ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้
สิ่งที่คุณพบนั้น เป็นเช่นนั้นจริงครับ
ในการปฏิบัตินั้น ไม่เพียงจะพบสิ่งที่คุณยกตัวอย่างมานั้น
หากแต่จะพบขันธ์ 5 แจกแจงออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยเฉพาะสังขารขันธ์นั้น มีมากมายเหลือเกินแม้ในภาวะอันหนึ่งๆ
เช่นในขณะที่จิตสักแต่รู้เห็นอารมณ์นั้น
จะมีเจตสิกธรรมเป็นอันมาก
เช่นสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคคตา ปัญญา ฯลฯ
ในการปฏิบัตินั้น เราไม่จำเป็นต้องคอยจำแนกชื่อ ว่าสภาวะอันนี้ ชื่อว่าอย่างนี้
เพราะเราจะพบสภาวะต่างๆ มากมายในขณะหนึ่งๆ
ขืนพยายามจำแนกชื่อ จิตจะฟุ้งซ่านจนปฏิบัติต่อไปไม่ได้
เพราะแทนที่จะรู้ กลับจะกลายเป็นคิดไป
เราเพียงรู้สภาวะเหล่านั้น รู้หน้าที่และบทบาทของมัน เท่าที่จิตรู้ในขณะนั้นก็พอ
ในทางปฏิบัติ เพื่อตัดข้อยุ่งยาก เราจึงมักสรุปย่อสภาวะทั้งหลาย
ลงเหลือเพียง ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ก็พอครับ
เมื่อรู้ชัดว่า อันใดเป็นผู้รู้ อันใดเป็นสิ่งที่ถูกรู้แล้ว
ไม่เพียงจะเห็นความเกิดดับของอารมณ์เท่านั้น
ยังเห็นกลไกการทำงานของจิตตามหลักของปฏิจจสมุปบาทด้วย
คือพบว่าเมื่อจิตรู้อารมณ์แล้ว เกิดเวทนาแล้ว
กิเลสจะแทรกตามเวทนา และกระตุ้นให้จิตเกิดตัณหาหรือความทะยานอยาก
จิตจะเคลื่อนออกยึดถืออารมณ์ เกิดภพขึ้น
แล้วก็เกิดตัวตนขึ้นมากระโดดโลดเต้นในภพนั้น
อย่างที่คุณสุรวัฒน์บอกว่าเห็นตัวตนนั่นแหละครับ
เมื่อปฏิบัติแล้วเห็นได้ขนาดนี้ ผมก็รู้สึกยินดีด้วยครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2542
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่