Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

มีปัญญาดีคือเข้าใจอริยสัจจ์


mp3 for download : มีปัญญาดีคือเข้าใจอริยสัจจ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

มีปัญญาดีคือเข้าใจอริยสัจจ์

มีปัญญาดีคือเข้าใจอริยสัจจ์

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตัวสำคัญคือมีสติไว้ พอมีสติจิตเป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลนะมันสว่าง แล้วถ้าเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญานี้จะสว่างมาก ท่านถึงบอกว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี พระอริยเจ้าทั้งหลายนี้แสงมาก เคยฟังสวดมนต์ของสวนโมกข์มั้ย บอกว่า พระอริยเจ้ามีปัญญาดี มีปัญญาดีคือท่านเข้าใจอริยสัจจ์ พวกเราภาวนาเนี่ย วันหนึ่งจะเข้าใจอริยสัจจ์ เรียกว่ามีปัญญาดี ตอนนี้ปัญญายังไม่ดีนะ ยังไม่เห็นอริยสัจจ์

ปัญญาก็เป็นชั้นๆนะ ปัญญาเป็นขั้นๆไป สมาธิก็เป็นขั้นๆไป ยกตัวอย่างปุถุชนนะ ศีลนี่น้อย ปุถุชนที่มีศีลนี่มีน้อย สมาธิก็ไม่ค่อยมี ปัญญาก็ไม่มี พอได้เป็นพระโสดาบันนะ มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย ดูสิขนาดพระโสดาบันยังบอกว่ามีปัญญาเล็กน้อยเลย ปัญญาเล็กน้อยของพระโสดาบันก็คือ ท่านเห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี ของเรายังเห็นว่ามีตัวเรา รู้สึกมั้ย เพราะฉะนั้นพูดซื่อๆว่าไม่มีปัญญา พูดตรงๆก็คือ ยังไม่มีปัญญา ถ้าเป็นพระโสดาบันเนี่ยมีปัญญาเล็กน้อย คือ เห็นความจริงแล้วตัวเราไม่มี

พอได้พระสกทาคาฯนะ ก็มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิปานกลาง มีปัญญาเล็กน้อย สมาธิปานกลางหมายถึงใจจะตั้งมั่น ไม่แฉลบซ้ายแฉลบขวา ใจของพวกเรารู้สึกมั้ยแฉลบตลอดเวลา วับ วับ วับ วับ วับ ตลอดเวลานะ ใจเราไม่มีคำว่าตั้งมั่น ทำสมาธิก็ตั้งขึ้นมาได้ด้วยการเพ่งเอาไว้ แต่ที่จะตั้งด้วยตัวเองมันไม่ตั้ง มันแฉลบตลอดเวลา กระทั่งพระโสดาฯยังแฉลบเลย พระสกทาคาฯนี่ใจมีสมาธิปานกลาง หมายถึงว่ามันตั้งมั่นอยู่ได้ โดยที่ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ประคอง ยกตัวอย่างเวลาหลงไปนะ จะหลงสั้น ไหลแว้บไปก็รู้สึกแล้ว แล้วใจก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ไหลแว้บก็รู้สึกแล้ว ใจก็ตั้งมั่นขึ้นมา เวลาของความตั้งมั่นมันเยอะ

ของเรานึกออกมั้ย เวลาหลงเยอะ เวลารู้ตัว เวลาตั้งมั่น มีนิดเดียว นึกออกมั้ย หลงทีหนึ่ง ๕ นาที แล้วรู้สึกตัวทีหนึ่ง ๑ แว้บ ใช่มั้ย หลงไป ๓ นาที รู้สึกแว้บหนึ่ง อะไรอย่างนี้ อันนี้พวกภาวนาเก่งแล้วนะ คนภาวนาไม่เป็นมันหลงทั้งวันเลย หลงตั้งแต่ตื่นจนหลับเลย ไม่มีรู้สึกตัวสักแว้บเดียวเลย เพราะฉะนั้นปุถุชนนั้นลำบาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า คนส่วนใหญ่ตายแล้วไปอบาย เพราะไม่ค่อยมีสติ

ถ้าเป็นพระโสดาฯนะ ศีลบริบูรณ์แล้ว สมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย เป็นพระสกทาคาฯก็มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิปานกลาง มีป้ญญาเล็กน้อย ปัญญายังน้อยนะ พระสกทาคาฯ นี่ขนาดสกทาคาฯปัญญายังน้อย แล้วพวกเราล่ะจะขนาดไหน สรุปพวกเรายังไม่ได้มีปัญญานะ

ถ้าได้พระอนาคาฯนะ ท่านบอกว่า มีศีลบริบูรณ์ มีสมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาปานกลาง สมาธิของพระอนาคาบริบูรณ์แล้ว เพราะว่าอะไร เพราะว่ากามมันมายั่วไม่ได้แล้ว ท่านเห็นความจริงในกายนี้แจ่มแจ้งเลย กายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเลย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นตัวทุกข์นะ ไม่เห็นจะเป็นของดีของวิเศษเลย เพราะฉะนั้นใจท่านไม่ไหลไปในกามคุณอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ใจของท่านตั้งมั่นนะ เพราะใจไม่ไหลไป ใจก็ตั้งมั่นอยู่ โดยไม่ต้องประคองไม่ต้องรักษา อย่างนี้ถือว่ามีสมาธิบริบูรณ์แล้ว

ปัญญาของท่านปานกลาง ปัญญาปานกลางเป็นอย่างไร คือท่านเห็นความจริงแล้วว่า กายนี้มันทุกขฺ์ล้วนๆนะ นี่คือปัญญาปานกลาง พวกเราเห็นกายเป็นทุกข์ล้วนๆมั้ย ไม่เห็นนะ เราเห็นว่ากายนี้เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง แถมยังเห็นอีกว่ากายนี้เป็นตัวเรา ใจนี้เป็นตัวเรา เบื้องต้นก็ไม่มีนะ เบื้องกลางก็ไม่มี ตัวปัญญา

ทีนี้พอภาวนาจนสุดขีดเลย ศีลบริบูรณ์ สมาธิบริบูรณ์ ปัญญาบริบูรณ์ เต็มบริบูรณ์ คือ ภูมิของพระอรหันต์ พระอรหันต์มีปัญญาบริบูรณ์ได้อย่างไร ปัญญาบริบูรณ์ของท่าน คือท่านเห็นว่าตัวจิตนี้แหละตัวทุกข์ ท่านหมดความยึดถือจิต เมื่อไม่ยึดถือจิตก็จะไม่ยึดถือสิ่งใดอีกแล้ว เพราะสิ่งที่เรายึดถือเหนียวแน่นที่สุดก็คือตัวจิตนั่นเอง เพราะท่านเห็นจิตเป็นตัวทุกข์ ท่านก็ปล่อยวาง ไม่ยึดถือ มีปัญญาแก่รอบแล้ว เห็นแจ่มแจ้งในขันธ์ ๕ ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งกาย ทั้งใจ ว่าเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ นี้เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง

เมื่อรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ท่านละสมุทัยอัตโนม้ติ ความอยากให้กายให้ใจเป็นสุข ความอยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์ไม่เกิดขึ้นอีก เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ทุกข์แจ่มแจ้งนะ ก็ละสมุทัย เป็นสมุจฺเฉทปหานฺ*เลย ไม่เกิดขึ้นอีกแล้วสมุทัย ละแล้วละเลยนะ

เมื่อสมุทัยถูกละ นิโรธ คือนิพพาน ก็ปรากฎเต็มบริบูรณอยู่ต่อหน้าต่อตา เพราะนิโรธคือความสิ้นตัณหา นิพพานคือความสิ้นตัณหา สิ้นตัณหาได้เพราะรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง

*สมุจเฉทปหาน การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วยอริยมรรค
อ้างอิงจาก : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520425.mp3
ลำดับที่ ๓
ระหว่างนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 402 times, 1 visits today)

Comments are closed.