Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร


แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร

สมัยที่ยังเป็นเด็ก เมื่อถูกคนอื่นแกล้งจนทำอะไรเค้าไม่ได้

 ก็จะชอบพูดออกไปว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”

แล้วก็อาจลากเสียงยาวต่ออีกว่า “โว้ย”

ตอนนี้เริ่มแก่แล้ว มานั่งนึกย้อนไปดูก็รู้สึกขำๆ อยู่ว่า

 ตอนนั้นเราพูดออกไปก็เพื่อปลอบใจตัวเอง

 เพื่อระบายความอึดอัดใจ

 หรือไม่ก็เป็นการเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนไปซะ

 เพราะไม่รู้หรอกนะว่า จริงๆ แล้วที่ว่า

“แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” เค้าหมายถึงอะไร

 

 แล้วตอนนี้ละ รู้หรือเปล่าว่า

“แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” เค้าหมายถึงอะไร

 เปล่า ไม่รู้หรอก

 ว่าแล้วไปค้นความหมายดูดีกว่า….

 

ไปดูหลายๆ ที่ ก็ได้ความหมายมาเหมือนๆ กัน

 เช่นจาก http://www.suphasitthai.com/ มีนำเสนอไว้ว่า

 สํานวนสุภาษิตนี้ หมายถึงการยอมคู่กรณีเพื่อไม่ให้มีเรื่องราวใหญ่โต

 แต่ถ้าหากไม่ยอมแพ้ก็จะมีปัญหาและเรื่องราวอาจจะบานปลาย

 ที่มาของสํานวน เป็นธรรมเทศนาที่มีกุศโลบายสอนให้คนรู้จักระงับความโกรธ

 โดยหากใช้ความอดกลั้นและยอมถอย ไม่ทะเลาะด้วย เรื่องราวร้ายๆก็จะไม่เกิด

 ถึงแม้จะเป็นฝ่ายแพ้ในการโต้เถียง แต่ก็ขึ้นชื่อได้ว่าประเสริฐนัก

 

 ได้ความหมายแล้ว รู้สึกว่า

“แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ในทางโลกได้ประโยชน์แค่นี่เอง

 ด้วยจริตเป็นคนชอบคิดมาก

 ก็เลยหลงคิดปรุงแต่งต่อไปเองอีกจนได้เรื่องว่า…

 

คนทั่วไป แม้จะเป็นคนดีสักแค่ไหน

 แม้จะยอมอะไรๆ เพื่อไม่ให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้นได้

 ก็ยังไม่ใช่พระจริงๆ หรอก

 ส่วนนักภาวนา แม้จะรักษาศีลได้ดีแค่ไหน

 ถ้ายังคิดอยากจะเอาชนะกิเลสตัณหาด้วยอุบายต่างๆนาๆ

 ก็ยังไม่ใช่พระจริงๆ เหมือนกัน

 เพราะผู้ที่มีจิตใจเป็นพระจริงๆนั้น จะไม่คิดเอาชนะสิ่งใด

 มีแต่มารนั่นแหละที่มันคิดแต่จะเอาชนะทุกสิ่งอย่าง

 ฉะนั้นหากเรายังคิดอยากเอาชนะกิเลสตัณหาต่างๆ ล่ะก็

 เราเองนั่นแหละที่กำลังเป็นมารอยู่

 

 ทางที่จะทำให้เราเป็นพระขึ้นมาจริงๆ นั้น

 เราต้องไม่คิดอยากจะเอาชนะกิเลสตัณหาต่างๆ

 แต่ก็ไม่ใช่จะยอมแพ้ยอมอยู่ใต้อำนาจมันตลอดไป

 เพราะการยอมแพ้กิเลสตัณหาก็ยังไม่ใช่ว่าแพ้แล้วจะเป็นพระ

 เราต้องฝึกฝนตัวเอง หัดที่จะมีสติ หัดที่จะรู้สึกตัว

 แล้วหัดแค่รู้แค่ดูกิเลสตัณหามันไป จนเกิดปัญญาเห็นความจริงว่า

 กิเลสตัณหาต่างๆ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป

 เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้

 เป็นสิ่งไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นของตน

 ด้วยความเข้าใจเพียงเท่านี้เอง

 ที่จะทำให้เราสามารถเป็นพระขึ้นมาจริงๆ ได้.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

(Visited 493 times, 1 visits today)

Comments are closed.