Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่เหมือนกัน

mp 3 (for download) : พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่เหมือนกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่เหมือนกัน

พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่เหมือนกัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : เห็นแต่รูปนามทั้งหลายนะกระจายตัวออกไป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตานะ เห็นแล้วเห็นอีกนะดูแล้วดูอีกนะ อย่ากลัวว่าจะไม่บรรลุมรรคผลเลย ถ้าไม่บรรลุก็ไม่เป็นไร ชาตินี้ไม่บรรลุชาติต่อๆไปก็บรรลุเอง

บางคนกังวลนะ เป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าน้าทำไมภาวนาไม่ดีไม่บรรลุซักที เรามองหน้าแว้บนี่ไม่ใช่โพธิสัตว์หรอกนี่สัตว์เหลวไหล ขี้เกียจน่ะ พอภาวนาไม่ได้บอกเป็นโพธิสัตว์พวกนี้ก็มีนะ โพธิสัตว์เหลวๆไหลๆ ไม่มีหรอก โพธิสัตว์จริงๆไปด้วยมหากรุณานะ ใจกรุณาคนอื่นไม่ใช่อยากใหญ่อยากโตอยากเด่นอะไรหรอก ใจอยากสงสาร อยากช่วยคนเยอะๆ

งั้นเวลาภาวนาเนี่ยไม่ต้องกังวลว่าเราเป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่า ภาวนาให้เต็มที่ ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ต้องยิ่งขยันภาวนา โพธิสัตว์โหลยโท่ยแล้วจะเอาอะไรไปสอนคนอื่นเค้าใช่มั้ย ต้องรีบทำให้เต็มที่เลยนะ ศีลสมาธิปัญญาทำให้เต็มที่เลย พอถึงจุดหนึ่งแล้วเนี่ยจิตมันจะแยกเอง ใครจะเดินไปพุทธภูมินะ ใครเห็นเอือมระอาในความทุกข์ของสังสารวัฏก็จะพลิกเข้าไปสู่สาวกภูมิ ใครเกิดมหากรุณาขึ้นมาพลิกไปสู่พุทธภูมิ ไม่ต้องไปกังวลตอนนี้หรอก ตอนนี้ภาวนาให้เต็มที่ไม่ว่าจะเป็นสาวกภูมิหรือพุทธภูมิก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน ยิ่งจะเป็นพุทธภูมินะภาวนาขี้เกียจขี้คร้านจะไปได้กินอะไร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
Track: ๒๒
File: 540911.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ภาพพจน์นักภาวนา

ภาพพจน์นักภาวนา

อย่าวาดภาพนักภาวนาว่าต้องไม่โกรธนะครับ นักภาวนาในห้องนี้ทุกคน ล้วนแต่เกิดราคะ โทสะ โมหะ กันวันละนับครั้งไม่ถ้วนเลย บางทีก็กว่าจะกลับมารู้ตัวได้ก็ปาเข้าไปเป็นวันๆ เลย ที่สำคัญคือ พอกลับมารู้ตัวแล้ว ก็ไม่ต้องรำพึงรำพัน ให้ตั้งใจเริ่มเจริญสติต่อไป ไม่ต้องเสียอกเสียใจกับอดีต ใครจะมองว่ายังไงก็ไม่ต้องกังวล บางคนวาดภาพนักภาวนาซะเลิศหรู พอตัวเองไม่เป็นอย่างที่นึกวาดภาพไว้ ก็เลยหมดแรงภาวนาต่อ หรือไม่ก็วิตก เสียอกเสียใจ ก็เลยทำให้สติที่แตกไป หรือจิตที่แตกไป ไม่สามารถกลับมารวมได้ง่ายๆ ขอให้นึกเอาไว้ว่า..คราใดที่พลาดท่าออกท่าออกทางไม่ดีไปแล้ว ก็ให้แล้วกันไป รอรับวิบาก (ผลจากการกระทำไม่ดี) ที่จะเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกตัว แล้วก็ตั้งใจที่จะภาวนาต่อไปด้วยใจที่ไม่ท้อแท้ กรรมที่ทำไปแล้วเราตามกลับมาแก้ไขไม่ได้ แต่เราตั้งใจที่จะฝึกตัวเองเพื่อไม่ทำกรรมใหม่ได้

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาต้องเด็ดเดี่ยว

mp 3 (for download) : การภาวนาต้องเด็ดเดี่ยว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนาต้องเด็ดเดี่ยว

การภาวนาต้องเด็ดเดี่ยว

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนเราลองตั้งใจแล้วทำให้ได้เป็นบารมีนะเรียกอธิษฐานบารมี ตัวนี้สำคัญมากเลย เท่าที่หลวงพ่อสังเกตผู้ปฏิบัติดูเนี่ย คนที่เค้าได้ผลเนี่ยไม่ใช่ว่าเค้าฉลาดหรือเค้าเก่งกล้าสามารถอะไรเหนือกว่าเรา แต่เค้าเด็ดเดี่ยว เนี่ยตัวนี้สำคัญมากเลย เวลาตั้งใจที่จะภาวนานะก็ต้องทำ ลำบากยากเย็นยังไงก็ทำ จะเป็นบารมีชื่ออธิษฐานบารมี เป็นความเด็ดเดี่ยว ตัวนี้สำคัญ

หลวงพ่อพุธเคยสอนหลวงพ่อนะว่าพระภาวนา ตอนนั้นเราไม่ได้บวชหรอกแต่ท่านก็เทศน์ให้ฟัง บอกว่าตั้งใจปฏิบัตินะต้องทำจริงๆเลย อย่างพระทุกวันจะต้องมีข้อวัตรต้องกวาดวัดต้องกวาดกุฏิต้องอะไรเงี้ย วันนึงท่านป่วยหนักท่านลุกไม่ขึ้นเลย พอถึงเวลากวาดวัดเนี่ยท่านทำไงรู้มั้ย ท่านเอามือนะขยับมือเนี่ยกวาดข้างๆตัว วางใจว่ากำลังทำข้อวัตรอยู่ นี่ขนาดนี้นะ ขนาดว่าจะตายมิตายแหล่ยังไม่เลิกเลยนะ ใกล้จะตายแล้วยังไม่ทิ้งข้อปฏิบัติเพราะตั้งใจว่าจะทำ หรือบางองค์บางองค์นี้ไม่ใช่คนยุคเรานะ ตั้งใจเดินจงกรมจะภาวนาเดินๆจนเท้าแตก เท้าแตกหมดเลยเดินไม่ได้แล้ว เดินไม่ได้ท่านคลานคลานจนเข่าแตกนะ คลานไม่ได้นะท่านลงไปนอนนะ กลิ้งไปกลิ้งมานะนอนพลิกซ้ายพลิกขวาพลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย ขยับทำความรู้สึกไปเรื่อย เห็นธาตุเห็นขันธ์นี้ทำงานไปเรื่อย ถึงขนาดเดินไม่ได้แล้วนะคลานก็ไม่ได้นะนอนพลิกไปพลิกมานะก็เป็นพระอรหันต์นะ

งั้นตัวความเด็ดเดี่ยวเนี่ยสำคัญมากเลย ฆราวาสนะหลวงพ่อวิจารณ์ซื่อๆเลยนะ สิ่งที่พวกเราขาดนะคือความเด็ดเดี่ยว พระเด็ดเดี่ยวมากกว่าเพราะอะไร อย่างมันจะตายมิตายแหล่นะมันต้องสู้ตายแหล่ะ สู้ตาย อย่างพระเนี่ยเวลากามราคะเกิดนะจะเป็นจะตายนะ ทุกข์ทรมานมาก โยมไม่เป็นอะไรเห็นมั้ย เพราะนั้นพระเนี่ยสู้เด็ดเดี่ยวมากเลย พระดีๆเป็นยากนะ สู้ตาย ใจต้องแข็งจริงๆเลย ใจเหลาะๆแหละๆเป็นไม่ได้

อย่างคนมาขอบวขหลวงพ่อให้ไปทบทวนใหม่ซะเป็นส่วนมากนะ บางคนขอตั้งหลายปีถึงให้ไปบวชได้ ใจไม่แข็งพอมันไม่ได้กินหรอก นี้โยมเนี่ยส่วนใหญ่อ่อนแอไปหน่อย อึดนะอึดไว้ ไม่ต้องเร่งความเพียรหามรุ่งหามค่ำหรอกแต่ทำความเพียรให้สม่ำเสมอ สำคัญกว่าเร่งหามรุ่งหามค่ำอีกนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การเห็นสภาวะได้ชัดสำคัญต่อการภาวนาหรือไม่ ?

การเห็นสภาวะได้ชัดสำคัญต่อการภาวนาหรือไม่ ?

ถาม : บางครั้ง พอเรารู้ความไม่ชอบ เราก็รู้ว่าตะกี้มีความไม่ชอบ แต่เราไม่เห็นสภาวะมัน แต่รู้ว่าเกิดความไม่ชอบมา อันนี้ถูกหรือผิดครับ คือบางครั้ง เรารุ้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่เราเห็นสภาวะมันไม่ชัดเจนจำไม่ได้ว่าสภาวะมันเป็นยังไง  ไม่เหมือนความโกรธหรือเศร้าที่เห็น สภาวะมันจะชัดมากครับ ?

ตอบ : การเห็นสภาวะนั้น จะเห็นชัดหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญนะครับ แล้วความจำสภาวะได้ ก็ไม่ได้หมายถึงว่า เราต้องเห็นสภาวะนั้นจนรู้เห็นรายละเอียดได้หมด การจำสภาวะได้ จะหมายถึง พอเกิดสภาวะนั้นขึ้นแล้ว เราสามารถเกิดรู้ตัวขึ้นได้ ดังนั้นจะเห็นสภาวะได้หยาบหรือละเอียด (เห็นชัดหรือแค่รู้ว่ามีสภาวะบางอย่างเกิดขึ้น) ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นอย่างละเอียดพิสดารก็ได้ เพราะสิ่งสำคัญหรือเป้าหมายของการเห็นสภาวะ ก็คือ ทำให้จิตเกิดรู้ตัวขึ้น

ถาม : ผมสังเกตุได้คือ บางครั้งเรารู้ทันสภาวะแต่ที่มันไม่ยอมหายเพราะติดนิสัย หน่วงมัน อยากเห็นมันชัดๆ เนื่องจาก ความอยากปฏิบัติครับ แต่พอรู้ทันก็จบเกมส์ครับ

ตอบ : หากเห็นแค่มีสภาวะบางอย่าง (แม้จะไม่เห็นรายละเอียดหรือหน้าตาของสภาวะนั้น) แล้วเกิดรู้ตัวขึ้น ก็คือ ถูกต้องแล้ว  นิสัย หน่วงมัน อยากเห็นมันชัดๆ …ไม่ใช่อยากปฏิบัติหรอกครับ แต่ อยากได้ความรู้เยอะ ๆ (งกความรู้) มากกว่าครับ ด้วยเพราะหลงเข้าใจผิดไปว่า มีความรู้มากๆ แล้วจะพ้นทุกข์ได้ หลวงพ่อเคยพูดเสมอๆ ว่า รู้มาก-ยากนาน (แปลว่า รู้มาก-ทุกข์นาน)

ระลึกเอาไว้ซิครับว่า ไม่ต้องรู้มากก็พ้นทุกข์ได้ (รู้แค่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็เพียงพอแล้ว)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ประวัติหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช (โดยย่อ)

ภาพ หลวงปู่ดูลย์ กับ คุณปราโมทย์ สันตยากร (ปัจจุบัน หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช)

ประวัติหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

(โดยย่อ)

เกิด พ.ศ.๒๔๙๕ ณ บ้านดอกไม้ ต.บ้านบาตร อ.ป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัด พระนคร

การศึกษา ชั้นประถมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนสุริยวงศ์, ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ณ โรงเรียนวัดพลับพลาชัย, ชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนโยธินบูรณะ, ปริญาตรีและโท ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สจว.รุ่นที่ ๕๗

การทำงาน ลูกจ้าง กอ.รมน. (๒๕๑๘-๒๕๒๑), เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ๓-๗ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (๒๕๒๑-๒๕๓๕), ผู้ชำนาญการ ๘-๑๐ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (๒๕๓๕-๒๕๔๔)

การศึกษาธรรม นักธรรมตรี, ศึกษาอานาปานสติตามคำสอนของท่านพ่อลี ธัมมธโรตั้งแต่ ๒๕๐๒, ศึกษากรรมฐานจากครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายรูป ตั้งแต่ ๒๕๒๕ อาทิหลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร และหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ เป็นต้น, อุปสมบทครั้งแรกในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ณ วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี โดยมีหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเป็นพระอุปัชฌาย์, อุปสมบทครั้งที่ ๒ ณ วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ (๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๔) โดยมีพระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์

สถานที่จำพรรษา ๕ พรรษาแรกจำพรรษาอยู่ ณ สวนโพธิญาณอรัญวาสี อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ของท่านพระอาจารย์สุจินต์ สุจิณโณ และพรรษาที่ ๖ ณ สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลุรี โดยความเห็นชอบของพระอุปัชฌาย์

งานเขียน วิมุตติปฏิปทา (๒๕๔๒-๒๕๔๔) ก่อนอุปสมบท, วิถีแห่งความรู้แจ้ง(๒๕๔๕),ประทีบส่องธรรม (๒๕๔๗) ทางเอก (๒๕๔๙) วิมุตติมรรค (๒๕๔๙) และแก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (๒๕๕๑)

>>> ชมภาพประวัติศาสตร์ งานบวชหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมฺชโช ณ วัดบูรพาราม <<<

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ทำไมบางทีรู้(สภาวะ)ได้เร็ว บางทีรู้ได้ช้า

ทำไมบางทีรู้(สภาวะ)ได้เร็ว บางทีรู้ได้ช้า

ถาม : ทำไมเวลาเผลอไปบางทีมันก็รู้ได้เร็ว บางทีก็รู้ได้ช้าครับ บางทีมันก็รู้ขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุอะไรมากระตุ้น ?

ตอบ : ที่รู้เร็วหรือช้า ก็เพราะเหตุหลายอย่างครับ อารมณ์เดียวกันบางครั้งรู้เร็วบางครั้งรู้ช้า อาจเป็นเพราะจิตมีกำลังหรืออ่อนล้าไม่เท่ากัน เช่นวันที่ร่างกายไม่สบาย จิตก็จะอ่อนล้ามากเพราะเอาแต่ไปจมแช่เวทนาอยู่ หรือบางวันเจอแต่เหตุกระตุ้นราคะ จิตก็เผลอไปจมแช่ราคะจนอ่อนล้า พอมีอารมณ์ที่เคยรู้ได้เร็วปรากฏ ก็เลยรู้ได้ช้า แต่ถ้าเป็นอารมณ์ต่างกัน อารมณ์ที่รู้ได้เร็วจะเป็นอารมณ์ที่เราหัดรู้มามากกว่า ส่วนที่รู้ได้เอง จะเป็นเพราะเมื่อเราเผลอไปแล้วเกิดมีอารมณ์ที่เราหัดรู้เอาไว้มานานแล้วเกิดปรากฏขึ้น จิตก็เลยหันไปสนใจอารมณ์ที่เราหัดรู้เอาไว้แทน ก็เลยรู้ขึ้นได้ แต่อาจเห็นเหมือนกับรู้ขึ้นเอง เช่นถ้าเราหัดรู้การเคลื่อนไหวของกายมามาก เมื่อเผลอคิดถึงเรื่องบางเรื่องไป แล้วร่างกายเกิดเคลื่อนไหว จิตก็จะหันไปสนใจร่างกายที่เคลื่อนไหว แล้วก็เลยรู้ตัวขึ้น แต่เราจะไม่ทันเห็นว่าร่างกายมีการเคลื่อนไหว มาเห็นอีกทีก็ตอนที่ รู้ตัว ขึ้นมาแล้ว

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศาสนาพุทธมุ่งที่ปัญญา

mp 3 (for download) : ศาสนาพุทธมุ่งที่ปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ศาสนาพุทธนะมุ่งมาที่ตัวปัญญาเนี่ยตัวสำคัญเลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการสอนเรื่องการเจริญปัญญา ส่วนการทำทานการรักษาศีลการทำสมาธิมีมาตลอด มีมาตลอดไม่ขาดช่วง เรียกว่าสาธารณกุศล สาธารณกุศลหมายถึงเป็นบุญทั่วๆไป ไม่เฉพาะศาสนาพุทธหรอก เค้าก็มี อย่างมุสลิมก็มีซะกาต ใครรู้จักมั้ยซะกาต ซะกาตเนี่ยถึงปีนะคนที่มีรายได้ต้องสละ คล้ายๆภาษีเป็นภาษีทางศาสนาสละเอาไปช่วยคนที่ยากจนกว่า เนี่ยเค้าก็ทำทานนะเป็นเรื่องดี เค้ามีสมาธิมั้ยก็มี การที่เค้าละหมาดวันละห้าครั้งคิดถึงพระเจ้าวันละห้าครั้งถ้าเทียบกับศาสนาพุทธก็คือเทวตานุสติ การระลึกถึงเทพนึกถึงเทวดาก็ได้สมาธิ เห็นมั้ยเค้าก็มีทำทานก็มีสมาธิก็มี ศีลเค้ามีมั้ยเค้าก็มีศีลอย่างของเค้าใช่มั้ย มีการดำรงชีวิตอย่างมีระเบียบมีวินัยเข้มงวดกวดขันมากกว่าเราซะอีก งั้นแค่ทำทานรักษาศีลทำสมาธิศาสนาอื่นก็มี

มาถึงขั้นเจริญปัญญาพวกเราต้องเรียนให้มาก ถ้าเราลืมการเจริญปัญญาก็เท่ากับเราทิ้งศาสนาพุทธไปแล้ว พระพุทธเจ้าสอนบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญานะ ถ้าเราปราศจากปัญญาจิตเราจะบริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าจิตยังบริสุทธิ์ไม่ได้จิตยังต้องเจือต้องระคนด้วยความทุกข์เสมอไปยังมีความทุกข์ตลอดไป แต่ถ้าจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์นะไม่มีอะไรย้อมจิตได้จิตก็ไม่ทุกข์อีก จิตที่มันทุกข์ขึ้นมาได้เพราะจิตโดยตัวของมันเป็นตัวรู้ จิตโดยตัวของมันไม่ใช่ตัวต้องมาเป็นทุกข์อะไร เป็นแค่ตัวรู้เท่านั้นเอง แต่เพราะกิเลสนะเพราะมันไม่บริสุทธิ์กิเลสมันย้อมจิตได้ มันเลยไม่ใช่ตัวรู้ที่ดีเป็นตัวรู้สกปรก ตัวรู้ที่สกปรกรู้ผิดๆเนี่ยก็เที่ยวไปหยิบไปฉวยไปยึดไปถือสิ่งต่างๆขึ้นมา ความทุกข์ก็เลยเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าจิตบริสุทธิ์นะมันจะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งตัวมันเอง อัศจรรย์ตรงนี้แหล่ะมันปล่อยวางกระทั่งตัวมันเองได้ ถ้ามันปล่อยวางตัวมันเองได้แล้วมันจะไม่ไปหยิบฉวยอะไรขึ้นมาอีกแล้ว เพราะสิ่งที่จิตยึดถือเหนียวแน่นที่สุดนะคือตัวจิตเอง จิตนั่นแหล่ะยึดถือจิตอย่างเหนียวแน่นที่สุดว่าเป็นตัวเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : สติบริสุทธิ์

สติบริสุทธิ์

คำว่า สติ จะแปลว่า ความระลึกได้ (จากพจนานุกรม) ในการระลึกได้ของสัมมาสมาธิ จะเป็นการระลึกได้แบบมีความเห็นชอบ มีความตั้งมั่นของจิต โดยปราศจากการแทรกแซง การบังคับ การควบคุม ต่อกาย-จิต และสิ่งที่ถูกระลึกอยู่ สติบริสุทธิ์ จึงเป็นการระลึกได้แบบปราศจากการแทรกแซง บังคับ ควบคุม หรือเรียกว่าระลึกรู้ นั่นเอง ซึ่งก็จะมีลักษณะเดียวกับการระลึกรู้ตามแนวของการดูจิต การดูจิต จึงเป็นการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างมีสัมมาสมาธิ ซึ่งจะเห็นได้ว่า สัมมาสมาธิ สัมมาสติ (ดูจิตเป็นสัมมาสติอย่างหนึ่ง) สัมมาทิฏฐิ และอีก 5 องค์ของมรรค จริงๆ แล้วจะไม่สามารถแยกขาดจากกันได้อย่างเด็ดขาด เพราะจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันอยู่เสมอ หรือถ้าใครเข้าใจการดูจิตจริงๆ ก็จะเห็นว่า สติบริสุทธิ์ในสัมมาสมาธิ ก็คือจิตที่ตั้งมั่นไม่เพ่ง ไม่เผลอ นั่นเองครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชม VDO หลวงพ่อปราโมทย์เทศน์ที่ บจก.นิ่มซี่เส็ง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 54

วีดีโอธรรมบรรยาย หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ณ บ.นิ่มซี่เส็ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในวันจันทร์์ที่ 31 ตุลาคม 2554


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ ตามความเป็นจริง

mp3 (for download) : รู้ ตามความเป็นจริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้ ตามความเป็นจริง

รู้ ตามความเป็นจริง

โยม : ก็ดูจิตดูกายแต่ก็ยังไม่ได้ละว่ามันเป็นเราเป็นจูนอยู่ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ช่างมันปะไร ก็มันยังรู้สึกอย่างนั้น เราก็ยอมรับความจริงไป เราไม่ได้หลอกตัวเองนี่ว่ามันไม่ใช่ เรายังรู้สึกว่าใช่อยู่ก็ใช่สิ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510315
ระหว่างนาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๔๔ ถึงนาทีที่ ๔๕ วินาทีที่ ๐๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เมื่อสมัย อ.สุรวัฒน์หัดภาวนาใหม่่ๆ

เมื่อสมัย อ.สุรวัฒน์หัดภาวนาใหม่ๆ

คนที่หัดใหม่หรือยังรู้ตัวไม่เป็น ก็ต้องทำอะไรบางอย่างก่อนทุกคน ซึ่งส่วนมากจะเพ่งหรือคิดๆ กันก่อน ผมก็เพ่ง คิดๆ มาหลายปี พอมาเรียนกับหลวงพ่อ ท่านสอนให้หัดดูสภาวะต่างๆ เริ่มด้วยสอนให้ดูว่ายังไม่รู้สึกตัว เผลอไป เพ่งไป เราก็หัดดูไป (จะพูดว่าหัดทำก็ได้) ดูแรกๆ ด็ดูผิดๆ ทั้งนั้น ดูจนกระทั่งจิตเริ่มสังเกตออกว่า เผลอไปเป็นอย่างไร เพ่งไปเป็นอย่างไร พอจิตรู้จักเผลอไป เพ่งไป ทีนี้จิตเองก็จะเกิดรู้สึกตัวได้เองหลังจากเผลอไป เพ่งไป แรกๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย (เพราะเกิดความอยากให้ได้ผล) แต่ด้วยความที่ทำผิดๆ มาร่วม 10 ปี ก็เลยบอกตัวเองว่า ทำผิดแบบอื่นมาตั้ง 10 ปี ก็ไม่ได้อะไร จะลองแบบนี้สัก 10 ปีก็ไม่น่าจะเป็นไร ก็เลยหัดรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตตื่น สามารถรู้สึกตัวได้โดยไม่ต้องทำอะไร ก็รู้สึกว่า การภาวนาไม่ยากเหมือนก่อน แล้วพบว่า ที่เคยหัดเดินจงกรม หัดทำจังหวะ หัดนั่งสมาธิ นั้นเราทำไปด้วยความไม่รู้สึกตัว แต่พอจะหัดเดินจงกรมให้รู้สึกตัว หัดนั่งสมาธิให้รู้สึกตัว มันก็ทำไม่ได้ แต่จะรู้สึกตัวได้ง่ายถ้าทำโน่นทำนี่ไปในชีวิตประจำวัน (ไม่เดินจงกรม ไม่นั่งสมาธิ ) เมื่อหัดมากๆ เข้า ก็เข้าใจว่า ในเมื่อเดินจงกรมแล้วไม่รู้สึกตัว ก็ไม่ต้องเดิน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเดินแล้วท่านรู้สึกตัว ท่านก็เลยให้เดิน เราไม่ต้องทำตามแบบท่านก็ได้ แต่ขอให้ทำอะไรที่ทำแล้วสามารถรู้สึกตัวได้ ก็เหมือนกัน ผมจึงบอกกับทุกคนว่า ทำอะไรแล้วรู้สึกตัวไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ทำอะไรแล้วแล้วรู้สึกตัวได้ง่าย ก็ให้ทำบ่อยๆ (ทำในที่นี้คือทำกิจกรรมนะครับ) ส่วนความรู้สึกตัวนั้น ทำไม่ได้ ต้องให้เกิดขึ้นเองจากการทำกิจกรรม แล้วก็ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทำกิจกรรมนะครับ ใหม่ๆ ก็ต้องหัดสังเกตว่า เผลอไป เพ่งไป ถ้าไม่หัดสังเกตจิตก็จะตื่นไม่ได้ จะใช้เดินจงกรมในการหัดก็ได้ เดินไปก็สังเกตไปว่า เผลอไป เพ่งไป ไม่ต้องไปหัดจับความรู้สึกเท้ากระทบพื้นหรือขาที่ก้าวเดิน แล้วก็จะรู้สึกตัวเป็นได้ไม่ยาก

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

mp 3 (for download) : การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองมันน่ารักแค่ไหน สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเราก็คือขันธ์​ 5 พูดย่อๆคือกายกับใจ น่ารักจริงมั้ยร่างกายนี้ มีความสุขจริงมั้ย ตื่นเช้าขึ้นมาใช่มั้ยต้องรีบไปล้างหน้าก่อน หน้าตาดูไม่ได้เลยหน้าเหมือนข้าวมันไก่ ต้องไปขับถ่ายใช่มั้ย มีภาระเยอะแยะเลย ต้องทำอย่างนู้นต้องทำอย่างนี้ ต้องหาข้าวกิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่ก็เมื่อยต้องขยับไปขยับมา ลมพัดมาหนาวต้องไปหาเสื้อมาใส่ ใส่มากไปร้อนอีกแล้วก็ถอดอีกอะไรเงี้ย เนี้ยภาระทั้งนั้นเลย มีสติตามดูไปเห็นแต่ทุกข์นะทั้งวันทั้งวันนะ ดูไปแล้วต่อไปมันไม่รัก พอมันเลิกรักตัวเองนะความกลัวมันจะหายไป

โยม : แล้วมีอีกข้อนึงน่ะค่ะคือเวลาลูกทำสมถะนั่งสมาธิแล้วมันถึงจุดที่ว่ามันเหมือนกับมันเริ่มรวมๆ มันเริ่มที่จะเหมือนกับรวมเข้ามาคือมันมีสมาธิมาก แล้วเสร็จแล้วมันก็ไม่รู้จะเดินปัญญาต่อยังไง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฮ้ย เวลาทำสมาธิไม่ใช่เวลาเดินปัญญา ให้มันรวมไปให้มันพักไปให้เต็มที่ พอมันถอยออกจากสมาธิดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป เจริญปัญญาตอนนี้ เวลาทำสมาธิเป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่เวลาทำงาน (โยม: แต่ตอนที่เค้าถอนก็คือปล่อยให้เค้าถอนของเค้าทำเอง) ให้เค้าถอนตามธรรมชาติอย่าไปดึงขึ้นมา ถ้าดึงขึ้นมาจะปวดหัว (โยม: เจ้าค่ะ) เอ้าอุทัยวันนี้กับเมื่อวานต่างกันยังไง (โยม: สติเกิดได้เองบ้างแล้วครับ) วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน(โยม: ดีกว่าเมื่อวานครับ)เอ้าคุณหมอ (โยม: ก็รู้สึกดูแล้วบางทีเมื่อวานมันยัง เมื่อวานดูแล้วสภาวะมันก็ดับได้ วันนี้มันเหมือนมันเกาะอารมณ์อ่ะครับ มันไม่ค่อยตั้งมั่น) ห้ามไม่ได้นะ หมอดูไปเลยจิตนี้เป็นอนัตตา มันจะเกาะอารมณ์สั่งมันไม่ได้หรอก เห็นมั้ยมันสอนไตรลักษณ์นะ แต่เราไ่ม่ค่อยยอม เราจะเอาดี เราจะเอาดีเราจะเอาสุขนึกออกมั้ย (โยม: ครับ)

โยม: ฟุ้งมากเลยค่ะ ฝันอะไรก็ไม่รู้เสียงดังหนวกหูมากไม่เคยฝัน (หลวงพ่อ: ฝันเสียงดังเลยเหรอ) ฝันเหมือนกับมันยุ่งไปหมดเลยค่ะ รู้สึกว่ามันหนวกหูเลยค่ะ (หลวงพ่อ: อยู่วัดมันเงียบมาก) ก็เลยคิดว่าสงสัยเราพยายามจะไปกดข่มมันหรือเปล่า มันเลยเสียงดัง

หลวงพ่อปราโมทย์: รู้ไปอย่างที่มันเป็นสินะ(โยม: ค่ะ) จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน เอาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะง่าย ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ให้ทำอะไร รู้อย่างที่เค้าเป็นไป เค้าก็สอนธรรมะเรานะ จิตฟุ้งเค้าก็ฟุ้งได้เองรู้สึกมั้ย สั่งให้สงบก็ไม่สงบ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ งั้นการภาวนาที่เราเจริญปัญญาเนี่ยดูความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป ไตรลักษณ์ของกายของใจนั้นแสดงอยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่เราไม่ชอบเอาไตรลักษณ์ของกายของใจนะ เราอยากเอาดีเอาสุขเอาสงบต่างหาก ดีมีมั้ยในโลก มีชั่วคราว สุขมีมั้ย มีชั่วคราวใช่มั้ย สงบมีมั้ย มีชั่วคราว หมอรีบบอกไม่มีก่อนทุกอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีขึ้นมา คำว่าอนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย อนัตตาหมายถึงว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีหมดเหตุมันก็ดับบังคับไม่ได้ นี่คืออนัตตา ดีมี แต่ไม่เที่ยง สุขมี แต่ไม่เที่ยง สงบมี แต่ไม่เที่ยง

ถ้าเรามุ่งภาวนาจะเอาดีเอาสุขเอาสงบก็คือมุ่งภาวนาเอาของไม่เที่ยง ได้มาแล้วก็เสียไป ได้มาแล้วก็เสียไป วันนี้สงบพรุ่งนี้ก็ฟุ้งได้อีก วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ชั่วได้อีกใช่มั้ย วันนี้สุขพรุ่งนี้ก็ไม่สุขได้อีก มันหมุนอย่างนี้ งั้นเราไปภาวนาเราไม่ได้มุ่งเอาของไม่เที่ยงมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เรามุ่งเอาความจริง ดูให้เห็นความจริงของชีวิตเลย ขันธ์นี้มีแต่ของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ความจริงคือไตรลักษณ์ ไม่ใช่ความจริงเป็นปฏิกูลอสุภะนะ อันนั้นยังไม่ใช่สภาวะที่แท้จริง ดูลงเป็นไตรลักษณ์ให้ได้ เค้าแสดงตัวอยู่แล้วตลอดเวลาในกายในใจนี้ ดูจนใจยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ของธาตุขันธ์ของกายของใจ ยอมรับความจริงได้ใจก็อยู่กับโลกที่แปรปรวน แปรปรวนยังไงก็ได้เพราะว่าใจยอมรับความจริงแล้วว่าโลกนี้แปรปรวน ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย นี่ภาวนาจนกระทั่งเราอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนะ เค้าเรียกคนพ้นโลก พ้นจากโลกนะแต่อยู่กับโลก แต่พ้นโลก ครูบาอาจารย์ท่านเทียบบอกเหมือนดอกบัวอยู่ในน้ำแต่ไม่เปียก ผุดขึ้นมาจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อน จิตที่ฝึกดีแล้วนี่อยู่กับโลกนี่แหล่ะแต่ไม่คลุกกับโลกหรอก อยู่แล้วมีความสุขสว่างไสวอยู่ โลกก็มืดๆของมันไปตามเรื่องของมันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : นักภาวนาพ่อลูกอ่อน

นักภาวนาพ่อลูกอ่อน

ถาม : ผมเป็นพ่อลูกอ่อน ลูกผมซนสุดๆ เลย ไม่ยอมนั่งเฉยถึง นาที ทำให้เรามีอารมณ์เกิดไม่พอใจ โมโห บ่อยมาก เร็วมาก อยากให้ อาจารย์ แนะนำการเจริญสติแบบพ่อลูกอ่อนครับ?

ตอบ : ตอนเลี้ยงลูกผมก็เป็นครับ สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือ พอโกรธก็แค่รู้ว่าโกรธ บางทีผมก็หลุดฟาดเปรี้ยงไปเลย พอฟาดเสร็จก็ อ้าว เมื่อกี๊เผลอไป เมื่อรู้ว่าเผลอไปได้บ่อยขึ้น ความโกรธก็จะน้อยลง จนแค่พอเริ่มจะโกรธก็รู้ตัวได้ ทุกวันนี้ผมก็ยังมีหงุดหงิดรำคาญตอนที่เลี้ยงลูก แต่ก็รู้สึกตัวได้เร็วกว่าเดิมมาก ไม่ต้องพยายามที่จะไม่โกรธเลยครับ เพียรรู้ว่าเผลอไป (เพราะโกรธลูก) ก็พอแล้ว ลูกนี่แหละที่จะทำให้เราเกิดปัญญาได้จากการรู้ว่า เมื่อกี๊เผลอไป …ได้เวลากลับไปเพียรรู้โดยมีลูกเป็นเครื่องฝึกอีกแล้ว…

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : วิปัสสนาให้รู้นะ อย่าคิดเอา

วิปัสสนาให้รู้นะ อย่าคิดเอา

รู้ คือการรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ หรือด้วยความมีจิตตั้งมั่น ไม่หลงตามสิ่งนั้นๆ รู้ เป็นหลักการเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เห็นความจริงของสิ่งต่างๆ รวมทั้งกายและจิตเอง ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อรู้จนเห็นความจริง จิตก็จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นลงไปตามลำดับ แต่ถ้าเราไปใช้วิธีคิดเอา (คิดแบบที่เราคิดเรื่องราวต่างๆ ) เราก็จะไม่สามารถเห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ได้ การคิดจะให้ผลเป็นเพียงความรู้ ความเข้าใจในเรื่องราวที่คิด ไม่ใช่เป็นปัญญาที่จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ครูบาอาจารย์ท่านจึงบอกว่า ให้รู้เอา อย่าคิดเอา .. ให้รู้เอา อย่าคิดเอา…เป็นสำนวนพูด ซึ่งความหมายก็คือ ให้รู้ อย่าคิด ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดความโกรธ ก็ให้รู้ว่าจิตมีความโกรธ หรือให้รู้ความโกรธ เมื่อรู้ได้ก็จะเห็นความโกรธ หรือเห็นจิตที่มีความโกรธว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งจะนำไปสู่การปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นจิตว่าเป็นเราของเรา

ต้องหัด รู้ ให้ได้แล้วจะเห็นเองว่า รู้เอา กับ คิดเอา ให้ผลต่างกัน รู้เอาให้ผลเป็นการพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง คิดเอาช่วยให้หายทุกข์ชั่วคราว รู้เอา ยากกว่า คิดเอา ต้องเพียรรู้เอาจริงๆ จึงจะเกิดผล

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : รู้อะไรดีที่สุด?

รู้อะไรดีที่สุด?

ถาม : ได้ฟังหลวงพ่อมาสัปดาห์ก่อน ประมาณว่าการรู้ที่ดีที่สุดคือรู้ว่าจิตหลงไปทางอายตนะทั้ง 6 รองมาคือรู้ความรู้สึก รองมาอีกคือรู้กาย คำถามคือรู้หลงทางใจ กับ รู้ความรู้สึก ต่างกันอย่างไรครับ ?

ตอบ : รู้ว่าจิตหลงไป….ก็คือรู้ว่าเมื่อกี๊เผลอไปนั่นเอง / รู้ความรู้สึก…ก็คือรู้สิ่งที่ปรากฏทางใจด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ เช่น สงสัยก็รู้ว่าสงสัย

ถาม : อย่างนี้รู้ความรู้สึกน่าจะดีกว่าซิครับ เพราะมีสัมปชัญญะด้วย ?

ตอบ : รู้ว่าหลงไป ก็มีสติ สัมปชัญญะครับ รู้กาย ก็ต้องมีสติ สัมปชัญญะ

ถาม : แล้วทำไมรู้หลงทางใจถึงดีกว่ารู้ความรู้สึกละครับ  ?

ตอบ : ดีกว่าเพราะ… จะเห็นความจริงของจิตได้โดยตรง คือจะเห็นว่าจิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ถ้ารู้อารมณ์ ก็จะต้องผ่านการรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนก่อน แล้วจึงจะเห็นจิตไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน หรือถ้ารู้กาย ก็ต้องรู้กาย แล้วรู้อารมณ์ แล้วก็รู้จิต แต่ก็ไม่แน่นะครับ ที่ดีที่สุดคือ ที่เหมาะกับเรา บางคนเหมาะหรือถนัดรู้กาย บางคนถนัดรู้อารมณ์ บางคนถนัดรู้ว่าหลงไป ที่ดีที่สุด จะยากที่สุดในการเริ่มฝึก

ปล. รู้อารมณ์ก็เช่น ตาเห็นรูปก็รู้รูปด้วยสติ สัมปชัญญะ (รูปเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญร่วมฟังพระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ในวันที่ 18 ม.ค. 55 ณ ม.รามคำแหง

กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน
มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ขอเชิญร่วมนมัสการและรับฟังพระธรรมเทศนา

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย

ในวัน พุธ ที่ 18 มกราคม พ.ศ.2555

ณ กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง
อาคารสวรรคโลก ชั้น 4 ห้อง 403
เวลา 15.00-17.00 น.

กำหนดการณ์
เวลา 15.00 น. หลวงปู่ท่อน ญาณธโร เดินทางมาถึง กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง , ไหว้พระ , รับศีล
เวลา 16.00 น. เริ่มแสดงพระธรรมเทศนา ( งดช่วงตอบปัญหาธรรมะ เนื่องจากสุขภาพหลวงปู่ไม่อำนวย ) ถวายจตุปัจจัยไทยทาน , พิธีทำวัตรขอขมาหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
เวลา 17.00 น. หลวงปู่ท่อน ญาณธโร เดินทางกลับ

สอบถามโทร. 084-1232750 , 082-1020323
อ้างอิง : http://www.kammatanclub.com/index.php?mo=3&art=41916320

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิต ดูให้ถึงใจ ด้วยการรู้ทันกิเลสที่ย้อมจิต

mp 3 (for download) : ดูจิต ดูให้ถึงใจ ด้วยการรู้ทันกิเลสที่ย้อมจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูจิต ดูให้ถึงใจ ด้วยการรู้ทันกิเลสที่ย้อมจิต

ดูจิต ดูให้ถึงใจ ด้วยการรู้ทันกิเลสที่ย้อมจิต

โยม : จิตไม่มีสมาธิค่ะ มันจับอารมณ์แน่นเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันไม่มีสมาธิชนิดลักขณูปนิชฌาน (โยม:ค่ะ) แต่มันมีอารัมณูปนิชฌานจับอารมณ์ไว้ (โยม:ค่ะ) เราก็รู้ทันเอา อยากได้มั้ย อยากก็ไม่ได้ บังคับไม่ได้ ดูออกมั้ย (โยม:ค่ะ) ทำความเข้าใจลงไป มีแต่ของบังคับไม่ได้ (โยม:ค่ะ) ธรรมะสอนเราอยู่ตลอดเวลา สอนไตรลักษณ์ตลอดใช่มั้ย แต่เราไม่ค่อยเข้าใจ อย่างจิตไปจับอารมณ์อยู่เราอยากให้หลุดเนี่ย เราไม่รู้ว่าเขากำลังสอนธรรมะนะ เธอบังคับชั้นไม่ได้หรอก ชั้นจะจับเล่นๆอย่างนั้น เธอจะทำไม

โยม : แต่ก็เลยดูอาการที่มันจับไป เพราะรู้สึกว่ามันจะจับแน่นมาก ไม่ยอมปล่อย

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..นะ ไม่ๆ ต่ายดูผิดตัว ต่ายต้องดูที่จิตตนเอง จิตก็คือไม่ชอบการที่เข้าไปจับนี้ ดูผิดที่ ไปดูการจับเนี่ย จิตส่งออกไปดู มันไปจับกันอยู่โน่น เราส่งจิตไปดูนะ ให้เรารู้ทันว่าไม่ชอบ ถ้ารู้ทันจิตที่ไม่ชอบ จิตเป็นกลางปุ๊บมันหลุดเลย ดูผิดที่นะ

โยม : รู้สึกความไม่ชอบมันจะไม่รุนแรงเหมือนเก่า นะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ มันจะเนียนอ้อยอิ่งๆอยู่ (โยม:หัวเราะ) เนี่ย เราดูให้ทัน พอมันอ่อนนะเราเลยไม่ดูมัน เรามัวแต่ไปสนใจตัวจับ เมื่อไหร่จะปล่อยๆ นี่เราดูผิดตัว ดูไม่ถึงใจ ถ้าดูเข้ามาถึงจิตถึงใจก็จะเห็น ใจไม่ชอบ ความไม่ชอบดับสลายวับไปนะ จิตเป็นกลางนั้น หลุดเลย พอจิตเป็นกลางเมื่อไหร่นะ จิตมีสมาธิแล้ว (หมายถึง สมาธิชนิดจิตตั้งมั่น – ผู้ถอด) จิตมีสมาธิเมื่อไหร่ปัญญาก็เกิด ตัวที่ทำให้วางนะ คือปัญญา ไม่ใช่สมาธินะ ไม่ใช่ศีลไม่ใช่สมาธิ ตัวที่ทำให้จิตวางได้คือตัวปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญามีหน้าที่ตัด ขาดสะบั้นหมดเลยที่ยึดอะไรไว้ ปัญญาเกิดจากจิตตั้งมั่นพอ มีสมาธิ ทีนี้จิตเราไม่มีความตั้งมั่น มันยังไหลไปดูไอ้ที่จับอยู่ เราไม่เห็นจิตที่ไม่ชอบนี่ รู้ทันเข้ามาที่จิตนะ จะเข้าที่เลย ตั้งมั่นเป็นกลางถึงฐาน ขาดตรงนั้นเลย

หมายเหตุ การตอบคำถามในครั้งนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ภาวนามาด้วยการรู้ทันสภาวะมานานจนกระทั่งสามารถมีสติได้เองโดยไม่ต้องจงใจได้ และเห็นการทำงานของจิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องสภาวะ และยังติดข้องอยู่ในลักษณะอาการอย่างนี้เท่านั้น

สำหรับผู้ที่เริ่มหัดใหม่ ยังไม่ควรฝึกการรู้ทันความยินดียินร้ายของจิตต่อสภาวะหรือต่ออารมณ์ เพราะจะทำให้เกิดการจงใจและการค้นหา กลายเป็นความเครียดไป ควรฝึกที่จะรู้ทันสภาวะทีเกิดขึ้นในใจไปก่อน

- ผู้ถอด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ถามตอบเรื่องการเจริญปัญญา

ถามตอบเรื่องการเจริญปัญญา

ถาม : ที่บอกว่า “เจริญปัญญา” นั้น หากพูดภาษาเราๆ ก็คือ “รู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้” ใช่มั้ยครับ ?

ตอบ : เจริญปัญญา คือการตามรู้ไปจนเห็นว่าทุกสิ่งมีความเกิดขึ้น-ดับไป หลวงพ่อบอกว่า การเห็นว่าทุกสิ่งมีความเกิดขึ้น ดับไปนั้นเป็นปัญญาขั้นต้น พระโสดาบันจะเห็นได้แค่นี้ (หมายถึงด้วยปัญญาอันนี้เองที่ทำให้เป็นพระโสดาบันได้) เมื่อตามรู้ต่อไป ก็จะเห็นว่าเมื่อใดที่ไปยึดสิ่งต่างๆ จะเป็นทุกข์ ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์…เป็นปัญญาขั้นกลาง ด้วยปัญญาขั้นกลางจะทำให้ได้อนาคามี แล้วจิตจะเด่นดวงเพราะไม่ส่งออกไปยึด พอถึงตรงนี้ ถ้าเกิดปัญญาเห็นว่า จิตเองนั่นแหละที่เป็นทุกข์ ก็จะทิ้งจิตได้ เมื่อทิ้งจิตได้ก็จะเหลือแต่ขันธ์ที่ทำหน้าที่ไปเท่านั้น สรุปว่าปัญญาจะมี 3 ขั้น ทั้ง 3 ขั้นเกิดขึ้นเพราะการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือเกิดจากการภาวนาด้วยการ ระลึกรู้ถึงสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง

ถาม : ตอนนี้ก็ดูแค่ทุกสิ่งมีความเกิดขึ้น-ดับไป ?

ตอบ : ไม่ต้องคอยดูความเกิดขึ้น-ดับไปหรอกครับ แค่ภาวนาไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะเกิดเอง เพราะการที่เราภาวนาอยู่นี้ พอรู้สึกตัวเป็นก็เท่ากับได้เริ่มเจริญปัญญา การเจริญปัญญาก็แค่ดูสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ถ้าคอยแต่จะดูความเกิด-ดับ จะเกิดการจงใจดู แล้วจะได้แค่ความรู้ ไม่ได้ปัญญา ในซีดีจะมีหลายวันที่หลวงพ่อพูดถึงปัญญาทั้ง 3 ขั้น ผมไปทีไรก็จะได้ยินท่านพูดถึงทุกครั้ง ท่านบอกว่า ปัญญาขั้นสุดท้ายถ้าไม่เคยฟังมาก่อนจะไม่รู้ว่าจิตเองนั่นแหละที่เป็นทุกข์

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

mp 3 (for download) : ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

ต้องรู้ตัวเอง กรรมฐานแบบไหนเหมาะกับตัวเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเราต้องใช้อะไรช่วย ใช้โยนิโสมนสิการช่วย สังเกตตัวเองเอากรรมฐานอะไรที่เหมาะกับเรา อย่างหลวงพ่อสอนสังเกตมั้ยหลวงพ่อไม่ได้สอนบอกว่า กรรมฐานต้องแบบนี้ต้องแบบนี้ นึกออกมั้ย จะสอนหลักให้นะเสร็จแล้วเราต้องไปสังเกตเอาว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเราเอง ทำแบบไหนจิตเราจะสงบได้สมถะกรรมฐาน หลวงพ่อสอนหลักให้ว่าถ้าจะทำสมถะกรรมฐานนะ ศีลต้องมีนะไม่มีไม่ได้ ต้องมีศีลรองรับไว้ก่อน ต้องรู้จักเลือกอารมณ์ที่ว่าอยู่กับอารมณ์อันนั้นแล้วจิตใจมีความสุข อารมณ์นั้นต้องไม่ยั่วกิเลส นี่อยู่อย่างมีความสุขแต่อยู่กับกิเลสอย่างนั้นใช้ไม่ได้ น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์​อันเดียว รู้ไปอย่างสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่สบายๆ

สอนหลัก ส่วนพวกเราก็ต้องไปดูเอาเอง คนนี้ไปดูไฟดูด้วยใจที่สบายๆ ถือศีลไว้ก่อนแล้วก็ไปดูไฟ ดูด้วยใจสบาย ดูแล้วชอบเห็นไฟนี้ชอบ ความจริงคนจำนวนมากชอบดูไฟนะ ยิ่งไฟไหม้นี่ชอบมากเลย พวกนี้ควรจะหัดกสิณไฟไว้นะ ใครเวลาไฟไหม้ชอบไปดูมีมั้ย ในห้องนี้มีมั้ย ยกมือให้หลวงพ่อดูซิ ไม่มีเลยเหรอ แปลก เห็นเวลาไฟไหม้ทีคนแน้นแน่นชอบดูไฟ ดูไฟมันสะบัดนะ ทำกสิณไฟก็ดูเปลวไฟนะมันไหวๆ มันจะเร้าใจสนใจ ถ้าใจชอบนะใจก็จดจ่อมีความสุข บางคนไม่ชอบดูไฟ ไปดูอย่างอื่น อย่างอาจารย์มหาวิบูลย์อยู่แม่สอด แรกๆดูไฟนะเล่นกสิณไฟ ทำกสิณไฟไว้วันนึงนะนั่งไปนั่งไป นั่งหลับตาเนี่ย โหวันนี้กสิณดีจังเลยนะได้กลิ่นไฟไหม้แล้วก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเอ่ะใจลืมตานะ ไฟกำลังจะไหม้กุฏิแล้วเทียนมันล้มไปนะ หลัังจากนั้นท่านเปลี่ยนเป็นกสิณน้ำ ท่านเลยเก่งกสิณน้ำ หลวงปู่คำพันธ์ ใครเคยได้ยินชื่อหลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย เก่งปฐวีกสิณเก่งกสิณดิน

เห็นมั้ยครูบาอาจารย์แต่ละองค์นะ ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันแล้วนะ ครูบาอาจารย์ลงมาในรายละเอียดการปฏิบัติไม่เหมือนกันหรอก ต้องไปสำรวจตัวเองนะว่ากรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อยู่แล้วมีความสุข อยู่แล้วรู้สึกตัวมีความสุขอยู่แล้วไม่ยั่วกิเลส ก็อยู่กับอารมณ์อันนั้นแหล่ะ ก็จะได้สมาธิได้สมถะกรรมฐาน นั้นหลวงพ่อจะสอนหลักนะ พวกเราต้องไปดูเอาเองว่าเราใช้กรรมฐานอะไรแล้วเหมาะกับตัวเอง อย่าเที่ยวเชื่อคนง่ายนะและอย่าตามอาจารย์​ หลวงพ่อทำอานาปานสติ ไม่ใช่ทุกคนต้องทำสมถะด้วยอานาปานสติ ไม่ใช่ หลวงพ่อเจริญวิปัสสนาโดยใช้จิตตานุปัสสนา ไม่ใช่ทุกคนต้องทำจิตตานุปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: แสดงธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
File: 540820
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๕ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : อยากละอกุศล

อยากละอกุศล

ถาม : เมื่อรู้ว่าอกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วอยากจะละเนี่ย มันก็ยังไม่ถูกใช่มั้ยครับ

ตอบ : อยากจะละนั้น ไม่ผิดหรอกครับ แต่ต้องตามรู้ต่อว่า อยากละ ความอยากละถือเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้น และย่อมต้องปรากฏขึ้นตามปกติธรรมดาของทุกคน เราห้ามความอยากละไม่ได้ ทำได้แต่ตามรู้ว่า อยากละ เมื่อตามรู้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดๆ หนึ่ง พอเห็นอกุศลก็จะรู้ทันและไม่เกิดความอยากละขึ้น การภาวนานั้น ไม่ได้ทำเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งใด หรือไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดสิ่งใด แต่ทำเพื่อให้จิตยอมรับว่ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ยอมรับด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ จะเป็นกุศล หรืออกุศล ก็ยอมรับได้ว่ามีกุศลเกิด มีอกุศลเกิด เมื่อใจมันยอมรับ ทั้งกุศลและอกุศลก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกระลึกรู้ (สักแต่ว่ารู้)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 41234