เล่าเรื่องประสบการณ์ในการพิจารณาขันธ์ ๕
ประสบการณ์ในการพิจารณาขันธ์ 5 ของผมมีไม่มากหรอกครับ
แล้วก็ไม่เชิงว่า จะเป็นการพิจารณาขันธ์ 5 ด้วยซ้ำไป
คล้ายกับว่าจะทำสิ่งหนึ่ง แล้วมีการพิจารณาขันธ์ 5 เป็นทางผ่านเท่านั้น
คือเมื่อต้นปี 2525 ผมได้ไปกราบหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต
กลับมากรุงเทพแล้วเกิดสงสัยมากว่า จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน จะเอาอะไรไปดู
แล้วนึกขึ้นได้ว่าจิตคงอยู่ในขันธ์ 5 นี้เอง
จึงทำความสงบด้วยการบริกรรมพุทโธ + ลมหายใจ
พอสงบดีแล้วจึงเที่ยวพิจารณาหาจิตในร่างกายนี้
เริ่มแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปตามลำดับ
ก็เห็นร่างกายทุกส่วนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา และไม่ใช่จิต
จิตไม่มีอยู่ในส่วนของรูปกายนี้
ต่อมาพิจารณา เวทนา สัญญา และจิตสังขาร ไปตามลำดับ
ในที่สุดก็จับได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จิต จิตคือผู้รู้ ผู้ดู และบางทีก็เป็นผู้หลงด้วย
จากนั้นก็เฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของจิตเรื่อยๆ มา
จิตเข้าไปยึดขันธ์ก็รู้ ไม่ยึดก็รู้ จนจิตกับขันธ์ต่างคนต่างอยู่ไปชั่วขณะหนึ่ง
ผมเคยสงสัยว่า พระป่าส่วนมากท่านเน้นให้พิจารณากาย
ผมเองกลับไม่ค่อยได้พิจารณากาย จะใช้ได้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ
เมื่อไปถามหลวงปู่ดูลย์ ท่านกลับบอกว่า
กายเป็นของทิ้ง เมื่อจิตทิ้งแล้ว จะกลับไปเอามาทำไมอีก
ผมจึงฝึกหัดด้วยการเฝ้ารู้พฤติกรรมของจิตเรื่อยมา
แล้วก็พบว่า การรู้อยู่ที่จิตนั้น ทำให้เรารู้ขันธ์ 5 ด้วยโดยอัตโนมัติ
เหมือนคนที่ขายลูกโป่งสวรรค์ เขากำเส้นเชือกไว้ด้วยกันด้วยมือข้างเดียว
ไม่ต้องมี 5 มือเพื่อถือลูกโป่ง 5 ลูก
ที่แปลกคือเมื่อเฝ้ารู้อยู่ที่จิตเท่านั้น ก็พบว่า
จริงๆ แล้วจิตเองราวกับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้
เมื่อปล่อยวางขันธ์หยาบไปแล้ว
ยังมีขันธ์ละเอียด ที่พร้อมจะงอกเป็นขันธ์หยาบ อยู่ในจิตอย่างบริบูรณ์
หรือจะเปรียบว่า ในกำมือยังมีเชือกอยู่ 5 เส้น
ถ้ามองตามเส้นเชือกออกไปก็จะพบลูกโป่งทั้ง 5 ใบ
แต่ถ้ามองที่มือก็ไม่เห็นลูกโป่ง คิดว่าลูกโป่งไม่มีแล้ว
แท้ที่จริง มือยังไม่ปล่อยลูกโป่งทิ้งจริงๆ
เพียงแต่มันไม่จับลูกโป่งให้เห็นจริงๆ เท่านั้น
อันนี้คืออุปมาว่า เราพิจารณาวางขันธ์แล้ว แต่ยังยึดถือจิตอยู่ว่าเป็นตัวเรา
ไม่ช้า ขันธ์ก็จะงอกออกมาจากจิตอีก
ถ้าต้องการพ้นความเกิดให้เด็ดขาด จึงมีทางเดียวเท่านั้น
ได้แก่การทำลายจิต หรือทำลายความยึดถือจิตว่าเป็นเรา นั่นเอง
เมื่อพิจารณาเห็นเช่นนั้น ผมทำความสงบมากขึ้นเพื่อสะสมกำลัง
แล้วย้อนเข้าพิจารณาจิตที่ว่างเปล่าผ่องใสอีกคราวหนึ่ง
ก็ไม่สามารถทำลายเชื้อพันธุ์ของขันธ์ 5 ในจิตได้
จนวันหนึ่งก็เกิดความเฉลียวใจขึ้นว่า
แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครทำจิตให้หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ได้หรอก
มีแต่จิตเขาหลุดพ้นของเขาเอง
เพราะจิตเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร
ตอนนั้นเอง จิตก็พลิกตัวออกไปอีกระนาบหนึ่ง
ก้อนเบญจขันธ์ที่ประชุมกันอยู่ที่หทยวัตถุแตกกระจายออกจากกัน
จิตเข้าถึงความดับสั้นๆ แล้วเกิดความเบิกบานของจิต
ที่ไม่เกาะเกี่ยวในขันธ์อยู่ประมาณ 7 วัน
ตรงนี้ได้ความรู้ว่า แม้จะพิจารณาจนปล่อยวางขันธ์ภายนอกแล้ว
ยังต้องมาทำลายขันธ์ใน คือเชื้อพันธุ์ในจิตใจอีกทีหนึ่ง
มิฉะนั้นมันก็จะกลับงอกงามออกมาอีกไม่สิ้นสุด
พาก่อเกิดไปได้เรื่อยๆ เมื่อขันธ์หยาบนี้แตกดับตายลง
อีกคราวหนึ่งไปนั่งภาวนาที่วัดสนามใน
จิตรวมลงถึงฐานที่ว่างเปล่า หมดความคิดนึก
จิตก็มอง/ระลึกรู้ความว่างเปล่านั้นอยู่
แล้วเห็นกระแสความคิดผุดขึ้นจากความว่างเปล่า
ถัดจากนั้น เกิดแสงสว่างของมโนวิญญาณแผ่ขึ้นปิดบังความว่าง
พอแสงนั้นกระทบเข้ากับรูป รูปก็ปรากฏ กระทบเข้ากับนาม นามก็ปรากฏ
เหมือนการเปิดสวิทซ์ของขันธ์ 5 นั่นเอง
ก็เลยรู้ว่า นามนั่นแหละเป็นปัจจัยของรูป และรูปก็เป็นปัจจัยของนาม
ต่างก็เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน หาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้
สังสารวัฏจึงหาที่สุดไม่ได้
โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2542
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่