Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

Dhammada News: New Files Uploaded (๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕)

    New Files Updated วันศุกร์ที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ (สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕)

  • 550602: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕ แสดงธรรมเมื่อวันเสาร์ที่ ๒ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕
  • 550601: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕ แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ที่ ๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เมื่อความปรุงแต่งครอบงำจิต

 เมื่อความปรุงแต่งครอบงำจิต

เราเลือกไม่ได้หรอกครับว่า ต้องไม่ปล่อยให้ความปรุงแต่งครอบงำจิต
ที่พอจะทำได้คือ รู้เท่าทันความปรุงแต่งในปัจจุบันไปเป็นขณะๆ
รู้บ้าง หลงไปกับความปรุงแต่งบ้าง ก็จะค่อยๆเห็นว่า
ความปรุงแต่งก็เป็นของชั่วคราว จิตที่ถูกปรุงแต่งก็ชั่งคราว เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
วันใดแจ่มแจ้งอริยสัจจ์ได้ จิตก็จะพ้นความปรุงแต่งได้เองครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรามักทำร้ายคนที่รักเรา

mp 3 (for download) : เรามักทำร้ายคนที่รักเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : เห็นว่าตัวเองจะมีโทสะกับคนใกล้ชิด อย่างเช่น ยิ่งคนที่รักเรา (หลวงพ่อ: มันปลอดภัย) ใช่ (หลวงพ่อ: มันปลอดภัย) กับพ่อกับแม่อะไรอย่างนี้จะเป็นเยอะน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ นะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็รับวิบาก ไม่เป็นไร … วัฏฏะ

โยม : ค่ะ ก็เห็นอยู่ตรงนี้น่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : กลัวเกรงภัยในวัฏฏะ แล้วพยายามลดละนะ ตาไปดูเลย ตรงไหนที่เรารู้สึกปลอดภัยนะ เราก็ปล่อยเต็มที่เท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของมนุษย์นะ มนุษย์เนี่ยทำร้ายคนใกล้ตัว มนุษย์ทำร้ายคนที่รักตัวเองเพราะรู้สึกปลอดภัย

ไปดีกับคนอื่นนะ แต่ร้ายกับคนที่ควรจะดี เนี่ยพยายามรู้ตัวนี้นะ เราค่อยๆปรับพฤติกรรมไป คนรอบตัวเราเป็นคนที่เราต้องดูแล ต้องทะนุถนอมนะ ถ้าคนรอบตัวเรา เรากระทบกระทั่งตลอดเวลา ชีวิตเราจะไม่มีความสงบสุขเลย กลับมาบ้าน บ้านต้องร่มเย็นให้ได้นะ บ้านไม่ร่มเย็นเพราะความเห็นไม่เหมือนกัน รู้ทันว่าจิตยึดในความเห็น ความยึดในความเห็นหมดไปนะ ก็อยู่กันอย่างร่มเย็นแล้ว

ถ้าเราทำบ้านของเราให้ร่มเย็นนะ คนรอบตัวเราก็มีความสุข เราก็จะมีความสุข ถ้าคนรอบตัวเรามีแต่ความทุกข์ เร่าร้อน เราไม่มีความสุขหรอก เราไปดีข้างนอก ข้างในวุ่นวาย

มีพวกคุณหญิงคุณนาย ประเภทสังคมสงเคราะห์อะไรอย่างนี้นะ ไปช่วยเยาวชน เยาวชนติดยา เยาวชนมีปัญหา เยาวชนดื้อ หนีออกจากบ้าน ไปช่วย ช่วยๆนะ ลูกตัวเองก็หนีไป แถมพาสามีหนีไปด้วย

เพราะคุณหญิงคุณนายอะไรนี่ แกไม่เคยอยู่สนใจที่บ้านเลยนะ ออกนอกบ้านแกก็ยิ้มหวาน เจอใครก็ยิ้ม ยิ้มๆ นะ จะแจกอะไรหน่อยหนึ่งก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ กว่าจะแจก นาน ยิ้มมากไป พอกลับบ้านนะ เครียดสุดขีดเลย ไปเก็บกดมาจากข้างนอกนะ กัดแหลกเลยในบ้าน

หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่ง เพื่อนก็เตือนแก คุณนายนี่ คุณนายอย่าข่มสามีมาก สามีเขามีอะไรก็ให้เขาพูดบ้างเหอะ เขาเครียด เดี๋ยวเขาทนไม่ไหวนะ แกกลับบ้านมา วันนี้จะปรับตัวแล้ว อ้าวคุณมีอะไร เชิญพูดได้เต็มที่เลย วันนี้ สามีบอก จริงเหรอ จริง ฮ่า ผมล่ะอัดอั้นมานานแล้ว วันนี้ดีเหลือเกิน ผมจะได้พูด อ๋อ เริ่มเห่าแล้วเหรอไอ้แก่

โอ้ ลืมไปนะ ลืมไปว่าจะให้เขาพูดนะ อ๋อ เริ่มเห่าแล้วเหรอไอ้แก่ ไอ้แก่ตกใจเลย อย่ามัวแต่หวานอยู่ข้างนอกนะ คนใกล้ตัวเป็นคนที่เราต้องดูแลฃ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๗
File: 550429B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรามักทำร้ายคนที่รักเรา

mp 3 (for download) : เรามักทำร้ายคนที่รักเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : เห็นว่าตัวเองจะมีโทสะกับคนใกล้ชิด อย่างเช่น ยิ่งคนที่รักเรา (หลวงพ่อ: มันปลอดภัย) ใช่ (หลวงพ่อ: มันปลอดภัย) กับพ่อกับแม่อะไรอย่างนี้จะเป็นเยอะน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ นะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็รับวิบาก ไม่เป็นไร … วัฏฏะ

โยม : ค่ะ ก็เห็นอยู่ตรงนี้น่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : กลัวเกรงภัยในวัฏฏะ แล้วพยายามลดละนะ ตา(ชื่อของโยม – ผู้เรียบเรียง) ไปดูเลย ตรงไหนที่เรารู้สึกปลอดภัยนะ เราก็ปล่อยเต็มที่เท่านั้นเอง ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของมนุษย์นะ มนุษย์เนี่ยทำร้ายคนใกล้ตัว มนุษย์ทำร้ายคนที่รักตัวเองเพราะรู้สึกปลอดภัย

ไปดีกับคนอื่นนะ แต่ร้ายกับคนที่ควรจะดี เนี่ยพยายามรู้ตัวนี้นะ เราค่อยๆปรับพฤติกรรมไป คนรอบตัวเราเป็นคนที่เราต้องดูแล ต้องทะนุถนอมนะ ถ้าคนรอบตัวเรา เรากระทบกระทั่งตลอดเวลา ชีวิตเราจะไม่มีความสงบสุขเลย กลับมาบ้าน บ้านต้องร่มเย็นให้ได้นะ บ้านไม่ร่มเย็นเพราะความเห็นไม่เหมือนกัน รู้ทันว่าจิตยึดในความเห็น ความยึดในความเห็นหมดไปนะ ก็อยู่กันอย่างร่มเย็นแล้ว

ถ้าเราทำบ้านของเราให้ร่มเย็นนะ คนรอบตัวเราก็มีความสุข เราก็จะมีความสุข ถ้าคนรอบตัวเรามีแต่ความทุกข์ เร่าร้อน เราไม่มีความสุขหรอก เราไปดีข้างนอก ข้างในวุ่นวาย

มีพวกคุณหญิงคุณนาย ประเภทสังคมสงเคราะห์อะไรอย่างนี้นะ ไปช่วยเยาวชน เยาวชนติดยา เยาวชนมีปัญหา เยาวชนดื้อ หนีออกจากบ้าน ไปช่วย ช่วยๆนะ ลูกตัวเองก็หนีไป แถมพาสามีหนีไปด้วย

เพราะคุณหญิงคุณนายอะไรนี่ แกไม่เคยอยู่สนใจที่บ้านเลยนะ ออกนอกบ้านแกก็ยิ้มหวาน เจอใครก็ยิ้ม ยิ้มๆ นะ จะแจกอะไรหน่อยหนึ่งก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ กว่าจะแจก นาน ยิ้มมากไป พอกลับบ้านนะ เครียดสุดขีดเลย ไปเก็บกดมาจากข้างนอกนะ กัดแหลกเลยในบ้าน

หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่ง เพื่อนก็เตือนแก คุณนายนี่ คุณนายอย่าข่มสามีมาก สามีเขามีอะไรก็ให้เขาพูดบ้างเหอะ เขาเครียด เดี๋ยวเขาทนไม่ไหวนะ แกกลับบ้านมา วันนี้จะปรับตัวแล้ว อ้าวคุณมีอะไร เชิญพูดได้เต็มที่เลย วันนี้ สามีบอก จริงเหรอ จริง ฮ่า ผมล่ะอัดอั้นมานานแล้ว วันนี้ดีเหลือเกิน ผมจะได้พูด อ๋อ เริ่มเห่าแล้วเหรอไอ้แก่

โอ้ ลืมไปนะ ลืมไปว่าจะให้เขาพูดนะ อ๋อ เริ่มเห่าแล้วเหรอไอ้แก่ ไอ้แก่ตกใจเลย อย่ามัวแต่หวานอยู่ข้างนอกนะ คนใกล้ตัวเป็นคนที่เราต้องดูแลฃ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๗
File: 550429B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : นิสัยที่ไม่ดีกับการภาวนา

นิสัยที่ไม่ดีกับการภาวนา

ถาม : อาจารย์คะ ถ้าเรามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่ แล้วเราก็ดูความจริง โดยไม่คิดจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
จะเป็นทางไปสู่เป้าหมายของพระพุทธศาสนาได้หรือคะ

ตอบ : การดูตามจริงคือ เมื่อจิตใจเกิดอกุศล ก็ให้สำรวมกายวาจา(รักษาศีล ๕ ไว้ก่อน)
ไม่ทำอะไรที่ไม่ดีออกไปทางกายทางวาจา
ส่วนทางใจก็ให้มีสติรู้จิตที่กำลังเป็นจิตอกุศลไปสบายๆครับ
วิธีแบบนี้แหละครับที่เป็นวิธีหนึ่งที่พาไปสู่เป้าหมายของพุทธศาสนาได้จริง

ถาม : ใจไม่สามารถเป็นกลางได้เลยเมื่อเห็นกิเลสตัวเอง
เห็นกิเลสบ่อยๆ จิตก็หมองบ่อยๆ
แม้ทำบุญก็ได้บุญไม่เต็มที่เพราะรู้ว่าทำเพราะความโลภอยากได้บุญ

ตอบ : เห็นความไม่เป็นกลางได้ก็นับว่าภาวนาดีแล้วครับ
ให้หัดดูจิตที่มีกิเลส หัดดูจิตที่ไม่เป็นกลางต่อไปอีกนะครับ
แล้วจิตใจจะพัฒนาขึ้นมามีสติมีปัญญาได้ครับ
ลองสังเกตดูนะครับว่าตอนนี้จิตเป็นอย่างนี้
เมื่อหัดภาวนาไปมากเข้า จิตใจเป็นกลางขึ้นมั้ย

ถาม : ควรจะวางใจอย่างไร ควรฝึกดูแง่มุมไหน
จึงเรียกว่าดำเนินไปตามทางที่ถูกต้องและไม่แห้งแล้งน่ะค่ะ

ตอบ : ก็หัดปฏิบัติภาวนาไปทั้งศีล สมาธิ ปัญญา
ส่วนจะแห้งแล้วหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลยครับ
เพราะแม้จะแห้งแล้วก็ภาวนาไปจนพ้นทุกข์ได้เหมือนกันครับ :D

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อจิตขาดสมาธิ(จิตตั้งมั่น)แล้วไปเดินปัญญา จะติดวิปัสสนูปกิเลส

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกสลับระหว่างวิปัสสนากับสมถะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในความเป็นจริงในขณะที่เราดูธาตุดูขันธ์เกิดดับไปนะ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนั้นน่ะ จิตจะพลิกตัวเข้ามาทำสมถะเป็นช่วงๆ จิตไม่เคยเดินวิปัสสนารวดเดียว แต่ว่าจะเดินวิปัสสนาไปหน่อยนึง แล้วก็รวมเข้ามาทำสมถะ แล้วมันก็ออกไปเดินวิปัสสนาอีก ก็รวมเข้ามาเป็นช่วงๆไป สลับกันไปเรื่อยๆ

ถ้าทำสมถะนะ ทำสมถะรวดเดียวได้ แต่จะเจริญปัญญารวดเดียวไม่มีหรอก จิตจะพลิกไปพลิกมาระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ถ้าเราไม่ชำนาญพอนะตรงที่จิตเดินวิปัสสนาอยู่ เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ เกิดสมาธิตกสมาธิอ่อน จิตผู้รู้หายไป จิตเคลื่อน จิตส่งออกนอก ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก จิตมันจะเคลื่อนไป

อย่างเราเห็นความโกรธเกิดขึ้น จิตมันเคลื่อนไปดูที่ความโกรธ มันไหลไปอยู่กับความโกรธนะ ความโกรธอาจจะหนีออกไปนอกร่างกายเราอีกนะ หนีออกไปข้างนอกเราตามไปดูอีก ความโกรธดับไปคราวนี้เสร็จเลย กลับบ้านไม่เป็น จิตไม่เข้าฐานแล้ว จิตไปอยู่ข้างนอก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ จิตไม่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตไม่ถึงฐาน จิตไม่ตั้งมั่น

จิตไปอยู่ข้างนอกก็ว่างสว่างบริสุทธิ์ขึ้นมานะ นึกว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ที่แท้ตัวนี้คือวิปัสสนูฯตัวนึง ชื่อว่าโอภาส พวกนักดูจิตเนี่ยไปติดโอภาสเยอะ เพราะจิตมันจะสว่างไสว แล้วก็จิตมันไม่ถึงฐาน มันเคลื่อนออกจากฐานไป

วิปัสสนูปกิเลสมี ๑๐ อย่าง แต่ทั้ง ๑๐ อย่างเกิดจากอาการอันเดียวกัน คือจิตไม่ถึงฐาน เพราะนั้นในขณะที่เราเดินวิปัสสนาอยู่นะ ถ้าจิตเราเคลื่อนไป ต้องรู้ทันนะ ถ้าเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันเนี่ย มันจะไปปรุงแต่งวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมาหลอกเรา จะนึกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อช่วงสองสามวันนี้ไปแก้พระองค์นึง พระองค์นึงก็เนี่ยจิตไม่ถึงฐานแล้ว พอจิตไม่เข้าฐานนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรนะ มันว่างไปหมดมันดับไปหมดเลย แล้วก็บอกว่าชะรอยจะบรรลุแล้ว ไม่บรรลุหรอก จิตยังออกนอกอยู่

งั้นเราต้องสังเกตให้ดี ตรงที่ิจิตมันถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน ถ้าจิตมันเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันนะ ตัวนี้แล้วไปเดินปัญญานะ แล้วก็ไม่รู้ทันตัวนี้ จะโดนวิปัสสนูปกิเลสเอาไปกิน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๕
File: 541211A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๙ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อจิตขาดสมาธิ(จิตตั้งมั่น)แล้วไปเดินปัญญา จะติดวิปัสสนูปกิเลส

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกสลับระหว่างวิปัสสนากับสมถะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : ในความเป็นจริงในขณะที่เราดูธาตุดูขันธ์เกิดดับไปนะ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนั้นน่ะ จิตจะพลิกตัวเข้ามาทำสมถะเป็นช่วงๆ จิตไม่เคยเดินวิปัสสนารวดเดียว แต่ว่าจะเดินวิปัสสนาไปหน่อยนึง แล้วก็รวมเข้ามาทำสมถะ แล้วมันก็ออกไปเดินวิปัสสนาอีก ก็รวมเข้ามาเป็นช่วงๆไป สลับกันไปเรื่อยๆ

ถ้าทำสมถะนะ ทำสมถะรวดเดียวได้ แต่จะเจริญปัญญารวดเดียวไม่มีหรอก จิตจะพลิกไปพลิกมาระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ถ้าเราไม่ชำนาญพอนะตรงที่จิตเดินวิปัสสนาอยู่ เห็นสภาวะธรรมเกิดดับ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ เกิดสมาธิตกสมาธิอ่อน จิตผู้รู้หายไป จิตเคลื่อน จิตส่งออกนอก ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก จิตมันจะเคลื่อนไป

อย่างเราเห็นความโกรธเกิดขึ้น จิตมันเคลื่อนไปดูที่ความโกรธ มันไหลไปอยู่กับความโกรธนะ ความโกรธอาจจะหนีออกไปนอกร่างกายเราอีกนะ หนีออกไปข้างนอกเราตามไปดูอีก ความโกรธดับไปคราวนี้เสร็จเลย กลับบ้านไม่เป็น จิตไม่เข้าฐานแล้ว จิตไปอยู่ข้างนอก อย่างนี้ใช้ไม่ได้ จิตไม่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตไม่ถึงฐาน จิตไม่ตั้งมั่น

จิตไปอยู่ข้างนอกก็ว่างสว่างบริสุทธิ์ขึ้นมานะ นึกว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ที่แท้ตัวนี้คือวิปัสสนูฯตัวนึง ชื่อว่าโอภาส พวกนักดูจิตเนี่ยไปติดโอภาสเยอะ เพราะจิตมันจะสว่างไสว แล้วก็จิตมันไม่ถึงฐาน มันเคลื่อนออกจากฐานไป

วิปัสสนูปกิเลสมี ๑๐ อย่าง แต่ทั้ง ๑๐ อย่างเกิดจากอาการอันเดียวกัน คือจิตไม่ถึงฐาน เพราะนั้นในขณะที่เราเดินวิปัสสนาอยู่นะ ถ้าจิตเราเคลื่อนไป ต้องรู้ทันนะ ถ้าเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันเนี่ย มันจะไปปรุงแต่งวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมาหลอกเรา จะนึกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อช่วงสองสามวันนี้ไปแก้พระองค์นึง พระองค์นึงก็เนี่ยจิตไม่ถึงฐานแล้ว พอจิตไม่เข้าฐานนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรนะ มันว่างไปหมดมันดับไปหมดเลย แล้วก็บอกว่าชะรอยจะบรรลุแล้ว ไม่บรรลุหรอก จิตยังออกนอกอยู่

งั้นเราต้องสังเกตให้ดี ตรงที่ิจิตมันถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน ถ้าจิตมันเคลื่อนแล้วไม่รู้ทันนะ ตัวนี้แล้วไปเดินปัญญานะ แล้วก็ไม่รู้ทันตัวนี้ จะโดนวิปัสสนูปกิเลสเอาไปกิน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๕
File: 541211A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๙ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การดูกายดูใจจะเกิดปัญญาได้อย่างไร?

การดูกายดูใจจะเกิดปัญญาได้อย่างไร?

ถาม : การดูกายดูใจไป จะเกิดปัญญาได้อย่างไรคะ

ตอบ : เกิดปัญญาได้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเห็นกายใจเป็นไตรลักษณ์ได้ครับ

ถาม : การที่เราดูกาย ดูใจ จิตตั้งมั่น แล้วตั้งได้นานหรือเปล่า

ตอบ : ถ้าไม่ได้ทำสมถะจะตั้งมั่นไม่นาน แต่ก็ยังสามารถเห็นกายใจเป็นไตรลักษณ์ได้ครับ
ดังนั้นตั้งมั่นนานไม่นานจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือตั้งมั่นแล้วเห็นไตรลักษณ์หรือไม่ครับ

ถาม : ขยับมือแบบหลวงพ่อเทียนแต่ฟุ้งเกือบตลอดเวลาทำอย่างไรดี?

ตอบ : ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับรูปแบบที่เหมือนๆกันนะครับ
ผมเองก็ไม่ถนัดที่จะขยับทำจังหวะแบบหลวงพ่อเทียน
แล้วก็แต่ละช่วงก็ต้องใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน (ใช้รูปแบบไม่เหมือนกันในแต่ละวัน)
บางวันก็ต้องเดิน บางวันก็ต้องบริกรรมพุทโธ บางวันก็ต้องดูลมหายใจ
เพราะฉะนั้นต้องสังเกตว่าวันไหนทำรูปแบบใดแล้วจิตมีกำลัง ฟุ้งน้อย รู้สึกตัวได้มากครับ
ถ้าทำรูปแบบใดแล้วฟุ้งมากรู้ตัวน้อย ก็ต้องลองเปลี่ยนรูปแบบครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำให้พอดี คือตึงนิดๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ทำให้เราไปพระนิพพานไม่ได้นะ มี ๒ อย่าง อันนึงก็คือปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจกิเลสไป

ตามใจกิเลสมั้ยพวกเรา พวกเราจะมีวิธีตามใจกิเลสที่แนบเนียนมากมายนะ เช่นว่าภาวนามาได้ ๑ ชั่วโมงแล้ว อ่ะ พักซะหน่อย ถ้าภาวนาต่อไปเนี่ย เดี๋ยวจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถูกหลวงพ่อปราโมทย์ติเตียน อยากจะนั่งสมาธิโต้รุ่ง นั่งไปได้นิดเดียวรุ่งของเรามันเกิดเร็วๆนะ นั่งประเดี๋ยวประด๋าว เฮ้อ ต้องภาวนาในทุกๆอิริยาบถ แน่ะ ลงไปนอนแล้ว ยังอ้างว่าจะภาวนาทุกอิริยาบถ แป๊บเดียวก็หลับแล้ว

เนี่ยเราถูกกิเลสหลอกเอาอย่างง่ายๆเลยนะ เพราะว่าเราตามใจกิเลส อย่าไปยอมมันนะ ถ้าตั้งใจแล้วต้องทำให้ได้ เพราะงั้นอย่าตั้งใจเวอร์ อย่าให้เวอร์เกิน ยังภาวนาก็ยังไม่เป็นเลยนะ ยังไปตั้งใจว่าทุกวันจะต้องนั่งสมาธิ ๓ ชั่วโมงเดิน ๓ ชั่วโมง ทำได้วันเดียวแหล่ะ วันที่ ๒ ก็ลดหย่อนเหลือ ๒ ชั่วโมงนะ ต่อไปก็เลิก

งั้นอย่าไปบังคับตัวเองรุนแรงนะ อย่าไปตามใจกิเลสรุนแรง ทำให้มันอยู่ในพอดีๆ พอดีเนี่ยนะดูง่ายๆเลย มันจะตึงนิดๆ เคล็ดลับในการทำให้พอดีนะ ตึงไว้หน่อยๆ อย่าทำให้พอดีๆนะ ถ้ากะให้พอดีๆจะหย่อนไป แป๊บเดียวจะหย่อนเลย งั้นเอาแบบลำบากๆนิดๆ อย่าลำบากจนกระทั่งน้ำตาร่วง ทรมานมากขนาดนั้น เดี๋ยวใจฝ่อซะก่อน

เพราะงั้นแต่ละวันนะ ทำในรูปแบบไป ฝืนใจหน่อยๆ  ขี้เกียจทำก็จะทำ ตั้งใจไว้แล้ว ไม่ต้องตั้งใจว่าจะทำวันละชั่วโมงหรอกนะ เอาให้รอดซัก ๑๕ นาทีก็บุญนักหนาแล้ว แต่ทำไปเรื่อยๆ ต่อไปสะสมจนชำนิชำนาญ มันจะเพิ่มเวลาขึ้นได้เอง

เดี๋ยวนี้พวกเราหลายคนเลย ภาวนาได้วันนึงตั้งหลายชั่วโมงแล้ว โดยที่หลวงพ่อขอมาเริ่มต้น ๕ นาที ๑๐ นาทีนี่แหล่ะ ถ้าหลวงพ่อขอว่าทุกวันต้องทำ ๓ ชั่วโมงนะ วันเดียวก็เลิกหมดแล้ว ไม่มีใครทำหรอก

งั้นเราคอยสำรวจตัวเองนะ อย่าให้ตกไปสู่ความสุดโต่ง ๒ ด้าน ด้านตามใจกิเลส อย่าไปตามใจมัน อยากดูหนังให้ดูจิต อยากฟังเพลงให้ฟังธรรมะในใจของเรา คอยดูลงไป คอยรู้ทันเข้าไปเรื่อย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๔
File: 541210A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : สโมสรพุทธธรรมนำทอง AIA ขอเชิญฟังธรรมบรรยาย โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ในวันที่ 15 ส.ค. 55

สโมสรพุทธธรรมนำทอง AIA เชิญร่วมฟังธรรมบรรยาย เส้นทางปฎิบัติสู่มรรคา โดยพระอาจารย์ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ในวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2555 ชั้น 7 เวลา 16.00-18.30

ยินดีต้อนรับบุคคลภายนอก โดยขอให้แต่งตัวสุภาพ มาก่อนมีสิทธิ์เลือกที่นั่งก่อน

การเดินทางแนะนำนั่งรถไฟฟ้าลงที่สถานีสุรศักดิ์ ตึก AIC อยู่ติดกันเลยครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : พระโสดาบันยังถูกกิเลสครอบงำได้ไหม?

พระโสดาบันยังถูกกิเลสครอบงำได้ไหม?

พระโสดาบันท่านละได้แค่ความเห็นผิด(ความเข้าใจผิด)ว่ามีตัวตน
แต่ยังละความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามไม่ได้เลยสักอย่าง
เมื่อยังละความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เวลาที่เกิดการกระทบทางทวารต่างๆ
จึงยังเกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพได้ กิเลสจึงยังครอบงำจิตได้ครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๗) ธรรมที่ทำให้ไม่เนิ่นช้า

mp 3 (for download) : หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๗) ธรรมที่ทำให้ไม่เนิ่นช้า

หลวงพ่อปราโมทย์ :ถ้าเรามี ความมักน้อย มีความสันโดษ มีความไม่คลุกคลี เราปรารภความเพียร เราพัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ พัฒนาปัญญาเรื่อยไป ในที่สุดวิมุุตติก็ต้องเกิด ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจะต้องเกิดขึ้นมา นี่เป็นทางเดินที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้นะ สอนเอาไว้ พวกเราต้องเดินตาม ไม่ใช่ว่ามาฟังหลวงพ่อนะ กลับบ้านไปสติแตกตลอด คลุกคลีตลอด เมาท์แตกตลอดอะไรนี้นะ แล้วผ่านไป ๓ เดือนแล้วบอก ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย จะเปลี่ยนอะไรยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติเลย

งั้นปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนะ แล้วเราถึงจะรู้ว่าธรรมะมีจริง ถ้าเราทำธรรมะที่หลวงพ่อบอกนี้ได้นะ เรามักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา ๗ ประการนี้ได้ เราจะเจอประการที่ ๘ คือไม่เนิ่นช้า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของมหาบุรุษประการที่ ๘ ไม่เนิ่นช้า

เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างรวดเร็วมากเลย แล้วเราจะทึ่งว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง เราจะเชื่อแน่นแฟ้น เพราะเราเห็นด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่เชื่อเพราะน้อมใจเชื่อ ศรัทธาที่เกิดจากการน้อมใจเชื่อ ยังแปรปรวนได้เรียกจรสัทธา ศรัทธาที่กลับกลอก แต่ถ้าเราได้เห็นความจริง เราประจักษ์ถึงผลแล้วนะ เป็นตายยังไงเราก็ยังเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าอยู่ เรารู้ว่าธรรมะมีจริงๆ

งั้นพวกเราปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๗) ธรรมที่ทำให้ไม่เนิ่นช้า

mp 3 (for download) : หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๗) ธรรมที่ทำให้ไม่เนิ่นช้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ถ้าเรามี ความมักน้อย มีความสันโดษ มีความไม่คลุกคลี เราปรารภความเพียร เราพัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ พัฒนาปัญญาเรื่อยไป ในที่สุดวิมุุตติก็ต้องเกิด ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจะต้องเกิดขึ้นมา นี่เป็นทางเดินที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้นะ สอนเอาไว้ พวกเราต้องเดินตาม ไม่ใช่ว่ามาฟังหลวงพ่อนะ กลับบ้านไปสติแตกตลอด คลุกคลีตลอด เมาท์แตกตลอดอะไรนี้นะ แล้วผ่านไป ๓ เดือนแล้วบอก ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย จะเปลี่ยนอะไรยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติเลย

งั้นปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนะ แล้วเราถึงจะรู้ว่าธรรมะมีจริง ถ้าเราทำธรรมะที่หลวงพ่อบอกนี้ได้นะ เรามักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา ๗ ประการนี้ได้ เราจะเจอประการที่ ๘ คือไม่เนิ่นช้า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของมหาบุรุษประการที่ ๘ ไม่เนิ่นช้า

เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างรวดเร็วมากเลย แล้วเราจะทึ่งว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง เราจะเชื่อแน่นแฟ้น เพราะเราเห็นด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่เชื่อเพราะน้อมใจเชื่อ ศรัทธาที่เกิดจากการน้อมใจเชื่อ ยังแปรปรวนได้เรียกจรสัทธา ศรัทธาที่กลับกลอก แต่ถ้าเราได้เห็นความจริง เราประจักษ์ถึงผลแล้วนะ เป็นตายยังไงเราก็ยังเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าอยู่ เรารู้ว่าธรรมะมีจริงๆ

งั้นพวกเราปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เตือนใจผู้ชอบศึกษาเซ็น

เตือนใจผู้ชอบศึกษาเซ็น

ทางที่ผมเดินอยู่นั้น มีหลักอยู่หลักหนึ่งว่า

ไม่ใช่อยู่ๆ ก็จะวางทุกอย่างได้เพียงแค่คิดสรุปในใจว่า
ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรต้องเป็น
เพราะถ้าอยู่ๆ ก็คิดแล้ววางอะไรต่ออะไรเสียแบบนั้น
ก็จะกลายเป็นวางทิ้งแบบที่ไม่มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา
ซึ่งมันไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง
เพราะการปล่อยวางที่แท้จริง
ไม่ใช่การวางทิ้งๆ ขว้างๆ ไปแบบนั้น
แต่เป็นการวางทั้งที่จิตก็ยังมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
ซึ่งเป็นการมีอยู่ด้วยความไม่ยึดถือสิ่งต่างๆ เอาไว้

เท่าที่พบเจอมา
เพื่อนที่หลงไปวางอะไรแบบวางทิ้งๆ ขว้างๆ ไปแบบนั้น
ส่วนมากจะพลาดเพราะไปอ่านหนังสือแนวเซ็น
แล้วเกิดความเข้าใจผิด ไปคว้าเอาสิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติภาวนา
เอามาเป็นตัวปฏิบัติภาวนา ก็เลยเข้าใจผิดว่าวางทุกอย่างได้แล้ว
ว่างเปล่าทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรเลยสักอย่างแล้ว
ทั้งที่จริงๆ ทุกข์ก็ยังมีอยู่แต่ไม่เห็น สมุทัยก็ยังมีอยู่แต่ไม่เห็น
หลงไปเห็นทุกข์สมุทัยที่มีอยู่ว่าเป็นนิโรธ
ก็เลยทิ้งการเจริญมรรคไปเสียสิ้น

เมื่อทิ้งการเจริญมรรคไปเสียแล้ว
จะรู้ทุกข์ จะละสมุทัย จะแจ้งนิโรธได้อย่างไร

ยังไงๆ ก็ขอส่งแรงใจให้ใครๆ ที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงทางอยู่
ได้เกิดเฉลียวใจขึ้นมารู้ได้ว่าหลงทางไปแล้วนะ
และกลับมาเข้าที่เข้าทางของการเจริญมรรคกันต่อไปเถิด.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๖) เจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี่เป็นทางที่เราต้องดำเนินต่อ เริ่มจากอะไร มักน้อยใช่มั้ย มักน้อยหมายถึงมีเยอะก็บริโภคน้อย สันโดษก็ยินดีพอใจในสิ่งที่ได้มา จากการที่เราทุ่มเททำงานเต็มที่แล้ว กระทั่งเราภาวนานะ เราทำเต็มที่แล้ว มันได้แค่นี้ก็พอใจแค่นี้ สันโดษ ไม่คลุกคลี ไม่เฮๆฮาๆ ปรารภความเพียร วันๆนึงก็คิดแต่จะสู้กับกิเลส จะล้างกิเลสออกจากใจ จะปลดความทุกข์ออกจากใจ ปรารภความเพียร ฝึกสติ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก ฝึกสมาธิ พุทโธไปหายใจไป จิตไหลไปคิดก็รู้ จิตไหลไปเพ่งก็รู้

พอเราฝึกได้สติ เราฝึกได้สมาธิแล้ว คราวนี้เราต้องเจริญปัญญาต่อ การเจริญปัญญาก็คือการมีสติรู้กายรู้ใจตามที่เค้าเป็น แต่ต้องรู้ด้วยจิตที่ทรงสมาธิ  จิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิจิตก็ไหลไป ไปรู้ลมหายใจ จิตก็ไหลไปที่ลมหายใจ มันก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าสติระลึกรู้ลมหายใจ จิตตั้งมั่นเป็นคนดู มันจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา เห็นเองเลย จะเห็นเลย เห็นแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเลย

การเจริญปัญญานั้นต้องเห็นไตรลักษณ์ ในนักธรรมเอกเค้าสอนนะ บอกว่าถ้ามีปัญญานะเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่ายในความทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น ถ้าเรามีปัญญาเห็นความทุกข์ของสังขาร จิตจะเบื่อหน่ายในทุกข์ นี่คือทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นเหมือนกัน ถ้าเราเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา มีปัญญาเห็นสภาวะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา จิตก็จะเบื่อหน่ายในทุกข์อีก นี่เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น

เพราะงั้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ทางแห่งวิสุทธิ คือการที่เรามีปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม ของกายของใจนั่นเอง งั้นหลักของวิปัสสนากรรมฐานอยู่ตรงนี้เอง

งั้นเรามีสตินะ รู้กายอย่างที่มันเป็น มันเป็นอะไร มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เราจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้นะ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นคนดู ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งกายทั้งใจของเรานั้น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้วแต่ไหนแต่ไร เราจะเห็นหรือเราจะไม่เห็น พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้นะ รูปนามกายใจนี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว แต่ไม่มีวิธีที่จะไปรู้ไปเห็น

เครื่องมือที่จะไปรู้ไปเห็นที่เราพัฒนาขึ้นมา ก็คือมีสตินั่นเอง ตัวนึง เครื่องมือที่ ๑ มีสติคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจ เครื่องมือตัวที่ ๒ คือมีจิตตั้งมั่น คือมีสมาธิจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคนดู ตั้งมั่นแล้วก็ต้องเป็นกลางด้วยถึงจะดี ตั้งมั่นแล้วบางทีไม่เป็นกลาง งั้นต้องฝึกจนกระทั่งตั้งมั่นด้วย เป็นกลางด้วย

วิธีฝึกให้เป็นกลางก็คือรู้ทันว่ามันไม่เป็นกลาง วิธีฝึกให้ตั้งมั่นก็คือรู้ว่ามันไหลไป อาศัยสติรู้ทันจิตนี้แหล่ะ ถ้าจิตไหลไปเรารู้ทันนะ จิตจะตั้งมั่น ถ้าจิตไปรู้อารมณ์แล้วยินดียินร้ายขึ้นมา เรามีสติไปรู้ทันอีก จิตจะเป็นกลาง

งั้นอาศัยตัวนี้เองนะ เราจะเห็นไตรลักษณ์ จะเห็นเอง ไม่ต้องคิดเลย ไตรลักษณ์จะปรากฎต่อหน้าต่อตา ถ้าเรายังคิดเรื่องไตรลักษณ์นะ ยังไม่ใช่วิปัสสนาแท้ วิปัสสนาแปลว่าเห็น ปัสสนะคือการเห็น ไม่ใช่วิตก วิตกมันตรึกเอาคิดเอา

บางคนไปสอนกันนะ บอกว่าทำวิปัสสนาต้องคิดพิจารณา อันนั้นเป็นอุบายเบื้องต้น เพื่อให้จิตเดินปัญญาเท่านั้นเอง บางคนก็ต้องทำ บางคนไม่จำเป็น บางคนที่เคยเจริญปัญญามาแต่ชาติก่อนแล้วนะ พอจิตตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บ ขันธ์แตกตัวออกไปเลย เห็นขันธ์แสดงไตรลักษณ์เลย ไม่ต้องคิดเลยบางคนพอรู้ตัวขึ้นมาเฉย มีสมาธิแล้วนะ จิตก็เฉยอยู่อย่างนั้นเลย พวกนี้ต้องคิดพิจารณา เป็นการกระตุ้นให้จิตเดินปัญญา

แต่ตรงที่กระตุ้นให้จิตเดินปัญญาด้วยการคิดพิจารณา ยังไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน ยังเป็นวิตก เป็นการตรึกอยู่ วิปัสสนานั้นต้องเห็นสภาวะแท้ๆ เห็นรูปธรรมแท้ๆ นามธรรมแท้ๆ เช่นเห็นความโกรธมันเกิดขึ้นมาผุดขึ้นมา เห็นความโกรธตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไปให้ดู เห็นอนิจจังของความโกรธ เห็นความทนอยู่ไม่ได้ของความโกรธ เห็นเลยความโกรธมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ นี่เห็นความเป็นอนัตตาของความโกรธ

ถ้าเห็นถึงจะเป็นวิปัสสนา เพราะปัสสนแปลว่าเห็น ไม่ใช่ปัสสนแปลว่าคิด อย่างนี้แหล่ะเรียกว่าเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เวลาป่วยอยากภาวนาเพื่อให้หายป่วย

เวลาป่วยอยากภาวนาเพื่อให้หายป่วย

ถ้าจะภาวนาให้หายเจ็บป่วยทางกายนี่ เท่ากับหลงทางแล้วครับ
จะให้หายเจ็บป่วยต้องให้หมอรักษาหรือกินยาจึงจะหายครับ
ถ้าจะภาวนาเวลาเกิดเจ็บป่วยหรือมีเวทนาทางกาย
ก็ต้องมีจิตตั้งมั่นเห็นเวนาถูกรู้ถูกดูอยู่
และดูเวทนาเพื่อจะให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
หรือหากดูเวทนาไม่ได้ ก็ให้มาดูจิตว่าเป็นอย่างไรเมื่อมีเวทนา
และดูจิตเพื่อให้เห็นว่าจิตก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
เช่นพอเกิดเวทนาก็มาดูจิตว่าเป็นอย่างไร (ไม่ชอบ ทุรนทุราย อยากหาย)
พอเอายามากินสักพักก็จะรู้สึกเวทนาลดลงแล้วก็ให้มาดูจิตว่าเป็นอย่างไร
จะเห็นว่าก่อนกินยาจิตเป็นอย่างหนึ่ง กินยาแล้วเวทนาลดลงจิตก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่งครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๕) เจริญสมาธิ

mp 3 (for download) : หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๕) เจริญสมาธิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ต้องทำอีกตัวนึงก็คือการฝึกให้จิตตั้งมั่น ให้จิตสงบ ให้จิตตั้งมั่น เป็นสิ่งที่ควรฝึกควรทำ ควรปฏิบัติ

เห็นมั้ยสิ่งที่ทางดำเนินนะ ไม่ใช่แค่รู้ทฤษฎีแล้วก็ไม่ได้ดำเนินต่อเลย รู้หลักปฏิบัติแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ไม่รู้จะปฏิบัติยังไง พระพุทธเจ้าก็สอนทางดำเนินของจิตให้ มีความมักน้อย มีความสันโดษ มีความไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เนี่ยสิ่งที่ท่านสอน ท่านสอนทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อนำมาสู่การเจริญปัญญานั่นเอง

ให้มีสติก็รู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจ รู้ความมีอยู่ ของกายของใจ รู้ความเคลื่อนไหวของกายของใจไป ในขณะที่รู้ความเคลื่อนไหวของกายของใจนั้นน่ะ ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นคือจิตที่ทรงสมาธิอยู่

จิตของเราปกติไม่มีสมาธิ จิตของเราจะไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตลอดเวลา จิตฟุ้งซ่านตลอด ไม่มีสมาธิ แล้วมาฝึกให้จิตมีสมาธิ โดยการรู้ทันจิตที่ไหลไป หรือจะทำสมาธิก็ได้ ทำฌาน ทำฌานที่ถูกต้อง ซึ่งคนยุคเราเนี่ยทำยาก แค่อุปจารสมาธิก็ยากแล้ว อุปจารฯยกตัวอย่างให้ฟัง เช่น เราหายใจเข้าหายใจออกนะ ลมหายใจจะตื้นขึ้นๆนะ จนกลายเป็นแสงสว่าง สว่างอยู่กับที่ตรงนี้ เราเห็นแสงสว่างนะ แล้วย่อให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้นะ ตามใจชอบนะ ตรงนี้แหล่ะได้อุปจารฯ

ยังทำไม่ถึงเลยใช่มั้ย เล่นยังไม่ได้เลย ไม่ชำนาญ อย่าว่าแต่อัปปนาฯเลย อุปจารฯยังทำไม่ค่อยได้เลยคนรุ่นเรา แต่ไม่ต้องท้อใจ เอาขณิกสมาธิ สมาธิเป็นขณะๆก็พอแล้ว ที่พอสำหรับการบรรลุมรรคผลนิพพาน แม้แต่คนในครั้งพุทธกาลนะ ส่วนใหญ่ของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ท่านก็ใช้ขณิกสมาธินี้แหล่ะ ท่านไม่ได้มีฌานมีฤทธิ์มีเดชอะไรเลย ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรานี้เอง พระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอย่างพวกเรานี่แหล่ะ ๖๐ กว่าเปอร์เซนต์

งั้นเรามีสมาธิเป็นขณะๆนี่ก็พอแล้ว วิธีฝึกสมาธิเป็นขณะนะ หาเครื่องอยู่ให้จิตไว้ พุทโธก็ได้ รู้ลมหายใจก็ได้ ดูท้องพองยุบก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ ไปเดินจงกรมก็ได้ แต่ไม่ใช่พุทโธให้จิตนิ่ง ไม่ใช่หายใจให้จิตนิ่ง ไม่ใช่ดูท้องให้จิตนิ่ง ไม่ใช่ขยับมือให้จิตนิ่ง ไม่ได้ไปเดินให้จิตนิ่ง แต่พุทโธเพื่อรู้ทันจิต หายใจเพื่อรู้ทันจิต ดูท้องพองยุบเพื่อรู้ทันจิต เดินจงกรมก็เพื่อรู้ทันจิต พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน เดินจงกรม จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบ จิตหนีไปคิด ก็รู้ทัน พุทโธอยู่ จิตไหลไปเพ่งพุทโธ ดูลมหายใจ จิตไหลไปเพ่งลมหายใจ ดูท้องพองยุบ จิตไหลไปเพ่งท้อง รู้ทัน

จิตมันไหลไป ไหลไปสองแบบ ไหลไปคิดนี่หลงไปเลย กับไหลไปเพ่ง ถ้าจิตไหลไปแล้วเรารู้ทัน ว่าจิตไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น ไม่ไหล ตั้งมั่นขึ้นมาจะได้เป็นขณิกสมาธิขึ้นมา เป็นขณะๆ แต่เดิมนั้นนานกว่าจะได้ขณิกสมาธิขึ้นมาสักขณะหนึ่งนะ หลงมาตั้งชั่วโมงแล้วค่อยรู้ว่าหลงไป ได้สมาธิขึ้นมาแว้บหนึ่ง ฝึกทุกวันไม่ท้อถอย พุทโธไป หายใจไ แล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตหนีไปเพ่ง รู้ทัน ต่อไปพอจิตขยับตัวกริ๊กเดียวก็รู้แล้ว จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา

การที่จิตตั้งมั่นทีละขณะ ทีละขณะ ทีละขณะ แต่ตั้งบ่อยๆนะ มันจะเกิดสภาวะความรู้สึกขึ้นมาว่า เหมือนมันตั้งอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นคนที่ออกจากฌานมา มาอยู่ในโลกธรรมดาเนี่ย ในความเป็นจริงแล้วตั้งเป็นขณะเหมือนกัน แต่มันเกิดซ้ำๆ เกิดบ่อยๆ มันเคยชินที่จะเกิดความรู้สึกตัว

ทีนี้พวกเราไม่ได้ทรงฌาน ก็ฝึกทีละขณะๆนี้แหละ ต่อไปมันจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ เคยหลงวันละครั้ง(ตั้งแต่ตื่นจนหลับ – ผู้ถอด)ก็กลายเป็นชั่วโมงละครั้ง นี่ก็รู้สึกตัวได้ถี่ขึ้นแล้ว ชั่วโมงหนึ่งเคยหลงครั้งเดียว ต่อมาหลง ๖๐ ครั้ง รู้สึกตัวขึ้นมาได้ถี่ขึ้นมาแล้ว ต่อไปวินาทีหนึ่งเนี่ย เห็นเลย จิตเดี๋ยวก็รู้เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้เดี๋ยวก็หลง วินาทีหนึ่งก็เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามันถี่มากๆเข้า จะรู้สึกเหมือนรู้ตัวอยู่ทั้งวันเลย คราวนี้ จะเป็นอาการเดี่ยวกันกับพวกที่ทรงฌาน แต่มันทำยาก จะอยู่ได้ช่วงหนึ่งเดี๋ยวก็หมดแรงแล้ว หมดแรงแล้วจะฟุ้งไป ส่วนพวกทรงฌาน จะทรงอยู่ได้เป็นวันๆ แต่ไม่เกิน ๗ วันหรอก ก็จะต้องไปทำฌานใหม่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๕) เจริญสมาธิ

mp 3 (for download) : หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๕) เจริญสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ต้องทำอีกตัวนึงก็คือการฝึกให้จิตตั้งมั่น ให้จิตสงบ ให้จิตตั้งมั่น เป็นสิ่งที่ควรฝึกควรทำ ควรปฏิบัติ

เห็นมั้ยสิ่งที่ทางดำเนินนะ ไม่ใช่แค่รู้ทฤษฎีแล้วก็ไม่ได้ดำเนินต่อเลย รู้หลักปฏิบัติแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ไม่รู้จะปฏิบัติยังไง พระพุทธเจ้าก็สอนทางดำเนินของจิตให้ มีความมักน้อย มีความสันโดษ มีความไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เนี่ยสิ่งที่ท่านสอน ท่านสอนทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อนำมาสู่การเจริญปัญญานั่นเอง

ให้มีสติก็รู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจ รู้ความมีอยู่ ของกายของใจ รู้ความเคลื่อนไหวของกายของใจไป ในขณะที่รู้ความเคลื่อนไหวของกายของใจนั้นน่ะ ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นคือจิตที่ทรงสมาธิอยู่

จิตของเราปกติไม่มีสมาธิ จิตของเราจะไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตลอดเวลา จิตฟุ้งซ่านตลอด ไม่มีสมาธิ แล้วมาฝึกให้จิตมีสมาธิ โดยการรู้ทันจิตที่ไหลไป หรือจะทำสมาธิก็ได้  ทำฌาน ทำฌานที่ถูกต้อง ซึ่งคนยุคเราเนี่ยทำยาก แค่อุปจารสมาธิก็ยากแล้ว อุปจารฯยกตัวอย่างให้ฟัง เช่น เราหายใจเข้าหายใจออกนะ ลมหายใจจะตื้นขึ้นๆนะ จนกลายเป็นแสงสว่าง สว่างอยู่กับที่ตรงนี้ เราเห็นแสงสว่างนะ แล้วย่อให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้นะ ตามใจชอบนะ ตรงนี้แหล่ะได้อุปจารฯ

ยังทำไม่ถึงเลยใช่มั้ย เล่นยังไม่ได้เลย ไม่ชำนาญ อย่าว่าแต่อัปปนาฯเลย อุปจารฯยังทำไม่ค่อยได้เลยคนรุ่นเรา แต่ไม่ต้องท้อใจ เอาขณิกสมาธิ สมาธิเป็นขณะๆก็พอแล้ว ที่พอสำหรับการบรรลุมรรคผลนิพพาน แม้แต่คนในครั้งพุทธกาลนะ ส่วนใหญ่ของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ท่านก็ใช้ขณิกสมาธินี้แหล่ะ ท่านไม่ได้มีฌานมีฤทธิ์มีเดชอะไรเลย ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรานี้เอง พระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอย่างพวกเรานี่แหล่ะ ๖๐ กว่าเปอร์เซนต์

งั้นเรามีสมาธิเป็นขณะๆนี่ก็พอแล้ว วิธีฝึกสมาธิเป็นขณะนะ หาเครื่องอยู่ให้จิตไว้ พุทโธก็ได้ รู้ลมหายใจก็ได้ ดูท้องพองยุบก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ ไปเดินจงกรมก็ได้ แต่ไม่ใช่พุทโธให้จิตนิ่ง ไม่ใช่หายใจให้จิตนิ่ง ไม่ใช่ดูท้องให้จิตนิ่ง ไม่ใช่ขยับมือให้จิตนิ่ง ไม่ได้ไปเดินให้จิตนิ่ง แต่พุทโธเพื่อรู้ทันจิต หายใจเพื่อรู้ทันจิต ดูท้องพองยุบเพื่อรู้ทันจิต เดินจงกรมก็เพื่อรู้ทันจิต พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน เดินจงกรม จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบ จิตหนีไปคิด ก็รู้ทัน พุทโธอยู่ จิตไหลไปเพ่งพุทโธ ดูลมหายใจ จิตไหลไปเพ่งลมหายใจ ดูท้องพองยุบ จิตไหลไปเพ่งท้อง รู้ทัน

จิตมันไหลไป ไหลไปสองแบบ ไหลไปคิดนี่หลงไปเลย กับไหลไปเพ่ง ถ้าจิตไหลไปแล้วเรารู้ทัน ว่าจิตไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น ไม่ไหล ตั้งมั่นขึ้นมาจะได้เป็นขณิกสมาธิขึ้นมา เป็นขณะๆ แต่เดิมนั้นนานกว่าจะได้ขณิกสมาธิขึ้นมาสักขณะหนึ่งนะ หลงมาตั้งชั่วโมงแล้วค่อยรู้ว่าหลงไป ได้สมาธิขึ้นมาแว้บหนึ่ง ฝึกทุกวันไม่ท้อถอย พุทโธไป หายใจไ แล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตหนีไปเพ่ง รู้ทัน ต่อไปพอจิตขยับตัวกริ๊กเดียวก็รู้แล้ว จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา

การที่จิตตั้งมั่นทีละขณะ ทีละขณะ ทีละขณะ แต่ตั้งบ่อยๆนะ มันจะเกิดสภาวะความรู้สึกขึ้นมาว่า เหมือนมันตั้งอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นคนที่ออกจากฌานมา มาอยู่ในโลกธรรมดาเนี่ย ในความเป็นจริงแล้วตั้งเป็นขณะเหมือนกัน แต่มันเกิดซ้ำๆ เกิดบ่อยๆ มันเคยชินที่จะเกิดความรู้สึกตัว

ทีนี้พวกเราไม่ได้ทรงฌาน ก็ฝึกทีละขณะๆนี้แหละ ต่อไปมันจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ เคยหลงวันละครั้ง(ตั้งแต่ตื่นจนหลับ – ผู้ถอด)ก็กลายเป็นชั่วโมงละครั้ง นี่ก็รู้สึกตัวได้ถี่ขึ้นแล้ว ชั่วโมงหนึ่งเคยหลงครั้งเดียว ต่อมาหลง ๖๐ ครั้ง รู้สึกตัวขึ้นมาได้ถี่ขึ้นมาแล้ว ต่อไปวินาทีหนึ่งเนี่ย เห็นเลย จิตเดี๋ยวก็รู้เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้เดี๋ยวก็หลง วินาทีหนึ่งก็เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามันถี่มากๆเข้า จะรู้สึกเหมือนรู้ตัวอยู่ทั้งวันเลย คราวนี้ จะเป็นอาการเดี่ยวกันกับพวกที่ทรงฌาน แต่มันทำยาก จะอยู่ได้ช่วงหนึ่งเดี๋ยวก็หมดแรงแล้ว หมดแรงแล้วจะฟุ้งไป ส่วนพวกทรงฌาน จะทรงอยู่ได้เป็นวันๆ แต่ไม่เกิน ๗ วันหรอก ก็จะต้องไปทำฌานใหม่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: New Files Uploaded (๔ สิงหาคม ๒๕๕๕)

    New Files Updated วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ (สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕)

  • 550525B: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕ แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕
  • 550525A: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕ แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการวางตัวของผู้ปฏิบัติธรรม (๔) เจริญสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอะไรมันก็ภาวนาได้นะ ยกเว้นเวลาที่ทำงานที่ต้องคิด กับเวลานอนหลับ นี่เรียกว่าเรามีความเพียรแล้ว เราปรารภความเพียรไปเรื่อย เราไม่ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสไป ปรารภความเพียรแล้วเราก็ต้องมีสติ พัฒนาต่อไป พยายามมีสติให้มาก อะไรเกิดขึ้นในร่างกาย คอยรู้สึก อะไรเกิดขึ้นในจิตใจ คอยรู้สึก เนี่ยทางดำเนินต่อ

อันแรกมักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร แล้วก็มีสติ คอยรู้สึกอยู่ในกาย คอยรู้สึกอยู่ในใจ อย่าลืมกาย อย่าลืมใจ รู้สึกบ่อยๆ ดูสิ ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวเช่น เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยววิ่งไปทางตา เดี๋ยววิ่งไปทางหู เดี๋ยววิ่งไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางใจก็วิ่งไปคิดบ้าง วิ่งไปเพ่งบ้าง

เพราะฉะนั้นจิตเคลื่อนไป เรารู้ทัน อย่างนี้ก็เรียกว่า เรามีสติอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหว เราก็รู้ทัน จิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เราก็รู้ทัน หัดให้มีสติมากๆ อย่าทอดทิ้ง สติสำคัญมาก พระพุทธเจ้ายกย่องว่าสติเป็นหนึ่งในสองของธรรมที่มีอุปการะมาก สติและสัมปชัญญะ สองตัวนี้ มีอุปการะมาก

สัมปชัญญะเป็นปัญญาเบื้องต้น ที่ทำให้เรารู้ว่า อะไรมีสาระ อะไรไม่มีสาระ ในบรรดาสิ่งที่มีสาระนั้น อะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ ในสิ่งที่มีประโยชน์นั้น อะไรสมควรแก่เรา อะไรไม่สมควรแก่เรา พอรู้ว่าอะไรควรแก่เรา เช่น เราควรทำสมถะด้วยอานาปานสติ เราไม่หลงลืมอานาปานสติ เนี่ยเรียกว่ามีสัมปชัญญะ เราควรเจริญปัญญาด้วยการดูจิต สมมุติว่าต้องดูจิต เหมาะกับจริต เรารู้ว่าการดูจิตนี้สมควรแก่เรา เราไม่หลงลืมการดูจิต นี้ก็เรียกว่ามีสัมปชัญญะ

สัมปชัญญะ ๔ อย่าง รู้ว่าอะไรมีสาระ อะไรไม่มีสาระ ในบรรดาสิ่งที่สาระนั้น บางอย่างมีประโยชน์ บางอย่างไม่มีประโยชน์ ในบรรดาสิ่งที่มีประโยชน์ บางอย่างสมควรแก่เรา บางอย่างไม่จำเป็นกับเรา ยกตัวอย่างกรรมฐาน ๔๐ ไม่จำเป็นต้องทำทั้ง ๔๐ สติปัฏฐาน ๔ ไม่จำเป็นต้องทำทั้ง ๔ แต่ละคนมีจริตนิสัยที่แตกต่างกัน อะไรสมควรแก่เรา แล้วเราไม่หลงลืม เราทำสิ่งนั้นไปเรื่อย จิตใจไม่หลงลืมสิ่งนั้น เรียกว่า สัมปชัญญะ

สติเป็นตัวรู้ทันไป สัมปชัญญะก็คือไม่หลงลืมงานที่เราทำอยู่ นี่เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก หัดเจริญสติให้เยอะ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง การเจริญสตินั้นจำเป็นมาก เรามีสติรู้สภาวะทั้งหลายไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๘
File: 550325.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 512345