Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิธีฝึกความรู้สึกตัว

mp3 (for download)วิธีฝึกความรู้สึกตัว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีฝึกความรู้สึกตัว

วิธีฝึกความรู้สึกตัว

หลวงพ่อปราโมทย์ : วิธีรู้สึกตัว ถามว่าความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร ความรู้สึกตัวก็คือความไม่หลงไป ไม่เผลอไป ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ

พวกเราสังเกตมั้ย พวกเราจะลืมกายลืมใจแทบทั้งวันนะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เรียนธรรมะไม่ได้ฟังธรรมะจนกระทั่งสติเกิด คนทั้งโลกลืมกายลืมใจทั้งวัน ตื่นขึ้นมาก็ดูคนอื่น จะคิดก็คิดเรื่องคนอื่น หรือคิดไปในอดีต คิดเรื่องของตัวเองนะ แต่คิดไปในอดีตบ้างในอนาคตบ้าง ไม่ใช่ตัวจริงของเราในปัจจุบัน แต่อยู่ในโลกของความคิดความฝันตลอด ถึงจะคิดเรื่องของตัวเองก็คิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคตอย่างนั้น ไปเรื่อยๆ เราไม่สามารถจะอยู่กับโลกปัจจุบันได้

เพราะฉะนั้นให้คอยรู้สึก รู้สึกไว้ ร่างกายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหว คอยรู้สึก รู้สึกไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตจะจำสภาวะ ร่างกายเคลื่อนไหวนี่มีอาการอย่างนี้ จิตเคลื่อนไหวมีอาการอย่างนี้ ความรู้สึกทั้งหลาย แต่ละอย่างๆ มีอาการอย่างนี้ มีสภาวะอย่างนี้ พอจิตจำได้แม่นแล้ว ต่อไปสติจะเกิดเอง (หมายถึง สติเกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจให้เกิด – ผู้ถอด)

เช่นจิตจำได้ว่า ความใจลอย แอบไปคิด เป็นอย่างไร ใจจะค่อยๆไหลไปนะ ไหลๆ ไหลๆ ไปคิด ไปรู้เรื่องที่คิด ขณะที่รู้เรื่องที่คิด ลืมกายลืมใจ อย่างนี้เรียกว่า ขาดสติแล้ว เมื่อใดลืมกายลืมใจเมื่อนั้นเรียกว่าขาดสติ

หรือบางทีความโกรธผุดขึ้นมา คนทั้งหลายพอโกรธขึ้นมาเนี่ย จะไปดูคนที่ทำให้เราโกรธ ส่วนผู้ปฏิบัติผู้มีสติ จะเห็นความโกรธเนี่ยผุดขึ้นมา มันจะผุดขึ้นมากลางอกนะ ถ้าผุดขึ้นมาเล็กๆแค่ขัดใจนิดๆ ก็แค่ขุ่นๆอยู่กลางอกนี่ ถ้ามันรุนแรงมันก็พุ่งขึ้นหน้า เรียกว่า เลือดขึ้นหน้านะ เห็นช้างเท่าหมู นี่ เพราะฉะนั้นเวลาเห็น ไม่ตรงตามความเป็นจริง

ให้เรารู้ท้นนะ รู้ทัน กิเลสก่อนที่จะเป็นกิเลสตัวใหญ่เนี่ย เป็นกิเลสตัวเล็กมาก่อน ถ้ากิเลสตัวใหญ่แล้วสู้ยาก เหมือนคู่ชกเราตัวโตแล้ว เราต้องชกตั้งแต่มันยังไม่โต ชกเด็กได้เปรียบนะ ชกเด็กๆได้เปรียบ เพราะกิเลสตอนมันเป็นเด็กๆนะ มันค่อยๆไหว ยิบยับๆ ขึ้นมาเนี่ย ให้เรารู้ทันมัน

ทีนี้ แต่ก่อนที่เราจะเห็นกิเลสตัวเล็กได้ เราก็ต้องหัดเห็นกิเลสตัวใหญ่ก่อน เพราะกิเลสที่ละเอียดมันดูยาก หัดทีแรกก็จะเห็นของหยาบ เช่น โทสะเกิดเราถึงจะเห็น ต้องโมโหแรงๆก่อนถึงจะรู้ว่าโมโห ขัดใจเล็กๆยังไม่รู้ว่าขัดใจ ต่อไปฝึกมากเข้าๆ หัดสังเกตใจของเราไปเรื่อยๆ ต่อไปความขัดใจเล็กนิดเดียวเกิดขึ้น ก็เห็นแล้วนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมศาลาลุงชินครั้งที่ ๑๔
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐

CD: แสดงธรรมที่ศาลาลุงชินครั้งที่ ๑๔
File:
500916
ระหว่างนาทีที่  ๐๕ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๐๘ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : รู้สึกตัวบ่อยๆ แต่ปิติไม่ค่อยมี อย่างนี้ภาวนาถดถอยหรือเปล่า?

รู้สึกตัวบ่อยๆ แต่ปิติไม่ค่อยมี อย่างนี้ภาวนาถดถอยหรือเปล่า?

ถาม : ปีก่อน ผมทำสมาธิแบบอานาปาณสติ กำหนดลมหายใจพุทโธ..เกิดปิติ ขนลุก ขนชัน ตัวเบาตัวโคลง เห็นแสงสว่างจ้า ๆ ได้นาน ๆ  หลวงพ่อฯ บอกว่า สมถะเอาไว้พักผ่อน แต่ปัจจุบัน..หลังจากที่กำหนด “รู้สึกตัวบ่อย ๆ”  อาการปิติที่ว่า..มันทำได้แป็บเดียว คือพออาการปิติจะเกิด จะเริ่มเห็นแสงสว่าง สติก็เกิด  แสงสว่างก็หายไป กลายเป็นรู้สึกตัว  เป็นทุกครั้งเลยครับ ปิติแทบไม่ทันได้เกิด จะรู้สึกตัวก่อน.. แบบนี้ ถูกต้องไหมครับ

คือ..ในความคิดลึก ๆ ของผม..ดูเหมือนการปฏิบัติภาวนาของผม มันจะถดถอยลง..เมื่อก่อน ปิติเกิดได้นาน ๆ โปร่ง โล่ง เบา..  แต่ปัจจุบัน พอปิติจะเกิด..สติรับรู้ขึ้นมา ปิติหายไปกลายเป็นรู้สึกตัวแทน.. การภาวนาของผม เป็นอย่างไรครับ ถดถอยไปหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : การภาวนาไม่ได้ถดถอยหรอกครับ
แต่กลับกันคือ สามารถเจริญวิปัสสนาเจริญสติปัญญาได้ก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับ
สามารถเกิดจิตตั้งมั่นรู้เท่าทันปิิติ เห็นปิติเกิดขึ้นแล้วดับไป
การเห็นสภาวะเกิดขึ้นแล้วดับไปนี่แหละครับ
ที่เป็นการเจริญปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
เมื่อเจริญปัญญาได้ ต่อไปภายภาคหน้าก็จะเกิดมรรคเกิดผลแจ้งนิพพานได้
ส่วนสมถะนั้น เมื่อใดที่จิตอ่อนล้าหมดกำลังที่จะเจริญสติปัญญาได้
จิตจะลงไปพักในสมถะได้เอง ช่วงนี้จิตยังมีกำลังที่จะเจริญปัญญาอยู่
จิตจึงไม่ค่อยลงไปพักในสมถะหรือลงไปก็ไม่นานครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตื่น

mp3 (for download)จิตตื่นเป็นอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตตื่น

จิตตื่น

หลวงพ่อปราโมทย์ : คำว่าจิตตื่นของหลวงพ่อหมายถึง จิตซึ่งรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกกาย รู้สึกใจ (รู้สึกความมีอยู่ของกายในขณะนั้น รู้สึกความมีอยู่ของใจในขณะนั้น – ผู้ถอด) ไม่ไปหลงเพลิดเพลินอยู่ในโลกของความคิด

ในโลกนี้ หาคนที่ตื่นขึ้นมา.. ยากที่สุด เราตื่นเฉพาะร่างกาย แต่จิตใจไม่ตื่นหรอก นับตัวได้เลยนะในโลกนี้ ตอนแรกๆที่หลวงพ่อพูดอย่างนี้ คนไม่เชื่อนะ หาว่าดูถูกเหยียดหยามเสียอีก บอกว่า..ถ้าไม่ตื่นแล้วจะขับรถมาวัดได้อย่างไร ไม่ตื่นแล้วจะทำมาหากินได้อย่างไร มันตื่นแต่ร่างกาย จิตใจไม่ตื่น จิตใจหลงไปในโลกของความคิดความฝันตลอดเวลา ความทุกข์ทั้งหลายและกิเลสทั้งหลาย เกิดตอนที่ใจเราหลงไปอยู่ในโลกของความคิดนั้นเอง

เพราะฉะนั้นจะคิดเพลินๆไปนะ คิดดีๆขึ้นมา มีความสุข คิดไม่ดีมีความทุกข์ขึ้นมา หลงไปอย่างนี้เรื่อยๆ แต่ถ้าเราภาวนา จนใจเราตื่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ตื่นแบบแห้งแล้งด้วยนะ ตื่นออกมาจิตใจนี้นุ่มนวล อ่อนโยน จิตใจสว่างไสว มีความสุข มีความเบิกบานผุดขึ้นมาเอง

ความสุขที่เราเคยรู้จัก มันต้องเป็นความสุขที่มีสิ่งเร้า มีอะไรมายั่ว เช่น หนุ่มๆไปจีบสาวได้แล้วมีความสุข อะไรอย่างนี้ หรือว่าร่ำรวยขึ้นมามีความสุข ได้อยู่กับคนนี้มีความสุข ได้กินอันนี้มีความสุข ความสุขอย่างโลกๆ เป็นความสุขที่ต้องอาศัยสิ่งเร้าภายนอก

แต่ถ้าเรามีสติขึ้นมา เรามีความสุขผุดขึ้นมาจากภายใน ความสุขขึ้นมาเอง ไม่ต้องทำอะไร ทันทีที่จิตหยุดความปรุงแต่ง จิตก็มีความสุขผุดขึ้นมาเลย จิตที่มันทุกข์ทุกวันนี้เพราะมันปรุงไม่เลิก หลงไปในโลกของความปรุงแต่ง ให้เราคอยหัดรู้สึกนะ รู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในใจ จนสติมันเกิด พอ(จิต-ผู้ถอด)จำสภาวะของรูปธรรมนามธรรมได้แม่นแล้ว สติจะเกิดเอง (หมายถึง สติเกิดโดยที่ไม่ได้จงใจให้เกิด – ผู้ถอด)

ทันทีที่สติเกิด จิตจะตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู มีสัมมาสมาธิ พอจิตตั้งมั่นขึ้นมาแล้วเนี่ย เราะจะเห็นเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าความสุขหรือความทุกข์ ไม่ว่ากุศลหรืออกุศลทั้งหลายแหล่ ล้วนแต่เป็นของที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

เหมือนเรานั่งสบายๆ นั่งเล่น นอนเล่น อยู่ในบ้านเรา เรามองออกไปทางประตู มองออกไปทางหน้าต่าง เห็นคนเดินผ่านหน้าบ้าน เนี่ยความรู้สึกทั้งหลาย ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศลทั้งหลาย เหมือนมันเดินผ่านหน้าบ้าน เราอยู่ในบ้าน สบายๆ ไม่เดือดร้อนอะไรกับใครเขา

สิ่งที่ผ่านหน้าบ้านเรา บางทีก็เป็นของสวยของงาม บางทีก็เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว เช่นหมาขี้เรื้อนวิ่งมา อะไรอย่างนี้ หมาบ้าวิ่งมาเนี่ย ผ่านหน้าบ้านไป อารมณ์ก็เหมือนกันนะ อารมณ์บางทีก็อารมณ์ที่ดี บางทีก็อารมณ์ที่เลว ผ่านมา แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ดีหรืออารมณ์ที่เลว นักปฏิบัติที่แท้จริงจะเหมือนคนที่นอนเล่นในบ้าน ไม่วิ่งตามไป

ไม่ใช่เห็นสาวสวยเดินผ่านหน้าบ้าน ก็วิ่งตามเขาไปนะ เห็นหมาบ้าวิ่งมาก็วิ่งออกไปไล่ตีมัน จิตใจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น จิตใจจะแค่เป็นคนรู้คนดู แล้วก็สิ่งเหล่านั้นจะไม่แอบเข้าไปในบ้านเรา เหมือนผู้ร้ายไม่กล้าเข้าบ้าน เจ้าของบ้านยังตื่นอยู่ ใจเราตื่นขึ้นมานะ ผู้ร้ายคือกิเลสมันเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าใจเราหลับเมือไหร่นะ มันย่องเข้ามา ย่องเบา เบาจริงๆนะ ย่องเข้ามา ไม่ทันรู้สึกหรอก กว่าจะรู้สึกตัวก็คือ มันขึ้นมาขี่คอเรียบร้อยแล้วนะ ให้คอยรู้สึกนะ รู้สึก…

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมศาลาลุงชินครั้งที่ ๑๔
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐

CD: แสดงธรรมที่ศาลาลุงชินครั้งที่ ๑๔
File:
500916
ระหว่างนาทีที่  ๑ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ภาวนาแล้วเห็นกายเหมือนเป็นหุ่นยนต์ แล้วเราเป็นผู้ดู

ภาวนาแล้วเห็นกายเหมือนเป็นหุ่นยนต์ แล้วเราเป็นผู้ดู

ถาม : พักหลังเห็นกายของตนเองบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกิน เดิน นั่ง นอน แม้แต่เคี้ยวขนม กดคีย์บอร์ด กระพิบตา หรือหายใจคะ บางทีเห็นทั้งตัว บางทีเห็นเฉพาะส่วนคะ แต่ว่าไม่ได้เห็นว่ามันจะเป็นตัวทุกข์อะไรเลย ก็ดูมันไปเรื่อยๆ เหมือนมีหุ่นยนต์ แล้วก็มีเราดู

ตอบ  : ที่สามารถเห็นกายเป็นเหมือนหุ่นยนต์มีเราดูอยู่ ก็ดีแล้วครับ
แม้จะยังไม่เห็นว่าเป็นตัวทุกข์ ก็ให้หัดดูซำ้ๆ ต่ออีกเรื่อยๆ นะครับ
แล้วค่อยๆ สังเกตว่า ที่ร่างกายมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เราห้าม เราสั่งให้มันเป็นตามต้องการได้มั้ย
เราจะห้ามไม่ให้มันแก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายได้มั้ย
หรือสังเกตว่าเวลาที่ร่างกายทำงานเช่นหายใจเข้าแล้ว
อีกแวบเดียวมันก็ทนไม่ได้ต้องหายใจออก
หัดดูไปแบบนี้แหละครับ แล้วจะค่อยๆเกิดปัญญาขึ้นมาครับ
อย่าไปจงใจจะหัดดูในแง่มุมอื่นที่ไม่ใช่ไตรลักษณ์นะครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจริญปัญญาได้แล้ว ก็อย่าทิ้งสมาธิ

mp 3 (for download) : เจริญปัญญาได้แล้ว ก็อย่าทิ้งสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เจริญปัญญาได้แล้ว ก็อย่าทิ้งสมาธิ

เจริญปัญญาได้แล้ว ก็อย่าทิ้งสมาธิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีช่วงหนึ่งนะ มันเห็นแต่สภาวะ เห็นทั้งวันเห็นทั้งคืน ไหวยิบแย็บๆๆ ทั้งหลับทั้งตื่น เห็นอยู่อย่างนั้น ยิบแย็บๆ เหนื่อย เหนื่อยมากเลยก็นึก วันนี้ขอไม่ภาวนาสักวันเถอะ ขอไม่ดู ขอไม่ดูก็ไม่ได้ เพราะสติเป็นอัตโนมัติ ทำอย่างไรก็ไม่หาย ทำอย่างไรก็ผ่านตรงนี้ไม่ได้นะ เหนื่อยมากเลย เครียด

วิ่งไปหาหลวงพ่อพุธ จำได้เลย ไปวันบูรพาจารย์ คนเต็มวัดเลย พระก็คอยมาเร่ง บอกหลวงพ่อ เขาพร้อมกันแล้ว ให้หลวงพ่อไปเทศน์ที่ศาลา หลวงพ่อบอกว่า ยังๆ ต้องแก้ตรงนี้ก่อน ตรงนี้สำคัญ นั่งแก้กรรมฐานให้หลวงพ่ออยู่ชั่วโมงหนึ่ง เหนื่อยมากเลยนะ เราก็เหนื่อย ท่านก็เหนื่อย ใจมันไม่ลง

ท่านบอกว่า เมื่อภาวนาไปถึงขั้นละเอียดเนี่ย มันเห็นแต่สภาวะยิบยับๆนี้แหละ ให้สักว่ารู้สักว่าเห็นไป เราก็รู้นะ ฟังท่านพูด ก็รู้แต่ทฤษฎีนะ ใจมันไม่ยอม มันเหนื่อย แต่สุดท้ายก็ต้องบอกท่าน นิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์ที่ศาลาเถอะ คนรออยู่นานแล้ว ทั้งพระ ทั้งโยม เราก็กลับมา ไม่รู้จะทำอย่างไรนะ

เขียนจดหมายไปหา อาจารย์มหาบัว แต่ก่อนเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์พระมหาบัว ไม่ได้ไปเรียกท่านว่าหลวงตาบัวนะ เขียนจดหมายไปถึงท่านอาจารย์พระมหาบัว เรียนท่านว่าสภาวะเป็นอย่างนี้ๆ ธรรมดาเขียนไปท่านจะเขียนตอบมา สอนกรรมฐานให้เราทางจดหมาย คราวนั้นท่านตอบมาสั้นๆ บอกว่า เราเพิ่งไปผ่าตามา เขียนจดหมายยาวไม่ได้ เอาหนังสือไปอ่านเอง ส่งหนังสือธรรมเตรียมพร้อมมาให้เล่มหนึ่ง เบ้อเริ่มเลย เห็นแล้วท้อใจ เราไม่ชอบอ่านหนังสือ เราน่ะสงสัยอยู่จุดเล็กนิดเดียวนะ เอาหนังสือมาให้เราเล่มใหญ่ ท่านให้มาแล้วก็ยกมือไหว้นะ กราบท่าน ยกมือไหว้ หยิบหนังสือมาเปิด พลัวะ หน้านั้นเลยที่เปิดออกมา เรื่องภาวะที่ยิบยับๆนี่แหละ มาอ่านดูก็เหมือนที่หลวงพ่อพุธบอกหมดนะ ใจไม่ลงอีกละ กลุ้มใจ

เสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นไปทำงาน ไปขึ้นรถเมล์ ตอนรอรถเมล์เนี่ย โอ้… เหนื่อยเต็มประดาแล้ว วันนี้ขอพักดีกว่า ทำสมถะดีกว่า หายใจเข้าพุทธ.. หายใจออกโธ.. นับหนึ่งนะ นับไปถึง ๒๘ จิตก็รวมเข้ามานะ พอจิตถอยออกมานะ สภาวะนี้ขาดสะบั้นเลย เรารู้เลยว่า เราเจริญแต่ปัญญา เราทิ้งสมาธิ นี่ก็โง่อีกแบบหนึ่ง

เห็นมั้ยวันนี้เล่าแต่เรื่องโง่ๆของหลวงพ่อ เห็นมั้ย โง่ไปติดสมาธิ โง่ไปหาจิต โง่ไปแก้อาการของจิต นี่เรื่องโง่ๆทั้งนั้นเลย นี่โง่ทิ้งสมาธิไป ทิ้งสมถะ เพราะฉะนั้นสมถะก็ทิ้งไม่ได้นะ แต่ทำสมถะอย่างเดียวก็ไม่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน คนละเรื่องกันเลย แต่ไม่มีสมถะเลยก็ไม่มีเรี่ยวมีแรง เหมือนมีมีดทื่อๆ ฟันอะไรก็ไม่เข้า เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสงบเป็นช่วงๆไป เพียงแต่สงบแล้วต้องออกมารู้กาย สงบแล้วต้องออกมารู้ใจ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๑๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จริตเราเหมาะกับ ดูกาย หรือดูจิต ?

จริตเราเหมาะกับ ดูกาย หรือดูจิต ?

ถาม : จริตของผมเหมาะกับอะไรระหว่างดูกาย กับ ดูจิต ครับ  ?

ตอบ : ตอบไม่ได้ครับว่า คุณ เหมาะจะดูกายหรือดูจิต ::)

ต้องสังเกตตัวเองนะครับว่า
ในระหว่างวันเรารู้สึกถึงกายหรือจิตได้ง่ายกว่ากัน
ถ้ารู้สึกถึงกายได้ง่ายกว่า เห็นกายเคลื่อนไหวได้เรื่อย ๆ ก็จะเหมาะกับการดูกาย
แต่ถ้าไม่ค่อยรู้สึกถึงกาย แต่เห็นกิเลสได้บ่อย เห็นจิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้บ่อย
ก็จะเหมาะกับการดูจิตครับ

จริง ๆ แล้ว จะเหมาะกับดูกายหรือดูจิต ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้นครับ
ที่สำคัญคือ เราจะเลือกดูกายอย่างเดียวไม่ได้ หรือเลือกดูจิตอย่างเดียวก็ไม่ได้
แล้วแต่ว่าขณะนั้น กายหรือจิต อะไรที่เรารู้สึกได้ เราก็ต้องดูอันนั้นไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ หากเราเดินตามจะแจ้งพระนิพพาน

mp3 (for download): ธรรมะพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ หากเราเดินตามจะแจ้งพระนิพพาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมะพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ หากเราเดินตามจะแจ้งพระนิพพาน

ธรรมะพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ หากเราเดินตามจะแจ้งพระนิพพาน

หลวงพ่อปราโมทย์ : ลำพังถ้าพระพุทธเจ้าพูดถึงนิพพาน แล้วพูดลอยๆแค่นี้นะ ยังไม่อัศจรรย์ กลายเป็นว่าท่านค้นพบมาคนเดียว แล้วท่านก็มาพูดๆให้เราฟัง เราไม่มีทางรู้เห็นตามท่านได้เลย ถ้าเช่นนั้นแล้วศาสนาพุทธจะไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะไม่ใช่ของอัศจรรย์

แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าอัศจรรย์นั้น เพราะท่านบอกทางที่เราเห็นตามได้ เราสามารถเห็นตามได้ สันทิฎฐิโก เห็นตามได้ รู้เห็นได้ ไม่ใช่รู้เฉพาะตัวเอง และธรรมะท่านไม่เคยเก่า เรียกว่า อกาลิโก บางคนมาพูดไม่ดีนะ บอกว่า ยุคนี้ไม่มีแล้วมรรคผลนิพพาน พูดเหมือนธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ย จำกัดด้วยเวลา จริงๆธรรมะท่านไม่จำกัดด้วยเวลา มันจำกัดด้วยผู้ปฏิบัติต่างหาก ผู้ปฎิบัติไม่มี ไม่มีคนปฏิบัติ มันก็ไม่ได้ผล ผู้ปฏิบัติปฏิบัติผิด มันก็ไม่ได้ผล

ไม่ใช่ธรรมะไม่มีประโยชน์ ไม่มีผล ธรรมะของท่านนั้นมีประโยชน์ มีผลตลอดกาล ถ้าเรารู้หลักของการปฏิบัติที่แม่นยำแล้วขยันภาวนาจริงๆ เราได้รับประโยชน์จริงๆ เราจะแจ้งจริงๆว่ามรรคผลนิพพานมีจริงๆนะ ความพ้นทุกข์มีจริงๆนะ

ทีนี้เรามาดู ว่าทำอย่างไร เราจะแจ้งพระนิพพานได้ เราจะพ้นทุกข์ได้ พ้นเครื่องพะรุงพะรัง พ้นภาระที่ต้องแบกต้องหามทางจิตใจ ทุกคนมีโอกาสนะ ทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมะชนิดนี้ ถ้าตั้งใจฟังว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

หลักสูตรที่พระพุทธเจ้าสอน เพื่อให้เราไปบรรลุถึงมรรคผล และประจักษ์แจ้งพระนิพพาน บรรลุถึงมรรคผล แล้วไปเห็นแจ้งพระนิพพาน เกิดมรรคเกิดผล แต่ว่าเห็นแจ้งนิพพาน นิพพานไม่เกิด มรรผลยังเกิดอยู่ (คือเกิดมรรคแล้วดับ เกิดผลแล้วดับ – ผู้ถอด) มรรคผลถึงจะเป็นโลกุตระ (หมายถึง โลกุตรธรรม – ผู้ถอด) แต่เป็นโลกกุตระที่เกิดดับ มีนิพพานที่เป็นโลกุตระที่ไม่เกิดไม่ดับ คนละระดับกัน

พระพุทธเจ้าสอนวิธีที่เราจะไปถึงนิพพาน ตัวที่ปิดกั้นเราก็คือกิเลส ตราบใดที่เรายังมีกิเลส ล้างกิเลสไม่หมดจากใจเรา เราก็ไม่เห็นนิพพาน ตราบใดที่เรายังมีกิเลส ใจเราจะปรุงแต่ง ตราบใดที่ยังปรุงแต่งอยู่ เราไม่เห็นนิพพาน เพราะว่านิพพานพ้นความปรุงแต่ง เป็นวิสังขารธรรม เป็นอสังขตธรรม ไม่ปรุง เพราะฉะนั้นนิพพานพ้นจากขันธ์ ตราบใดที่เรายังยึดถือขันธ์อยู่ เราจะไม่เห็นนิพพาน

เพราะฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนการปฏิบัตินั้นน่ะ สอนจนกระทั่งเราพ้นจากกิเลส เราพ้นจากความปรุงแต่ง เราพ้นจากขันธ์ พ้นได้ พ้นได้จริงๆนะ อยู่ที่ว่าเราทำจริงมั้ย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๗ วินาทีที่ ๐๗ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ระวังอย่าให้จิตไปติดอยู่กับความว่าง!!! (ที่ไม่ใช่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น)

ระวังอย่าให้จิตไปติดอยู่กับความว่าง!!! (ที่ไม่ใช่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น)

ถาม  : อยากทราบว่า ลักษณะหรืออาการของจิตที่ติดกับความว่างเป็นอย่างไรครับ ?

ตอบ : ติดความว่าง เช่น
-ไปเห็นความว่างเปล่า แล้วหลงยินดีพอใจในความว่างเปล่า แต่ไม่รู้ว่ายินดีพอใจ

-จิตชอบอยู่เฉย ๆ จนรู้สึกว่าไม่มีอะไร ว่าง ๆ เฉย ๆ อยู่
จนเคยชิน แล้วคิดว่า เฉย ๆ ว่าง ๆ นี่แหละน่าเป็นน่าเอา

-พอมีอะไรมากระทบทางอายตนะใด ๆ
จิตก็จะหนีอารมณ์ปรุงแต่งแล้วไปอยู่กับความรู้สึกเฉย ๆ ว่าง ๆ
ไม่ยอมที่จะตามรู้ตามดูอารมณ์ปรุงแต่งใด ๆ

เหตุที่ติดว่าง ก็เพราะ ไม่รู้ว่า ความว่างนั้นยังไม่ใช่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
เมื่อไม่รู้ ก็หลงไปยึดผิด ๆ ว่า นั่นคือสภาวะที่ดีที่วิเศษ นั่นคือสภาวะที่ไม่ทุกข์
บางคนก็หลงเข้าใจผิดว่า ต้องทำจิตให้ว่าง ๆ จึงจะเกิดปัญญาพ้นทุกข์

เมื่อหลงไปติดความว่าง จึงไม่เห็นว่าจิตยังยึดความว่าง
แล้วจิตก็จะไม่สามารถเจริญปัญญาต่อได้
ไม่เห็นว่าทั้งความว่างและจิตเองก็ไม่เที่ยง
ไม่เห็นว่าทั้งความว่างและจิตเองเกิดขึ้นแล้วคงทนอยู่ไม่ได้
ไม่เห็นว่าทั้งความว่างและจิตเองเป็นอนัตตา

:)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หน้าที่ของเราต่อกิเลส คือการรู้กิเลส ไม่ใช่การละกิเลส

mp 3 (for download) : เราไม่มีหน้าที่ไปละกิเลส เรามีหน้าที่ไปรู้มัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

กิเลสเป็นเหมือนไฟ

กิเลสเป็นเหมือนไฟ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรารู้ของเราเองอย่างนี้ รู้ลงไปซื่อๆ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ คอยรู้ไป ถ้าเราไปเพ่งจิตให้นิ่ง มันจะไม่มีกิเลสอะไรให้ดู มันจะนิ่งๆ ตามองเห็นแล้วก็งั้นๆ หูได้ยินแล้วก็งั้นๆ แต่ถ้าเราไม่ได้เพ่งไว้ เราปล่อยให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ตามธรรมดาๆนี้เอง กระทบแล้วมันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาตลอดเลยนะ

เช่น เห็นหน้าคนนี้ก็ชอบเขาแล้ว นี่มันเพื่อนเรา เห็นแล้วดีใจ ชอบเขา รู้ ดีใจก็รู้ เห็นคนนี้ก็หมั่นไส้มันแล้ว เคยเป็นมั้ย ใครไม่เคยเป็นก็โกหกนั่นแหละ ใครจะโกหกบ้าง ใครไม่เคยโกหกมีมั้ย ใครจะโกหกหลวงพ่อว่าไม่เคยโกหก มีมั้ย ซื่อๆต่อตัวเองนะ ซื่อต่อตัวเอง

หลายคนเรียนกับหลวงพ่อแล้วหน้าด้านนะ ยกตัวอย่างวันดีคืนดีก็มาส่งรายงาน อิฉันเป็นคนขี้อิจฉาเหลือเกิน หลวงพ่อบอก โอ้.. ดีจัง ดีที่รู้ความจริง รู้ความจริงแล้วเนี่ย กิเลส ตัณหานะ พอเรารู้ทัน มันเหมือนความมืดนะ กิเลสตัณหาทั้งหลาย พอเรารู้ทัน เรามีสติปัญญารู้แล้วเหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดจะหายอัตโนมัติเลย หายทันที ไม่ต้องไปคิดล้างกิเลสหรอก จำไว้นะ เราไม่มีหน้าที่ไปละกิเลสนะ เรามีหน้าที่ไปรู้มัน

ทันทีที่รู้ ความสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็ดับลงทันทีเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะ บางคนมาถามหลวงพ่อว่าดูจิตแล้วมันจะละกิเลสได้อย่างไร ละได้สิ กิเลสมันเกิดตอนที่หลงต่างหากล่ะ หลงไปปรุงแต่งต่างหาก หลงไปคิด ไปนึก ไปปรุง ไปแต่ง

พอมีสติไม่หลงไป กิเลสไม่เกิดแล้ว ไม่ใช่ละกิเลสนะ คนละเรื่องกัน กิเลสไม่มีเหตุ ไม่มีช่องทางที่จะเกิด แต่ว่าเมื่อกิเลสเกิดแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนละกิเลสได้นะ กิเลสก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป ไม่มีใครเก่งที่จะละกิเลสได้

เหมือนอย่างไฟไหม้ ไม่มีใครดับไฟได้ ไม่มีใครดับไฟได้เลย ไฟไหม้เพราะอะไร เพราะมีเหตุให้ไฟไหม้ มีเหตุก็เช่น มันมีความร้อน มีประกายขึ้นมา มีความร้อน มีเชื้อเพลิง มีออกซิเยน อะไรอย่างนี้ ไม่มีใครดับไฟได้ แต่ว่าเวลาเขาดับไฟ เขาไปทำลายเหตุของไฟ ยกตัวอย่างมันมีเชื้อเพลิง ก็ดึง รื้อบ้านไป ไฟไม่มีอะไรจะลามไปก็ดับ มันอุณหภูมิสูงเอาน้ำไปราดมัน มันก็ดับ ไม่มีใครดับไฟนะ เราไปดับเหตุของไฟ

กิเลสก็เหมือนกัน เราไม่ต้องไปดับมันหรอก เราดับเหตุของมัน เหตุของมันคือความประมาทขาดสตินี่เอง เราคอยรู้สึกๆไว้ กิเลสไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ต้องดับกิเลสนะ ไม่ต้องดับกิเลส ทุกข์ก็ไม่ต้องดับมัน ทุกข์ให้รู้ กิเลสก็อยู่ในกองทุกข์ เรียกว่าไปอยู่ในสังขารขันธ์ หน้าที่ของเราต่อกิเลส คือการรู้กิเลส ไม่ใช่การละกิเลส


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๔
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : พุทธภูมิกับสติปัฎฐานสี่

พุทธภูมิกับสติปัฎฐานสี่

ถาม : ธรรมดาแล้วจิตที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะสามารถหลุดพ้นบรรลุธรรมเมื่อทำตามวิธีการนี้ (สติปัฎฐานสี่) ได้หมดหรือไม่ มีข้อยกเว้นใดไหม?

ตอบ : จิตที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น
หากยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากรพพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว
ก็ยังสามารถบรรลุธรรมหรือหลุดพ้นได้ ถ้าจิตเองยอมที่จะเปลี่ยนความตั้งใจ
และต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้อย่างถูกต้องและเพียงพอต่อการเกิดมรรคผล

ถาม : อยากทราบประสบการณ์ของท่านผู้อื่นที่เป็นจริตแบบเดียวกันนี้ ท่านใช้แนวทางใดในการภาวนา

ตอบ : ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ หรือไม่ได้ปรารถนา
ก็ต้องเจริญสมถะ เจริญวิปัสสนาตามทางสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกัน
ยิ่งถ้าปรารถนาพุทธภูมิแล้วปฏิบัติภาวนามาจนเป็นมีความรู้ มีทิฏฐิที่ถูกต้อง
ก็จะเห็นว่า ทางหลุดพ้นมีเพียทางสายเอกคือ สติปัฏฐาน ๔ เท่านั้นครับ
ไม่มีทางสายอื่นอีกที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

ถาม : หากยิ่งมีการทำสมถะมากๆ จิตจะยิ่งหน่วงอารมณ์พุทธภูมิมากขึ้น แต่หากลดสมถะลงกำลังจิตก็จะไม่มี ทำให้เกียจคร้านต่อการภาวนา ท่านจะแนะนำอย่างไร ?

ตอบ : ทั้งสมถะและวิปัสสนาก็ต้องทำควบคู่กันไปครับ
แต่ให้ทำสมถะเพื่อเป็นการพักให้จิตมีกำลังตั้งมั่น
เมื่อมีกำลังตั้งมั่นแล้ว ก็ต้องทำวิปัสสนาต่อไป
เมื่อทำวิปัสสนาไปมากเข้า ๆ จิตอาจเปลี่ยนความตั้งใจ
ละทิ้งความปรารถนาพุทธภูมิลงได้ (ถ้ายังไม่ได้รับการพยากรณ์)
และเมื่ออินทรีย์ถึงพร้อม ก็จะบรรลุธรรมไปตามลำดับได้ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราอยู่กับโลกแล้วก็อยู่กับธรรมไปด้วย

mp 3 (for download) : เราอยู่กับโลกแล้วก็อยู่กับธรรมไปด้วย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมจักร

ธรรมจักร

หลวงพ่อปราโมทย์ : การที่ฟังครูบาอาจารย์พูด เป็นสัมมาทิฎฐิ ภาคปริยัติ อาศ้ยสัมมาทิฎฐิ เรารู้ว่าเราจะปฎิบัติธรรมอย่างไร เราจะปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร อย่างไร พอเรารู้วิธีแล้ว เราจะต้องเอาไปปฏิบัติต่อ ต้องทำให้ได้ในชีวิตจริงๆของเรา ตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่ตื่นจนหลับ งานข้ามภพข้ามชาติไม่ใช่งานเล่นๆ แต่ถ้าเราจะภาวนา แบบว่าจะอยู่ในโลกอย่างมีความสุขนะ เราก็ภาวนา ก็ต้องทำให้เต็มที่นะ หยุดเมื่อไหร่ความทุกข์ก็ตามมาเมื่อนั้นแหละ ต้องทำให้เต็มที่

เต็มที่ของหลวงพ่อก็หมายถึงว่า ตื่นขึ้นมาแล้วก็คอยรู้สึกตัว รู้สึกไป จนหลับ ยกเว้นเวลาที่เราต้องทำงานที่ต้องใช้ความคิด ในขณะนั้นไม่สามารถรู้กายรู้ใจได้ เพราะต้องไปรู้เรื่องราวที่เราคิด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำงานที่ต้องคิดเนี่ย ไม่ใช่เวลาทำวิปัสสนา จะเป็นเวลาทำมาหากิน จดจ่ออยู่กับงาน หมดเวลานั้นแล้ว ให้พยายามรู้สึกไว้นะ ในชีวิตธรรมดานี้เอง ที่หลวงพ่อพูดให้ฟังทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอน จะกินอาหาร จะขับถ่าย จะอาบน้ำ จะขึ้นรถ จะทำอะไร จะคุยกับคน กระทั่งจะดูทีวี เราก็ดู ดูใจของเราไป สังเกต เป็นระยะๆไป

เพราะฉะนั้นการภาวนาเนี่ย ถ้าเรามีหลักแล้ว การภาวนาก็จะอยู่ในชีวิตเราเนี่ย ทำได้ทั้งวัน ถ้าเราคิดแต่ว่าภาวนาต้องทำตอนเข้าวัดเข้าคอร์สนะ ปีหนึ่งจะเข้ากี่คอร์ส ใช่มั้ย เข้าวัดไปกี่ชั่วโมง เวลาส่วนใหญ่เราอยู่กับโลกข้างนอก เพราะฉะนั้นเท่ากับเราภาวนานิดเดียว แล้วเราหลงโลกตั้งนาน มันไม่พอสู้กันได้

แต่ถ้าเราอยู่กับโลก แล้วก็อยู่กับธรรมไปด้วย อยู่กับโลกแล้วอยู่กับธรรมอยู่อย่างไร ก็อยู่เห็นโลกธรรม เห็นโลกธรรมนะ ในชีวิตเราเดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็มีคนชม เดี๋ยวก็มีคนด่า เดี๋ยวก็ได้โบนัสเยอะโบนัสน้อย นี่โลกธรรมทั้งหมดเลย จิตมันแกว่งขึ้นแกว่งลง เรามีสติคอยรู้ลงไปเรื่อยๆ โลกกับธรรมมันก็อยู่ด้วยกันตรงนี้ ตรงที่เรามีสติ รู้ทันจิตใจของตัวเอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก่อนฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๕
ระหว่างวินาทีที่ ๕๕ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 41234