Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เรื่องเล่าครูบาอาจารย์ : อยากได้ลูกสะใภ้หรือลูกพระ

อยากได้ลูกสะใภ้หรือลูกพระ  โดย คุณ วีรวงศ์

ศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อมหาวิบูลย์ท่านหนึ่ง
เริ่มภาวนาด้วยการอ่านหนังสือเอง
ตั้งแต่ตอนยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยมีเพื่อนของท่านผู้นั้น เป็นลูกศิษย์ใน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมหาวิบูลย์
เมื่อเพื่อนทราบว่าท่านสนใจการภาวนา
จึงได้พาท่านมากราบหลวงพ่อมหาวิบูลย์ที่วัดอินทาราม
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๔ หรือ กว่าสี่สิบปีที่แล้ว

หลวงพ่อได้ซักถามถึงวิธีการและผลการภาวนา
หลวงพ่อได้กล่าวว่าถูกต้อง
และท่านยังได้แนะนำการภาวนาเพิ่มเติม
เป็นครั้งแรกที่ท่านผู้นั้นได้พระอาจารย์สอนกรรมฐาน

ต่อมา ท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมในสำนักครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่รูปอื่น
โดยมี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล, หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร เป็นอาทิ
เมื่อได้ลิ้มรสผลการภาวนามาพอสมควร จึงปรารภที่จะอุปสมบท
แต่ติดขัดอยู่ที่ มีมารดาที่ต้องดูแล และท่านก็เป็นบุตรเพียงคนเดียว
เมื่อมีเงินพอที่จะเลี้ยงมารดาต่อไปได้เอง
และฝากไว้กับญาติได้แล้วจึงจะได้อุปสมบท
ในสำนักของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นอุปัชฌาย์

หลวงพ่อมหาวิบูลย์ ท่านคงต้องการตอกย้ำความมั่นคงในการอุปสมบท
ให้กับมารดาของศิษย์ท่านนี้ เมื่อมีโอกาสได้พบมารดาของศิษย์ท่านนั้น
ท่านจึงได้ปรารภธรรมคติเพื่อให้รำลึกถึงคุณค่าของการอุปสมบทลูกให้มารดาฟังว่า

“โยมอยากได้ลูกสะใภ้ หรืออยากได้ลูกพระ”

“ลูกสะใภ้ อาจถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง”

“แต่ลูกพระคิดถึงเมื่อไรแล้วก็สุขใจ”

เมื่อท่านได้อุปสมบทเป็นพุทธชิโนรสแล้ว
ยังได้สงเคราะห์มารดาด้วยธรรมะตามสมควร
ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ของบุตรอย่างเต็มที่ จนได้จากกันไป
ซึ่งถ้าท่านมิได้อุปสมบท อาจมิได้ปฏิบัติได้ขนาดนี้
ศิษย์ท่านนั้นได้เจริญในสมณเพศจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันศิษย์ที่กล่าวถึงนั้นท่านคือ
พระเดชพระคุณ พระอาจารย์สุจินต์ สุจิณฺโณ ครับ

ปล. จดจำจากคำบอกเล่าของ หลวงพ่อสุจินต์ ครับ _/|\_ _/|\_ _/|\_

*** พระอาจารย์สุจินต์ สุจิณฺโณ เป็นหนึ่งในศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล และเป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อปราโมทย์ให้ความเคารพมาก โดยในช่วงแรกของการออกบวชเป็นพระภิกษุของหลวงพ่อปราโมทย์ก็ได้ไปอยู่จำวัดที่ สวนโพธิญาณ อรัญวาสี ซึ่งมี พระอาจารย์สุจินต์ เป็นเจ้าอาวาส ภายใต้การอนุญาตของพระอุปัชฌาย์ ***

อ้างอิง  : http://www.romphosai.com/forums/หลวงพ่อมหาวิบูลย์-พุทธญาโณ/10813-เมตตาธรรมจากหลวงพ่อ-อยากได้ลูกสะใภ้หรือลูกพระ.html


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : ขอเชิญฟังธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ณ โตโยต้า ชัยรัชการ บางนา ในวันที่ 14 ก.พ. 2555

ขอเชิญฟังธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ณ โตโยต้า ชัยรัชการ บางนา ข้างมหาวิทยาลัยหัวเฉียว ในวันที่ 14 ก.พ. 2555

เริ่มเวลา 13.00 น. ติดต่อ คุณณัฐชา 081-773-5082

โตโยต้า ชัยรัชการ : 21/3 หมู่ 7 ถนนบางนา-ตราด กม.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตที่หลงไป

จิตที่หลงไป

ทุกครั้งที่รู้เท่าทันความดิ้นรนพยายาม
ที่จะทำจิตให้เป็นไปตามที่อยากให้เป็น
ก็จะเห็นว่า
การพยายามทำจิตให้เป็นตามต้องการนั้น
มันก็แค่จิตที่หลงไป
บางทีก็หลงไป เพราะอยากเข้าใจธรรมะ
บางทีก็หลงไป เพราะคิดว่าถ้าทำได้แล้วจะมีปัญญาหลุดพ้น
บางทีก็หลงไป เพราะจิตเองไม่ยอมรับว่า แค่รู้แค่ดูก็พอ
รวมความว่า หลงไปเพราะจิตยังโง่ ยังมีโมหะ ยังมีอวิชชาอยู่

แต่ถ้ารู้ได้บ่อยๆ ว่าจิตหลงไป
ถ้าเห็นจิตที่หลงดับลง ด้วยความมีสติมีความตั้งมั่นได้บ่อยๆ
จิตที่หลงไป (จิตมีโมหะ) กับ จิตที่รู้ว่าหลงไป (จิตไม่มีโมหะ) นี่แหละ
คือจิตคู่หนึ่งในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ที่ใครเจริญให้มากแล้ว (จิตมีโมหะก็รู้ชัด จิตไม่มีโมหะก็รู้ชัด)
จะเห็นจิตล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา
จะกำจัดความยินดียินร้ายในโลกลงได้
จะถึงความหลุดพ้นได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตราบใดยังหลงเพลินกับความสุขทางโลก ยังห่างไกลต่อมรรคผลนิพพาน

mp 3 (for download) : ตราบใดยังหลงเพลินกับความสุขทางโลก ยังห่างไกลต่อมรรคผลนิพพาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะมาหัดทำสมาธิก็ต้องเสียสละกามคุณอารมณ์ กามคุณอารมณ์ก็คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะคือสัมผัสทางกาย สิ่งนี้มายั่วให้ใจหลงไป สิ่งที่เรียกว่ากามมีสองอย่าง อันนึงเรียก”วัตถุกาม”ก็คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลาย อันหนึ่งคือ”กิเลสกาม” กิเลสกามก็คือตัวราคะในใจเราเติบโตขึ้นมาได้ด้วยกามวิตกด้วยการตรึกถึงกาม มีกามวิตกเพราะว่ามีอนุสัยของราคะส่งทอดกันขึ้นมา

งั้นถ้าจะทำสมาธิได้ก็ต้องสละความสนุกสนานเพลิดเพลินในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัส ต้องเสียสละทั้งสิ้นเลย อย่างหลงโลกอยู่ทั้งวันทั้งวันนะนึกจะหวังว่านั่งสมาธิจะสงบ ไม่สงบหรอก มันหลงโลกแล้ว งั้นอยากได้คุณงามความดีต้องเสียสละ อย่างทำทานก็ต้องเสียสละ รักษาศีลก็ต้องเสียสละความเคยชินที่ไม่ดี ควรเสียสละแต่เสียสละยาก ทำสมาธิอยากให้จิตใจสงบตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวมีความสุขมีความสงบอยู่ภายในก็ต้องกล้าสละความสุขความเพลิดเพลินในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสให้ได้ สละไม่ได้ใจไม่มีสมาธิจริงหรอก อย่างวันๆคิดจะดูหนังฟังเพลงคิดจะเล่นอินเตอร์เนตอะไรงี้นะ คือตราบใดที่ยังหลงเพลินในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสอยู่ อย่าหวังเลยมรรคผลนิพพาน ไกลเกิน แค่สมาธิยังไม่มีเลย

งั้นต้องตั้งใจเด็ดเดี่ยวนะถ้าจะสู้ หลวงพ่อตอนเป็นฆราวาสนะแทบจะไม่ดูหนังเลยเพลงเนี่ยไม่ฟัง นอนนะมีที่นอนที่นอนก็ซื้อมาตอนแต่งงานนะก็หนาๆนะ เรามีไม้กระดานอยู่แผ่นนึงไม้บานประตูวางไว้ข้างบนอีกทีนึงนะแล้วปูผ้าทับไว้ไม่มีใครรู้หรอก เราก็ยังนอนบนไม้กระดาน พยายามฝึกตัวเองไม่ให้เพลิดเพลินในการกินการนอนนะ นอนไม้กระดานนะนอนพลิกไปพลิกมาก็โป๊กๆเลยนะ สมัยก่อนไม่มีเนื้อเยอะอย่างนี้หรอกมีกระดูกเยอะ พลิกไปพลิกมากระดูกก็โขกไม้ก็ต้องอดทนเอานะอยากได้ของดี

ตราบใดที่ยังเพลิดเพลินในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสสมาธิเกิดยากเพราะมันเป็นศตรูของสมาธิ สิ่งที่เป็นศัตรูของสมาธิจริงๆก็คือกิเลสชื่อว่า”นิวรณ์” นิวรณ์อันแรกเลย”กามฉันทะนิวรณ์”ความยินดีพอใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัส นิวรณ์ตัวที่สองชื่อ”พยาบาท”ความไม่พอใจในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสและใจไม่เป็นกลางกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส สมาธิไม่มีหรอกมันมีนิวรณ์ “อุทธัจจ”ใจฟุ้งซ่านฟุ้งซ่านไปไหนฟุ้งซ่านไปในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสเติมไปอีกอันฟุ้งซ่านไปในโลกของความคิด ใจฟุ้งซ่านส่วนใหญ่ก็ฟุ้งไปในกามคุณอารมณ์นั่นเอง งั้นต้องเสียสละถ้าอยากได้ของดีก็อย่าติดในกาม ค่อยๆลดค่อยๆละไป

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๙
File: 541015A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : อัตตา กับ ทิฏฐิ

อัตตา กับ ทิฏฐิ

ถ้าจะพูดถึง อัตตา กับ ทิฏฐิ ละก็ ผมเห็นว่า เราไม่ควรแยกสองคำนี้ออกเป็นคนละเรื่อง เพราะพอแยกเป็นคนละเรื่องก็จะเกิดความสับสนและเข้าใจต่างกันไปได้ เพราะอัตตาที่พูดๆ กันอยู่นั้น ที่จริงก็คือ อัตตานุทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวตน) ดังนั้นถ้าจะพูดว่า ทำลายอัตตา ก็ควรพูดว่า ทำลายอัตตานุทิฏฐิ จะดีกว่า หรือถ้าจะพูดว่า ลดอัตตา ก็ควรพูดว่า ลดอัตตานุทิฏฐิ จะดีกว่า

และหากไปอ่านในพระสูตรที่เกี่ยวกับทิฏฐิต่างๆ เช่น อเหตุกทิฏฐิ ฯลฯ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 17 ก็พอจะจับความได้ว่า ความเห็นหรือทิฏฐิต่างๆ (ที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ) นั้น มีเหตุมาจาก ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ (อุปาทานขันธ์) ทั้งนั้น ดังนั้นที่พูดว่า ทิฏฐิมาจากอัตตา ผมเห็นว่าไม่น่าจะถูก ที่ถูกจึงน่าจะพูดว่า ทิฏฐิ มาจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ และถ้าจะไปไล่เรียงตามปฏิจจสมุปบาท ก็จะได้ต่อไปว่า อุปาทานขันธ์ก็เกิดมาจากอวิชชานั่นเอง

อัตตานุทิฏฐิสูตร http://dharma.school.net.th/cgi-bin/tread.pl?start_book=17&start_byte=311315

ต้องมาค้นในพระไตรปิฎก ทำให้เพิ่งรู้ว่า ทิฏฐิเกิดเพราะอุปาทานขันธ์ (วันนี้ได้ความรู้ใหม่) และเข้าใจว่า อัตตา ที่พูดๆ กัน ที่จริงก็คือ อัตตานุทิฏฐิ เพราะอัตตาที่แท้จริงที่เป็นตัวตนจริงๆ นั้น ไม่มี มีแต่ความเห็นว่าเป็นตัวตน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การไปสู่มรรคผลนิพพานเหมือนขึ้นภูเขา ขึ้นได้รอบทิศทาง

mp3 (for download) : การไปสู่มรรคผลนิพพานเหมือนขึ้นภูเขา ขึ้นได้รอบทิศทาง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อสอนหลักให้ เราไปลงมือปฏิบัตินะแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนถนัดรู้กายบางคนถนัดรู้เวทนา บางคนถนัดรู้จิต รู้ไม่เหมือนกัน เวลามาส่งการบ้านก็เลยหลากหลาย สิ่งที่หลวงพ่อบอกให้เหมือนแผนที่ เวลาพวกเราลงมือปฏิบัตินะเราไปเจอรายละเอียดในระหว่างทางเยอะแยะไปหมดเลย สนุกมาก บางคนก็เอาแต่ฟังนะสนุกจนลืมปฏิบัติก็มีนะ หรือบางคนก็น้อยใจบางคนก็อิจฉาเพื่อน พวกอิจฉาเยอะมากนะวันๆนึงเนี่ยเท่าที่สังเกต เห็นเค้าส่งการบ้านแล้วทำไมเราไม่เห็นอย่างเค้าบ้างเลยอิจฉา เป็นนะใครเคยเป็นมั้ยฟังเพื่อนแล้วอิจฉา ถ้าไม่เป็นก็แปลกนะ ความจริงไม่แปลกทำไมเราไม่เห็นสภาวะเหมือนของเค้า เพราะว่าทางใครทางมัน การไปสู่มรรคผลนิพพานนะเหมือนกับการขึ้นภูเขา คล้ายๆการขึ้นภูเขาขึ้นได้รอบทิศทาง คนที่เดินมาคนละทางก็เห็นสภาวะที่ต่างๆกันมา แต่ทุกๆสภาวะแสดงไตรลักษณ์เหมือนๆกันหมดเลย งั้นหลวงพ่อสอนให้รู้สภาวะใช่มั้ยให้เห็นไตรลักษณ์​ แต่พอเราจะไปเห็นสภาวะจริงๆเนี่ยแต่ละคนจะไปเห็นด้วยกระบวนการของตัวเองนะมีชั้นเชิงเฉพาะตัวเลียนแบบกันไม่ได้นะ ห้ามเลียนแบบกัน อย่างคนนี้ส่งการบ้านนะว่าเห็นจิตมันไหวๆแล้วมันก็ถอดขึ้นมาแล้วมันก็หลบไปอยู่ตรงนั้นแล้วมันดับลงไปตรงนี้ หลวงพ่อ(บอก)เอ้ยเก่งๆ แหมเราจะไปอยากเห็นอย่างเค้านะเราก็เป๋เลย เราไม่ต้องสนใจว่าใครเค้าเป็นยังไง เราดูของเรานะให้อยู่ในหลักในเกณฑ์​แล้วมันไปของเราได้ด้วยตัวของเราเอง สุดท้ายเราจะเข้าไปถึงความบริสุทธิ์อย่างเดียวกัน เหมือนคนขึ้นภูเขานะขึ้นมาทางไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ในหลักที่พระพุทธเจ้าสอนนะไม่ใช่ขึ้นทางไหนก็ได้นอนชั้นจะนิพพานด้วยการกิน
CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๓
File: 510817.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การย้อนดูจิต

การย้อนดูจิต

ถาม : ได้ฟัง CD ของหลวงพ่อมีตอนหนึ่งที่หลวงพ่อถามโยมคนหนึ่งว่า จิตถึงฐานหรือยัง ซึ่งโยมคนนั้นก็ตอบว่าน่าจะถึงแล้ว หลวงพ่อจึงบอกให้โยมคนนั้นลองย้อนดูจิตดู ว่าเป็นอย่างไร หากดูแล้วจิตเด้งออกมาแสดงว่ายังไม่ถึงฐาน ดังนั้นจึงมีคำถามที่อยากทราบดังนี้ การย้อนดูจิตนั้นทำอย่างไร จิตที่ถึงฐานแล้วจะมีลักษณะอย่างไร จิตเด้งออกมาข้างนอกนั้นเป็นอย่างไรค่ะ

ตอบ : ตอนนี้ดูจิตที่สงสัยก่อนเลยครับ
ถ้าดูจิตที่สงสัยได้ นั่นแหละครับคือการย้อนมาดูจิต
และถ้าจิตถึงฐานได้ เมื่อย้อนมาดูจิต จิตก็จะมีความตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
อย่างถ้าย้อนมาดูจิตสงสัย แล้วเห็นจิตสงสัยดับไป
เแล้วจิตไม่ไหลออกจมแช่ความสงสัย นั่นแหละครับคือจิตถึงฐาน
และเมื่อย้อนไปดูกาย ก็เห็นกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้
เห็นกายกับจิตแยกเป็นคนละส่วนได้
ส่วนที่หลวงพ่อหลวงพ่อบอกว่า แต่ถ้าย้อนมาดูจิตแล้วจิตเด้งออกมา
ก็คือดูแล้วจิตไม่ถึงฐานนั่นแหละครับ
เช่นดูจิตสงสัยแล้ว จิตก็ยังวกกลับสงสัยต่ออีก

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติธรรมต้องใจเย็นๆ

mp 3 (for download) : การปฏิบัติธรรมต้องใจเย็นๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การปฏิบัติธรรมต้องใจเย็นๆ

การปฏิบัติธรรมต้องใจเย็นๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจเรามันดื้อ ใจเรามันเรียนรู้สิ่งผิดๆมาเยอะ รู้ผิดเข้าใจผิดมาตลอดนะสะสมมาในสังสารวัฏ ตั้งแต่เกิดมานะ เราก็ถูกย้ำถึงความมีตัวมีตน ถูกสอนว่าเราเป็นใครเป็นลูกใครอยู่ในตระกูลไหน ถูกปลูกฝังย้ำอยู่ตลอดเวลาว่ามีตัวตนจริงๆ ไปโรงเรียนก็มีเพื่อนมีครูโรงเรียนของเราเพื่อนเราครูเรา มันมีเราขึ้นมาตลอดถูกย้ำตลอดเวลา

การที่จิตมันถูกย้ำแล้วย้ำอีก จิตมีธรรมชาติเรียนรู้ได้ จิตเป็นอนัตตานะแต่จิตเป็นธรรมชาติที่อบรมสั่งสอนให้การเรียนรู้ได้ พอมันถูกสั่งสอนถูกเรียนรู้มาผิดๆมาตั้งแต่แรกเกิด มันถูกสอนให้สำคัญมั่นหมายถึงความมีตัวมีตน ก็ฝังความรู้สึกนี้เข้าไปจนลึกเลย ต่อไปไม่ว่าทำอะไรนะมันก็จะมีเราซ่อนอยู่ข้างหลังตลอดเวลา กระทั่งจะแต่งผมจะแต่งหน้านะ ไปดูให้ดีเถอะต้องมีเราซ่อนอยู่ คงไม่แต่งหมาแต่งแมวเนอะวันๆแต่งเราเนี่ยแหล่ะ จะเดินจะยืนจะนั่งจะนอนนะมันประกาศความเป็นตัวตนอยู่ เวลาเราอยู่คนเดียวท่าเดินเราเหมือนตอนที่คนอื่นเห็นมั้ย ไม่เหมือนหรอกไม่เหมือน ท่านั่งท่านอนก็ไม่เหมือนกัน เวลาคุยกับคนรู้ตัวอยู่นะก็คุยดูเรียบร้อยนะ เคยเห็นคนเวลาโทรศัพท์มั้ยเดินโทรศัพท์นะผู้หญิงนะสวยเชียวนะแต่งตัวสวยเดินไปแคะฟันไปเผลอๆ โถความงามของเจ้าหล่อนนะผู้ชายเห็นแล้วสยองเลย ความจริงผู้ชายทำยิ่งกว่านั้นอีกนะ มันถูกย้ำมันถูกย้ำความมีตัวมีตนอยู่ตลอดเวลา

งั้นมันฝังลึกมันเข้าไปอยู่ในเรียกว่าสัญญามันลงไปอยู่ในใจ ในที่สุดมันก็ไปหมายรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปแบบผิดๆหมายรู้ว่ามีตัวมีตนขึ้นมา มองอะไรก็มองแง่ของความมีตัวมีตนเสมอซ้ำแล้วซ้ำอีกปลูกฝังมาอย่างนั้น การที่จะล้างความคิดผิดเรียกจิตวิปลาสความเห็นผิดเรียกทิฐิวิปลาส การหมายรู้ผิดๆเรียกสัญญาวิปลาส จะแก้ จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส สัญญาวิปลาสแก้วันเดียวแก้ไม่ตกหรอก คราบสกปรกมันฝังลึกสะสมมานาน

งั้นต้องใจเย็นๆ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ปฏิบัติปุ๊บปั๊บๆเพื่อหลุดพ้น ไม่ใช่ ยกเว้นคนซึ่งเคยทำมาก่อนแล้ว อย่างชาติก่อนๆเค้าได้โสดา สกทาคาอะไรงี้นะชาตินี้เค้ามาภาวนาปุ๊บปั๊บๆนะเค้าไปเร็ว ของเราถ้ายังไม่เคยได้จะเริ่มต้นขั้นที่หนึ่งในชาตินี้แหล่ะก็ลำบากหน่อยก็ทนเอาหน่อย กว่าจะล้างความเห็นผิดได้ว่ามีตัวมีตนเค้าภาวนากันนานดูของจริงนาน แต่เดิมนะชอบคิดเอา ถูกปลูกฝังให้เชื่อถูกปลูกฝังให้คิดว่ามีตัวมีตน จะทำลายความเชื่อทำลายความคิดนะทำลายความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนได้ต้องดูของจริง ต้องเอาความจริงเท่านั้นเข้าไปสู้นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๑
File: 540917A.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งของผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็คือ อยากหลุดพ้น

ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งของผู้ที่เจริญสติปัฏฐานก็คือ อยากหลุดพ้น

คุณเห็นไหมว่าตัวเองก็อยากหลุดพ้น ผมก็ยังอยากหลุดพ้นอยู่ อยากหลุดพ้นทั้งๆ ที่ยังเจริญสติปัฏฐานไม่ต่อเนื่อง อยากหลุดพ้นทั้งๆ ที่ ยังไม่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม มีความเกิดขึ้น เสื่อมไปเป็นธรรมดา อยากหลุดพ้นทั้งๆ ที่ ยังไม่อาจเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเพียงเครื่องอาศัยระลึกรู้โดยปราศจากความยินดียินร้าย เมื่อเป็นอย่างนี้ จิตก็ยังไม่อาจแหวกอวิชชาออกมาได้ ตอนนี้จึงต้องทำใจยอมรับทั้งสุขทั้งทุกข์ไปก่อน แล้วก็หาโอกาสเจริญสติปัฏฐานให้ต่อเนื่อง จนกระทั่งเห็นความเกิดขึ้นเสื่อมไปของกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเรื่องปกติธรรมดา จนกระทั่งรู้กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสักแต่ว่าอาศัยระลึก จนกระทั่งเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่ด้วย จนกระทั่งไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ถ้าทำได้อย่างที่พระพุทธองค์บอกละก็ อิงหวังผลได้ในเวลาไม่เกิน 7 ปี สรุปว่า ถ้ายังไม่หลุดพ้น ก็ต้องเพียรที่จะรู้ทุกอย่างที่ปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลางต่อไป เห็นว่า มันเกิดขึ้น เสื่อมไปเป็นธรรมดา

พูดถึงเรื่องความอยากหลุดพ้นแล้ว นึกถึงที่คุยกับหลวงพ่อปราโมทย์ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน (ช่วง ต.ค. 2546) ท่านบอกว่า “รู้ทั้งรู้ว่าความอยากหลุดพ้นนี่แหละทำให้ไม่หลุดพ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงไม่ให้อยาก พออยากหลุดพ้น ก็คอยจะรู้อารมณ์ รู้แล้วก็เห็นแต่ทุกข์ รู้แล้วก็มีแต่ทุกข์ แต่พอจะเลิกรู้ (เพราะรู้แล้วก็ทุกข์) ก็ไม่กล้าอีก ด้วยกลัวว่าเลิกรู้แล้วจะไม่หลุดพ้น (อารมณ์ที่ว่าคือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ )”

ไม่ใช่แปลว่าสนับสนุนให้เลิกรู้อารมณ์.. ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมบอกว่าเลิกรู้ หมายถึงเลิกที่จะมีเจตนาไปรู้ หากอิงสังเกตให้ดี การรู้อารมณ์ที่เราเป็นอยู่ จิตจะมีการมั่นหมายลงไปรู้อารมณ์เสมอ จิตยึดอย่างนี้มานาน คงต้องให้เวลามันเรียนรู้ ขนาดหลวงพ่อยังใช้เวลาร่วมๆ 20 ปีเลยครับ นับตั้งแต่ท่านเจอหลวงปู่ดูลย์นะครับ ก่อนหน้านั้นอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พระพุทธองค์ถึงได้บอกว่า ให้มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ ….. ท่านเอาความเพียรขึ้นก่อนตัวอื่นเลย

…อีกนานแค่ไหนฉันก็จะเพียร…

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

mp 3 (for download) : คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : จะขอคำแนะนำพระอาจารย์ว่าดูสภาวะจิตนะค่่ะ แล้วอีกคำถามก็คือว่าอยากขอคำแนะนำที่เหมาะสมในเรื่องของวิหารธรรมที่เหมาะสมกับตัวหนูค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราเป็นคนใจร้อนนะ เพราะงั้นเราดูจิตดูใจที่มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเนี่ยมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเลย รู้สึกมั้ยอารมณ์ของเรามันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงไปเรื่อยๆนะ นั่นแหล่ะดูไป เห็นแต่อารมณ์เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์นะ เดี๋ยวก็หงุดหงิดอะไรงี้ ไหลมาไหลไปเดี๋ยวก็หงุดหงิดอีก พอมีสติรู้ความหงุดหงิดหายไปอีกซักพักก็มาอีกอะไรงี้ เฝ้ารู้อยู่อย่างนี้บ่อยๆ

ในที่สุดปัญญามันเกิดมันจะเห็นเลยทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไป ทุกอย่างเป็นของถูกรู้ถูกดู ทุกอย่างไม่ใช่ตัวเราหรอก ของคุณทำในรูปแบบด้วยนะ พยายามไป อดทน เดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดินไป ถึงวันหนึ่งใจมันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา

มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ ไปเรียนกับหลวงพ่อ เมื่อหลายเดือนแล้ว มาเดือนพฤศจิกายนไปเรียนแล้วถามหลวงพ่อว่าที่ภาวนาอยู่เป็นยังไง หลวงพ่อก็บอกว่า ภาวนาก็รู้หลักอยู่แล้ว ภาวนาก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วก็เงียบๆนะไม่พูดต่อแล้ว เขาก็ถามหลวงพ่อว่าเขาขาดวินัยในการปฏิบัติใช่ไหม บอกว่า ใช่ ตั้งแต่นั้นนะ เดินจงกรมทุกวันเลย คนนี้งานเยอะนะ ดูแลบ้านดูแลครอบครัวดูแลลูกดูแลสามี งานเยอะมากเลย พอดูแลเสร็จแล้วก็ไปทำงาน ดูแลบริษัทอีก ๕ บริษัท กลับมาถึงบ้านนะ กว่าจะมีเวลาส่วนตัวเนี่ย ๕ ทุ่มแล้ว ๕ ทุมถ้าเป็นพวกเราทำงานมาตึ้งแต่เช้ามืดยัน ๕ ทุ่ม เราก็มีข้ออ้างแล้วใช่ไหม ขอนอน นี่ คนนี้ฮึดสู้นะ ลุกขึ้ันเดินจงกรม ยังไม่นอนนะ เดินจงกรมไปชั่วโมงกว่า เที่ยงคืนหมดเรี่ยวหมดแรงไปนอน นอนไปตี่นหนึ่งนะ ก็ลุกขึ้นมาเดินอีก เขาฝึกของเขามาอย่างนี้ด้วยความยากลำบากนะ แต่ว่าไม่ท้อถอยเลย เขาฝึกจนกระทั่งวันหนึ่งใจมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ใจมันถอดถอนตัวเองออกมา เราค่อยฝึกเอา ใช้เวลาราวๆ ๗ เดือนเอง ของเราอย่าขึ้เกียจนะ แล้วเราอย่าอ้างว่างานเยอะ งานทั้งหลายที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อจะอาศัยอยู่ในโลกชั่วครั้งชั่วคราว งานในธรรมะนะข้ามภพข้ามชาติ

ดูเด็กนี่ เห็นไหม เด็กนี่เห็นรูปตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่เคยฟังธรรมก็รู้จักรูปแล้ว แต่ว่าไม่รู้ชื่อมันเท่านั้นเอง คนที่เคยทำนะ มันทำง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา
ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : หลักการภาวนาของหลวงปู่ดูลย์

หลักการภาวนาของหลวงปู่ดูลย์

นึกถึงเรื่องที่คุยเมื่อวาน มีช่วงหนึ่งได้พูดถึงความไม่เข้าใจวิธีการภาวนา ได้คุยกันว่า ส่วนมากแล้วนักภาวนามักจะเข้าใจผิดคือ มักจะคิดเข้าใจผิดไปว่า การภาวนานั้นต้องคอยรักษาจิตไม่ให้ส่งออก พอจิตส่งออกก็เลยไม่ยินดี แล้วก็พยายามหาอุบายมาทำให้จิตไม่ส่งออก มาทำให้จิตมีความรู้ตัว ผมก็เลยตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะศึกษาหรืออ่านคำสอนไม่ครบถ้วน อย่างเช่นเรื่องอริยสัจจ์แห่งจิตที่หลวงปู่ดูลย์สอนเอาไว้ ส่วนมากจะอ่านกันแค่ท่อนแรกคือ

“จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ”

พออ่านแค่ท่อนนี้ ก็เลยไปตั้งความเห็นไว้ว่า จิตต้องไม่ส่งออก ต้องทำไม่ให้จิตส่งออก ซึ่งที่จริงแล้ว ข้อความท่อนนี้ เป็นการพูดถึงอริยสัจจ์แห่งจิต ไม่ได้พูดถึงวิธีการภาวนา หากจะจับเอาวิธีการภาวนา ก็ต้องอ่านท่อนต่อไปด้วย ท่อนต่อไปที่ว่า มีอยู่ในหนังสือ วิมุตติปฏิปทา หัวข้อ บันเทิงธรรม ที่หลวงพ่อปราโมทย์ได้เรียบเรียงไว้ตั้งแต่ก่อนบวช ซึ่งมีข้อความว่า….

” อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต. ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. จิตเกิดหวั่นไหวหรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ เป็นทุกข์ ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก. จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม. จบอริยสัจจ์ 4 “

จากข้อความในตอนนี้ หากจะจับหลักการภาวนา ก็ต้องจับเอาจากที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวว่า

“อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต. ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค”

ซึ่งโดยเนื้อความแล้วก็คือ ปกติของคนเรา จิตนั้นก็ย่อมต้องมีการส่งออกเสมอ จึงไม่ใช่วิสัยที่เราจะไปบังคับเพื่อไม่ให้จิตส่งออก การภาวนาจึงมาอยู่ตรงที่ ทำอย่างไรจิตจึงจะไม่หวั่นไหวหรือไม่กระเพื่อมเมื่อส่งออกไปรับรู้อารมณ์แล้ว ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ก็ได้สอนไว้ชัดเจนแล้วว่า…ให้มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ หากเราสามารถทำให้เกิดมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ได้ภายหลังจากที่จิตส่งออกไปแล้ว นั่นก็คือ การเจริญมรรค อันเป็นกิจที่พึงทำเพื่อการพ้นทุกข์ ซึ่งการทำให้เกิดสติอยู่อย่างสมบูรณ์ภายหลังที่จิตส่งออกไปรับอารมณ์แล้ว สามารถทำได้ด้วยการฝึกตามแนวทางที่หลวงพ่อปราโมทย์ได้สอนนั่นเอง พอฝึกไปๆ จนถึงจุดหนึ่ง จิตก็จะไม่ส่งออกอีกเลย ถึงตรงนั้นก็คือ มีจิตที่ไม่ส่งออกเป็นวิหารธรรม อันเป็นหลักชัยของนักภาวนา

ถาม : ถ้าอย่างนั้น คำสอนที่ว่า “อย่าส่งจิตออกนอก” จะให้ความหมายว่าอย่างไรถึงจะไม่เป็นการเข้าใจผิด แล้วทำให้บังคับห้ามไม่ให้จิตส่งออกนอกล่ะค่ะ

ตอบ : ต้องอ่านให้ครบเนื้อหา ไม่ใช่อ่านกันแค่ประโยคเดียว ซึ่งหากอ่านในวิธีเจริญภาวนาของหลวงปู่ดูลย์ เรื่องอย่าส่งจิตออกนอก มีข้อความกล่าวไว้ว่า “กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ” ซึ่งท่านได้สอนไว้ชัดเจนแล้วว่า เราทำให้จิตไม่ส่งออกหรือห้ามไม่ให้ส่งออกไม่ได้ เมื่อเผลอหรือส่งออกไปแล้ว ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม ไม่ใช่ว่าต้องคอยบังคับหรือรักษาไม่ให้จิตส่งออกนอก ถ้าจะรักษาก็ต้องรักษาสัมปชัญญะเท่านั้น


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

mp 3 (for download) : การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

โยม : สงสัยว่าบางวันน่ะค่ะ ก็รู้สึกเหมือนรู้น่ะค่ะ แต่บางวันก็เหมือนไม่แน่ใจว่าไม่รู้คิดหรือรู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นอย่างนั้นทุกคนแหล่ะ  เป็นอย่างนั้นทุกคนนะ บางวันภาวนาง่าย บางวันเหมือนภาวนาไม่เป็น เป็นทุกคน พอรู้สึกว่าภาวนาไม่เป็นอย่าไปดิ้นรนค้นคว้าให้รู้ว่าใจมันเหมือนกับไม่รู้เรื่อง ดูไม่รู้เรื่องก็รู้ว่าดูไม่รู้เรื่องไป ถ้าเราไม่ชอบเราไปยิ่งดิ้นรนค้นคว้านะ ยิ่งเสียเลย ยิ่งดูไม่ออก การภาวนามันมีแต่เจริญแล้วเสื่อมเจริญแล้วเสื่อมไปเรื่อยนะ บางทีก็รู้บางทีก็หลงบางทีก็รู้บางทีก็หลง ไม่มีหรอกดีถาวรสุขถาวรสงบถาวร ไม่มี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719.mp3
ระหว่างชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๙ ถึง ชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 41234