย์หมอที่ชำนาญทางปอดเพื่อให้เดินทางมาถวายการรักษาที่บุรีรัมย์

ประมาณช่วงเที่ยงวันนั้นองค์หลวงปู่ท่านแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่จะละสังขารด้วยการค่อย ๆ ถอนให้เห็นโดยปกติคนที่ป่วยหนัก ค่าต่าง ๆ ที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่อาทิ ความดัน ชีพจร ฯลฯ จะ fluctuateแต่ขององค์หลวงปู่ท่านจะคงที่ ค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับให้เห็นว่าองค์ท่านควบคุมได้ และไม่ประสงค์จะครองสังขารอีกต่อไปคณะศิษยานุศิษย์จึงเตรียมนำองค์ท่านกลับคืนสู่วัด หากแต่ก็ไม่ทัน …

องค์หลวงปู่ ละขันธ์ ด้วยสติที่พร้อมบริบูรณ์เมื่อเวลา 13.12 น.ของวันที่ 5 เม.ย. 2545

พระธาตุของหลวงปู่ สุวัจน์ สุวโจ

ปฏิปทาองค์หลวงปู่

ได้รับฟังจากญาติธรรม ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดองค์หลวงปู่มาสมัยที่ท่านมาอยู่ที่เขาน้อยใหม่ ๆ นั้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากกุฏิเล็ก ๆ 2 หลังเป็นกุฏิชั้นเดียว ห้องเดียว มีลานเล็ก ๆ ตรงกลางหากแต่ลานเล็ก ๆ กุฏิเล็ก ๆ นี้เองที่ใช้เป็นที่แสดงธรรม และสอนกรรมฐานทุกเย็น

องค์หลวงปู่จะเมตตาญาติโยมมากไม่ว่าจะมากันกี่คน 2 คน 3 คน หรือมากกว่านั้นองค์ท่านจะนำทำวัตร แสดงธรรม และปฏิบัติภาวนาทุกวันท่านจะให้ความสำคัญกับการภาวนามากพี่ ๆ เล่าว่า ท่านไม่เคยเบื่อ หรือหงุดหงิดกับความดื้อรั้นขี้เกียจ หรือความเขลาของเหล่าศิษย์เลยท่านคงความเมตตาที่เปี่ยมล้นอย่างสม่ำเสมอจนแม้แต่คนที่ไม่น่าจะเอาดีในด้านการภาวนา ก็มีหลักในการภาวนาจนได้ ภาวนาเป็น

องค์หลวงปู่เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์มากนักและท่านก็เคารพรัก”หลวงปู่บ้านตาด” เป็นนักหนาแม้ในช่วงที่ท่านไปปฏิบัติหน้าที่เป็นธรรมทูตที่อเมริกาทุกครั้งที่ท่านเดินทางกลับมาเมืองไทยหากองค์หลวงตาอยู่ที่สวนแสงธรรมท่านจะตรงไปสวนแสงธรรมหรือหากองค์หลวงตาอยู่ที่บ้านตาดท่านก็จะเดินทางไปที่บ้านตาดเพื่อกราบองค์หลวงตา ก่อนที่จะกลับไปที่วัดของท่านเอง

องค์หลวงปู่มักจะพูดน้อย แต่นุ่มนวลท่านมักจะปรารภเรื่อย ๆ ว่าท่านไม่ทนญาติโยมเหมือนองค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงปู่ฝั้น และองค์หลวงปู่บ้านตาดแต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีผู้ตกทุกข์คนไหนที่ดั้นด้นไปกราบหลวงปู่ แล้วหลวงปู่จะไม่เมตตาหลวงปู่จะให้ทั้งที่พัก ทั้งปัจจัย และที่สำคัญ คือองค์ท่านที่เป็นเสมือนหิ้งพักใจและร่มไทรหนา ให้ผู้ทุกข์หนัก ได้พักอาศัย

แม้ในช่วงหลังมาที่องค์หลวงปู่ประสบอุบัติเหตุเป็ฯอัมพาตครึ่งองค์ทุก ๆ เช้า ท่านจะเมตตาลงมาที่ศาลาโรงฉันและบิณฑบาตรในรถเข็น เพื่อให้ญาติโยมได้สร้างบุญกุศลโดยทั่วหน้าก่อนฉัน หากสังขารท่านเอื้ออำนวยหลวงปู่จะเมตตาแสดงธรรมสั้น โปรดญาติโยมอย่างสม่ำเสมอหลวงปู่มักจะเน้นให้เราหมั่นอนุโมทนาบุญเพื่อสร้างเสริมกุศลจิตในใจและอานิสงค์ของการแผ่เมตตาหลวงปู่จะเน้นเราให้สร้างสมความดี ละชั่วหมั่นตรวจสอบตนเอง และปฏิบัติภาวนาอย่างสม่ำเสมอท่านเคยเมตตาสอนว่า”การปฏิบัติภาวนานั้น เราจะเลือกปฏิบัติ เฉพาะเวลาสุขนั้นไม่ได้เราต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้ ทั้งในเวลาสุข และทุกข์”หลวงปู่ท่านจะเมตตาทั้งพระทั้งโยมที่ปฏิบัติภาวนายิ่งนักเมื่อไหร่ที่ติดขัดในการภาวนาเพียงแต่โผล่หน้าไปให้ท่านเห็นท่านก็จะเมตตาแก้ไขข้อข้องจิต ข้องใจให้โดยที่เราไม่เคยต้องออกปากโดยที่บางครั้ง เราเองไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเรากำลังติดขัดอยู่องค์หลวงปู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรที่ร่มเย็นเป็นนักหนา

นอกจากมนุษย์แล้ว องค์หลวงปู่ยังมีเมตตาต่อสัตว์ชนิดต่าง ๆ มากมายท่านมีทั้งปลา นกกะทา ไก่ป่า นกกาเหว่า และอื่น ๆ ท่านรักต้นไม้มาก มักจะหาพันธุ์ไม้แปลก ๆ ต่าง ๆ มาปลูกที่เขาน้อยอย่างสม่ำเสมอ

บรรยากาศงาน

สำหรับท่านที่เคยไปวัดป่าเขาน้อยแล้วคงจำศาลาเมตตาสุวโจ ศาลาใหญ่ที่ใช้สวดมนต์ได้ทางวัดได้นำสังขารขององค์หลวงปู่ท่านมาตั้งให้ทั้งพระทั้งโยมได้เข้าไปเคารพ รดน้ำและขมาท่านเป็นครั้งสุดท้ายองค์หลวงปู่นอนบนที่นอนของท่าน ปูผ้าสีกลัก ห่มผ้าห่มสลัก อยู่ในกลดผ้าชีฟองสีครีมนวลมองดูคล้ายกับองค์ท่านหลับอยู่ ไม่ได้จากเราไปไหนสีหน้าท่านสงบ และผาสุขอย่างไม่มีใดเทียบไม่เคยได้เห็นสังขารใด ๆ ที่ถูกทิ้งไปแล้ว จะงามพร้อมขนาดนี้องค์หลวงปู่หลับไหล ราวกับบอกว่า “เราไม่มีทุกข์ใด ๆ แล้วจากนี้ไปตลอดอนันตกาล”

ทั้งพระ ทั้งญาติโยมทยอยกันมาจากทุกสารทิศไม่ได้ขาดตลอดทั้งวัน

งานการเตรียมพร้อมเพื่อพิธีพระราชทานเพลิงศพดำเนินไปอย่างเร่งด่วนแต่สุขุม และละเอียดลออ เพื่อถวายแด่องค์หลวงปู่ให้สมกับที่ท่านเมตตา ให้สมกับพระคุณของท่านแม้งานจะหนัก และเหนื่อย ก็ไม่มีใครย่อท้อคณะทำงานที่ประกอบทั้งพระ ทั้งฆราวาสพร้อมใจกันทำถวายหลวงปู่ ไม่มีการเกี่ยงงอนใด ๆ แบ่งงานกันทำตามความถนัดของแต่ละบุคคล

แม้เมื่อเสร็จสิ้นจากงานนี้ เหล่าศิษยานุศิษย์ทุกองค์ และทุกคนสำนึกดีอยู่ว่า งานที่เราสมควรทำถวายองค์หลวงปู่ยังไม่เสร็จสิ้นยังคงเหลืองานชิ้นสุดท้าย แต่คงความสำคัญที่สุดเป็นงานที่องค์หลวงปู่ยกย่องว่าเลิศกว่างานใด ๆ คือการปฏิบัติภาวนา ทำตนให้ถึงพร้อมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์หลาย ๆ คน พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ได้สนทนากันล้วนแล้วแต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าองค์หลวงปู่ให้สัจจะว่าจะดำเนินรอยตามองค์ท่านให้สมกับที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนมา

ขอน้อมกราบองค์หลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ

ขอขอบคุณ คุณ ไก่แก้ว เวปลานธรรม ผู้รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล

เมื่อหลวงปู่สุวัจน์สอนหลวงพ่อปราโมทย์

- หลวงปู่สุวัจน์ ท่านบอกนะ ท่านบอกว่า ตอนที่ท่านปล่อยวางจิตนะ ท่านมีความสุขอยู่ตั้งปีกว่าๆ สุขมหาศาล สุขเหมือนจะทนอยู่ไม่ไหวเลย สุขมหาศาล สุขแทบตาย สุขมาก ต่อๆไปใจก็ค่อยๆคุ้นเคยนะ ใจก็ค่อยๆเป็นอุเบกขา ก็มีความสุขบ้าง อุเบกขาบ้าง ไม่หวือหวาเหมือนทีแรก มีความสุขมาก

เนี่ยพวกเราอยากได้สัมผัสความสุขอันนี้นะ เราต้องพ้นทุกข์ให้ได้ ตัวทุกข์ก็คือ รูป นาม กาย ใจ ของเรานี่เอง เราจะพ้นทุกข์ได้ ใจจะปล่อยวางรูปนาม ปล่อยวางกายวางใจได้ ใจต้องมีปัญญาเห็นความจริงของรูปของนามนะว่า ไม่ใช่ของดีของวิเศษ..

- ก่อนไปกราบหลวงปู่สุวัจน์ เราภาวนา เรายังไม่ได้บวชนะ จิตเราหลุดออกมา เรารู้สึกสบายเลยเราคิดว่าพระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ จิตไม่เกาะอะไรจิตไม่เกาะขันธ์

เราไปหาท่าน ปรากฎว่าพอใกล้ถึงจิตดันเข้าไปเกาะกัน ดันเข้าไปยึด(ขันธ์)อีก เราก็เลยคิดนี่ล่ะน้าาา มันเป็นอนัตตา .. มันเป็นไตรลักษณ์

พอคิดว่าเป็นไตรลักษณ์นะ ใจเราไม่ดิ้น ก็หลุดออกมา

หลวงปู่สุวัจน์: นี่แหละ บางทีจิตมันก็หลุดออกมา บางทีจิตมันก็เข้าไปจับอารมณ์ พอมันจับอารมณ์แล้วเราเห็นว่ามันเป็นไตรลักษณ์ มันก็หลุดออกมา

เราก็ อ๋อ..จิตนี่ก็เป็นไตรลักษณ์นะ เราจะไปบังคับให้จิตหลุดพ้นไม่ได้หรอก ถึงเวลาถ้าเค้าพอ เค้าหลุดเอง แต่เราไม่รู้ว่าเค้าขาดอะไรที่ยังไม่พอ

[เฉลย] คือ ขาดอริยสัจ ขาดความรู้แจ้งอริยสัจนะ ถ้าแจ้งอริยสัจก็คือพอ

ถ้าไม่แจ้งอริยสัจ ยังเห็นว่ากายนี้ ใจนี้เป็นตัว สุขบ้าง ทุกข์บ้างอยู่ ไม่มีทางเลย ยังไม่พอที่จะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ

>>> อ่านธรรมเทศนา หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ <<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 2,804 times, 20 visits today)

Comments are closed.