รายงานพิเศษ ในหนังสือพิมพ์ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1004 ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2554
“สิ่งที่กระทำได้ก็คือ ให้อโหสิกรรมกับทุกคน” พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ภาพเอื้อเฟื้อจาก http://dhammayom.com
ผ่านไปเกือบปี หลังจากที่ พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรม สวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี ที่ถูกกล่าวหาจากคนกลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นทั้งศิษย์ใกล้ชิดและกัลยาณมิตรร่วมทางพ้นทุกข์ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องผู้หญิง (อดีตภรรยาที่ออกบวช และอยู่ในสำนักเดียวกัน) ที่ดินของสวนสันติธรรม รวมไปถึงการบิดเบือนคำสอน ว่าไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ผ่านการกระจายข่าวทางอินเทอร์เน็ต จนกลายเป็นข่าวใหญ่ กระทั่งได้มีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาตรวจสอบ ผลก็คือ ไม่พบสิ่งใดที่ขัดต่อพระธรรมวินัยและกฎหมายเลยสักอย่างเดียว ดังที่สวนสันติธรรมได้ชี้แจงไว้บนเวบไซต์ ‘วิมุตติ’ (ในล้อมกรอบ)
ล่าสุด ‘เนชั่นสุดสัปดาห์’ ได้สอบถามไปยังลูกศิษย์พระปราโมทย์ ที่ช่วยงานอาสาในสวนสันติธรรม เกี่ยวกับคดีดังกล่าว ได้ความว่า เรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนทั้งหมดจบลงเรียบร้อย ไม่มีอะไรแล้ว ทางหลวงพ่อและสวนสันติธรรมไม่ต้องการเป็นข่าวอีก เพราะทุกวันนี้พระศาสนาบอบช้ำเหลือเกิน ท่านไม่ได้ต้องการกอบกู้ชื่อเสียงใดๆ แค่ต้องการทำงานเผยแพร่พระศาสนาเพื่อรับใช้พระศาสดาไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ช่วงที่เป็นข่าว พระปราโมทย์งดรับกิจนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสวนสันติธรรมเกือบหมด กระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ท่านจึงเริ่มรับกิจนิมนต์อีกครั้ง แต่สำหรับที่สวนสันติธรรมยังคงเนืองแน่นไปด้วยสาธุชนที่หลั่งไหลกันไปฟังธรรมกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ตลอดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าช่วงไหน พร้อมทั้งคอร์สปฏิบัติธรรมในสวนสันติธรรมตามวันเวลาที่กำหนดก็ยังคงมีประชาชนไปสมัครเข้าอบรมกันอย่างไม่ขาดสายจนถึงอีก 5 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
แม้หลังจากผลการตรวจสอบของดีเอสไอและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ออกมาแล้วว่าไม่มีอะไร แต่การตรวจสอบโดยพุทธบริษัทสี่กันเองยังคงดำเนินต่อไปไม่เพียงแต่สำนักนี้เท่านั้น หากใจเป็นกลางผู้ที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ หรือผู้ปกป้องพระพุทธศาสนาจริงๆก็ต้องตรวจสอบตนเองว่ากำลังใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ และก็ต้องช่วยกันตรวจสอบกาฝากในพระพุทธศาสนาที่แฝงมาในรูปของพุทธพาณิชย์แบบเนียนๆมากมายที่ปรากฎในสังคมไทยที่กำลังตกหลุมวัตถุนิยมกันเต็มตัวด้วยเช่นกัน
เมื่อยามบ่ายวันที่ 16 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา พระปราโมทย์ ได้ไปแสดงธรรมที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการ “ฟังธรรมอบรมจิตนำสุขสู่ชีวิตและสังคม” เนื่องในโอกาสเข้าพรรษา เรื่อง “ธรรมะสำหรับประชาชนผู้ใช้กฏหมาย” ซึ่งมีนิสิต นักศึกษา ประชาชนมาฟังกันเต็มห้องประชุม
เนื้อหาการแสดงธรรมไม่ไกลออกไปจากายยาววาหนาคืบนี้ ที่จะนำสันติสุขภายในใจส่วนบุคคลมาให้ ท่านกล่าวว่า จริงๆแล้วธรรมะนั้นจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน ไม่เฉพาะเจาะจงกับผู้ที่ใช้กฎหมายเท่านั้น เพราะสันติภาพส่วนบุคคลที่มาจากการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เองที่จะทำให้เกิดสันติภาพส่วนรวมในสังคมตามมา โดยมีกฎหมายเป็นเครื่องป้องกันการกระทำผิดภายนอก ส่วนธรรมะที่เริ่มต้นตั้งแต่ศีล สมาธิ และปัญญา จะเป็นเกราะคุ้มครองภายใน ป้องกันการกระทำผิดจากกาย วาจา ใจ ไม่ให้เบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนผู้อื่น โดยมีสติเป็นบาทฐานในการฝึกให้รู้ทันกิเลสทั้งหลาย และไม่ทำตามใจกิเลสเหล่านั้น
“มุมมองของหลวงพ่อ บ้านเมืองไม่มีกฎหมายอยู่ไม่ได้ วุ่นวายหมด หรือมีกฎหมายแต่คนไม่ทำตามก็วุ่นวายมาก กฎหมายเป็นสิ่งที่ควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก ทุกประเทศมีกฎหมาย แต่ก็ยังมีความวุ่นวาย เพราะปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า คนแต่ละคนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้”
พระปราโมทย์ ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีและโทจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวและบรรยาวต่อมาว่า ธรรมะ เป็นการควบคุมคนจากด้านใน กฎหมายคุมจากข้างนอกมาข้างใน ถ้ามีธรรมะ ไม่มีกฎหมายคนอยู่กันได้ แต่ถ้าไม่มีกฎหมายคนอยู่กันไม่ได้เพราะไม่มีธรรมะ กฏหมายกับธรรมะจึงไปด้วยกัน
“เพราะลึกลงไปของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว คนเราเห็นแก่ตัวซะอย่างเดียว กฎหมายให้วิเศษอย่างไรก็ควบคุมไม่ได้ เราจึงต้องอาศัยธรรมะเป็นตัวควบคุม ศาสนาพุทธให้ความเคารพสูงสุดต่อความเป็นมนุษย์ เพราะถือว่ามนุษย์แต่ละคนสามารถพัฒนาได้ และให้อิสระด้วยในการศึกษาที่จะพัฒนาไปสู่ทางที่ดี หลักการของศาสนาพุทธบอกความจริงว่า ทำอย่างนี้จะมีผลอย่างนี้”
ท่านอธิบายว่า ยิ่งคนทำงานด้านกฎหมาย ยิ่งต้องมีธรรมะ ถ้าผู้พิพากษามีธรรมะในใจไม่เห็นแก่ตัว ก็ตัดสินด้วยความยุติธรรม
“ในสมัยพุทธกาล เกิดศาสนาพุทธใหม่ๆ ตอนนั้นไม่มีพระวินัย มีแต่ธรรมะ ก็อยู่กันได้ พอต่อมามีพระมากขึ้น มีผู้ทำผิดก็ต้องมีวินัยขึ้นมาป้องกันผู้ที่กระทำผิด เพราะฉะนั้นถ้ามีธรรมะในใจไม่ต้องกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีธรรมะต้องมีกฎหมาย ส่วนคนที่มีกฎหมายในมือถ้ามีธรรมะก็ทำให้เกิดความยุติธรรม ถ้าใจไม่มีธรรมก็จะเกิดความลำเอียง แต่ถ้าใจมีธรรมะก็จะตัดสินด้วยความยุติธรรม ทั้งกฎหมายและธรรมะจึงเกื้อกูลกัน เพราะกฎหมายมุ่งสันติสุขในสังคม ธรรมะมุ่งสันติส่วนบุคคล เมื่อปฏิบัติไปความสงบมีมากขึ้นไปจนถึงนิพพาน ก็หมดสิ้นกิเลส เมื่อหมดสิ้นกิเลสส่วนตนก็เกื้อกูลคนทางโลกให้เห็นทุกข์จากความเห็นแก่ตัวได้ ทั้งสองอย่างจึงไปด้วยกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แค่ปรัชญา แต่เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ สามารถอธิบายได้ว่าทำไมความทุกข์ทางใจเราจึงเกิดขึ้น อธิบายได้ละเอียดยิบเลย เรื่องอย่างนี้กฎหมายตอบไม่ได้ แต่ธรรมะมีคำตอบ
ท่านอธิบายว่า การศึกษาธรรมะเริ่มต้นที่การฝึกสติ พูดง่าย แต่ทำยาก คนในโลกมีสติแบบโลกๆ อ่านหนังสือรู้เรื่องก็บอกว่ามีสติ เดินไม่ตกท่อก็บอกว่ามีสติ นั่นคือสติโลกๆ ยังไม่พอที่จะสู้กับกิเลสที่อยู่ภายในใจเรา สติสำคัญมากก็คือ สติที่จะมารู้กายรู้ใจตัวเอง ถ้าไม่เรียนรู้ตัวเองจะเห็นแก่ตัว ถ้าเรียนรู้ตัวเองจะลดละความเห็นแก่ตัวลงได้ ตามลำดับ
“สติที่มารู้กายรู้ใจตัวเอง คือหายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ ร่างกายนั่ง รู้ ร่างกายยืน รู้ คือฝึกไม่ให้ใจลอย ฝึกให้รู้สึกตัว คนขาดสติจะใจลอย นี่คือการปฏิบัติธรรมขั้นแรกเลย คือพยายามรู้สึกตัวบ่อยๆ เมื่อไรขาดสติดูกาย เมื่อใดขาดสติกลับมาดูจิต เมื่อมีสติก็มีโอกาสเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ถ้ามีสติ สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์ จิตใจจะเข้าสู่ความสงบสันติ มีความอิ่มเอิบอยู่ภายใน กลางวันก็สุข กลางคืนก็สุข ไม่ใช่กลางวันเครียด กลางคืนสุข เหมือนคนเราทุกวันนี้”
วิธีการฝึกการรู้สึกตัว ท่านสอนง่ายๆว่าให้รู้สึกตัวสบายๆ
“เราเป็นเพียงผู้ดู หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ สังเกตดู เวลาโกรธขึ้นมา แทนที่เราจะสนใจว่าใครทำให้เราโกรธ แต่ความรู้สึกตัวทำให้เราเห็นความโกรธ แต่ไม่ไปสนใจคนที่ทำให้เราโกรธ เรื่องก็จบลงได้ การที่เรามาเจริญวิปัสสนาจนกระทั่งเราเห็นความจริงว่าทุกอย่างมาแล้วก็ไป บังคับมันไม่ได้หรอก สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็เกิด ถ้าหมดเหตุมันก็ดับไป เมื่อใจมันยอมรับตรงนี้ได้ มันจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย เพราะมันยอมรับสภาวะที่กำลังปรากฎต่อหน้าต่อได้แล้ว”
เช่นเดียวกับเรื่องทั้งหลายที่ผ่านมา ท่านก็ยอมรับว่าเป็นวิบากที่ต้องพบ ไม่หนีไปไหน สุดท้ายวิบากนั้นก็จะผ่านไปเช่นเดียวกับทุกเรื่อง ดังนั้นท่นได้ชี้แจงไว้ในประกาศจากสวนสันติธรรมตอนหนึ่งว่า… ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่า 2 ปี หลวงพ่อถูกใส่ร้ายโจมตีอยู่ตลอดเวลาด้วยเรื่องที่ขาดเหตุผลทั้งด้านข้อเท็จจริง พระธรรมวินัย และกฎหมาย
“การที่หลวงพ่อสงบนิ่ง (ทั้งที่นักกฎหมายแนะนำว่าสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้) และทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคมมาโดยตลอดหลายปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่สามารถอธิบายความจริงได้ เพราะทุกเรื่องสามารถอธิบายปัญหาและที่มาได้ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะหลวงพ่อไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานในวงการของชาวพุทธและไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์อย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์กระทำให้บุคคลเหล่านี้ก็คือ การให้อโหสิกรรมกับทุกคนเท่านั้น”
ประกาศสวนสันติธรรม
เรื่องบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร
วันที่ 15 ตุลาคม 2553ตามที่มีสื่อมวลชนบางสำนักเสนอข่าวว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจพบบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร เพิ่มเติมอีก 15 บัญชีซึ่งเป็นบัญชีที่มีการปกปิดไว้และไม่ได้มีการชี้แจงก่อนหน้านั้น
สวนสันติธรรมขอให้ข้อเท็จจริงดังนี้1. การร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษมีขึ้น 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นเรื่องบัญชีของสวนสันติธรรมและการถือครองที่ดิน (ไม่มีการร้องเรียนเรื่องบัญชีส่วนตัว) สวนสันติธรรมได้ส่งมอบบัญชีของสวนสันติธรรมทั้งหมดต่อเจ้าพนักงาน และการที่ทนายความซึ่งเป็นผู้แทนของสวนสันติธรรมได้ยืนยันว่า ได้แสดงบัญชีเงินฝากทั้งหมดของสวนสันติธรรมต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว เป็นการกล่าวที่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะได้แสดงบัญชีทั้งหมดของสวนสันติธรรมแล้วจริง ต่อมาภายหลังจึงมีการร้องเรียนเพิ่มเติมในเรื่องบัญชีส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระกัน และสวนสันติธรรมก็ให้ความร่วมมือในการส่งมอบข้อมูลให้กับเจ้าพนักงานด้วยความยินดี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553 และไม่ใช่เรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมาตรวจพบบัญชีที่ปกปิดอยู่แต่อย่างใด
2. สวนสันติธรรมไม่เคยปกปิดเรื่องที่มีบัญชีเงินฝากของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช และอุบาสิกาอรนุช สันตยากร และได้แสดงความพร้อมที่จะเปิดเผยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบได้เสมอ ตามประกาศสวนสันติธรรม เรื่องการกล่าวหาว่าหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ยักยอกปัจจัยบูชาธรรมจากบัญชีของสวนสันติธรรม ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2553 และก่อนหน้านั้นหลวงพ่อปราโมทย์ก็เคยกล่าวต่ออดีตกรรมการสวนสันติธรรมและสาธุชนที่เข้าไปฟังธรรมอยู่เสมอว่า หลวงพ่อมีปัจจัยที่ญาติโยมถวายเป็นการส่วนตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในอนาคต หรือเพื่อใช้สร้างเจดีย์และพิพิธภัณฑ์ในสวนสันติธรรม (ในขณะนั้นยังไม่มีแนวความคิดที่จะตั้งสวนสันติธรรมให้เป็นวัด) และเพื่อสร้างอุโบสถและเจดีย์ (เมื่อมีแนวความคิดที่จะตั้งวัดแล้วตั้งแต่มกราคม 2553) เรื่องที่หลวงพ่อปราโมทย์มีปัจจัยส่วนตัวเก็บไว้นี้ กระทั่งอดีตกรรมการที่ลาออกไปก็ทราบเรื่อง (ต่อมามีการบิดเบือนประเด็นเป็นเรื่องที่ว่า หลวงพ่อปราโมทย์เก็บปัจจัยไว้เพื่อจะลาสิกขาออกไปครองเรือนในอนาคต)
3. การออกข่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์มีบัญชีลับถึง 15 บัญชีนั้น เป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง และกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำมาใช้กล่าวหาทำลายชื่อเสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ เช่นเดียวกับการกล่าวหาในกรณีอื่นๆ นั่นเอง แท้จริงบัญชีปัจจัยของหลวงพ่อปราโมทย์ มีเพียง 4 บัญชี (เป็นชื่อของอุบาสิกาอรนุช 3 บัญชี และชื่อของหลวงพ่อปราโมทย์ 1 บัญชี) คือ
3.1 บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 172-2-15196-6 จำนวนเงินประมาณ 4 แสนบาท บัญชีนี้เป็นบัญชีที่ใช้เก็บปัจจัยเพื่อใช้เป็นเงินรายจ่ายฉุกเฉินของหลวงพ่อปราโมทย์ หรือของสวนสันติธรรม (หากจะมีขึ้น) แต่หากยังไม่มีการใช้จ่ายในช่วงนั้น ก็จะมีการตัดเงินฝากจากบัญชีนี้เข้าบัญชีเงินฝากประจำต่อไป
3.2 บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 172-2-28565-2 ในชื่อของหลวงพ่อปราโมทย์เอง จำนวนเงินประมาณ 3.6 แสนบาท ทั้งนี้จำเป็นต้องใช้ชื่อหลวงพ่อปราโมทย์ เพื่อรับเงินบริจาคในรูปของเช็คขีดคร่อม ซึ่งสั่งจ่ายในนามของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชโดยตรง
3.3 บัญชีฝากประจำ 3 เดือน ธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีราชา มีบัญชีเดียวแต่มียอดฝาก 2 ครั้ง จึงมี 2 หมายเลข ได้แก่ 172-3-008866-2/12 และ 172-3-008866-2/14 จำนวนเงินรวมกันประมาณ 5.5 ล้านบาท
3.4 บัญชีฝากประจำ 12 เดือน ธนาคารออมสิน สาขาศรีราชา หมายเลขบัญชี 03-2102-34-006947-4 จำนวนเงินประมาณ 2 แสนบาท4. นอกเหนือจากบัญชีเงินฝากเหล่านี้แล้ว ยังมีสลากออมสินจำนวน 9 ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 17 ล้านบาท เหตุที่มีการซื้อสลากออมสินและพันธบัตรรัฐบาล ก็เพื่อกระจายความเสี่ยงของเงินฝาก ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์ถือว่าเป็นเงินที่ต้องดูแลรักษา เพื่อใช้ทำประโยชน์ของพระศาสนาในอนาคตให้สมค่าที่สาธุชนทั้งหลายได้ถวายมา ปัจจัยเหล่านี้หลวงพ่อปราโมทย์จะนำไปใช้ส่วนตัวก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านนำไปใช้น้อยมาก เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ท่านดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่ายมาโดยตลอด
5. ปัจจัยทั้งของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์มีที่มา และแยกกันชัดเจนระหว่างเงินบริจาคของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ ทั้งนี้เงินบริจาคทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีเงินฝาก สลากออมสิน และพันธบัตรรัฐบาลนั้น เป็นเงินบริจาคที่มีการถวายหลวงพ่อปราโมทย์โดยตรง ซึ่งมีที่มา 3 ช่องทางดังนี้
5.1 จากตู้รับบริจาค ถวายหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ซึ่งตู้แยกกันชัดเจนจากตู้รับบริจาคของสวนสันติธรรม
5.2 จากปัจจัยถวายกัณฑ์เทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ เมื่อไปแสดงธรรมในสถานที่ต่าง ๆ
5.3 จากผู้มีจิตศรัทธาที่ถวายหลวงพ่อปราโมทย์โดยตรง
(กรณีนี้ก็มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าเงินดังกล่าวเป็นของวัด ไม่ใช่ของพระภิกษุ เพื่อหาเรื่องกล่าวร้ายต่อหลวงพ่อปราโมทย์อีกเช่นกัน)6. ยอดเงินของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ แม้จะดูว่ามีมากในความรู้สึกของบุคคลทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วยังจัดว่าไม่มาก เมื่อพิจารณาในประเด็นต่อไปนี้
6.1 โครงการใช้จ่ายที่มีอยู่ เช่น การขยายพื้นที่ การเพิ่มเสนาสนะ การสร้างอุโบสถ การสร้างเจดีย์ และพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ในระยะยาว หลวงพ่อปราโมทย์ยังมีโครงการที่จะปลูกป่ารอบๆ สวนสันติธรรม และการช่วยเหลือโรงพยาบาลของรัฐบางแห่ง แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่สามารถประกาศออกมาได้ เพราะมีทุนจำกัดอย่างยิ่ง เนื่องจากหลวงพ่อปราโมทย์ไม่เคยเรี่ยไร หรือเรียกรับเงินที่มีผู้ปวารณาจะให้แล้วก็ตาม ประกอบกับสานุศิษย์ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางหรือมนุษย์เงินเดือน ซึ่งหลวงพ่อปราโมทย์มีความเห็นอกเห็นใจในการครองชีพ ไม่ต้องการให้ต้องรับภาระโครงการต่างๆ ของสวนสันติธรรมและของหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านจึงพยายามอดออมและเก็บปัจจัยไว้เพื่อการทำงานในอนาคต
6.2 หากเทียบกับวัดทั่วไปที่มีกิจกรรมทางสังคมมากๆ แล้ว ปัจจัยที่สวนสันติธรรมและหลวงพ่อปราโมทย์มีอยู่ ยังจัดว่ามีจำนวนน้อยกว่ามาก แต่สวนสันติธรรมและหลวงพ่อปราโมทย์ ก็ไม่ได้ดิ้นรนที่จะแสวงหาปัจจัยเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ได้โดยชอบธรรมเท่านั้น7. นอกเหนือจากปัจจัยของหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว อุบาสิกาอรนุชยังมีเงินเก็บส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่ง เพราะในสมัยที่ยังเป็นฆราวาส ทั้งนายปราโมทย์และนางอรนุช สันตยากร ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหารขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เฉพาะนายปราโมทย์เองก็มีรายได้ในระดับอธิบดีของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ไม่ได้อดอยากยากแค้นดังที่มีผู้พยายามกล่าวหาแต่อย่างใด แม้แต่ญาติธรรมที่เข้าไปศึกษาธรรมะด้วย ยังได้รับการเลี้ยงอาหารด้วยเสมอๆ และการออกบวชก็กระทำด้วยความศรัทธา ไม่ใช่ออกบวชเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพดังที่ถูกกล่าวหา อนึ่งนอกจากเงินส่วนตัวเดิมแล้ว ยังได้ขายที่ดินและทรัพย์สินที่มีอยู่ (บางส่วนก็ยกให้ญาติมิตร) อุบาสิกาอรนุชจึงมีเงินพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ในแต่ละวันยังได้รับเงินและสิ่งของบริจาคจากญาติโยมทั้งหลายเนืองๆ ซึ่งส่วนหนึ่งก็นำไปทำบุญต่อไปอีก ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของอุบาสิกาอรนุช ก็ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วเช่นกัน
8. สวนสันติธรรมขอแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมอีก 2 เรื่องคือ
8.1 ทรัพย์สินทั้งหมดของสวนสันติธรรมยังมีที่ดินอีกแปลงหนึ่งหน้าสวนสันติธรรม เนื้อที่ 20 ไร่เศษ และได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดชลบุรีไว้แล้วว่า เมื่อใดที่ได้รับอนุมัติให้ตั้งวัด อุบาสิกาอรนุชจะโอนที่ดินดังกล่าวให้วัดด้วย ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้ทำสัญญายกที่ดินแปลงนี้กับนายอำเภอศรีราชา เช่นเดียวกับที่ดินแปลงหลักของสวนสันติธรรม ก็เพราะเป็นที่ดินที่มีชื่อร่วมของหลายเจ้าของ หนึ่งในจำนวนนั้นคือคุณฐิตินาถ และยังไม่สามารถแบ่งแยกเอกสารสิทธิ์ได้
8.2 กรณีที่มีผู้หยิบยกประเด็นที่นายปราโมทย์ไม่ได้จดทะเบียนหย่ากับนางอรนุช สันตยากรก่อนบวชมาโจมตีนั้น ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นการกล่าวร้ายอย่างเลื่อนลอย เพราะในความเป็นจริงทั้งด้านพระธรรมวินัยและกฎหมาย ไม่ได้กำหนดว่าฝ่ายชายจะต้องหย่าขาดจากภรรยาก่อนบวช และพระภิกษุจำนวนมากที่มีครอบครัวก่อนอุปสมบท ก็ไม่ได้หย่าขาดตามกฏหมายจากภรรยาเช่นกัน แต่เป็นการหย่าขาดจากกันตามจารีตประเพณี อย่างไรก็ตามเพื่อลดความกังขาตลอดจนการนำประเด็นดังกล่าวไปบิดเบือนในอนาคต และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หลวงพ่อปราโมทย์จะดำเนินการจดทะเบียนหย่ากับอุบาสิกาอรนุชต่อไป9. ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่า 2 ปี หลวงพ่อปราโมทย์ถูกใส่ร้ายโจมตีอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องที่ขาดเหตุผลทั้งด้านข้อเท็จจริง พระธรรมวินัย และกฎหมาย และเรื่องใดที่ข้อเท็จจริงปรากฏออกมาแล้ว ก็จะพบว่าล้วนแต่เป็นการสร้างเรื่องใส่ร้ายทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังขาดความชัดเจน ทำให้สื่อมวลชนและสาธารณชนคลางแคลงในหลวงพ่อปราโมทย์ เช่น เรื่องเหตุผลที่คุณฐิตินาถไม่พอใจหลวงพ่อปราโมทย์เป็นการส่วนตัว เรื่องที่กรรมการสวนสันติธรรม 5 คนลาออกพร้อมกันแล้วหันมาโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ เรื่องบุคคลและเบื้องหลังของขบวนการโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์ และเรื่องความถูกผิดเกี่ยวกับคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ เป็นต้น
การที่หลวงพ่อปราโมทย์สงบนิ่ง (ทั้งที่นักกฎหมายแนะนำว่าสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้) และทนรับการดูหมิ่นเหยียดหยามจากสังคมมาโดยตลอดหลายปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่สามารถอธิบายความจริงได้ เพราะทุกเรื่องสามารถอธิบายปัญหาและที่มาได้ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานในวงการของชาวพุทธ และไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวโจมตีหลวงพ่อปราโมทย์อย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์กระทำให้กับบุคคลเหล่านี้ ก็คือการให้อโหสิกรรมกับทุกคนเท่านั้น
refer : http://wimutti.net/forum/index.php?topic=3959.0
ขอบคุณ เว็บไซต์ wimutti.net สำหรับเนื้อหาประกาศของสวนสันติธรรมที่ถูกอ้างอิงในหนังสือเนชั่นสุดสัปดาห์
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่