รู้ทันความอยาก
มีจุดหนึ่งที่ควรสังเกตเพิ่มเติมก็คือ
เวลาที่เราจะทำอะไร แล้วเกิดไปเห็นความอยากเข้า
เมื่อความอยากดับไปแล้ว เราก็ไม่ทำสิ่งนั้นเลย
อันนี้ยังไม่ถูกต้องนัก
การที่รู้ทันความอยากนั้นดีมากแล้ว
แต่เมื่อรู้แล้ว จะทำสิ่งนั้นหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้ามีเหตุผลสมควร เราก็ต้องทำ
เพราะการกระทำของผู้ปฏิบัตินั้น กระทำด้วยปัญญา เห็นเหตุผลความจำเป็น
ไม่ใช่ต้องมีความอยากจึงจะกระทำได้
ซึ่งพอดูๆ จนความอยากดับ เลยกระทำอะไรไม่ได้เลย
ม่ายยั้งงั้น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านคงนั่งแข็งทื่อไปหมดทุกองค์
เพราะท่านปราศจากความอยากเสียแล้ว
หากจะปฏิเสธการกระทำทุกสิ่ง เพราะไม่อยากทำตามความอยาก
ทั้งที่มีเหตุผลสมควรกระทำ
จะกลายเป็นทิฏฐิประเภทที่ว่า อะไรๆ ก็ไม่สมควรแก่เรา
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เห็นว่า
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความคิดปฏิเสธทุกรูปแบบนี้ ก็ไม่สมควรแก่เธอด้วย
อย่างการที่เราตั้งใจปฏิบัตินั้นก็เป็นความอยากเหมือนกัน
แต่มันมีเหตุผลสมควร เราก็ต้องทำ
และควรทำให้มาก ด้วยอิทธิบาท คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
โดยมี โยนิโสมนสิการ หรือการใช้สติปัญญาอย่างแยบคายเป็นผู้กำกับดูแลอยู่
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อวัน เสาร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2542
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่