ความเป็นเรา
ในร่างกายจิตใจเรานี้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า
มีความรู้สึกอยู่หย่อมหนึ่ง ที่มันรู้สึกว่าคือ “ตัวเรา”
“เรา” นั้น เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ตัดสิน ผู้เสพย์อารมณ์ต่างๆ
สิ่งนี้แหละครับ ที่บัญญัติกันว่า “จิต”
มันคือคนที่พูดแจ้วๆ ตลอดเวลา คอยตัดสินว่าอันนั้นดี อันนี้ไม่ดี
เวลามันไปรู้อะไรเข้า มันก็เกิดความชอบและความชังขึ้นมา
ลองทำใจสบายๆ แล้วทำสติระลึกรู้เข้าไปที่ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา ดูสิครับ
ปุถุชนกับพระโสดาบันนั้น ความรู้สึกตรงนี้จะต่างกันมาก
เพราะปุถุชนถ้าดูเข้าไปที่ความรู้สึกนี้ จะรู้สึกชัดเจนเลยว่า มันเป็น “เรา”
แต่พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
เวลามองดูความรู้สึกอันนี้ จะเห็นเพียงว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติรู้
ไม่มีความเห็นสักนิดเดียวว่ามันคือตัวเรา
แต่พระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์นั้น
ในเวลาเผลอ ก็ยังยึดความรู้สึกอันนี้ว่าเป็น เรา
เรียกว่าบริสุทธิ์เพียงความเห็นเท่านั้น เอาเข้าจริงยังยึดมั่นถือมั่นจิตอยู่
พูดให้มีศัพท์แสงสักหน่อยก็กล่าวได้ว่า ความรู้สึกว่าเป็น “เรา” นั้น
มันคือจิตที่ประกอบด้วยสักกายทิฏฐิ นั่นเอง
ลำพังจิตที่เป็นเพียงผู้รู้อารมณ์ล้วนๆ นั้น มันไม่มีความเป็นเรามาแต่แรกแล้ว
แต่อาศัยความคิด หรือสังขารขันธ์ต่างหาก เข้าไปแทรกปน
จนจิตก็หลงเชื่อตามความคิดไปว่า นี่แหละคือตัวเรา
เพราะยึดว่าจิตเป็นเรานี้เอง
ผู้ปฏิบัติจึงมีความพากเพียรเจริญสติปัฏฐานเพื่อออกจากทุกข์
ถ้าจิตไม่เป็นเรา จิตจะจมทุกข์จนตายไป มันก็เรื่องของจิตสิครับ
แต่เมื่อใดจิตเข้าถึงภาวะที่ปล่อยวางความยึดจิตชั่วขณะ
จิตเองกลับวางขันธ์ 5 ลง แม้ขันธ์จะเป็นทุกข์ จิตก็ไม่เอาด้วย
เพราะกระทั่งจิต ยังไม่ยึดจิตเอง จิตจะไปยึดขันธ์มาทำไมกันอีก
มันจึงเกิดภาวะว่าง อิสระ หมดงานที่จะต้องทำ และมีความบรมสุขจริงๆ
โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เขียนไว้เมื่อ 10 มิ.ย. 2542
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่