Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิสุทธิ ๗ ประการ


mp 3 (for download) : วิสุทธิ ๗

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมถะดีมั้ย ดี เหมือนบันไดขั้นแรกๆ แต่ทำอยู่แค่สมถะไม่ขึ้นเจริญปัญญา ไม่ได้เรื่องเลย ทำไม่ถูกแล้ว ไม่มีสมถะเลยก็คือ ไม่มีบันไดขั้นแรกๆเลย ก็ไปยาก จะขึ้นบันไดขั้นที่ ๓ เลยทำได้มั้ย ได้ ถ้าขั้นมันไม่ใหญ่มาก แต่ขึ้นสบายมั้ย เสี่ยงมั้ย ขึ้นไม่สบาย เสี่ยง ถ้าเดินไปตามลำดับบันไดที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ไม่ยาก มันจะไม่ยากเกินไป

บันไดของท่านนะ ถ้าซอยออกไปหยาบๆก็มี ๓ ขั้น แต่ละขั้นยาวหน่อย ขั้นศีลขั้นสมาธิเท่าๆกันนะ แต่ขั้นหลังๆเนี่ย จะต้องเขย่งอย่างแรงเลย พระสารีบุตรท่านมาแยกเป็นบันได ๗ ขั้น เป็นวิสุทธิ ๗ อย่าง “สีลวิสุทธิ” เรื่องศีล “จิตตวิสุทธิ” คือเรื่องฝึกจิตให้มีสมาธิ ถัดจากนั้นอีก ๕ ขั้นเป็นเรื่องของการเจริญปัญญา ท่านซอยการเจริญปัญญาออกไปอีก ช่วยให้เราภาวนาง่ายขึ้น

เริ่ม(ตั้ง)แต่“ทิฏฐิวิสุทธิ” ทิฏฐิวิสุทธิเป็นตัวเจริญปัญญาตัวแรกเลย ทิฏฐิวิสุทธิคือเรียนรู้มีทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าตัวเราไม่มี เป็นความเห็นนะยังไม่ใช่การรู้จริง  ตัวเราไม่มี มีแต่รูปกับนาม ถ้าแยกรูปแยกนามได้ เรียกว่ามีทิฏฐิวิสุทธิ งั้นพวกเราที่แยกรูปแยกนามได้เนี่ยนะ บันได ๗ ขั้นเนี่ย เรามาอยู่ในขั้นที่ ๓ แล้ว แยกรูปนามได้เรียกว่าทิฏฐิวิสุทธิ

ต่อมาเรารู้อีกว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลายเนี่ย มันมีเหตุมันถึงจะเกิด ไม่ใช่ลอยๆมาเกิดหรอก แล้วเกิดแล้วพอหมดเหตุมันก็หายไป ไม่สงสัยในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายเลย รู้ว่ามันมาจากเหตุ ถ้าหมดเหตุมันก็หายไป รู้อย่างนี้นะ รู้ด้วยการศึกษาเปรียบเทียบเอา ว่ารูปแต่ก่อนกับรูปเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน นามแต่ก่อนกับนามเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เหตุมันต่างกัน อันนี้ขึ้นกระไดมาอีกอันนะชื่อ“กังขาวิตรณวิสุทธิ” หมดความสงสัยในการเกิดของรูปนาม มันเป็นไตรลักษณ์ แต่มันจะเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิด

ถัดจากนั้นมันจะถึง“มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ” รู้ว่าอะไรเป็นทางอะไรไม่ใช่ทาง ตรงที่รู้ว่าอะไรเป็นทางอะไรไม่ใช่ทางเนี่ย ขึ้นวิปัสสนาไปแล้วนะ แล้วผ่านวิปัสสนูปกิเลสไปแล้ว เนี่ยตรงนี้ถ้าแยกด้วยญาณ ๑๖ นะ พระรุ่นหลังมาแยกด้วยญาณ ๑๖ เลย แยกตรงนี้ละเอียดออกไปอีก เป็นญาณอีกเยอะเลย พระสารีบุตรมาแยกขึ้นมา ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคค มรรคหรืออมรรค มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ อะไรเป็นมรรคอะไรไม่ใช่มรรค

สิ่งที่เป็นมรรคคือการที่มีสติรู้กายรู้ใจ รู้รูปนามตามความเป็นจริง ด้วยจิตตั้งมั่นเป็นกลาง ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่เป็นกลาง วิปัสสนูปกิเลสจะแทรก งั้นถ้าเมื่อไหร่เกิดวิปัสสนูฯ แล้วจิตตั้งมั่นถึงฐานขึ้นเมื่อไหร่นะ วิปัสสนูฯหายเลย วิปัสสนูฯเลยมีชื่ออีกชื่อนึงว่า ธัมมุทธัจจะ ธรรมะ(กับ)อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านในธรรมะ ๑๐ ประการ

พวกเราจำนวนมากเลยที่มาถึงตรงนี้ ที่เราภาวนาดูจิตดูใจแล้วมันสว่างว่างไปอยู่ข้างหน้า ใครเคยเป็นที่มันไปว่างสว่างอยู่ข้างหน้า แล้วหลวงพ่อบอก รู้มั้ยจิตเคลื่อนออกไปอยู่กับแสงสว่าง ไปอยู่กับความว่าง ไปอยู่กับความสุขความสบายข้างหน้า ตรงที่พวกเรารู้ทันตัวนี้นะ ตัวนี้เราได้มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ รู้แล้วถ้าไหลออกนอกอย่างนี้ไม่ใช่ทาง ถ้าตั้งมั่นอยู่รู้รูปนามอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นอยู่นี้เป็นทาง

ถัดจากนั้นก็เป็น “ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ” ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิคือการทำวิปัสสนานั่นเอง โดยที่พ้นวิปัสสนูมาแล้ว ก็มีสติรู้รูปนามตามความเป็นจริง ด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง เนี่ยรู้ไปเรื่อย ในโสฬสญาณท่านก็ซอยไปถี่ยิบเลย พอเห็นความจริงแรกๆก็จะเกิดความรู้สึกมันน่ากลัว เกิดน่ากลัว เกิดรู้สึกว่าไร้สาระ เกิดความรู้สึกเบื่อ พวกเราหลายคนที่ภาวนาแล้วรู้สึกมั้ย ธาตุขันธ์ชีวิตนี้น่ากลัว ธาตุขันธ์ชีวิตนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ ธาตุขันธ์ชีวิตนี้น่าเบื่อ นี่เรากระเถิบขึ้นมาตั้งเยอะแล้วนะ ไม่่ใช่กระไดขั้นแรกๆแล้วนะ

เนี่ยฝึกมาเรื่อยนะ สุดท้ายก็เกิด”ญาณทัสสนวิสุทธิ” เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เนี่ยเดินทางเดินถ้าย่อๆนะ ก็เป็นศีลสมาธิปัญญา ถ้าขยายปัญญาออกไป ๕ ส่วน ศีลสมาธิแล้วอีกปัญญาเป็น ๕ (รวม)เป็น ๗ ก็เป็นวิสุทธิ ธรรมะชื่อวิสุทธิ ๗ ประการ เนี่ยพระสารีบุตรท่านขยายขึ้นมา แล้วพระรุ่นหลังมาขยายออกไปอีกเป็นญาณ ๑๖ โสฬสญาณ โสฬสญาณเนี่ยเป็นส่วนของการเจริญปัญญา

งั้นศีลสมาธิต้องมีก่อน บางคนไปเรียนโสฬสญาณแล้วเมาเลย ลืมเรื่องศีลกับการฝึกจิต ลืมศีลสิกขาจิตตสิกขา ลืมสีลวิสุทธิจิตตวิสุทธิ คิดว่าการปฏิบัติไม่มีอะไร หาทางแยกรูปนามอะไรต่ออะไร คิดเอาเองเลย จิตไม่ตั้งมั่นมันไม่แยกหรอก งั้นสีลวิสุทธิก็คือการศึกษาเรื่องศีล ศีลสิกขา จิตตวิสุทธิก็คือจิตตสิกขา อีก ๕ ตัวของวิสุทธิคือปัญญาสิกขา ๕ ตัวนี้มาขยายออกไปเป็น ๑๖ ตัวเรียกโสฬสญาณ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๑๙
File: 550601.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๔๔ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 1,346 times, 2 visits today)

Comments are closed.