สติตัวจริง
หลวงพ่อปราโมทย์จึงได้ใช้คำว่า “มีสติตัวจริง” เพื่อแยกให้เห็นว่า การรู้อารมณ์มีสองอย่าง
อย่างที่เป็นการรู้ด้วยสติตัวจริง กับรู้ด้วยสติธรรมดาทั่วไป
การรู้ด้วยสติตัวจริง
จิตจะต้องมีทั้งสติ (สติทำหน้าที่ระลึกรู้) และมีความตั้งมั่น(ไม่ไหลไปจมแช่อารมณ์)
ซึ่งก็ยังแยกออกเป็น รู้สภาวะทางกาย กับรู้สภาวะทางใจหรือจิต
ถ้ารู้สภาวะทางกายด้วยสติตัวจริง จิตจะตั้งมั่นจนรู้สึกได้ในขณะนั้นว่า
มีร่างกายที่กำลังถูกรู้อยู่ เป็นส่วนหนึ่ง และมีจิตที่ทำหน้าที่รู้อีกส่วนหนึ่งอย่างสบายๆ
แต่ถ้ารู้สภาวะทางใจด้วยสติทั่วไปธรรมดา
จิตจะไหลไปจมแช่จนเป็นเนื้อเดียวกับสภาวะทางกาย
เช่นถ้ารู้ลมหายใจ
จิตที่มี่รู้ลมหายใจ แบบรู้สึกว่าลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ถูกรู้
แบบนี้จะเป็นการรู้ด้วยสติตัวจริง
ถ้ารู้สภาวะทางใจ จิตที่มีสติตัวจริงจะเกิดขึ้น
หลังจากที่จิตดวงเก่าซึ่งเป็นจิตฝ่ายอกุศล(จิตที่มีกิเลส)ดับลง
แต่จิตที่มีสติตัวจริงจะยังจำได้ว่า จิตดวงที่เพิ่งดับไปเป็นจิตอย่างไร
เมื่อเกิดสติตัวจริงแล้ว จิตเองจะรู้ด้วยความเป็นกลางต่ออีกชั่วขณะหนึ่ง
แต่ถ้ารู้สภาวะทางใจด้วยสติธรรมทั่วไป
จะรู้ได้แค่ว่ามีอกุศลหรือมีกิเลสอยู่ แต่อกุศลนั้นจะไม่ดับไป
เช่นรู้ว่ากำลังโกรธ แล้วความโกรธก็ยังตั้งอยู่เป็นต้น
และถ้าจิตที่มีสติตัวจริงไปรู้สภาวะทางใจที่เป็นกุศล
ก็จะรู้สึกได้ว่า สภาวะที่เป็นกุศลเป็นสิ่งที่ถูกรู้
ซึ่งสภาวะกุศลไม่จำเป็นต้องดับไปเหมือนอกุศลครับ
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่