จากจงใจสู่ไม่ต้องจงใจภาวนา (ภาวนาเป็นธรรมชาติ)
ทุกครั้งที่ตั้งใจจะดู จงใจจะดู มันจะดูด้วยความอยากอะไรสักอย่างเสมอ บางครั้งก็อยากเห็นอนิจจัง บางครั้งก็อยากเห็นทุกขัง บางครั้งก็อยากเห็นอนัตตา บางครั้งก็อยากเกิดปัญญา บางครั้งก็อยากพ้นทุกข์ มันจะมีแต่อยากๆ ทุกทีไป
เมื่อดูเพราะอยาก ก็เท่ากับกำลังมีสมุทัยอยู่ เมื่อกำลังมีสมุทัยอยู่ก็เท่ากับไม่ได้เจริญมรรคอยู่ ไม่ได้รู้ทุกข์อยู่ ดังนั้นจึงไม่อาจแจ้งนิโรธได้ด้วยการจงใจรู้จงใจดู
แต่ถ้าแวบนึงหลังจากที่จงใจรู้จงใจดู แล้วเกิดสติรู้ได้เองโดยไม่จงใจจะรู้จะดู เห็นขึ้นมาเองว่า เมื่อกี้จงใจรู้จงใจดู แวบตรงนั้นก็จะเป็นการรู้ที่ถูกต้องของการเจริญวิปัสสนา
การเจริญปัญญาต้องอาศัยการรู้ที่เกิดเองโดยไม่ได้จงใจจะรู้ แต่ตอนเริ่มแรกก็ต้องจงใจรู้จงใจดูไปก่อน เพื่อให้จิตจำสภาวะต่างๆได้ เมื่อจิตจำสภาวะใดได้แม่นแล้ว ต่อไปจะรู้ได้เองโดยไม่ต้องจงใจรู้ หรือที่เรียกว่า สติระลึกรู้ได้เองอัตโนมัติ
เมื่อสติระลึกรู้ได้เองอัตโนมัติแล้ว จิตจะมีความตั้งมั่นขึ้นมา จะไม่ทะยานอยากออกไปหาสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูอยู่ จึงทำให้เห็นความจริงในแวบขณะนั้นได้โดยปราศจากการคิด แต่พอมาคิดนึกทบทวนก็จะเข้าใจว่า ที่เห็นเมื่อกี้คือเห็นว่า สิ่งที่ถูกรู้ถูกดูมันไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ บังคับไม่ได้ สั่งไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยให้เกิด ไม่ใช่ตัวตนที่จะเกิดด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่ตัวตนที่จะตั้งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ต้องอิงอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยให้เกิดขึ้น ให้ตั้งอยู่ เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยก็ย่อมเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา (เห็นจริงแค่แวบเดียว แต่มานึกคิดทบทวนเป็นเรื่องราวได้ตั้งยืดยาว)
เมื่อเห็นความจริงแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำแล้วอีกทีละแวบสองแวบ จิตก็จะค่อยๆ ยอมรับความจริงของรูปนามของขันธ์ ๕ จนแจ้งนิโรธขึ้นเองโดยปราศจากความจงใจที่จะทำนิโรธให้แจ้ง ^_^
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่