Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ


mp 3 (for download) : การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองมันน่ารักแค่ไหน สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเราก็คือขันธ์​ 5 พูดย่อๆคือกายกับใจ น่ารักจริงมั้ยร่างกายนี้ มีความสุขจริงมั้ย ตื่นเช้าขึ้นมาใช่มั้ยต้องรีบไปล้างหน้าก่อน หน้าตาดูไม่ได้เลยหน้าเหมือนข้าวมันไก่ ต้องไปขับถ่ายใช่มั้ย มีภาระเยอะแยะเลย ต้องทำอย่างนู้นต้องทำอย่างนี้ ต้องหาข้าวกิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่ก็เมื่อยต้องขยับไปขยับมา ลมพัดมาหนาวต้องไปหาเสื้อมาใส่ ใส่มากไปร้อนอีกแล้วก็ถอดอีกอะไรเงี้ย เนี้ยภาระทั้งนั้นเลย มีสติตามดูไปเห็นแต่ทุกข์นะทั้งวันทั้งวันนะ ดูไปแล้วต่อไปมันไม่รัก พอมันเลิกรักตัวเองนะความกลัวมันจะหายไป

โยม : แล้วมีอีกข้อนึงน่ะค่ะคือเวลาลูกทำสมถะนั่งสมาธิแล้วมันถึงจุดที่ว่ามันเหมือนกับมันเริ่มรวมๆ มันเริ่มที่จะเหมือนกับรวมเข้ามาคือมันมีสมาธิมาก แล้วเสร็จแล้วมันก็ไม่รู้จะเดินปัญญาต่อยังไง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฮ้ย เวลาทำสมาธิไม่ใช่เวลาเดินปัญญา ให้มันรวมไปให้มันพักไปให้เต็มที่ พอมันถอยออกจากสมาธิดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป เจริญปัญญาตอนนี้ เวลาทำสมาธิเป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่เวลาทำงาน (โยม: แต่ตอนที่เค้าถอนก็คือปล่อยให้เค้าถอนของเค้าทำเอง) ให้เค้าถอนตามธรรมชาติอย่าไปดึงขึ้นมา ถ้าดึงขึ้นมาจะปวดหัว (โยม: เจ้าค่ะ) เอ้าอุทัยวันนี้กับเมื่อวานต่างกันยังไง (โยม: สติเกิดได้เองบ้างแล้วครับ) วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน(โยม: ดีกว่าเมื่อวานครับ)เอ้าคุณหมอ (โยม: ก็รู้สึกดูแล้วบางทีเมื่อวานมันยัง เมื่อวานดูแล้วสภาวะมันก็ดับได้ วันนี้มันเหมือนมันเกาะอารมณ์อ่ะครับ มันไม่ค่อยตั้งมั่น) ห้ามไม่ได้นะ หมอดูไปเลยจิตนี้เป็นอนัตตา มันจะเกาะอารมณ์สั่งมันไม่ได้หรอก เห็นมั้ยมันสอนไตรลักษณ์นะ แต่เราไ่ม่ค่อยยอม เราจะเอาดี เราจะเอาดีเราจะเอาสุขนึกออกมั้ย (โยม: ครับ)

โยม: ฟุ้งมากเลยค่ะ ฝันอะไรก็ไม่รู้เสียงดังหนวกหูมากไม่เคยฝัน (หลวงพ่อ: ฝันเสียงดังเลยเหรอ) ฝันเหมือนกับมันยุ่งไปหมดเลยค่ะ รู้สึกว่ามันหนวกหูเลยค่ะ (หลวงพ่อ: อยู่วัดมันเงียบมาก) ก็เลยคิดว่าสงสัยเราพยายามจะไปกดข่มมันหรือเปล่า มันเลยเสียงดัง

หลวงพ่อปราโมทย์: รู้ไปอย่างที่มันเป็นสินะ(โยม: ค่ะ) จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน เอาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะง่าย ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ให้ทำอะไร รู้อย่างที่เค้าเป็นไป เค้าก็สอนธรรมะเรานะ จิตฟุ้งเค้าก็ฟุ้งได้เองรู้สึกมั้ย สั่งให้สงบก็ไม่สงบ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ งั้นการภาวนาที่เราเจริญปัญญาเนี่ยดูความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป ไตรลักษณ์ของกายของใจนั้นแสดงอยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่เราไม่ชอบเอาไตรลักษณ์ของกายของใจนะ เราอยากเอาดีเอาสุขเอาสงบต่างหาก ดีมีมั้ยในโลก มีชั่วคราว สุขมีมั้ย มีชั่วคราวใช่มั้ย สงบมีมั้ย มีชั่วคราว หมอรีบบอกไม่มีก่อนทุกอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีขึ้นมา คำว่าอนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย อนัตตาหมายถึงว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีหมดเหตุมันก็ดับบังคับไม่ได้ นี่คืออนัตตา ดีมี แต่ไม่เที่ยง สุขมี แต่ไม่เที่ยง สงบมี แต่ไม่เที่ยง

ถ้าเรามุ่งภาวนาจะเอาดีเอาสุขเอาสงบก็คือมุ่งภาวนาเอาของไม่เที่ยง ได้มาแล้วก็เสียไป ได้มาแล้วก็เสียไป วันนี้สงบพรุ่งนี้ก็ฟุ้งได้อีก วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ชั่วได้อีกใช่มั้ย วันนี้สุขพรุ่งนี้ก็ไม่สุขได้อีก มันหมุนอย่างนี้ งั้นเราไปภาวนาเราไม่ได้มุ่งเอาของไม่เที่ยงมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เรามุ่งเอาความจริง ดูให้เห็นความจริงของชีวิตเลย ขันธ์นี้มีแต่ของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ความจริงคือไตรลักษณ์ ไม่ใช่ความจริงเป็นปฏิกูลอสุภะนะ อันนั้นยังไม่ใช่สภาวะที่แท้จริง ดูลงเป็นไตรลักษณ์ให้ได้ เค้าแสดงตัวอยู่แล้วตลอดเวลาในกายในใจนี้ ดูจนใจยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ของธาตุขันธ์ของกายของใจ ยอมรับความจริงได้ใจก็อยู่กับโลกที่แปรปรวน แปรปรวนยังไงก็ได้เพราะว่าใจยอมรับความจริงแล้วว่าโลกนี้แปรปรวน ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย นี่ภาวนาจนกระทั่งเราอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนะ เค้าเรียกคนพ้นโลก พ้นจากโลกนะแต่อยู่กับโลก แต่พ้นโลก ครูบาอาจารย์ท่านเทียบบอกเหมือนดอกบัวอยู่ในน้ำแต่ไม่เปียก ผุดขึ้นมาจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อน จิตที่ฝึกดีแล้วนี่อยู่กับโลกนี่แหล่ะแต่ไม่คลุกกับโลกหรอก อยู่แล้วมีความสุขสว่างไสวอยู่ โลกก็มืดๆของมันไปตามเรื่องของมันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 232 times, 2 visits today)

Comments are closed.