Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ใจที่เข้าถึงความเป็นกลางจะเลิกดิ้น ใจที่ไม่ดิ้นใกล้กับมรรคผลนิพพาน

mp 3 (for download) : ใจที่เข้าถึงความเป็นกลางจะเลิกดิ้น ใจที่ไม่ดิ้นใกล้กับมรรคผลนิพพาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ใจที่เข้าถึงความเป็นกลางจะเลิกดิ้น ใจที่ไม่ดิ้นใกล้กับมรรคผลนิพพาน

ใจที่เข้าถึงความเป็นกลางจะเลิกดิ้น ใจที่ไม่ดิ้นใกล้กับมรรคผลนิพพาน

หลวงพ่อปราโมทย์: บางวันก็สุขบางวันก็ทุกข์นะ ไม่ใช่ภาวนาเอาสุขทุกวัน ไม่เอาสงบทุกวัน เอาดีทุกวันไม่ใช่

ภาวนาเพื่อให้เห็นความจริง ความสุขก็ไม่เที่ยง ความสงบก็ไม่เที่ยง กุศลทั้งหลายก็ไม่เที่ยง ภาวนาให้เห็นของจริง แรกๆ พอไปเห็นว่าความสุขก็ไม่เที่ยง ไม่ยอมรับ ไม่ชอบอยากให้เที่ยง ก็ดิ้นใหญ่เลย เห็นว่าความสงบไม่เที่ยงก็ไม่ยอมรับนะอยากให้เที่ยง เห็นว่ากุศลทั้งหลายไม่เที่ยงไม่ยอมรับ อยากให้เที่ยง ใจเราไปอยากในของที่ไม่มีจริง ใจอย่าดิ้น ดิ้นเหนื่อยเปล่า

ใจเรามีสติตามรู้กายตามรู้ใจไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ของเป็นทุกข์ ของบังคับไม่ได้ทั้งหมด ความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศล อกุศลก็ชั่วคราว ถ้าเห็นอย่างนี้นะใจจะเป็นกลาง เมื่อไรใจเข้าถึงความเป็นกลางใจก็เลิกดิ้น ไม่ดิ้นแล้ว ใจที่ไม่ดิ้นเนี่ยใกล้กับมรรคผลนิพพาน เพราะนิพพานเป็นความไม่ดิ้นเรียกว่าวิสังขาร ไม่ดิ้น นิพพานไม่มีความอยาก ไม่มีความหิวเรียกว่าวิราคะ ใจมันเต็มอิ่มไม่ดิ้น ก็ใกล้ถึงนิพพาน ฉะนั้นเราภาวนาไปจนใจเราเป็นกลาง

หลวงปู่เทสก์เคยสอนหลวงพ่อนะ บอก “ผู้ใดเข้าถึงความเป็นกลางจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”

เข้าถึงความเป็นกลาง เป็นกลางมีหลายแบบ เป็นกลางเพราะสมถะ อันนี้ไม่พ้นทุกข์หรอก พ้นชั่วคราว ใจเป็นกลางเพราะสมถะเป็นอุเบกขา อีกอัน เป็นกลางเพราะปัญญา ตัวนี้ตัวสำคัญเป็นกลางเพราะวิปัสสนา เห็นสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีชั่วก็ชั่วคราว เป็นกลาง ใจไม่ดิ้น ตอนนี้ดูไปก็ยังดิ้นไปนะ ธรรมดา ดูไปมากๆ ดูไปก็ไม่ใช่เราหรอก ก็ไม่ดิ้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๙
File: 491118A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปัญญามี ๓ ขั้น

mp 3 (for download) : ปัญญามี ๓ ขั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปัญญามี ๓ ขั้น

ปัญญามี ๓ ขั้น

หลวงพ่อปราโมทย์: การปฏิบัติมีสองอัน อันหนึ่งทำจิตให้สงบ อันหนึ่งทำจิตให้เกิดปัญญา เห็นความจริง

ทำจิตให้สงบเนี่ย ทำใจให้สบายก่อนแล้วก็ไปรู้อารมณ์อันเดียว สบายๆ เช่นรู้พุธโธ รู้ลมหายใจ สบายๆ อย่าอยากสงบนะ ทำใจให้สบายแล้วแป๊บเดียวจะสงบ นี่เคล็ดลับนะ

ส่วนการจะทำให้จิตรู้ความจริง เราต้องตามดูจิตใจของเราไปเรื่อย ไม่ไปบังคับเขา แล้วเราจะเห็นเลยจิตทำงานทั้งวันทั้งคืน จิตฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็ฟู เดี๋ยวก็แฟบ รู้สึกใช่ไหม ให้ตามรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง ตามรู้จนวันนึงเกิดปัญญาเห็นความจริงว่าจิตที่ทำงาน ฟูบ้างแฟ่บบ้างนะ เขาทำของเขาเอง เขาไม่ใช่ตัวเรา

ถ้าวันใดจิตใจยอมรับความจริงว่าจิตไม่ใช่เรานะ เราจะเข้าถึงธรรมะ ธรรมะก็คือตัวความจริงนั่นเอง ความจริงเบื้องต้นก็คือ ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ห้าเนี่ยถ้าเข้าไปหยิบฉวย เข้าไปยึดถือจะเป็นทุกข์ อันนี้ยังไม่เห็น แล้วขั้นสุดท้ายเป็นปัญญาขั้นสุดท้าย ขันธ์ห้านี่แหละเป็นตัวทุกข์

เพราะฉะนั้น ปัญญามีหลายขั้น ปัญญาเบื้องต้นเราก็เห็นว่าขันธ์ห้ามันทำงานของมันได้เอง ไม่ใช่ตัวเรา

ปัญญาขั้นกลางก็เห็นว่าถ้าใจเข้าไปหยิบฉวยขันธ์ห้าไว้ จิตจะเป็นทุกข์ ถ้าไม่หยิบจิตจะไม่ทุกข์

และปัญญาขั้นสุดท้ายเลย ปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ขันธ์ห้าหรือตัวจิตนี่แหละตัวทุกข์ จะอยากหรือไม่อยาก จะยึดหรือไม่ยึด ขันธ์ห้านี่และตัวทุกข์

ฉะนั้นปัญญาในทางพุทธศาสนา แบ่งเป็นชั้นๆ เป็นลำดับๆ ปัญญาแต่ละชั้นฟังเหมือนขัดๆ กัน ความรู้ความเข้าใจของเราที่เกิดขึ้น จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่อยๆปรับ ค่อยๆเปลี่ยนไป ตามประสบการณ์ที่มากขึ้นๆ

ยกตัวอย่างเราภาวนาพอสติเราเกิดเรารู้ ถ้าเมื่อไรใจของเรารู้ ตื่น เบิกบาน มีความสุข ใจเราหลงไปคิดเป็นเรื่องไปปรุงไปแต่ง ใจจะมีความทุกข์  เราก็เข้าใจธรรมะ เข้าใจระดับนึง เมื่อใดเข้าใจว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์ล้วนๆ จะปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่ง จะอยากจะยึดหรือไม่ก็ทุกข์ อันนี้เรียกว่ารู้ทุกข์

ถ้าเมื่อไรรู้ทุกข์ เมื่อนั้นจะถึงธรรม เรียกว่าสิ้นโลกเหลือธรรม ถ้ารู้ว่าขันธ์เป็นทุกข์นะ มันจะวางขันธ์ลงไป ไม่ยึดถือขันธ์ สิ้นโลกเหลือธรรม เหลือธรรมะล้วน ๆ ธรรมะล้วน ๆ มีแต่ความเที่ยง ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่เคยหายไป ธรรมะล้วน ๆ มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ธรรมะล้วน ๆ เราไม่ได้เข้าไปครอบครอง เป็นอนัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๙
File: 491118A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในกายในใจ คือครูที่จะสอนเรา

mp 3 (for download) : สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในกายในใจ คือครูที่จะสอนเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในกายในใจ คือครูที่จะสอนเรา

สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในกายในใจ คือครูที่จะสอนเรา

หลวงพ่อปราโมทย์: การปฏิบัติค่อย ๆ ศึกษาไปนะ คอยดูของจริงในใจของเราไปเรื่อยๆ ไม่มีใครสอนธรรมะเราได้ แต่สภาวธรรมที่ผุดขึ้นมาในกายในใจ อันนี้แหละคือครูที่จะสอนเรา คนอื่นสอนไม่ได้ หลวงพ่อก็สอนไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ยังบอกว่า ท่านเป็นแค่คนบอกทาง บอกทางก็คือให้มารู้กาย รู้ใจ เรียกว่ารู้ทุกข์นะ ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็ละสมุหทัย ละสมุหทัย จิตก็ไม่ดิ้นรน เข้าถึงสันติสุข เรียกว่า นิโรธหรือนิพพาน นี่ท่านบอกทางให้ เราก็มีหน้าที่เดินทางไปเอง แล้วไปเรียนรู้ของจริงเอาเอง ธรรมะน่ะของใครของมันนะ ธรรมะที่หลวงพ่อพูดให้ฟังก็ธรรมะของหลวงพ่อ ของเราก็ต้องมีธรรมะเฉพาะตัวของเราเอง ไม่ลอกเลียนแบบกัน ดูจากของจริง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๙
File:
491118A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

mp 3 (for download) : อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด

หลวงพ่อปราโมทย์: อริยสัจจ์น่ะสำคัญที่สุดเลย แต่ก่อนดูข้ามๆไปนะ รู้สึกตื้นๆ รู้สึกปฏิจจสมุปบาทอะไรเนี่ย แหมลึกซึ้ง ลึก น่าสนใจกว่าอริยสัจจ์ จริงๆถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจจ์นะ ก็เกิดอีก สำคัญมากเลย

ถ้าเห็นอริยสัจจ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม เห็นในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทมันทำให้เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นคราวๆ มันละสักกายทิฏฐิ

แต่ถ้ารู้แจ้งลงมาในรูปในนามได้นะ เรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจจ์ ถึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทไม่เท่ากัน บางองค์ท่านสาวไปแค่วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป และก็วกกลับมานามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ พระวิปัสสี  พระสิขี พระเวสภู  อะไรพวกนี้ท่านดูแค่นี้ พระพุทธเจ้าเราสาวไปถึงอวิชชา ความจริงปัจจัยของอวิชชามีอีกอันหนึ่ง คืออาสวะ นี้ท่านไปถึงอวิชชาท่านกลับมา

อริยสัจจ์นะ ยิ่งศึกษายิ่งสนุก ลึก ลึก จริงๆ ตอนเราเด็กๆ เราก็นึกว่าเข้าใจ อ่าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้ว ตอนบวชอยู่วัดชลประทานนะไปสวดมนต์แปลบอก ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ใช่คนเกิดคนแก่หรอกเป็นทุกข์ กลายเป็นว่ารูปนามมันเป็นทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้วนะ รูปนามเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราเป็นทุกข์

เวลาภาวนาปฏิบัติไป ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะ เห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ไม่ได้เห็นว่าเป็นทุกข์หรอก  ภาวนากันนาน ๆ เมื่อไรเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ล้วนๆ ได้นะ มันบอกจะวางแล้ว วาง มันวางได้ด้วยปัญญาจริงๆ คำว่า“ปัญญา”ก็คือการที่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์นั่นแหละ

เราต้องพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเห็นเอง แกล้งทำให้เห็น ไม่เห็นหรอก ถ้าคิดจะทำให้เห็นนะ มันเจือด้วยความคิดแล้ว มันตกจากวิปัสสนาแล้ว

ช่วงที่เราภาวนาไป เราก็จะไม่รู้ว่าเราขาดอะไรมั่ง รู้สึกอย่างเดียวว่าความรู้ยังไม่พอ ยัง ลึกๆ จะรู้สึกตลอดเลยว่ายังรู้ไม่พอ ยังรู้ไม่พอ ถามว่าไม่รู้อะไรตอบไม่ถูก จนภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ถึงจะรู้ว่า อ้อ ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นเอง ตราบใดที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นะ ข้ามภพ ข้ามชาติไม่ได้นะ

อริยสัจจ์ลึกที่สุดเลย อย่างเราไม่สามารถเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ยังนึกว่ารู้อริยสัจจ์นะ ไม่รู้จริงหรอก หรือเราคิดว่ามีสมุทัย มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์  คนทั่วๆไปไม่ได้รู้สึกว่ามีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ได้มีความอยากแล้วทุกข์ไม่ใช่   คนทั่วๆไปรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ ถ้าสมอยากแล้วไม่ทุกข์หรอก มีตัณหาแล้วสนองตัณหาได้ไม่ทุกข์ มันตื้นนะตื้นมากๆ

แต่ว่าพอเราลงมือภาวนาดูจิต ดูใจตนเองออก เราเห็นทันทีเลย ทันทีที่จิตเกิดตัณหาเกิดความอยาก เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะหมุนติ้วๆนะ มันทำงาน จิตทำงานเรียกว่าภพ “ภพ” คำเต็มๆ ของภพคือ กรรมภพ นั่นเอง จิตมันทำงานขึ้นมา มันก็มีความทุกข์ขึ้นมา มันมีทุกข์เพราะมันมีภาระ ภาวนามากเข้าๆเลยถึงจะเห็น ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์นะ จะสมอยากหรือไม่สมอยากก็ทุกข์แล้ว จะเห็น

เราก็นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้วนะ เพราะว่าท่านบอกสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ลึกๆ ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมท่านเริ่มด้วยทุกข์ก่อน ท่านน่าจะสอนอริยสัจจ์ ๔ เริ่มด้วยสมุทัย และสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ น่าจะสอนสมุทัยก่อนว่า ถ้ามีตัณหาแล้วจะทุกข์ ตัวทุกข์ก็ไม่พูดเรื่องตัณหา ตัวทุกข์ กลับไปพูดเรื่องขันธ์ งั้นอริยสัจจ์ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆเลย

นี้พอเราภาวนามาถึงจุดที่เราเห็นว่าถ้ามีตัณหา มีสมุทัยก็มีทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจที่จริงยังไม่เข้าใจ เราจะเข้าใจอริยสัจจ์ต่อเมื่อเราภาวนาไปถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่รู้ทุกข์ถึงจะเกิดสมุทัย ถ้าไม่รู้ทุกข์นะถึงจะเกิดสมุทัย ของเราคิดว่าถ้ามีสมุทัยจึงเกิดทุกข์ มันตื้นอยู่อีกชั้นนึง งั้นท่านถึงเอาทุกข์ขึ้นก่อน บอกทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ เมื่อไรรู้ทุกข์แล้วเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อไรละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ

ธรรมท่านเรียงร้อยได้สวยงามตรงกับการปฏิบัติ ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อให้คิดแบบนักปรัชญา ถ้าสอนอย่างนักปรัชญาก็จะเริ่มจากสมุทัย ท่านสอนจากการปฏิบัติ ปฏิบัติให้รู้รูปนามให้รู้ทุกข์ งั้นจุดเริ่มต้นคือให้รู้ทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์แจ้ง เห็นว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เราแล้ว  คืนขันธ์ให้โลก  คืนขันธ์ให้ธรรมชาติไป  ตัณหาหรือสมุทัยจะดับอัตโนมัติ จะไม่เกิดแล้ว ถ้ายังไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเนี่ย ตัณหาจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ มีอวิชชาอยู่ตัณหายังเกิดอีก มันเกิดเป็นระยะ ระยะไป

ตัณหาคืออะไร พูดง่าย ๆ เลยตัณหาก็คือความอยากให้ขันธ์นี้มีความสุข ความอยากจะให้ขันธ์นี้พ้นจากทุกข์ ทำไมมีความอยากอันนี้ขึ้นมา ก็เพราะมีความสำคัญมั่นหมายว่าขันธ์นี้คือเรา เราคือขันธ์ ฉะนั้นถ้าภาวนาจนเห็นว่า ขันธ์ไม่ใช่เราหรอก นี่กำลังเหยียบประตูไปสู่นิพพานแล้ว ได้โสดาบัน ดูต่อไปจนวางขันธ์ได้ พอวางขันธ์ได้แล้วสมุทัยหายไปเองนะ ไม่เกิดอีกว่าขันธ์ไม่ใช่เราแล้วจะไปอยากให้มันมีความสุขทำไม จะอยากให้มันพ้นทุกข์ทำไม ฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นจะละสมุทัย

ทันทีที่ละสมุทัย จิตจะเข้าถึงธรรมอีกชนิดหนึ่งคือพอเราวางความยึดถือจิต สลัดจิตคืนเรียก ปฏินิสสัคคะ สลัดรูปนามคืนคืนเจ้าของเดิมคือ  คืนโลกไปพอสลัดคืนไปแล้วเนี่ย ภาระที่จะต้องทำงานให้รูปนามมีความสุข พ้นทุกข์ ไม่มีอีก จิตใจเลยเข้าถึงสันติสุข เข้าถึงสันติสุข สันติสุขนั่นแหละคือนิพพาน

นิพพานมันไม่ได้อยู่ไกลนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เมื่อไรจิตมันสิ้นตัณหา เพราะมันรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง คืนกาย คืนใจ คืนขันธ์ให้โลกไปแล้วเนี่ย เมื่อนั้นจะเห็นนิพพานต่อหน้าต่อตาไม่ได้ยากอะไร เราไปวาดภาพนิพพานเอาไว้ซะไกลเลย คิดว่าต้องภาวนาอีกแสนๆ ชาติถึงจะเจอ ถ้าอย่างนั้นอีกแสนชาติ ยังไม่เจอ ยังมีความเห็นผิดอยู่

นิพพานจริงๆ พูดให้ง่ายๆ นิพพานจริงๆ คือความสิ้นตัณหาหรือวิราคะ จิตของเรามีตัณหาย้อมอยู่ตลอดเวลานะ  เดี๋ยวอยากดู  เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากได้กลิ่น เดี๋ยวอยากได้รส เดี๋ยวอยากได้โผฏฐัพพะที่ดีนี่  เดี๋ยวอยากได้ธรรมารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจอยากตลอดเวลา ความอยากนะหมุนอยู่ในอายตนะทั้ง ๖ ในเวลาเราภาวนานะ

แต่เดิมเราคิดว่าตัณหามี ๓ ตัว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา พอลงมือภาวนาจริง ๆ เราเห็นตัณหา ๖ ตัว เรียกว่ารูปตัณหา ความอยากได้รูป สัททตัณหา อยากได้ยินเสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สัมผัสที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดี   อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดีเรียกว่า “ธรรมตัณหา”  ชื่อเพราะนะธรรมตัณหา “อยาก”  เช่นอยากรู้เรื่อง ก็คิด ๆ คิดไปนี่เรียกว่ามีธรรมตัณหา

พอจิตมันมีตัณหาขึ้นมาในอายตนะ ๖ มันก็เกิดการทำงานขึ้นมาที่จิต จิตก็หมุนจี๋ๆๆ ขึ้นมานะ ทำงานเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าเราคอยรู้คอยดูนะ โอ้ วันหนึ่งละความยึดถือในกายในจิตได้ตัณหาจะไม่เกิดอีก ตัณหาไม่เกิดอีกนะ ภพก็ไม่เกิดขึ้น การทำงานทางใจไม่มีขึ้น ความจะไปหยิบฉวยเอารูปเอานามคือชาตินี้ขึ้นมาอีกก็ไม่มี ความทุกข์ไม่มี

ความทุกข์ไม่มีเพราะไม่มีขันธ์ ขันธ์นี้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ด้วย เป็นตัวทุกข์ด้วยนะ ความทุกข์เมื่อจะตั้งก็ตั้งอยู่ในขันธ์ ตั้งอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง และตัวขันธ์ หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ตัวมันก็เป็นตัวทุกข์นะ

งั้นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนลึกนะ ลึกมาก แต่ว่ามีสติดูจิตลูกเดียวนั่นแหละจะเข้าใจได้ทั้งหมด 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๖
File: 491106.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูพัฒนาการทางจิตใจ ห้ามดูรายวัน ต้องดูรายไตรมาส

mp 3 (for download) : ดูพัฒนาการทางจิตใจ ห้ามดูรายวัน ต้องดูรายไตรมาส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูพัฒนาการทางจิตใจ ห้ามดูรายวัน ต้องดูรายไตรมาส

ดูพัฒนาการทางจิตใจ ห้ามดูรายวัน ต้องดูรายไตรมาส

โยม : ขอเรียนถามหลวงพ่อหน่อยครับ คือช่วงนี้ ไม่ทราบว่าสภาวะจิตของผมเป็นยังไงบ้างครับ มันเลวร้ายมากรึเปล่าครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่เลวร้ายนะ ถ้าพูดตรงไปตรงมา สภาวะตอนนี้ดี แต่ก่อนนี้อึดอัดรู้สึกมั้ย แน่นกว่านี้เยอะเลย แต่ก่อนเพ่งลูกเดียว แล้วมีทิฏฐิด้วยว่า มีทฤษฎีน่ะ ทิฏฐิ คือทฤษฎี ว่าต้องเพ่ง ที่นี้เราคอยรู้สึกเอา รู้สึกเอา ทีแรกหลวงพ่อบอกให้รู้สึกตัวนะ ยังไม่มั่นใจ ต้องภาวนา ต้องมีรูปแบบ ต้องเพ่งไว้ กำหนดไว้ ตอนนี้ใจมันเริ่มคลายออก เริ่มเป็นความรู้สึกตัว ที่ภาวนาตอนนี้ถือว่ามีพัฒนาการนะ อย่างเวลาเราดูพัฒนาการทางจิตใจนี่ ห้ามดูรายวัน ต้องดูรายไตรมาส ดูแบบสภาพัฒน์นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๑๐
File: 491118B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๓๙ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ชัด มีความหมาย ๒ นัยยะ

mp 3 (for download) : รู้ชัด มีความหมาย ๒ นัยยะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้ชัด มีความหมาย ๒ นัยยะ

รู้ชัด มีความหมาย ๒ นัยยะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จริงๆไม่ได้ยากนะ ง่าย! เราไม่สามารถเห็นสภาวะได้ เราก็ชอบไปคิดว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้… เข้าใจผิด คิดว่าต้องเดินท่านั้น ต้องนั่งท่านี้ ต้องหายใจอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ท่านสอนแค่ว่านั่งอยู่ก็รู้ชัด ยืนอยู่ก็รู้ชัด เดินอยู่ก็รู้ชัด

คำว่า “รู้ชัด” ไม่ได้แปลว่ารู้ชัด ๆ รู้ชัดหมายถึงสองอย่าง อันแรกเลยรู้ว่ารูปนี้เคลื่อนไหว เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหว อันที่สองรู้ชัดถึงความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนั้น รู้ว่าไอ้ตัวที่เดินอยู่ไม่ใช่เราหรอก วัตถุมันกำลังเคลื่อนไหว

ยกตัวอย่าง หายใจเข้า หายใจออก ก็คอยรู้ รู้ว่าอันแรกก็รู้ว่าตอนนี้มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก การหายใจเข้าหายใจออกนี่มีสติรู้ มีปัญญาเข้าใจว่า ไอ้สิ่งที่ไหลเข้าไหลออก ไม่ใช่เราหายใจนะ ธาตุมันกระเพื่อม ธาตุมันไหว ธาตุมันไหลเข้า ธาตุมันไหลออก นี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์อะไร

เพราะฉะนั้นที่ว่าให้รู้ ให้รู้นี่ มันจะคลุมนัยยะ ๒ อย่าง

(๑) อันหนึ่ง มีสติรู้สภาวะ เช่นยืน เดิน นั่ง นอน หายใจเข้า หายใจออก มีสติระลึกรู้

(๒) มีปัญญาเข้าใจลักษณะของ รูปธรรมนามธรรมนั้น เช่นเราเข้าใจอย่างเราขยับ เราจะรู้สึกเลย ถ้าเรารู้สึกถูกต้องนะ ใจจะโปร่งๆ ไม่มีน้ำหนักนะ ถ้าใจเกิดมีน้ำหนักขึ้นมานี่…ของปลอม รู้ปลอม ถ้ารู้ถูกต้องใจจะไม่มีน้ำหนัก จะรู้สึกถึงความไหวอยู่ แล้วก็มีปัญญารู้ด้วย นี่แค่รูปเท่านั้นเอง รูปมันเคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่คิดเอานะ เป็นความรู้สึก…วิปัสสนารู้สึกเอา ไม่ได้คิดเอา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันเสารที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๑๐
File:
491118B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด

mp 3 (for download) : สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด

สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงที่เราบอกว่าเราฟังธรรมเข้าใจเนี่ย   ความจริงไม่ได้เข้าใจด้วยการฟัง แต่เข้าใจด้วยการคิดเอาเอง การคิดเอาเองของเราเนี่ย  คิดถูกก็ได้  คิดผิดก็ได้ งั้นธรรมที่ฟัง ๆ เอานะยังใช้ไม่ได้ ฟังเอาพอเป็นแนว เพื่อจะมารู้กาย รู้ใจ  ศัตรูของการรู้กาย รู้ใจ  เบอร์หนึ่งเลยคือการที่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด ลืมกาย ลืมใจที่เป็นปัจจุบัน รู้สึกไหม ขณะที่เราคิดไปเนี่ย เรานั่งอยู่เราก็ลืมไป จิตใจเราเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกุศล อกุศล เราก็ไม่รู้ นึกออกไหม   เนี่ยอย่างขณะนี้ลืมกาย ลืมใจแล้ว ตรงที่ไหลแว๊บไป

เพราะฉะนั้นตราบใดที่คุณยังคิดไม่เลิกนะ  คุณไม่ได้ทำวิปัสสนาแน่นอน แล้วมันเป็นศัตรูด้วย   หลวงพ่อเลยไม่ส่งเสริมให้มานั่งคิดนั่งถามนะ ที่สงสัยได้เพราะคิดมาก   คิดมากก็สงสัยมาก สงสัยแล้วอยากถาม ถามไปแล้วก็จำเอาไว้แล้วหรือเอาไปคิดต่อ นะ มันจะเวียนไปอย่างนี้เรื่อย ๆ  วิปัสสนาจริง ๆ ไม่ใช่การคิด วิปัสสนาจริงๆ ในอภิธรรมสอนนะเริ่มจากตัวอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณเนี่ยมันเห็นความเกิดดับของรูปนามนะ แล้วระบุไว้ด้วยว่า ต้องพ้นจากความคิดด้วย ถ้ายังเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิดเอา เช่นคิดเอาว่าจิตตะกี้กับจิตเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เนี่ยแสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ นี่ได้แค่สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นยังตราบใดที่ยังคิดอยู่ไม่ใช่วิปัสสนา

หลวงพ่อพุธเคยสอนนะบอกว่า “สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด” ความคิดเนี่ยคือศัตรูเบอร์หนึ่งเลย   มันทำให้เราลืมกายลืมใจตัวเอง ส่วนศัตรูเบอร์สองคือการที่บังคับกาย บังคับใจ นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยคือนักบังคับกาย บังคับใจ   เพ่งเอา ๆ นะ กำหนดเอา ๆ กายก็ทื่อ ๆ ใจก็ทื่อ ๆ  ถ้าเราบังคับกาย บังคับใจ จนมันทื่อ ๆ ไปแล้วไตรลักษณ์มันจะไปอยู่ที่ไหน มันไม่แสดงตัวขึ้นมา

ศัตรูของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอันแรก  หลงไป เผลอไป ขาดสติ ลืมเนื้อ ลืมตัว ตามใจกิเลสไปนี้เรียกว่า  อกุศลาภิสังขารมั่ง   อปุญญาภิสังขารมั่ง   เรียกว่า  กามสุขัลลิกานุโยคบ้าง มีหลายชื่อ

ศัตรูหมายเลขสองคือการเพ่งกาย เพ่งใจ บังคับกาย บังคับใจ กำหนดกาย กำหนดใจ ควบคุมไว้ ทำกายทำใจให้ลำบากอันนี้เรียกว่า  ปุญญาภิสังขาร  ความปรุงแต่งฝ่ายที่เป็นบุญ  เรียกว่า กุศลาภิสังขาร ความปรุงแต่งที่เป็นกุศลเรียกว่า  อัตตกิลมถานุโยค  การบังคับตัวเอง

เนี่ยสองทางนี้แหละเป็นทางสุดโต่งสองด้านที่พระพุทธเจ้าห้าม ถ้าเรายังไปทำส่วนใหญ่ไปทำอย่างนั้นเองคือไปเพ่งเอา กำหนดเอา ใจแข็ง  ทื่อ ๆ จ้องเอาไว้ ๆ นั่นไม่ใช่การเจริญสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๖
File: 491106.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

mp 3 (for download) : การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

หลวงพ่อปราโมทย์: พอได้ยินหลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิตตัวเองนะ ก็มาหัดดู ตอนนั้นรับราชการอยู่สำนักนายกฯ อยู่สำนักนายกฯใกล้ๆกับอาจารย์มานิตย์นี้แหละ ตึกใกล้ๆกัน ทุกวันนะ ตั้งแต่ตื่นนอน หัดภาวนา ตื่นนอนมา แค่ตื่นนอนนะ แล้วนึกว่าวันนี้วันอะไรนะ ใจเรายังเปลี่ยนเลย เนี่ยการภาวนาไม่มีอะไรหรอก ฝึกอยู่ในชีวิตจริงๆของเรานี้ ไม่ใช่ต้องนั่งหลับหูหลับตาไปฝึกในป่าในเขาอะไร ไม่ต้องหรอก

การภาวนาคือการเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจ อยู่ที่ไหนมันก็มีกายมีใจ ใช่มั้ย ไม่ใช่ว่ามาอยู่ที่นี่ ไม่มีกายไม่มีใจ ต้องไปอยู่ที่วัดถึงจะมีกายมีใจ ไม่ใช่ อยู่ตรงไหนก็มีกายมีใจ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัติคือการเรียนรู้ความจริงของกายของใจ

ทีนี้ตื่นนอนมา หลวงพ่อรับราชการนะ ตื่นมา นึกได้ วันนี้วันจันทร์ ใจแห้งแล้ง นึกได้ว่าวันนี้วันศุกร์ ใจสดชื่น เรารู้ทัน ใจแห้งแล้งเราก็รู้ ใจสดชื่นเราก็รู้ นึกได้ว่าวันศุกร์นะ โอ๊.. ปรีด์เปรมมากเลย นึกได้ไปอีกนะ Long Weekend ด้วย สดชื่นมากกว่าปกติอีก ใครเป็นบ้าง มีมั้ย เป็นทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ไม่ยอมยกมือ ทำให้ดูว่าขยันทำงาน พอนึกได้ว่าวันศุกร์นะ จิตใจสดชื่น ดูไปดูมา เฮ้ย..จำวันผิด วันนี้วันพุธ ความสุขพลิกเลย ใจก็ทุกข์ขึ้นมา เห็นเลย ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา เนี่ยคอยดูอย่างนี้

เวลากินข้าวเราก็ภาวนาได้นะ เรากินข้าว สมมุติว่าเราเดินไปโรงอาหาร โอ้..วันนี้มีแต่ของโปรด จิตใจมีความสุข รู้สึกมั้ย วันนี้เจอแต่ของที่เราไม่ชอบ แม่ค้าพวกนี้ขาด Innovation ไม่ได้เรื่องเลยนะ ทำอาหารเหมือนกันทุกวันเลย ล้วนแต่ของที่เราไม่ชอบ พอเห็นแล้ว ใจเราก็ไม่ชอบ เนี่ยรู้ทันที่ใจเรานะ ไม่ใช่รู้ว่าวันนี้มีอาหารอะไรนะ ไม่ใช่รู้ว่าวันนี้มี แกงเป็ด แกงไก่ แกงปลาไหล ฉู่ฉี่ อะไรอย่างนี้

ให้รู้ความรู้สึกของเรา เช่น เห็นอย่างนี้ เห็นอาหารอย่างนี้ ใจเรารู้สึกอย่างนี้ ได้กลิ่นอาหารอย่างนี้ ใจเรารู้สึกอย่างนี้ รู้ที่ใจ รู้ความรู้สึกที่ใจ เนี่ย คือการเจริญสติในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่นั่งหลับหูหลับตาอยู่ที่ไหนเลยนะ ใช้ชีวิตอยู่ตรงไหนก็ภาวนามันที่นั้นแหละ

เพราะฉะนั้นเราเดินไป เราเห็นอาหารอย่างนี้ ใจเรารู้สึกอย่างไร เรารู้ทันนะ กินเข้าไป โอ๊ย.. นี่ของโปรดทั้งนั้นเลย ตักใส่ปาก ไม่อร่อยเลย นึกว่าจะอร่อย ใครเคยเป็นมั้ย เห็นของโปรด ตักใส่ปากเข้าไปแล้ว มันไม่อร่อย รู้สึกอย่างไร ปลื้มใจ ได้กินของไม่อร่อย ไม่เป็นใช่มั้ย รู้สึกอ๊า..แย่จังเลย แม่ครัวคนนี้ ไม่ได้เรื่อง อะไรอย่างนี้ ใจไม่ชอบ รู้ทันว่าใจไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันใจของเรา

ออกจากที่ทำงานของเราไป หรือจะมาที่ทำงาน ตอนเช้าๆ รถติดเยอะ รถติดเยอะแยะ วันนี้ออกจากบ้าน ขับรถออกมา เจอแต่ไฟแดง รู้สึกอย่างไร เจอไฟแดงรู้สึกอย่างไร เซ็งใช่มั้ย เดี๋ยวก็แดงๆ มีแต่ไฟแดงตลอดวันอะไรอย่างนี้ เบื่อมากเลย ถ้าวันไหนเจอแต่ไฟเขียว สดชื่น เห็นไฟเขียวดีใจๆ วิ่งๆวิ่งๆ แหมไฟยังเขียวอยู่ แดงปุ๊บขึ้นมา ไฟเหลืองก็ต้องรีบเร่งต่อไป ใช่มั้ย เกิดแดงขึ้นมาแล้วตำรวจมันยืนอยู่ เราก็ต้องเบรค หันไปดูอีกที อุ๊ยตำรวจตัวปลอม เดี๋ยวนี้คนกรุงเทพฯมันหลอกลวงนะ มันมีตำรวจตัวปลอมเยอะเลยนะ ตำรวจตัวปลอมกับตำรวจตัวจริงต่างกันตรงไหน ดูออกมั้ย ดูที่พุงสิ นะ ตำรวจตัวจริงนะจะอ้วนกว่าตำรวจตัวปลอม ถ้าติดไฟแดงเป็นคันแรกรู้สึกอย่างไร โห..โมโหเลย บางที ใช่มั้ย ถ้าติดเป็นคันที่ ๒๐ รู้สึกอย่างไร สบายกว่า รู้สึกมั้ย ถ้าติดเป็นคันที่ ๘๐ คันที่ ๑๒๐ เฉยๆ ไฟเขียวก็ยังเฉยอยู่ รู้ว่าไม่รอดหรอก เนี่ยเราคอยรู้ความรู้สึกของเรา เนี่ยแหละคือการปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงๆ

อย่าไปคิดนะว่าการปฎิบัติธรรมในชีวิตธรรมดาเนี่ย ไม่มีผลอะไร จะแตกหักกันนะ จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้หรือเปล่า อยู่ที่ว่าเราปฎิบัติธรรมในชีวิตจริงๆของเราได้หรือเปล่า คนๆหนึ่งจะไปนั่งสมาธิ จะไปเดินจงกรมได้วันละกี่ชั่วโมง ชีวิตส่วนใหญ่ของเรา ก็คือชีวิตที่อยู่กับโลกธรรมดานี้ต่างหากล่ะ

เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกปฏิบัติได้เฉพาะตอนเข้าวัด เข้าคอร์ส ตอนนั่งสมาธิ ตอนเดินจงกรม โอกาสที่จะปฏิบัติมันมีนิดเดียว ปีหนึ่งจะมีสักกี่ครั้ง วันหนึ่งจะมีสักกี่ชั่วโมง กี่นาที แต่เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน เราโยนทิ้งเสียเปล่าๆ หลวงพ่อไม่โยนทิ้งเลยนะ ยกตัวอย่างแต่ก่อนนี้ ตอนที่รับราชการใหม่ๆ ยังไม่มีรถขับหรอก ขึ้นรถเมล์ พอตอนเช้าออกมาที่ป้ายรถเมล์ปุ๊บ เห็นผู้ร่วมชะตากรรมพอๆกับคนในห้องนี้ สดชื่นมั้ย เพื่อนเยอะ ไม่สดชื่นเลยใช่มั้ย เซ็ง เฮ่อ อย่างนี้จะไปได้ไง เซ็งรู้ว่าเซ็ง เห็นรถเมล์วิ่งมาแล้ว ปุเลงๆ อุ๊ย..คันนี้ว่าง ดีใจ มันไม่จอด เปลี่ยนจากดีใจเป็นโกรธ ความจริงที่มันว่างเพราะมันไม่ชอบจอด ถ้ามันชอบจอดมันคงไม่ว่างหรอก มันก็เรื่องง่ายๆแค่นั้นเอง เนี่ยพอรถเมล์ว่างๆมาดีใจ พอไม่ยอมจอดเปลี่ยนเป็นโมโห โมโหรู้ว่าโมโห เนี่ยคอยรู้ความรู้สึกของตัวเองไป

การหัดเจริญสติในชีวิตประจำวัน ที่ง่ายๆ เหมาะสำหรับคนเมือง คนอย่างพวกเรานี้แหละ คนอยู่ในเมือง ไม่มีเวลานั่งสมาธิ ไม่มีเวลาเดินจงกรมอะไรมากมาย ก็ให้พวกเราคอยรู้ความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกของเราจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ความรู้สึกจะเปลี่ยนตลอด คอยมีสติรู้มันไปเรื่อยๆ อย่าไปบังคับให้มันสุข ให้มันสงบ ให้มันดีนะ เราดูความเปลี่ยนแปลง ท่องไว้นะ ว่าต่อไปนี้ เราจะคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก คอยรู้ความรู้สึกที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ดูเล่นๆไปเรื่อย เราก็จะเห็นเลย จิตใจนี้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายนะ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความสุขก็อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ความทุกข์ก็อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป โลภ โกรธ หลง อยู่ชั่วคราว แล้วก็หายไป ทุกอย่างอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ฝึกมาอย่างนี้เรื่อยๆนะ ต่อไปปัญญามันแจ้งเลย สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ถ้าพูดภาษาบาลีก็ได้นะ บอกว่า ยํ กิญฺจิ สมุทย ธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธ ธมฺมนฺติ สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ผู้ใดเห็นว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เป็นธรรมดา ก็เป็นภูมิธรรมของพระโสดาบันนั่นเอง ทุกอย่างมีแต่เกิดแล้วดับ ไม่มีตัวตนถาวร ไม่มีอัตตาตัวตนที่ถาวร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429
ระหว่างนาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๗ ถึง นาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปัญญา มี ๓ ระดับ

mp 3 (for download) : ปัญญา มี ๓ ระดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปัญญา มี ๓ ระดับ

ปัญญา มี ๓ ระดับ

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกเราหัดภาวนานะ ต่อไป ทีแรกเราก็คอยรู้สึกกายรู้สึกใจไปเรื่อย เห็นเลย กายมันทำงาน กายมันยืน กายมันเดิน กายมันนั่ง กายมันนอน มิใช่เรา ยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา เห็นจิตมันทำงานไปนะ จิตมันสุข จิตมันทุกข์ จิตมันดี จิตมันร้าย ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เราโกรธนะ จิตมันโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ มันจะรู้สึกอย่างนี้เลย ฝึกไปๆจะเห็นเลย ทั้งกายทั้งใจไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเราในกายในใจนี้ ไม่มีตัวเรานอกเหนือกายนอกเหนือใจนี้ ได้พระโสดาบัน นี่มีปัญญาขั้นต้น

ถัดจากนั้น รู้กายรู้ใจ มีสติรู้กายรู้ใจต่อไปอีกนะ ฝึกไปเรื่อย วันหนึ่งปัญญามันแจ้งขึ้นมา เห็นเลยกายนี้ทุกข์ล้วนๆนะ หมดความยึดถือในกาย ก็หมดความยึดถือใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย หมดความยึดถือใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ไปด้วย ความยินดียินร้ายในกายก็จะไม่มี กามและปฏิฆะก็ขาดไป นี้เป็นปัญญาขั้นกลาง

ต่อไปการปฏิบัติจะบีบวงเข้ามาที่จิต เราจะเห็นว่าจิตนี้เป็นตัวที่มีความสุขมากเลย จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความสุขมาก จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง มีความทุกข์มาก จะเห็นจิตเป็นสองส่วนอยู่ เพราะฉะนั้นงานยังไม่เสร็จ ต้องภาวนาต่อไปอีกนะ วันหนึ่งเห็นแจ้งเลย จิตนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเลย จิตมันจะสลัดคืนจิตให้โลกไป เป็นเรื่องอัศจรรย์นะ จิตสลัดคืนจิตให้โลก ฟังไปก่อนนะ ภาวนาไปเดี๋ยววันหนึ่งเห็นเองแหละ จิตมันสลัดคืนจิตให้โลกได้ เมื่อมันคืนจิตให้โลกไปแล้วมันจะไม่ยึดถืออะไรขึ้นมาอีกแล้ว สิ่งที่มันยึดถือเหนียวแน่นที่สุด ว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา ก็คือจิตนี้เอง ค่อยๆฝึกเป็นลำดับๆไปนะ การที่เห็นว่าจิตเป็นทุกข์ล้วนๆนะ เป็นปัญญาขั้นสูง

เพราะฉะนั้นเบื้องต้น ฝึกไปเพื่อให้เห็นว่า “ตัวเราไม่มี” เบื้องกลาง ฝึกไปให้เห็นว่า “กายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ” เบื้องปลายเราจะฝึกไปจนเห็นว่า “จิตเป็นทุกข์ล้วนๆ” ค่อยๆฝึก ไม่ยากเท่าที่คิดหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

mp 3 (for download) : วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

วิธีการฝึกให้เกิดสติที่แท้จริง

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกเรารู้สึกมั้ย จิตของพวกเราส่ายตลอดเวลา ดูออกมั้ย ยกตัวอย่างมานั่งฟังหลวงพ่อเนี่ย บางทีจิตก็วิ่งมาที่หลวงพ่อ บางทีจิตก็วิ่งมาตั้งใจฟ้ง ไม่ได้ดูหน้าหลวงพ่อแล้ว แต่มาตั้งใจฟัง ฟังอยู่ ๒ – ๓ คำ นะ จิตก็จะสวิตช์ตัวเองไป ไปคิด ฟังไปคิดไป เห็นมั้ยว่าจิตมันส่ายตลอดเวลา จิตมันเปลี่ยนตลอดเวลา ถ้าเรารู้ทันนะ เราจะเห็นเลยจิตเกิดดับ เดี๋ยวจิตเกิดที่ตา เดี๋ยวจิตเกิดที่หู เดี๋ยวจิตเกิดที่ใจ จิตไปคิด เปลี่ยนๆ ปั๊บๆ ปั๊บๆ ไป คอยรู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ที่กาย คอยรู้สึกอยู่ที่ใจนะ ค่อยๆฝึก ไม่ยากๆ มันง่าย ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

ขั้นแรกนะ อยากจะให้เกิดสติที่แท้จริงเนี่ย ทำกรรมฐานอะไรขึ้นสักอย่างหนึ่งก่อน เราจะมาฝึกรู้สึกตัวก่อน ก่อนที่เราจะเห็นความเป็นจริงของกายของใจได้ อันแรกเลย เราต้องเห็นกายเห็นใจเสียก่อน ถ้าเราลืมกายลืมใจ เราก็ไม่สามารถเห็นความเป็นจริงของกายของใจได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สึกกายรู้สึกใจให้ได้เสียก่อน การรู้สึกตัว คือการรู้สึกกายรู้ใจนี้ จึงเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติ การเจริญวิปัสสนา เป็นจุดตั้งต้นเลย

จิตของเราจะหลงตลอดเวลา เดี๋ยวหลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปคิด หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย เช่นนั่งๆอยู่แล้วคัน เราก็เกาใช่มั้ย ขณะที่เราเกานะ เราสบายใจละ เราไม่รู้เลยว่าร่างกายกำลังเกาอยู่ ใจกำลังสบาย เราเกาอัตโนมัติ ในขณะนั้นลืมกายลืมใจ ทำอะไรเราก็ลืมกายลืมใจตลอดเวลา เรียกว่าขาดสติ สติที่หลวงพ่อพูด หมายถึง สติปัฏฐาน เป็นสติที่รู้กายรู้ใจ ถ้าเมื่อไหร่ลืมกายลืมใจ เมื่อนั้นเรียกว่าขาดสติ เราลองมาวัดใจของตัวเองดู ว่าเราลืมกายลืมใจบ่อยแค่ไหน สังเกตมั้ย เวลาที่เราไปคิด รู้สึกมั้ย ใจจะเหมือนไหลไปนะ ความรู้สึกอยู่ที่กายที่ใจนี้จะหายไป มีร่างกาย ร่างกายก็หายไป มีจิตใจ จิตใจก็หายไป ไม่รู้ รู้แต่เรื่องที่คิด

เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ วิธีง่ายๆ พวกเราหาอารมณ์กรรมฐานมาสักอย่างหนึ่ง มาเป็นเครื่องสังเกตจิตใจ เช่น คนไหนถนัดรู้ลมหายใจ ก็ไปนั่งรู้ลมหายใจ รู้เล่นๆ ไม่ใช่รู้เพื่อให้สงบ คนไหนชอบไหว้พระสวดมนต์ ก็ไปไหว้พระสวดมนต์ สวดเล่นๆนะ ไม่ใช่สวดให้สงบ คนไหนชอบดูท้องพองยุบก็ดูไป คนไหนชอบเดินจงกรมก็เดินไป คนไหนชอบอิริยาบถ ๔ ก็ดูยืนเดินนั่งนอน คนไหนชอบขยับมือทำจังหวะ ก็ทำไป แต่ทำไปเพื่อจะรู้ทันใจตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น เราหายใจ หายใจไป หายใจเล่นๆ จิตเราวิ่งไปอยู่ที่ลมหายใจนะ เราก็รู้ทัน จิตเราวิ่งไปคิด เราก็รู้ทัน จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ จิตดีจิตร้ายอะไรขึ้นมา คอยรู้ไปเรื่อยๆ หายใจไปแล้วคอยรู้ทันจิตใจไป

หรือสวดมนต์ก็ได้นะ อรหังสัมมา.. อะไรอย่างนี้ พอสวดมนต์ไป พอใจไหลไปคิดแว้บ หนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว รู้ทันว่าจิตไหลไปแล้ว สวดมนต์ไปแล้วจิตสงบ รู้ว่าสงบ สวดไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน สวดมนต์ไปแล้วก็คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตไปเรื่อยๆ นี่เป็นการฝึกให้มีสติ

ดูท้องพองยุบก็ได้นะ ดูท้องพองยุบไปแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ท้อง ก็รู้ทัน จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตไปทำอะไรก็รู้ทัน

นี่เราเข้ามาถึงการฝึกหัดแล้วนะ เพราะฉะนั้นเบื้องต้น ทุกคนหาอารมณ์กรรมฐานมาสักอันหนึ่งก่อน อารมณ์อะไรก็ได้ที่เราถนัด ที่ทำแล้วสบายใจ รู้อารมณ์อันนั้นไป เช่นรู้พุทโธก็ได้นะ สัมมาอรหังก็ได้ หายใจก็ได้ รู้ท้องพองยุบก็ได้ เดินจงกรมก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อให้จิตนิ่ง เราทำกรรมฐานไปแล้วเราคอยเห็นความเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวของจิตไปเรื่อยๆ เช่น เรา พุทโธๆ แล้วจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าจิตนี้ไปคิดแล้ว พุทโธๆแล้วจิตสงบ รู้ว่าสงบ พุทโธๆแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจไป หายใจเข้าหายใจออกไป จิตวิ่งไปอยู่ที่ลมหายใจ เรารู้ทัน จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นเรารู้ทัน จิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ จิตมีปีติจิตมีความสุขอะไรขึ้นมา เราคอยรู้ทัน

ทำอะไรก็ได้นะ เบื้องต้น ทำกรรมฐานมาสักอันหนึ่งก่อน เป็นเครื่องสังเกต ปกติจิตเราจะร่อนเร่ตลอดเวลา วิ่งตลอด ดูยาก เราก็ทำกรรมฐานขึ้นมาเป็นตัวสังเกต สมมุติว่านี่เป็นพุทโธ นี่เป็นลมหายใจ เราพุทโธหรือหายใจอยู่ แล้วจิตเราวิ่งมาที่นี่ วิ่งมาที่พุทโธ วิ่งมาที่ลมหายใจ วิ่งมาที่ท้อง รู้ทันว่าจิตวิ่งมา จิตวิ่งไปที่อื่น รู้ทัน เนี่ยเราจะเห็นได้ชัด ถ้าเราไม่มีเครื่องสังเกตเลย จิตมันส่ายไปตลอด ดูยาก เพราะฉะนั้น เบื้องต้น หาอารมณ์กรรมฐานมาสักอันหนึ่งนะ อะไรก็ได้ ทำอะไรไม่เป็นเลย สวดมนต์ไปเรื่อยๆก็ได้ หรือฟังซีดีหลวงพ่อก็ได้ ฟังไปแล้วใจลอยไป รู้ ฟังไปแล้วขำขึ้นมา รู้ ฟังแล้วงงขึ้นมา รู้ หัดรู้ทันใจตัวเองบ่อยๆ

การที่เราหัดรู้สภาวะบ่อยๆนี้แหละจะทำให้เกิดสติ เพราะสติไม่ได้เกิดจากการบังคับ สติเป็นอนัตตา ไม่มีใครสั่งสติให้เกิดได้ สติมีเหตุ สติถึงจะเกิด เหตุของสติคือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น จิตจำสภาวะได้แม่นเพราะจิตเห็นสภาวะบ่อยๆ เราหัดดูสภาวะไปนะ ทำกรรมฐานมาอันหนึ่ง แล้วคอยสังเกตความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจเราไปเรื่อย..

เช่นพุทโธๆ จิตไหลไปคิดก็รู้ หรือสวดมนต์ อรหังสัมมา.. จิตไหลไปคิดแล้ว ก็รู้ สัมพุทโธ ภควา.. อ้าวหนีไปอีกแล้ว เราก็คอยรู้ ฝึกแบบนี้บ่อยๆ ต่อไปพอจิตเคลื่อนตัวไปนะ จิตหลงไปคิดแว้บ..เดียว สติจะเกิดเองเลย สติไม่ได้เกิดจากการสั่งให้เกิด สติเกิดขึ้นเพราะว่าจิตจำสภาวะได้แม่น ในพระอภิธรรมถึงบอกว่า ถิรสัญญา ถิรสัญญาคือการที่จิตจำสภาวะได้แม่น เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ เพราะฉะนั้นเราหัดดูสภาวะไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสติเกิด

พอสติที่แท้จริงเกิดนะ คอยสังเกตไป พอมันจะรู้สึกตัวขึ้นมา พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว คราวนี้ไม่มีแล้วว่ากรรมฐานของเราจะทำสายไหน สายกายสายจิตอะไรอย่างนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เบื้องต้นอาจจะดูมาจากกาย บางคนดูจากเวทนา บางคนดูจากจิต อันนั้นแค่จุดตั้งต้นเท่านั้นเอง คือทำกรรมฐานมาอันหนึ่งเป็นเครื่องสังเกต พอรู้ทันจิตมามากๆเข้า สติเกิดเองแล้วเนี่ย ถัดจากนั้นไม่มีสายไหนๆแล้ว มีแต่ว่าขณะนี้มีสติ หรือว่าขณะนี้ขาดสติ ขณะนี้มีสติ บางทีสติระลึกรู้กาย บางทีสติระลึกรู้เวทนา บางทีสติระลึกรู้จิต เลือกไม่ได้หรอกว่าจะรู้กายหรือรู้จิต ถ้าใครยังเลือกว่าจะรู้กายอันเดียว หรือจะรู้จิตอันเดียว จะตกไปสู่สมถกรรมฐาน เพราะฉะนั้นสติที่แท้จริงเกิดเมื่อไหร่นะ เลือกไม่ได้หรอก บางทีก็รู้กาย บางทีก็รู้เวทนา บางทีก็รู้จิต

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อวันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีที่ใดจะรักษาศาสนาได้ดีเท่าที่ใจของเรา

mp 3 (for download) : ไม่มีที่ใดจะรักษาศาสนาได้ดีเท่าที่ใจของเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หอพระไตรปิฎก

หอพระไตรปิฎก

หลวงพ่อปราโมทย์ : สามเดือนก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน ไม่ได้เทศน์เรื่องอื่นเท่าไรหรอกนะ ในพระไตรปิฏกบอกสามเดือนก่อนปรินิพพานเนี่ย เทศน์อริยสัจจ์เป็นส่วนมาก เทศน์แต่อริยสัจจ์ เพราะฉะนั้นอริยสัจจ์ เนี่ยสำคัญ ตราบใดที่อริยสัจจ์ยังอยู่ ศาสนาพุทธก็ยังอยู่ ถ้าอริยสัจจ์หายไปก็คือศาสนาพุทธหายไปแล้ว

งั้นพวกเรามีหน้าที่เรียนอริยสัจจ์นะ เรียนเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเองด้วย เรียนเพื่อจะสืบทอดศาสนาไว้ด้วย ไม่มีที่ใดจะรักษาศาสนาได้ดีเท่าที่ใจของเรานะ ถ้าธรรมะเข้ามาสู่ใจของเราแล้วเนี่ย ใจของเรานี่แหละเป็นที่รักษาธรรมะเอาไว้ ทรงธรรมเอาไว้ จิตเนี่ยแหละที่ทรงธรรมเอาไว้ ธรรมะไปใส่ตู้ไว้หายนะหาย วันนึงก็หมด เอาธรรมะไปฝากไว้กับพระวันนึงก็หมดนะ วันนึงพระก็ต้องหมดไป

พระพุทธเจ้าเลยไม่ได้ฝากธรรมะ ฝากศาสนาไว้กับพระนะ ฝากไว้กับบริษัท ๔ ถือว่าเป็นบริษัทเดียวกันนะ ทุกคนมีหน้าที่ ชาวพุทธมีหน้าที่ ๒ อัน หนึ่งเรียนธรรมะให้รู้เรื่องให้เข้าใจ ให้ธรรมะมาสู่ใจของเราให้ได้ อันที่สองทรงไว้ซึ่งธรรมะ เจอคนที่ควรบอกก็บอก ไม่เจอคนที่ควรบอกก็ไม่บอก นี้เป็นหลักที่ผู้รู้ทั้งหลายเค้าใช้กัน

อย่างพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลายพอตรัสรู้แล้ว ไม่มีคนสมควรบอก ท่านก็ไม่ได้บอกอะไร ไม่ใช่ท่านสอนไม่ได้นะ เรามักจะคิดว่าพระปัจเจกสอนไม่เป็น มันไม่มีคนที่ควรจะเรียนน่ะ ภูมิความรู้ของท่านมากกว่าพระสารีบุตรอีก อย่างน้อยท่านก็บอกได้ว่าที่ท่านทำมาเนี่ย ท่านเดินมาได้อย่างไร ท่านก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเส้นทางเดิน ของท่าน ท่านเดินมาได้ยังไง อย่าว่าแต่พระปัจเจกเลย สาวกทั่ว ๆ ไปเนี่ยแหละ พอเดินไปได้แล้ว ก็ย่อมจะรู้ว่าเดินมาได้ยังไงเป็นเรื่องธรรมดา คือถ้าไม่มีคนควรบอกก็ไม่บอกนะเฉย ๆ ดีกว่า

หลวงปู่ดูลย์ก็สอนนะ บอกว่า มีเวลาบอกได้นะสมควรบอกก็บอกไป ถ้าบอกไม่ได้นะอยู่เฉย ๆ ดีกว่า ธรรมะไม่ใช่สินค้าแบกะดิน ไม่ใช่เที่ยวยัดเยียดต่อใครต่อใคร มันไม่ใช่ของยัดเยียด ธรรมะนั้นถ้าไม่เปิดใจขึ้นมารับนะ รับไม่ได้หรอก ถ้าใจของเราปิดซะอย่างเดียวนะ รับไม่ได้ พวกเด็ก ๆ บางทีเรียนธรรมะได้ง่ายใจมันเปิด แต่ผู้ใหญ่ยิ่งโตนะ ใจยิ่งปิดนะ ใจยิ่งปิด คับแคบเพราะว่ามีของที่เคยเชื่อถือเอาไว้เยอะแล้ว ใจปิด ฟังสิ่งใหม่ ๆ ฟังยาก พอฟัง สิ่งใหม่ ๆ นะจะเอาไปเทียบกับของเก่าตลอดเวลาเลย นึกว่าของเก่าดีวิเศษ ถ้าดีวิเศษจริงนะมันหลุดพ้นไปแล้วหละ มันไม่ต้องทุกข์อยู่จนวันนี้หรอก คือถ้าใจของเราเปิดนะเปิดรับธรรมะก็รับง่าย ใส ๆ ซื่อ ๆ นะ ค่อยเรียนรู้ไป

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันจันทร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๖
File: 491106.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เคล็ดลับของสมาธิ เคล็ดลับของสมถะ

 mp 3 (for download) : เคล็ดลับของสมาธิ เคล็ดลับของสมถะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เคล็ดลับของสมาธิ เคล็ดลับของสมถะ

เคล็ดลับของสมาธิ เคล็ดลับของสมถะ

หลวงพ่อปราโมทย์: สมถกรรมฐาน มุ่งไปที่ความสุข ความสงบ ความดี วิปัสสนามุ่งให้เกิดปัญญา ปัญญาคือการเห็นความจริงของกายของใจ เพราะฉะนั้น วัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน วิธีการก็ไม่เหมือนกัน เราจะต้องเรียน ต้องแยกแยะให้ออกนะว่า การดำเนินจิตแบบไหนเป็นสมถกรรมฐาน การดำเนินจิตแบบไหนเป็นวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าแยกไม่ได้ ส่วนใหญ่จะไปทำสมถะ แล้วคิดว่าทำวิปัสสนาอยู่

สมถกรรมฐาน หลักการของมัน ไม่ยากเท่าไหร่ หลักการของสมถกรรมฐานก็คือ ให้เราสังเกตความจริงของจิตใจของเราเองก่อน จิตใจของเรานั้น ร่อนเร่ ซัดส่าย ตลอดเวลา เดี๋ยวหลงไปทางโน้น เดี๋ยวหลงไปทางนี้ เดี๋ยวจับอารมณ์อันโน้น เดี๋ยวจับอารมณ์อันนี้ ฟุ้งซ่าน จับอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ จิตใจนั้นเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง อุตลุดตลอดเวลา คนที่ภาวนาไม่เป็นก็พยายามบังคับใจ ให้สงบ ให้ดี บังคับยังไงมันก็ไม่สงบนะ มีแต่เครียด เพราะฉะนั้นพวกที่ภาวนาแล้วเครียดนะ แสดงว่าไปทำสมถะแบบผิด ผิดวิธีด้วย ถ้าทำถูกวิธีจะไม่เครียด

จิต ถ้าเรารู้จักลักษณะของจิตนะ จิตมันคล้ายๆเด็ก เหมือนเด็กซนๆคนหนึ่ง จิต เดี๋ยวก็วิ่งไปทางโน้น เดี๋ยวก็วิ่งไปทางนี้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ จิตมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราทำสมถะผิดนะ ก็คล้ายๆว่าเราเอาไม้เรียวไป ไปยืนเฝ้าเด็กไว้ บังคับไม่ให้มันกระดุกกระดิก เด็กมันจะเครียด จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปบังคับให้มันนิ่งนะ มันจะเครียด เราต้องใช้อุบายวิธี หาอารมณ์ที่จิตชอบใจมาเป็นเหยื่อล่อ หาอารมณ์ที่จิตชอบใจมาเป็นเหยื่อล่อ คล้ายๆกับว่า เรารู้ว่าเด็กคนนี้ชอบกินไอติม เราก็บอกเด็กว่า อย่าซนนอกบ้าน มา เข้ามาในบ้าน มากินไอติมให้สบายใจ เห็นมั้ย เด็กจะสมัครใจเข้ามาในบ้าน เด็กก็มีความสุขด้วย ใช่มั้ย แล้วเด็กก็ไม่ร่อนเร่ออกไปนอกบ้านด้วย

หลักของการทำสมถกรรมฐานก็แบบเดียวกัน เราต้องเลือก ว่าจิตใจของเรานี้ รู้อารมณ์ชนิดไหนแล้วมีความสุข บางคนรู้ลมหายใจแล้วมีความสุข ก็รู้ลมหายใจไปอย่างมีความสุข ไม่ต้องไปคิด ว่าจะทำอย่างไรจิตจะสงบ ถ้ารู้ลมแล้วสบายใจนะ รู้ลมไป บางคนดูท้องพองยุบแล้วจิตสบายใจ ก็ดูท้องพองยุบ บางคนเดินจงกรม บางคนภาวนาพุทโธ บางคนขยับมือ ทำจังหวะแบบหลวงพ่อเทียน ทำแล้วจิตใจสบาย มีความสุข ก็ทำอย่างนั้น ความสุขนี้แหละเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ พอจิตมันมีความสุขนะ จิตจะไม่หนี ซัดส่าย ไปที่อื่น มันจะเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์ที่มันมีความสุข นี่เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้นบางคนภาวนานะ ทำอย่างไรก็ไม่สงบๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะไปพยายามบังคับจิตให้สงบ มันไม่ยอมสงบหรอก ต้องหาอารมณ์ที่มีความสุขมาล่อมัน ยกตัวอย่างหลวงพ่อตอนเด็กๆ หลวงพ่อชอบลมหายใจ ไปเรียนหายใจออก หายใจเข้า จากท่านพ่อลี วัดอโศการาม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๒ ส่วนใหญ่ในห้องนี้ยังไม่เกิด พอหายใจแล้วมีความสุข พอมีความสุขแล้วจิตสงบ คล้ายๆเด็กได้กินไอติม เด็กก็ไม่ไปซน นี่เคล็ดลับของสมาธินะ เคล็ดลับของสมถะ คือเลือกอารมณ์ที่เรามีความสุข แล้วจิตจะสงบเอง ถ้าจิตสงบโดยที่ไม่ได้บังคับ จิตจะไม่เครียด

ถ้าคนไหนภาวนาแล้วก็เครียด แสดงว่าสมถะก็ไม่มี วิปัสสนาก็ไม่มี ถ้าภาวนาแล้วจิตใจมีความสุข มีความสงบ อยู่ในตัวเอง ได้สมถะ โดยไม่ได้บังคับ ทีนี้พอมีความสุขแล้ว มีความสงบแล้ว อย่าหยุดอยู่แค่นี้ ถ้าลำพังการปฏิบัติธรรมนะ มุ่งเอาความสุข ความสงบ ยังตื้นเกินไป ศาสนาพุทธมีสิ่งที่ปราณีต ลึกซึ้ง กว่านั้นอีกเยอะ ลำพังแค่ภาวนาเพื่อให้จิตมีความสุข มีความสงบเนี่ย ไม่มีพระพุทธเจ้า เขาก็สอนกันได้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา แล้วคนอื่นไม่มี คือ วิปัสสนากรรมฐาน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อ วันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติธรรมคือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

mp 3 (for download) : การปฏิบัติธรรมคือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การปฏิบัติธรรมคือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

การปฏิบัติธรรมคือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธนะ เรามีบุญ เรามีวาสนาแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าบอกวิธีให้เรา ถ้าเราเดินตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าบอก เราจะสัมผัสความสุขเป็นลำดับๆไป ไม่ใช่ว่าตอนนี้ต้องทุกข์ยากไปก่อน แล้วอีกหลายๆปี บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ถึงจะมีความสุข ไม่ใช่

ไม่ใช่ว่าต้องปฏิบัติไปก่อนชาตินี้ แล้วชาติต่อๆไปถึงจะมีความสุขนะ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่อัศจรรย์ที่สุดเลย ถ้าเราเจริญสติเป็นเนี่ย ความทุกข์มันจะกระเด็นออกไปต่อหน้าต่อตาเราเลย ความทุกข์กระเด็นออกไปจากหัวใจเราต่อหน้าต่อตาเลย เนี่ยพระพุทธเจ้าบอกวิธีการไว้ให้เรานะ

วันหนึ่ง ถ้าเราเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าบอก เราก็พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ชีวิตจะมีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา มีความสุข อะไรจะเกิดขึ้นนะ เราก็ยังมีความสุขของเราอยู่ได้อย่างนั้นน่ะ เพราะความสุขของเราไม่อิงอาศัยอะไร เพียงแต่มีสติขึ้นมา

ทีนี้ทำอย่างไร วิธีที่จะเดินตามเส้นทางสายนี้ วิธีที่จะเดินตามทางสายนี้นะ ก็เรียกว่าการเจริญสติปัฏฐาน หรือจะพูดให้ตรงที่สุดนะ คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธนี้ มี ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเรียกว่า สมถกรรมฐาน อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐานเนี่ย ทำไปเพื่อให้จิตใจสงบ ให้มีความสุข ให้จิตใจดี ส่วนวิปัสสนากรรมฐานเนี่ย ไม่ได้มุ่งเอาความสุข ความสงบ ความดี

วิปัสสนากรรมฐานนะ มุ่งให้เห็นความจริงของกายของใจ ให้เราเรียนรู้จนเห็นความจริงของกายของใจ ว่ากายนี้ใจนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง มิใช่ตัวเรา

ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วมันจะวางความยึดถือ แล้วมันจะสัมผัสกับความสุขที่ยิ่งใหญ่ เมื่อไรพ้นกายพ้นใจนะ เมื่อนั้นจะสัมผัสกับนิพพาน เพราะฉะนั้นอยากรู้จักนิพพานต้องรู้กายรู้ใจจนแจ่มแจ้ง แล้วจะเห็นนิพพานด้วยตัวของเราเอง

เพราะฉะนั้นเราต้องคอยรู้สึกนะ มัน มันมี ๒ อย่างนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อ วันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒


CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม

mp 3 (for download) : การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้เป็นเรื่องหัวใจของการปฏิบัติธรรมทีเดียว พวกเราเวลาคิดถึงการปฏิบัติธรรมนะ เราจะวาดภาพว่า ต้องไปนั่งสมาธิ ต้องไปเดินจงกรม จะทำอะไรก็ต้องไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา ต้องช้าๆ ต้องนุ่มนวล ต้องช้าๆ ค่อยๆขยับ ยกตัวอย่างจะเดินก็ต้องช้าๆนะ จะทำอะไรทุกอย่างต้องช้าๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม นั่งก็ต้องหลับตา ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม นั่งลืมตาก็ไม่ได้ ต้องนั่งในท่านี้ด้วย ต้องเดินในท่านี้ด้วย ถึงจะเรียกว่าการปฏิบัติ

ในความเป็นจริงการปฏิบัติธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก การปฏิบัติธรรมจริงๆคือการมีสติ เมื่อไรมีสติเมื่อนั้นมีการปฏิบัตินะ มีความเพียร เมื่อไรขาดสติ เมื่อนั้นขาดการปฏิบัติ ขาดความเพียร เพราะฉะนั้นหลวงปู่มั่นท่านสอนไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า ถ้าเราทำสมาธิมาก จะเนิ่นช้า ถ้าเราค้นคว้าพิจารณาธรรมะมาก พิจารณากาย พิจารณาอะไรมากเนี่ย จิตจะฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติเนี่ย คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

การเจริญสติในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไม่นั่งสมาธิ ไม่เดินจงกรม ไม่ทำในรูปแบบ ไม่ใช่ อาศัยการทำในรูปแบบในเบื้องต้นนี้เอง เป็นการฝึกให้เกิดสติ เมื่อมีสติแล้ว เราเอาสติมาใช้ในชีวิตประจำวัน จะแตกหักกันก็ตรงที่ว่า ใครจะเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ คนไหนเจริญสติในชีวิตประจำวันไม่ได้เนี่ย โอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้นะ ยังห่างไกลเหลือเกิน

มันยากมากเลยที่คนๆหนึ่งจะมีสติขึ้นมา สติที่แท้จริง แต่ไม่ยากเลยที่คนที่มีสติที่แท้จริงแล้ว จะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ มรรค ผล นิพพาน มีจริงๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
เมื่อ วันพุธที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

CD: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
File: 520429.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๕๙ ถึง นาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บริกรรมพุทโธ โดยใช้จิตเป็นวิหารธรรม

mp 3 (for download) : การพุทโธ โดยใช้จิตเป็นวิหารธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

บริกรรมพุทโธ โดยใช้จิตเป็นวิหารธรรม

บริกรรมพุทโธ โดยใช้จิตเป็นวิหารธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์: พอได้มั้ย พุทโธ ไม่มีสภาวะรองรับ พุทโธเป็นบัญญัติ แต่ว่าถ้ามาใช้พุทโธเนี่ย ต้องมาดูที่จิต พุทโธแล้วมาดูอยู่ที่จิต เวลาเราพุทโธๆไป บางทีจิตหนีไปคิด บางทีจิตก็มาอยู่กับพุทโธ เดี๋ยวจิตก็หนีไปคิด เดี๋ยวจิตก็มาอยู่กับพุทโธ นี่แสดงความไม่เที่ยงให้ดูได้ ถามว่าเวลาเราพุทโธนั้นเราใช้อะไรเป็นวิหารธรรม เราไม่ได้ใช้พุทโธเป็นวิหารธรรม แต่เราใช้จิตเป็นวิหารธรรมนะ

เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่าง ครูบาอาจารย์สายวัดป่าท่านพุทโธ ท่านบอกว่า ถ้าพุทโธเป็นนะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เลย คนที่เรียนอภิธรรมจะบอก เป็นไปไม่ได้ เพราะพุทโธเป็นบัญญัติ เป็นเรื่องที่คิดขึ้นมา ไม่มีสภาวะของรูปนามรองรับ อันนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านสอนหรอก

พุทโธ คือ อะไร พุทโธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อะไรคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ก็จิตนั่นแหละ คือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เพราะฉะนั้นถ้าเราพุทโธเป็นนกแก้วนกขุนทองนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตสงบ ได้สมถะ ไม่ขึ้นวิปัสสนานะ

ถ้าพุทโธเป็นเครื่องสังเกตจิต เอาจิตเป็นวิหารธรรม จิตลืมพุทโธไปเนี่ย จิตฟุ้งซ่าน รู้ทันจิตฟุ้งซ่านนะ จิตหนีไป จิตไปอยู่กับพุทโธ จิตสงบ เห็นมั้ย เดี๋ยวก็จิตสงบ เดี๋ยวก็จิตฟุ้งซ่าน เดี๋ยวจิตสงบ เดี๋ยวจิตฟุ้งซ่าน เห็นมั้ย ก็ดูได้นะ เป็น ๑ คู่ จิตสงบกับจิตฟุ้งซ่าน เป็น ๑ คู่ แสดงไตรลักษณ์ได้แล้ว เป็นธรรมคู่แล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าทำเป็นนะ กรรมฐานอะไรก็ง่ายไปหมดเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๕
File: 530828A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๑๗ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

mp 3 (for download) : พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

หลวงพ่อปราโมทย์: ครั้งหนึ่ง สมเด็จญาณฯ ( สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก )เคยเขียนนะ พระศรีนครินทร์ฯ ( สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ) ท่านอาราธนาให้เขียนว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ท่านเขียนเอาไว้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนอริยสัจจ์สิ สอนไปเพื่ออะไร เพื่อความพ้นทุกข์สิ้นเชิง สอนอะไร ถ้าตัวเนื้อหาธรรมะนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนอริยสัจจ์ อริยสัจจ์เป็นธรรมที่ครอบคลุมธรรมะทั้งหมด

มีพระสูตรอันหนึ่งนะ ชื่อ รอยเท้าช้าง ชื่อ อัตถิปโทปมสูตร ( มหาหัตถิปโทปมสูตร อุปมาอริยสัจกับรอยเท้าช้าง )ชื่อยาวมากนะ ท่านสอนบอกว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์บกนะ สัตว์น้ำมันก็มีรอยเท้าเหมือนกัน แต่ว่ามีไม่กี่ชนิดที่มีเท้า ในพระสูตรบอกว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายเนี่ย เหยียบลงไปได้ในรอยเท้าช้าง ที่เป็นอย่างนี้เพราะในสมัยพุทธกาลไม่มีไดโนเสาร์แล้ว

หมายถึงธรรมะทั้งหมดนี้นะ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน รวมลงอยู่ในอริยสัจจ์ ย่อๆก็คือ ท่านสอนเรื่องทุกข์ กับความพ้นทุกข์ ทุกข์ก็มีถึงเหตุของทุกข์ แล้วก็ตัวทุกข์ ความพ้นทุกข์ท่านก็สอนถึงวิธีปฎิบัติเพื่อความพ้นทุกข์แล้วก็ตัวของความพ้นทุกข์ คือตัวนิพพาน สอนได้ ๒ กลุ่ม

ทีนี้ตัวมรรคเนี่ย ย่อๆลงมาก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเรียนนั่นเอง เรียนศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา จิตตสิกขาเรียนแล้วจะเกิดจิตที่ตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิ

ย่อๆลงไปอีกนะ คือ ทำสมถะกับวิปัสสนา ตรงภาวนานี้น่ะ ภาวนาก็มี ๒ ส่วน สมถะกับวิปัสสนา ตรงวิปัสสนาเนี่ย ถ้าทำถูกต้องนะ มีสติ รู้กายรู้ใจ ลงปัจจุบัน เห็นตามความเป็นจริง เห็นไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ ในที่สุดจะเกิดปัญญา เกิดผล มีปัญญาขึ้นมา เบื้องต้นเป็นพระโสดาบันนะ เบื้องปลายเป็นพระอรหันต์

พระโสดาบันท่านจะเข้าใจว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เพราะฉะนั้นข้อที่ ๑ ที่จิรัฐถามนะ มันคือภูมิธรรมของพระโสดาบัน เป็นผลแล้ว เป็นผลจากการเจริญสติ ไม่ใช่ให้ทำตัวมัน ไม่ใช่ให้ทำความรู้นี้ขึ้นมานะ เจริญสติไปแล้วผลที่เกิดขึ้นคือมีความรู้ความเข้าใจ ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป เนี่ยความรู้ความเข้าใจของพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันรู้ว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ

ส่วรพระอรหันต์เนี่ย ท่านจะแจ้งสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคือนิพพาน พระโสดาฯ พระสกทาคาฯ พระอนาคาฯ ยังไม่แจ้ง(ในสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ) เห็นบ้าง แต่ว่าไม่แจ่มแจ้ง เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ ภาวนา จะเกิดปัญญาเห็นว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป เบื้องปลายก็จะเกิดปัญญาไปเห็นแจ้งสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ เพราะฉะนั้นธรรมะมีหลายระดับนะ มีหลายขั้น

อันแรกเลย วัตถุประสงค์ของธรรมะนะ ภาวนาไปเพื่อความพ้นทุกข์สิ้นเชิง เบื้องต้นพ้นทุกข์ เบื้องปลายดับทุกข์ พ้นทุกข์เนี่ยเป็นพระอรหันต์ที่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่ ดับทุกข์คือพระอรหันต์ที่ท่านดับขันธ์แล้ว พ้นทุกข์เนี่ยพระอรหันต์มีขันธ์มั้ย? มี แต่ว่าจิตของท่านพ้นจากขันธ์ เพราะฉะนั้นท่านพ้นจากทุกข์ เบื้องปลายนี้ดับขันธ์ ก็ดับทุกข์ ตัวขันธ์นั้นแหละตัวทุกข์

ธรรมะปราณีตนะ ค่อยๆเรียน ค่อยๆฟัง อย่านึกเอาเอง มั่ว เดี๋ยวมั่วเอา อย่าไปเอา ยกตัวอย่างวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งนะ สิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างหนึ่ง วิธีปฏิบัติอย่างหนึ่ง ผลของการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง อย่าเอาไปปนกัน ถ้าปนกันแล้วยุ่งตายเลย

ยกตัวอย่าง ถามหลวงพ่อบอกว่า เราภาวนาเพื่ออะไร พระพุทธศาสนาสอนอะไรกันแน่ สอนให้เห็นว่าทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อันนี้เป็นความรู้ความเข้าใจของพระโสดาบัน ทุกอย่างมาแล้วไป นี่เกิดแล้วดับ หรือข้อสอง สอนให้จิตสำเหนียกสภาพดั้งเดิมของจิตเดิมแท้ ไม่ได้สอนให้สำเหนียกนะ มันสำเหนียกเอง มันเป็นผลน่ะ ถ้าเห็นนิพพานก็จะเห็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไปเห็นนิพพาน

คำว่าจิตเดิมแท้เนี่ย เป็นคำซึ่งไม่มีพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ฝ่ายเถรวาทพูดถึงจิตพระอรหันต์นี้ จะพูดถึงมหากริยาจิต แค่มหากริยาจิตเกิดแล้วดับ ทีนี้ทางฝ่ายเซนทางฝ่ายอะไรนี้ เขาพูดถึงจิตเดิมแท้ คือจิตที่พ้นการปรุงแต่ง ถ้าอนุโลมเอาก็คือ มหากริยาจิต แต่ว่ามันมีสภาวธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุ ธาตุรู้ จะเรียกว่าอะไรก็ได้ จิตเดิมแท้ก็ได้ อะไรก็ได้ เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันเข้าคู่กับธรรมธาตุ คือ ธาตุของธรรม อันนี้ไม่มีในคำสอนของฝ่ายเถรวาทเรา ไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้หรอก แต่พูดถึงธาตุธรรม คือพระนิพพาน

เพราะฉะนั้นเวลาเราเรียน เรารู้นะ วัตถุประสงค์ของการเรียน เพื่อความพ้นทุกข์สิ้นเชิงนะ

สิ่งที่เราต้องทำนะ เราก็พัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา หรือ ละชั่วทำดีทำจิตให้ผ่องแผ้วขึ้นมา พูดได้หลาย Dimensions หลายแง่ หลายมุม หลายมิติ รวมความก็คือ ทำอันใดอันหนึ่งครบ set ของมัน ก็คือทำทั้งหมดแหละ มีศีล สมาธิ ปัญญา ครบ มันก็คือครบ ละชั่ว ทำดี ทำจิตผ่องแผ้วได้ ก็ครบเหมือนกัน

ทีนี้ก็เจริญไป วิธีที่จะทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ ก็เจริญสติ(ปัฏฐาน)ไป วิธีที่จะละชั่ว ทำดี ทำจิตผ่องแผ้วนะ ก็เจริญสติ(ปัฏฐาน)ไป ถ้าเจริญสติ(ปัฏฐาน)ไม่ได้ ละชั่วไม่ได้จริงหรอก ได้แต่ข่มความชั่วเป็นคราวๆ ทำดีไม่ได้จริงหรอก ดีแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวก็ชั่วแทรกเข้ามาแล้ว เช่นเห็นคนอื่นเขาได้ดิบได้ดีก็โมทนาๆ มันดีหลายที่ชักอิจฉาแล้ว มันทนไม่ได้หรอก หรือเห็นคนนี้ตกทุกข์ได้ยาก สงสารเขา ไปแนะนำ แนเะนำเขา เขาไม่ฟังก็โมโหแล้ว

กุศลเนี่ยพลิกเป็นอกุศลได้เสมอเลยถ้าขาดสติ เพราะงานของเรานะ มีสติไว้ มีสติไว้แล้ว แล้วก็ยังทำ ๒ อย่าง อันหนึ่งทำสมถะนะ สมถะก็ต้องมีสติ ถ้าสมถะขาดสติเป็นมิจฉาสมาธิไปเลย ใช้ไม่ได้ อย่างที่พวกเรานั่งเคลิ้มๆนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ

เพราะฉะนั้นนั่งนี่ต้องรู้เนื้อรู้ตัว เดินรู้เนื้อรู้ตัว จิตสงบ จิตตั้งมั่น อยู่ในอารมณ์อันเดียวโดยที่ไม่ได้บังคับไว้ มีความสุขอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างนั้น สงบแนบแน่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว เป็นสมถะ จิตยอมไปมีความสุขมีความสงบนะ ต้องเลือกอารมณ์ ถ้าเราเลือกอารมณ์กรรมฐานที่เราชอบ จิตมันชอบน่ะ ไม่ใช่เราชอบ ที่จิตมันชอบ

ยกตัวอย่าง บางคนนะ จิตชอบพิจารณาอสุภะ พิจารณาอสุภะแล้วสงบ แต่เราไม่ชอบ เรากลัวผี ให้ไปนั่งป่าช้านี่ไม่ชอบเลยนะ ไปเห็นรดน้ำศพ บางคนยังไม่ชอบเลย แต่จิตมันชอบ พอเข้าใกล้แล้วสงบ อย่างนี้สมควรทำอย่างไรดี จิตมันชอบแบบนี้ จิตมันชอบอย่างนี้ก็เอาสิ เรากลัวผี ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยววันหลังก็ไม่กลัวเองแหละนะ แต่จิตมันเข้าใกล้ มันไปเห็นศพ อื๋อ… รถทับมาเละๆ พองๆ เวลาศพถูกรถทับนะ เน่าเร็วมากเลย เร็วกว่าศพธรรมดา แป๊บเดียวก็เน่า เราก็ไปดูได้จิตใจสงบ นี่ถ้าจิตมันชอบ

บางคนจิตมันชอบพุทโธ เราก็อยู่กับพุทโธ จิตมันชอบลมหายใจก็อยู่กับลมหายใจ จิตมันชอบท้องพองยุบก็อยู่กับท้องพองยุบไป อยู่กับอารมณ์ที่จิตชอบ จิตก็ไม่ร่อนเร่ไป จิตเสพอารมณ์ที่มันชอบนะ ก็ไม่หนีไปเที่ยว ได้สมถะนะ อย่างนี้ ก็มีสติอยู่กับอารมณ์นั้น

ถ้าทำวิปัสสนานะ ก็มีสติรู้กายรู้ใจไป รู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่น ต้องดูอยู่ห่างๆนิดนึง แต่ตรงจิตตั้งมั่นก็มีอยู่ ๒ พวกนะ พวกหนึ่งตั้งทรงเด่นอยู่เลย พวกนี้ทางฌานอยู่ พอออกจากฌานแล้วจะทรงเด่นอยู่นาน อีกพวกหนึ่งไม่ได้ทรงฌาน ตั้งเป็นขณะๆ เรียก ขณิกสมาธิ เป็นขณะๆ แค่นี้ก็นิพพานได้ ถึงมรรคผลนิพพานได้ ถึงพระอรหันต์ได้

เวลาที่เราเจริญสตินะ เราอย่าดูถูก(ดูหมิ่น)สมาธิชั่วขณะนะ เวลาที่เราเจริญสติในชีวิตประจำวันจริงๆเนี่ย ส่วนใหญ่ใช้สมาธิชั่วขณะนี้เอง ทีละขณะๆ เดี๋ยวรู้สึกตัวขึ้นมา ใจตั้งมั่นได้แว้บ หลงไปอีกละ ไหลไป พอรู้ทัน สติระลึกรู้ใจไหลไปนะ ใจก็ตั้งขึ้นอีกแว้บ แว้บ แว้บ แว้บ ตลอดวันเลยนะ มีแต่ไหลไปแล้วก็ตั้ง ไหลแล้วก็ตั้ง แค่นี้พอแล้ว ถึงวันหนึ่งนะ ปัญญามันเกิดนะ มันจะเห็นเลย จิตไหลไปห้ามไม่ได้ จิตตั้งมั่นสั่งไม่ได้ มันสั่งไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ มีแต่เกิดแล้วดับ จิตหลงไปกับจิตที่ตั้งมั่นเท่าเทียมกันขึ้นมา เท่าเทียมกันโดยความเป็นไตรลักษณ์ นี่เวลาเดินวิปัสสนานะ ไม่ใช่จะเอาอันหนึ่ง จะเกลียดอีกอันหนึ่ง

เรามีสติ รู้สภาวะทั้งหลาย ที่มันเป็นคู่ๆ เช่น เผลอกับรู้ นี่คู่หนึ่ง ใช่มั้ย โกรธกับไม่โกรธคู่หนึ่ง โลภกับไม่โลภคู่หนึ่งเนี่ย เห็นเป็นคู่ๆไว้ มันจะพลิกไปพลิกมาในคู่ของมัน เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ฝึกอันหนึ่ง เกลียดอันหนึ่ง ไม่ใช่จะเอารู้สึกตัว เกลียดหลง จะเอาความไม่โกรธ เกลียดความโกรธ จะเอาความไม่โลภ เกลียดความโลภ

แต่การที่เห็นคู่ๆ มันจะทำให้เห็นว่า ความโลภ โกรธ หลง เห็นขึ้นมาแล้วก็ดับไป ความรู้สึกตัว รู้ตื่นเบิกบานเกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป ชีวิตเราขาดเป็นท่อน ท่อน ท่อน ท่อน ไม่ใช่มีชีวิตอันเดียวรวดเลย คนซึ่งภาวนาไม่เป็นนะ จะรู้สึกมีตัวเราอันเดียวรวด พวกเราจะรู้สึก ปุถุชนทั้งหลายจะรู้สึก หลายคนซึ่งยังเจริญวิปัสสนาไม่พอ จะรู้สึก รู้สึกมั้ย ในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนนี้ กับเราตอนเด็กๆ เป็นเราคนเดียวกัน รู้สึกมั้ย หน้าตาหรอกที่เปลี่ยนไปนะ แต่ในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนเดิมด้วย

เนี่ยถ้าหากทำวิปัสสนาถูกต้องนะ จะเห็นเลยว่า มันเกิดดับเป็นขณะๆ ชีวิตตะกี้นี้ กับชีวิตปัจจุบันนี้ เหมือนกับคนละคนกันเลย ขาดออกจากกัน จิตตะกี้นี้หลง จิตตอนนี้รู้สึก(ตัว) มันเหมือนคนละคนกันเลย เหมือนคนละคนเลย ถ้าดูเป็นนะก็จะเห็นเลย มีช่องว่างเล็กๆมาคั่น จิตดวงนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีช่องว่างมาคั่น ขาดออกจากกันนะ ไม่ใช่ตัวเดิม ไม่ใช่เหมือนร่างกายนี้คนเก่า เปลี่ยนแต่เสื้อไปเรื่อยๆ อันนั้นมิจฉาทิฎฐิ

ยกตัวอย่างพวกเราหลายคน คิดว่าในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง พอตายไปนะ เราตัวนี้ออกจากร่างนี้ ไปหาร่างใหม่เกิดอีก นี่มิจฉาทิฎฐิ เพราะว่าทำวิปัสสนาไม่เป็น ไม่เห็นว่าจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ (อีก)ดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับนะ

เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นนะ จิตดวงหนึ่งเกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป จะเป็นกุศลก็ตาม เป็นอกุศลก็ตาม จะเป็นจิตที่รู้หรือเป็นจิตที่หลงก็ตาม ทั้งหมด มีสภาพอันเดียวกันหมดเลย เกิดแล้วดับเหมือนกัน ในที่สุดปัญญามันเกิดนะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เป็นธรรมดา นี่เป็นภูมิธรรมของพระโสดาบัน สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ก็จะเห็นอยู่นี่เองนะ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม มีแต่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ๆ ไปเรื่อยๆ

ทีนี้พอฝึกมากเข้าๆนะ ปัญญามันเริ่มแก่กล้าขึ้น มันเห็นเลย ตัวที่เกิดแล้วดับเนี่ย ตอนที่มันมีอยู่ มันก็ทุกข์นะ มันทุกข์อยู่โดยตัวของมันเองนั้นแหละ พอปัญญามันแจ้งนะ มันรู้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานี่ มันทุกข์หมดเลยนะ จิตมันสลัดทิ้งเลย หมดความยึดถือในรูปธรรมนามธรรม เมื่อจิตหมดความยึดถือในรูปธรรมนามธรรม จิตจะดูเมือนถอดตัวเองออกมา

แต่พูดแล้วไม่รู้ว่าภาษามันจะเป็นยังไงนะ บางทีจะพูดในมุมหนึ่งมันเหมือนจับมันข้างทิ้งไปเลยนะ มันโยนจิตทิ้งไป อีกมุมหนึ่งนะ เหมือนมันถอดออกมา มันหลุดออกจากกันนะ แต่เดิม มันหลุดออกจากกัน สมมุติมันรวมอยู่ด้วยกันอย่างนี้ จิตกับขันธ์มันรวมอยู่ด้วยกันอย่างนี้ พอภาวนาเห็นขันธ์เป็นทุกข์นะ เหมือนจิตมันถอดออกมา แต่พวกเราภาวนาเห็นจิตถอดออกมา แยกออกมาจากขันธ์เป็นสองส่วนใช่มั้ย อันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าขั้นสุดท้ายไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถอดออกมาแล้วนะก็ทิ้งตัวนี้ด้วย ทิ้งไป ตัวนี้(อีกตัวหนึ่ง)ก็ทิ้งไปนะ แล้วปรากฎว่า มันมีธาตุอยู่ธาตุหนึ่ง คือธาตุรู้ ธาตุรู้นี้จะซึมซ่านไปในทุกสิ่งทุกอย่าง

แต่เดิมจิตเรามีขอบมีเขต มีจุดมีดวง นี่คนดีมากแล้วนะ ดวงแค่นี้ พวกเทวดา รุกขเทวดา รัศมีนิดเดียว แค่นี้เอง เล็กเท่าดาวเอง บางคนภาวนามานานนะ เท่ากับล้อ ล้อเกวียน ล้อรถบดถนน รัศมีไม่เท่ากัน แต่มีขอบมีเขตอยู่ ตรงที่มันเข้าถึงธาตุรู้จริงๆเนี่ย ธาตุรู้นี้ซึมซ่านไปในทุกสิ่งทุกอย่าง ธาตุรู้น่ะคล้ายๆอากาศธาตุ แต่อากาศธาตุไม่ใช่ธาตุรู้ อากาศธาตุเป็นช่องว่าง อากาศธาตุซึมซ่านเข้าไปได้ ในพัดนี้ก็มีอากาศธาตุ มันซึมซ่านเข้าไป ในแผ่นดินก็มีอากาศธาตุซึมซ่านอยู่ ธาตุรู้นี้ก็ซึมซ่านคล้ายๆกัน แต่ธาตุรู้เป็นธาตุรู้ จะเรียกว่าจิตมั้ย มันก็ไม่ใช่จิตที่เคยเห็น เป็นธาตุรู้ แล้วแต่จะเรียกชื่อ เป็นเจ้าของมั้ย ไม่มีเจ้าของ ไม่มีขอบ ไม่มีเขต ไม่มีจุด ไม่มีดวง ไม่มีที่ตั้ง ถามว่าธาตุรู้ รู้อะไร ธาตุรู้รู้ธรรม รู้นิพพานนะ นิพพานเนี่ย ครอบโลกครอบจักรวาล ซึมซ่านไปในทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกันเปี๊ยบเลย แต่เป็นอีกสภาวะหนึ่ง พูดแล้วฟังยาก พวกคิดมาก อยากเรียนเยอะๆ ไปภาวนาเอาเองนะ แล้วจะเห็น

เพราะฉะนั้นสรุปก็คือ พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเพื่อให้เราเห็นว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ไม่ได้สอนเพื่อให้เห็นจิตเดิมแท้ ท่านสอนเพื่อความพ้นทุกข์สิ้นเชิง แล้วเราก็เจริญสติ(ปัฏฐาน)ไปเรื่อยๆ ความรู้ความเข้าใจของเราก็พัฒนาเป็นลำดับๆไป

เบื้องต้นก็จะเห็นว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป ไม่ควรยึดมั่นหรอก แต่มันยังยึดมั่นอยู่นะ เบื้องปลายนี้แหละมันหมดความยึดมั่นจริงๆ แล้วมันก็จะไปเห็นจิตที่เป็นอิสระ เราอย่าไปพูดถึงจิตเดิมแท้เดิมเท้อเลย ฟังแล้วเวียนหัวนะ วาดภาพมันเหมือนมีอะไรลึกลับซ้อนขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้ก็จะปางตายแล้ว ยังจะไปสร้างจิตเดิมแท้ขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ยุ่งตายเลย ไม่มีนะ สิ่งทีเป็นอมตะ มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่เป็นอมตะ อย่าไปวาดภาพว่ามีอะไรที่เป็นอมตะอยู่

สุดท้ายก็จะเห็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคือเห็นพระนิพพาน เป็นผลหรอก เบื้องต้นเห็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ ได้เป็นพระโสดาบัน เบื้องปลายรู้แจ้งสิ่งที่ไม่เกิดแล้วก็ไม่ดับ คือพระนิพพาน หน้าที่ของเราตอนนี้ก็คือเจริญสติ(ปัฏฐาน)ไปเรื่อยๆ รู้กายรู้ใจไป สังเกตตัวเองไปเรื่อย อกุศลอะไรยังไม่ได้ละนะ ก็ละเสียบ้าง ขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่ตามใจอกุศลนะ กุศลใดยังไม่เจริญก็เจริญเสียบ้าง ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆนะ หวังว่ามันจะเจริญขึ้นมาตามยถากรรม

ยกตัวอย่าง เราต้องหัดให้อภัยคน ต้องฝึกเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าฉันเจริญสติอย่างเดียวอะไรอย่างนี้ จะเอาแต่ปัญญา บางทีกิเลสเล็กกิเลสน้อย ไม่ยอมละนะ จะเอาแต่ปัญญา ในที่สุดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศีลฉันจะไม่ถือหรอก ฉันจะมีแต่สติ มีแต่ปัญญา กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิง่ายๆนะ

หลวงพ่อเคยรู้จักคนหนึ่ง ไม่ถือศีลนะ สอนลูกไม่ให้ถือศีลด้วย บอกว่าไม่จำเป็น เราดำรงค์ชีวิตอย่างมีเหตุผลก็พอแล้ว สอนลูกอย่างนี้ ดำรงค์ชีวิตอย่างมีเหตุผลตามใจกิเลสสิ วงเล็บไว้ด้วยน่ะ ไม่มีศีลน่ะ

เพราะฉะนั้น อกุศลเล็กๆน้อยๆนะ เราก็ต้องรู้ทัน อย่าไปเชื่อมัน อย่าไปตามใจมัน กุศลแม้แต่เล็กแต่น้อยนะ เราก็ต้องคอยดูแลรักษามัน คอยดูมันไป มีสติ พัฒนามันขึ้นไปเรื่อยๆ จิตใจเข้าไปคลุกคลี พัวพันอยู่กับอารมณ์ต่างๆ คอยรู้ทันจนมันถอดถอนออกมา มันเข้าถึงความผ่องแผ้วของมัน นี่คือละชั่วทำดีทำจิตผ่องแผ้ว มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ค่อยๆพัฒนาไปนะ ค่อยฝึกของเราทุกวันๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๙
File: 520508.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น ต่างกับสมาธิที่มีจิตสงบในอารมณ์อันเดียว

mp 3 (for download) : สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น ต่างกับสมาธิที่มีจิตสงบในอารมณ์อันเดียว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น ต่างกับสมาธิที่มีจิตสงบในอารมณ์อันเดียว

สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น ต่างกับสมาธิที่มีจิตสงบในอารมณ์อันเดียว

หลวงพ่อปราโมทย์: ตั้งมั่นกับสงบ คนละอันกันนะ เป็นลักษณะของสมาธิคนละชนิดกัน ถ้าสงบเนี่ย มันจะนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวนะ เรียกว่า อารัมณูปนิชฌาน จะสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว ถ้าตั้งมั่นอยู่เนี่ย จะสามารถเห็นความเกิดดับ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปธรรมนามธรรมได้ เรียก ลักขณูปนิชฌาน คนละอันกัน อันหนึ่งเป็นฌาน เป็นความตั้งมั่น ที่เห็นลักษณะ คือเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม อีกอันหนึ่งเห็นตัวรูปนาม

เพราะฉะนั้นลำพังเราเห็นตัวรูปนาม ยังไม่ใช่วิปัสสนานะ บางคนเข้าใจผิดเลย ยกตัวอย่างไปดูท้องพองยุบ แล้วคิดว่าถ้าดูท้องพองยุบแล้วเป็นวิปัสสนา ไม่เป็นหรอก เพราะมันเป็นการเห็นตัวท้อง เห็นตัวท้องมันเป็นตัวอารมณ์ เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน เป็นสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเห็นรูปพอง รูปยุบ นี่เกิดแล้วดับไปเรื่อยนะ นี่เห็นลักษณะแล้ว เห็นความเกิดดับของมัน อย่างนี้ขึ้นเดินปัญญาได้

รู้ลมหายใจ จิตไปรู้ลมหายใจนะ สงบ อยู่กับลมหายใจ อันนี้รู้อะไร รู้ลมหายใจ ลมหายใจเรียกว่าเป็นอารมณ์ คำว่าอารมณ์นะ คือคำว่า Object นะ เป็นตัวที่ถูกรู้ Objective คำว่าอารมณ์ในศาสนาพุทธนี้ ไม่ใช่แปลว่าอารมณ์อย่างที่พวกเรารู้จัก emotion อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ อารมณ์หมายถึงสิ่งที่ถูกรู้

เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างเราไปรู้ลมหายใจนะ จิตเกาะนิ่งอยู่กับลมหายใจ นี่คือการเพ่งตัวอารมณ์ เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน เป็นสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเราเห็นร่างกายมันหายใจ เห็นรูปมันเคลื่อนไหวนะ ใจมันเป็นคนดู มันมีความรู้สึกหยั่งซึ้ง ลึกซึ้ง อยู่ในใจนะ เนียนๆ ลึกซึ้งอยู่ในใจเลย รูปที่เคลื่อนไหวอยู่นี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเลย เป็นรูปที่เคลื่อนไหว อันนี้มันเดินปัญญานะ มันล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่าตัวลักษณะ ถ้าไม่เห็นลักษณะก็ไม่ขึ้นวิปัสสนา สมาธิก็เลยมี ๒ พวก สมาธิที่ไปรู้ตัวอารมณ์ กับสมาธิที่ไปรู้ตัวลักษณะ ความเป็นไตรลักษณ์ มี ๒ ชนิด

เนี่ยต้องเรียนทั้งสิ้นนะ ถ้าไม่เรียนแล้วก็ เอาสมาธิชนิดเพ่งอารมณ์นี้แหละมาทำวิปัสสนา เช่น ไปนั่งเพ่งลมหายใจแล้วบอกว่าทำวิปัสสนา ไปนั่งเพ่งท้องพองยุบแล้วบอกว่าทำวิปัสสนา ไม่เป็นหรอก เป็นสมถะล้วนๆเลย ต้องเห็นไตรลักษณ์จึงจะเป็นวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๕
File: 530917A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุกขวิปัสสกะเหมือนซำเหมาทัวร์

mp 3 (for download) : สุกขวิปัสสกะเหมือนซำเหมาทัวร์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สุกขวิปัสสกะเหมือนซำเหมาทัวร์

สุกขวิปัสสกะเหมือนซำเหมาทัวร์

หลวงพ่อปราโมทย์: เจริญปัญญารวดเดียว จิตจะแห้งแล้ง ไม่มีความสุขหรอก ไปไม่ไหว ไปยาก ลำบาก ถ้าไปเจริญปัญญารวดนะ คล้ายๆคนเดินทางไกลนะ แต่ไปแบบยากจน ซำเหมาทัวร์ มีเป้ใบหนึ่งแล้วเดินไปเรื่อยนะ รองเท้าขาดก็ปะเอา แล้วก็เดินต่อไป มืดที่ไหนก็ไปนอนแถวนั้นน่ะ ดูซิ มีลำห้วย ลำธาร บ่อน้ำมั้ย หาอะไรกินไป ไปเจอกล้วยก็กิน อะไรอย่างนี้ ก็พออยู่นะ พอไปได้ ไปลำบาก

ถ้าเป็นคนที่มีสมาธิเป็นที่พักผ่อนนะ เที่ยวแบบเจ้าสัว นั่งรถไปเที่ยวนะ ตรงนี้ก็ขึ้น ฮ. (เฮลิคอปเตอร์) ตรงนี้นั่งเครื่องร่อนนะ ไปเรื่อย ถึงเวลาพักผ่อน มีโรงแรมให้นอน มีอาหารมาเสิร์ฟ ก็ไม่เหมือนกัน

แต่เราจะไปอิจฉาเศรษฐีไม่ได้นะ ถ้าเราจนน่ะ เพราะฉะนั้นเราภาวนา ถ้าเราได้แค่จนๆ เราก็เอาจนๆนี้แหละ ไปแบบคนจนนะ ไม่ต้องง้อเศรษฐี ถ้าทำความสงบได้ก็สบาย ภาวนาเหมือนเศรษฐี มีความสุข

แต่อาจจะช้าก็ได้นะ ไม่ได้บอกว่าภาวนามีความสุขแล้วจะเร็วกว่าพวกที่ภาวนาลำบากนะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าพวกภาวนาลำบากแล้วจะเร็วกว่าพวกที่ภาวนาแล้วมีความสุข คนละเรื่องกัน คนละพวกกัน ไม่เกี่ยวกันสองเรื่องนี้ ระหว่างช้าเร็วนะ กับมีความสุขหรือมีความทุกข์ในการปฏิบัติเนี่ย เป็นคนละประเด็น พวกไหน กิเลสหนาหน่อยก็ภาวนาลำบาก พวกกิเลสเบาบางก็ภาวนามีความสุขหน่อย พวกไหนอินทรีย์แก่กล้าแล้วก็บรรลุเร็ว อินทรีย์ไม่แก่กล้าก็บรรลุช้า คนละประเด็นกัน

เพราะฉะนั้นภาวนาแบบแห้งแล้ง สุกขวิปัสสกะ ไม่จำเป็นต้องช้า ไม่ช้า พวกที่ทำสมาธิมากอาจจะช้าก็ได้ เพราะมัวแต่ไปนั่งสมาธิเพลินไป ไม่ยอมเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๑๖
File: 530917B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตามองเห็นรูปทำผิดได้ ๔ แบบ

mp 3 (for download) : ตามองเห็นรูปทำผิดได้ ๔ แบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูอายตนะ ผิดได้ ๔ แบบ

ตามองเห็นรูปทำผิดได้ ๔ แบบ

หลวงพ่อปราโมทย์: เราชอบตีความเพี้ยน ตีความเพี้ยนนะ ยกตัวอย่างบางคนหัดภาวนา เมื่อตามองเห็นรูป ท่านสอนอย่างนี้นะ เมื่อตามองเห็นรูป ความรู้สึกเกิดที่จิตน่ะ ความยินดียินร้ายเกิดที่จิต ให้มีสติรู้ทันนะ หน้าที่ของเราก็รู้ทันอย่างนี้นะ ไม่ใช่เมื่อตามองเห็นรูป เอาสติกำหนดไว้ที่จักษุประสาท จักขุประสาท เฉยๆ กำหนดอยู่ที่จักขุประสาท รู้จักมั้ย คือตัวที่รับภาพน่ะ ตัวเส้นประสาทที่รับภาพน่ะ

ถ้าจิตไปกำหนดไว้ที่จักขุประสาทเนี่ย ทุกอย่างจะนิ่งหมดเลย ไม่มีกิเลส เพราะอะไร เพราะจักขุประสาทเป็นรูป กิเลสไม่ได้อยู่ที่รูป แล้วก็จิตที่เกิดที่ตาที่เรียกว่าจักขุวิญญาณจิต จักขุวิญญาณจิตเป็นวิบากจิต เป็นจิตอัตโนมัติเกิดขึ้นธรรมดา หมาก็มี พระอรหันต์ก็มีนะ ไม่ได้ว่าท่านเทียบกับหมาหรอกนะ แต่หมายถึงว่าสัตว์ที่มีตาทั้งหมดน่ะ มันก็มีจักขุวิญญาณจิต แล้วจักขุวิญญาณจิตนี้ไม่มีกิเลสสักตัวเดียว ในขณะที่หมามองเห็นก็ไม่เกิดกิเลส ในขณะที่ผู้ปฏิบัติธรรมมองเห็นก็ไม่ได้เกิดกิเลส กิเลสเกิดตามหลังนั้นมาต่างหาก ถ้าเราเอาสติไปจ้องอยู่ที่ตานะ เอาสติไปจ้องอยู่ที่ประสาทหู จ้องอยู่ที่ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย กายะประสาท ทุกอย่างจะนิ่ง ไม่มีกิเลส

ไม่มีกิเลสไม่ใช่เพราะว่าไม่มีกิเลส ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีอนุสัย แต่อนุสัยไม่มีโอกาสทำงาน เพราะไปเพ่งไว้เฉยๆ เพราะฉะนั้นมันคือการเพ่งรูปนะ มันคือการเพ่งรูป ถ้าเพ่งเข้าไปเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ไม่มีกิเลสเกิดแล้วแหละ ในขณะที่เพ่งอยู่ไม่มีกิเลสหยาบๆขึ้นมาได้หรอก แต่มีกิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่ง กิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่งนั้นคือโลภะ และทิฏฐิ โลภะก็คือ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ ทิฎฐิก็คือคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะดี ทำอย่างนี้แล้วจะถูก เพราะฉะนั้นในขณะนั้นกิเลสครอบงำจิตอยู่แท้ๆเลย แต่ไม่รู้ไม่เห็นเลย

เพราะฉะนั้นจะต้องระมัดระวังมากนะในการเรียนกรรมฐานเนี่ย แค่ตามองเห็นรูปเนี่ยทำผิดได้ ๔ แบบ อย่างนี้จะมากกว่านี้ก็คงมีนะ แต่ภูมิปัญญาของหลวงพ่อรู้ได้แค่ ๔ แบบ ที่เห็นทำผิดอยู่

แบบที่ ๑ ไปกำหนดอยู่ที่รูป (ที่ตาเห็น) อันนี้ออกนอกเลย ไปกำหนดอยู่ที่รูป

อย่างที่ ๒ ไปกำหนดอยู่ที่จักขุประสาท ถามว่าตรงนี้จิตออกนอกมั้ย ออกนอกเรียบร้อยแล้ว จิตเคลื่อนไปที่จักขุประสาท จิตส่งออกนอกไปเรียบร้อยแล้ว ไปเพ่งจักขุประสาท

อย่างที่ ๓ นะ เอาสติไปจ่ออยู่ตรงผัสสะ ตรงที่มีการกระทบระหว่างตา รูป และความรู้สึก สิ่งที่เรียกว่าผัสสะนะ คือการประชุมกันของธรรมะ ๓ อย่าง คือ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน แล้วก็จิต เพราะฉะนั้นไปดักดูตรงการกระทบของสิ่งสามสิ่งนี้ ก็นิ่งเหมือนกัน

อย่างที่ ๔ ก็ไปเพ่งจิตที่เกิดขึ้นทางอายตนะ เพ่งจิตที่ไปเห็นรูป

เพราะฉะนั้นตรงนี้เพ่งได้ตั้ง ๔ แบบ เห็นมั้ย ทางที่ผิดนี้ละเอียดละออเลย ยิบยับไปหมดเลย ถ้าไม่เรียนให้ดีจะนึกว่าดี ว่าทำอยู่ตรงนี้แล้วเหมือนไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีโอกาสเกิดต่างหาก แต่ว่ามันเกิดไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ส่งจิตไปดู แค่นั้นก็ส่งจิตออกนอกแล้ว คือเมื่อไรออกนอกจากการรู้นะ รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เมื่อนั้นออกนอกทั้งนั้นล่ะ แต่หลวงปู่ดูลย์ไม่ได้ห้าม

หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ธรรมดาจิตต้องออกนอกเพื่อจะไปรู้อารมณ์ เพียงแต่ออกนอกแล้วนะ พระอริยเจ้าทั้งหลายเนี่ย จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ต่างกันตรงนี้เท่านั้นเอง ส่วน พระอริยเจ้า คำว่าพระอริยเจ้าของท่านเนี่ย หมายถึงพระอรหันต์ พระอนาคาฯก็ยังกระเพื่อมหวั่นไหวได้นะ หวั่นไหวในอะไรพระอนาคาฯ หวั่นไหวในรูปฌาน อรูปฌาน ยังยินดีพอใจในรูปฌาน อรูปฌาน ถ้าต่ำกว่าพระอนาคาฯนี้ จะยินดีในกาม ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ยินดีในการคิดเรื่องกาม และก็ยินร้ายในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ยินร้ายในการคิดเรื่องกาม เพราะฉะนั้นจะมีความยินดียินร้ายเกิดขึ้นทั้งสิ้น

เพราะธรรมชาติของจิตต้องออกไปรู้อารมณ์ แต่เมื่อรู้อารมณ์แล้วเนี่ย เฉพาะพระอรหันต์จิตไม่ยินดียินร้ายไม่กระเพื่อมหวั่นไหว นอกนั้นกระเพื่อมหวั่นไหวอยู่ กระเพื่อมหวั่นไหวอยู่มีสติรู้ทันมัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ภาวนาดูจิตแล้วห้ามกระเพื่อมหวั่นไหวนะ เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๘
File: 530829B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

mp 3 (for download) : ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนตนเองนะ ฝึก เมื่อใดรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ เมื่อทั้ง ๓ นี้ เมื่อเดียวกันนะ เมื่อใดรู้ทุกข์เมื่อนั้นละสมุทัย เห็นมั้ย ขณะเดียวกัน เมื่อใดละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ ขณะเดียวกัน เมื่อใดรู้ทุกข์ละสมุทัยแจ้งนิโรธ เมื่อนั้นแหละ อริยมรรคล่ะ เพราะฉะนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้นในขณะเดียวกันนั้นเอง ทำกิจของอริยสัจจ์ ๔ เสร็จในขณะเดียวกันนั้นแหละนะ ถ้าทำทีละตอนๆ วันนี้รู้ทุกข์ วันนี้ละสมุทัย วันนี้แจ้งนิโรธ ไม่จริงหรอก ของปลอมนะ

ครั้งหนึ่งนะ สมัยพุทธกาล มีพระสูตรอยู่สูตรหนึ่ง หลวงพ่อลืมชื่อไปแล้ว ลืมชื่อลืมเล่ม ใครอยากรู้เล่มไหนลองไป search ดู search คำว่า พระควัม พระควัมท่านชื่อจริงเต็มว่าอะไรนะ “พระควัมปติ” ครั้งหนึ่ง พระอรหันต์หลายองค์อยู่ด้วยกันนะ ไม่ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านไปอยู่ด้วยกัน มีความสุขมาก พระอรหันต์ท่านอยู่ด้วยกันท่านมีความสุข เช้ามาท่านไปบิณฑบาต ในตำราไม่ได้บอกว่าไปบิณฑบาตด้วยกันหรือเปล่านะ เช้ามาท่านไปบิณฑบาต กลับมาฉันเรียบร้อย ตำราก็ไม่ได้บอกว่ามาฉันด้วยกันหรือเปล่า ท่านบอกว่า พอหลังฉันแล้วเนี่ย ท่านมานั่งคุยกัน ทำไมท่านไม่ไปนั่งสมาธิเดินจงกรม ท่านเสร็จธุระแล้วนะ พระอื่นยังเอาอย่างไม่ได้นะ ฉันเสร็จแล้วต้องไปเดินจงกรม ไปนอนไม่ได้นะ นั่งคุยไม่ได้นะ ท่านคุยกันแล้วก็มีองค์หนึ่งนะ ท่านก็ปรารภขึ้นมา เมื่อใดรู้ทุกข์ เมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อใดละสมุทัย เมื่อนั้นแจ้งนิโรธ การรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ นั้นล่ะ มรรคล่ะ พระอรหันต์ที่เหลือ (กล่าว) สาธุ… ถูก แหมถูกอกถูกใจ

พระควัมปติท่านก็พูดขึ้นมา บอกว่า ผมเคยได้ยินพระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ เมื่อใดรู้ทุกข์เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรละสมุทัยนะ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ แจ้งนิโรธ เจริญมรรค เมื่อไรแจ้งนิโรธ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ ละสมุทัย เจริญมรรค เมื่อไรมรรคเกิดขึ้น เจริญมรรคหมายถึงมรรคเกิดขึ้น เมื่อนั้นล่ะรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เห็นมั้ยภูมิปัญญาต่างกันนะ ปัญญาของสาวกเห็นได้ด้านเดียวเอง ถ้ารู้ทุกข์ก็เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรค ขึ้นมา พระพุทธเจ้ามองได้ ๔ มุม เลย เพราะว่า ๔ อันนี้เกิดด้วยกัน นี่ปัญญาตรัสรู้นะ ต่างกันมากนะ เทียบกันไม่ติดหรอก สาวกเห็นมุมเดียวก็วิเศษวิโสแล้วนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราบุญนักหนานะ เกิดมาในแผ่นดินซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่นะ ต้องปฏิบัติธรรม ต้องศึกษาแล้วก็เอาไปปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม เราถึงจะได้ประโยชน์จากธรรมะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๖
Track: ๘
File: 530829B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๑๑ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 20 of 25« First...10...1819202122...Last »