Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : แยกธาตุแยกขันธ์เพื่อเห็นไตรลักษณ์

แยกธาตุแยกขันธ์เพื่อเห็นไตรลักษณ์

ถาม : หลายเดือนมาแล้วส่งการบ้านหลวงพ่อที่วัด ท่านว่าเห็นธาตุเห็นขันธ์มันกระจายตัวออกไปแล้วใช่มั้ย (นึกสภาวธรรมที่เจอไว้แต่ยังไม่ได้เอ๋ยถาม)

ตอบท่านว่าไม่แนใจ ท่านว่าจงแน่ใจเถอะ ช่วงนั้นก็เห็นว่า กายใจ มันอยู่ห่างๆกันบ้าง

คำถามตอนนี้อยากให้อ.แนะนำการปฎิบัติต่อค่ะ มันเห็นเวทนา แยกคนละส่วนกับกายหนเดียว ไม่เคยเห็นอีกเลยน่ะค่ะ และก็ไม่เห็นมันเกิดดับด้วยค่ะ

ตอนนี้ทำสมถะน้อยกว่าตอนที่ถามหลวงพ่อ ช่วงนั้นไปวัดบ่อย รวมกับเข้าcouseบ่อย ตอนนี้เวลาน้อยลงค่ะ ห่างวัด

ตอบ : แม้จะไม่ได้ไปวัดบ่อย ไม่ได้เข้าคอร์สบ่อย แต่ร่างกายก็ยังต้องเคลื่อนไหวอยู่ในอิริยาบทต่างๆ ตลอดเวลาเหมือนกันครับ

ที่หลวงพ่อให้ดูกายมันทำงานของมัน เราจึงสามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลาทุกๆวันอยู่แล้ว

หากเห็นร่างกายถูกรู้ได้บ่อยๆ หรือเห็นร่างกายเป็นส่วนหนึ่งจิตเป็นส่วนหนึ่งได้บ่อยๆ

ก็เป็นการแยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้ว ส่วนการแยกเวทนานั้นแม้จะนานๆเห็นสักครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยครับ

แล้วถ้าไม่เห็นเวทนาแยกก็ไม่ต้องดิ้นรนทำให้แยกนะครับ เพื่อเมื่อแยกกายแยกจิตได้แล้ว

การดูกายไปบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ เห็นไตรลักษณ์ของกายบ้างของจิตบ้างได้ตามโอกาส

ซึ่งการเห็นไตรลักษณ์นี่แหละครับคือสาระสำคัญของการภาวนา ^_^

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตคิด กับ จิตรู้

จิตคิด กับ จิตรู้

เรื่อง “จิตคิด” กับ “จิตรู้”

ที่จริงถ้าเราแยกนามธรรมได้ชำนาญ เราจะไม่กล่าวถึง “จิตคิด” กับ “จิตรู้”

เพราะจิตนั้น มันมีคุณสมบัติหลายอย่าง ตั้งแต่ รู้สึก จำ คิด รับรู้ และเสพย์ อารมณ์

หากเราแยกนามได้ชำนาญ เราจะพบว่า คุณสมบัติแต่ละอย่างของจิตนั้น

ก็คือนามขันธ์ แต่ละตัวนั่นเอง

คือความรู้สึกสุข ทุกข์ ก็คือเวทนา ไม่ใช่จิต

ความจำก็คือสัญญา ไม่ใช่จิต

ความคิดนึกปรุงแต่งก็คือสังขาร ไม่ใช่จิต

ความรับรู้ก็คือวิญญาณ ไม่ใช่จิต

เอาเข้าจริง สิ่งที่เราเรียกว่าจิต ก็ไม่ใช่จิต

 

แต่เพราะเราไม่รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ขันธ์แต่ละขันธ์เขาทำหน้าที่ของเขา

จึงไปยึดเอานามธรรมว่าเป็นจิตเรา แล้วให้มันร่วมมือกันทำงานจนหลอกเราได้

เช่นพอรู้ว่ามีความสุข ก็ยึดเอาว่า จิตสุข หรือเราสุข

ไม่ได้เห็นว่าความสุข ก็เป็นสิ่งภายนอก เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

พอมีความจำได้หมายรู้ ก็ยึดว่าเราจำได้หมายรู้

ไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

พอมีความคิดนึกปรุงแต่ง ทั้งที่เป็นอกุศล กุศล และเป็นกลาง

ก็ว่าจิตเราดี จิตเราชั่ว จิตเราเป็นกลาง

ไม่เห็นว่าความคิดนึกปรุงแต่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา

พอมีความรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่าจิตเรารับรู้

ไม่เห็นว่าความรับรู้เป็นสภาพธรรมที่เป็นอิสระอยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาของเรา

 

จิตนั้นอาศัย “จิตสังขาร” คือเวทนา สัญญา และสังขาร จึงรู้สึกว่าเป็นจิต

ขอเพียงปล่อยวาง นามขันธ์เสียให้หมด ไม่เห็นว่าเป็นเรา

ธรรมชาติรับรู้ล้วนๆ ก็จะปรากฏขึ้น

และธรรมชาติอันนั้น จะไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่า เป็นตัวเรา หรือจิตเรา

 

อย่าไปสำคัญว่า นี่คือจิตรู้ จิตคิด จิตจำ จิตเห็น

สิ่งเหล่านั้น เป็นการประกอบกันขึ้นของนามขันธ์เท่านั้นเองครับ

รักษาสติ สัมปชัญญะไว้ให้แจ่มใส ต่อเนื่อง

รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

รูป และนาม เขาจะทำหน้าที่ของเขาไปตามเหตุปัจจัย ให้ดูต่อหน้าต่อตาทีเดียว

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : อย่าท้อถอยที่จะทำดี

อย่าท้อถอยที่จะทำดี

ถ้าไม่เข้าใจว่า…กรรมดีก็ทำตามสมควรแล้ว แต่กรรมดีนั้นยังไม่มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้ผล

แต่เหตุปัจจัยที่ทำให้กรรมชั่วให้ผลมันถึงพร้อม ก็เลยทำให้ต้องรับผลของกรรมชั่วอยู่

ชีวิตจึงยากลำบาก ขาดแคลนลาภ/ยศ/สรรเสริญ/ความสุข มากไปด้วยเสื่อมลาภ/เสื่อมยศ/ถูกนินทา/ความทุกข์…

ก็อาจทำให้เราท้อถอยที่จะทำกรรมดีต่อไป และที่แย่คือ เราอาจเห็นผิดแบบว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วเมินเฉยต่อการทำกรรมดีเสียสิ้น

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ทำอย่างไรจึงรู้ตัวได้บ่อยขึ้น ?

ทำอย่างไรจึงรู้ตัวได้บ่อยขึ้น ?

แทนที่จะพยายามรู้ตัวให้บ่อยขึ้น

ขอให้พยายามรู้ว่าหลง เผลอ เพ่ง คิด ให้ไวขึ้นก็พอแล้วครับ

เพราะทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอ หรือเพ่ง

ขณะนั้นรู้ตัวเรียบร้อยแล้วครับ

ถ้าไปพยายามรู้ตัว เดี๋ยวจะเผลอไปสร้างความรู้ตัว(ปลอมๆ) ขึ้นมาครับ

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน จันทร์ ที่ 29 มกราคม 2544

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับอ.สุรวัฒน์ : โอวาทเพื่อความเจริญ

โอวาทเพื่อความเจริญ

 ไม่ต้องฉลาดก็ได้นะ ไม่ต้องเก่งก็ได้นะ

 แค่รู้ว่าใครเป็นคนดีที่ควรคบ ใครเป็นคนชั่วที่ไม่ควรคบ

 อะไรเป็นกุศลที่ควรทำให้มาก อะไรเป็นอกุศลที่ควรละเว้น

 ชีวิตเราก็จะเจริญไปได้ทั้งทางโลกและทางธรรม

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

นโม วิมุตฺตานํ   นโม วิมุตฺติยา

ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

 

พระปริตต์คาถาทั้งสองวรรคข้างต้นนี้

พระป่าท่านรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี

และส่วนมากท่านจะบริกรรมกันเสมอ

เนื่องจากมีผลให้จิตใจอ่อนน้อม สงบ เยือกเย็น และกล้าหาญ

และเป็นพระปริตต์คาถาที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ นิยมบริกรรม

เพียงแต่คนวงนอกไม่ค่อยทราบกัน

จะทราบก็แต่ว่า พระป่าท่านนิยมบริกรรม พุทโธ เท่านั้น

 

พระปริตต์คาถานี้ไม่เกี่ยวกับไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา

แต่เป็นการน้อมระลึกถึงท่านที่หลุดพ้นแล้ว

คือพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระอรหันตสาวก รวมทั้งพระธรรม

ทำนองเดียวกับได้ระลึก พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ รวมกัน

 

ที่มาของพระปริตต์คาถาสองวรรคนี้มาจาก

โมรชาดก ทุกนิบาตชาดก พระสุตตันตปิฎก เล่ม 19

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 1 มีเนื้อความดังนี้

 

                     ว่าด้วยนกยูงเจริญพระปริตต์

       [167] พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก

             เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก

             กำลังอุทัยขึ้นมาทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี

             เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น

           ซึ่งทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพี

           ข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มกันแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน

           พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง

           ขอพราหมณ์เหล่านั้น   จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า

           และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

           นกยูงนั้น เจริญพระปริตต์นี้แล้วจึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร.

       [168] พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก

             เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอก

             ส่องแสงสว่างไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป

             เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์นั้น

             ซึ่งส่องสว่างไปทั่วปฐพี

             ข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มครองแล้วในวันนี้ พึงอยู่เป็นสุขตลอดคืน

             พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง

             ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า

             และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

           ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

           นกยูงนั้นเจริญพระปริตต์นี้แล้วจึงสำเร็จการอยู่.

                       จบ โมรชาดกที่ 9.

 

คาถานกยูงนี้ สะท้อนสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างคือ

นกยูงเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกแล้ว

ระลึกถึงคุณของพระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่าง

ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์แล้ว มีชื่อว่า สุริยะ แปลว่ากล้าหาญ

เพราะแสงอาทิตย์นั้น ทำให้มนุษย์(และสัตว์กลางวัน) กล้าหาญ

ส่วน จันทะ หรือพระจันทร์ ทำให้เบิกบานใจ

 

ไม่เพียงระลึกถึงคุณของพระอาทิตย์

นกยูงยังนอบน้อมพราหมณ์ คือผู้ลอยบาปทั้งปวง

นอบน้อมพระพุทธเจ้าและพระโพธิญาณ

นอบน้อมผู้ถึงความหลุดพ้นแล้ว

และนอบน้อมต่อธรรมแห่งความหลุดพ้นด้วย

 

นกยูงแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็ยังไม่รู้ธรรมและไม่มีโอกาสฟังธรรม

จึงไม่สามารถไตร่ตรองในธรรมเพื่อความหลุดพ้นได้

แต่นกยูงก็เจริญในธรรมอันหนึ่ง คือความนอบน้อมในสิ่งที่ควรนอบน้อม

ได้แก่นอบน้อมต่อธรรมชาติที่ทรงคุณ

นอบน้อมต่อบุคคลที่ทรงคุณ

และนอบน้อมต่อธรรม ทั้งที่ตนยังไม่มีส่วนแห่งธรรมนั้น

 

หลวงปู่มั่น ท่านเห็นความสำคัญของความนอบน้อมมาก

ท่านสอนว่า สมัยก่อนคนเราจะทำอะไร ก็ต้องตั้ง นโม เสียก่อน

นโม คือความนอบน้อม

โบราณถือว่าอักระ น + ม นี้ เป็นสัญลักษณ์ธาตุดินและน้ำ

อันเป็นธาตุของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดร่างกายของเรานี้ ให้มา

เมื่อมีกายแล้ว ก็ต้องมีใจ

คือเมื่อแผลง นโม ออกไป ก็จะเป็น มโน คือใจ

ซึ่งก็เป็นใหญ่ เป็นประธานในธรรมทั้งปวง

เหมือนเป็นพ่อแม่ของธรรมทั้งปวงนั่นเอง

 

พึงทำใจของพวกเราให้มีความนอบน้อมในธรรม

แล้วน้อมสติสัมปชัญญะลงมาที่จิตใจของเราแต่ละคน

ระลึกถึงธรรมในจิตใจของตนอยู่เสมอ

จนใจกับธรรม เป็นสิ่งเดียวกัน

เพราะแม้แต่พระศาสดาของเรา

ท่านก็ยังมีธรรมในพระทัยของท่าน เป็นสรณะ เช่นกัน

 

นโม วิมุตฺตานํ   นโม วิมุตฺติยา

นโม วิมุตฺตานํ   นโม วิมุตฺติยา

นโม วิมุตฺตานํ   นโม วิมุตฺติยา

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน เสาร์ ที่ 6 พฤศจิกายน 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : มีสติรู้ทันแล้วสภาวะควรจะดับหรือไม่?

มีสติรู้ทันแล้วสภาวะควรจะดับหรือไม่?

ดูสภาวะใดแล้ว สภาวะนั้นจะดับทันทีหรือไม่ดับก็ได้ครับ

ดังนั้นไม่ต้องไปตั้งไว้ว่าต้องดับทันที

แต่ให้หัดดูไปตามที่เป็น ดับก็รู้ว่าดับ ไม่ดับก็ดูต่อไป

แล้วก็ไม่ต้องไปเฝ้าดูเพื่อจะเห็นว่ามันดับ ให้แค่รู้ไปสบายๆ

เพราะบางทีก็เห็นมันดับได้ บางทีก็ไม่ทันเห็นมันดับแต่จิตเกิดไปสนใจรู้อย่างอื่นแทนก็ได้

เช่นดูแล้วไม่ดับ ดูๆไป จิตก็หลงไปมองภาพทางตาจนลืมตัวไป

มารู้สึกอีกทีสภาวะก่อนหน้านั้นมันดับไปตอนไหนก็ไม่รู้

ฉะนั้นให้ดูไปตามที่เป็น ไม่ต้องตั้งว่าต้องดูให้ดับ ต้องดูจนเห็นสภาวะนั้นดับ

แต่ให้รู้ไปสบายๆ เปัจจุบันเห็นอะไรก็ดูอันนั้นไปตามที่เห็นตามที่เป็นครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง

จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง

เป็นการดีทีเดียว ที่พวกเรามีธรรมเป็นที่พึ่ง

อย่ายึดตัวบุคคลเป็นที่พึ่ง เพราะบุคคลนั้น อยู่กับเราตลอดไปไม่ได้

ส่วนพระธรรมนั้นแสดงตัวอยู่แล้วในจิตใจของเราเองทั้งวันทั้งคืน

ทั้งที่เป็นอกุศล ที่แสดงแล้วก่อทุกข์ก่อโทษให้เห็น ทั้งกุศล ที่แสดงแล้วก่อความสุขความสงบให้ ทั้งที่เป็นกลางๆ ไม่มีคุณไม่มีโทษ

ถ้ามีสติสัมปชัญญะก็สามารถเรียนรู้ธรรมแท้เหล่านี้ได้แล้ว ที่ผมแนะนำให้นั้น ก็คือการฝึกสติสัมปชัญญะ

 เป็นการให้เครื่องมือเอาไว้ฟังธรรมแท้ในใจตนเอง แล้วก็บอกทางว่า ให้เอาสติสัมปชัญญะเรียนรู้เข้ามาในกายในใจตนเองนี้แหละ ขณะนี้หมดหน้าที่ของผมแล้ว

 เป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องฟังธรรมของจริงกันเองแล้วครับ ไม่มีใครจะมาทำกิจอันนี้แทนได้เลย นอกจากทำเอาเอง

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันวัน พุธ ที่ 22 พฤศจิกายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : อาการปัญญาล้ำหน้า

อาการปัญญาล้ำหน้า

ถาม : อาการเรื่องจิตนี้ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง จิตมันแว๊บขึ้นมา แล้วบอกว่า ตัวจิตนั่่นแหล่ะคือตัวทุกข์ หลังจากนั้น ผมก็มีความรู้สึกโล่ง โปร่ง เบาสบาย เหมือนยืนอยุ่คนเดียวในโลก เป็นความสุขอย่างที่สุด ที่ไม่เคยได้พบมาก่อนเลยในชีวิต และมีอารมณ์นี้อยู่ได้ประมาณ 1 วัน ความสุขที่กล่าวก็หายไป จนมาครั้งที่สอง ก็เกิดอารมณ์แห่งความสุขนี้อีกครั้ง แต่ไม่ตื่นเต้นมากเหมือนครั้งแรก อยู่ได้ประมาณ 1 วัน เหมือนกัน แล้วก็หายไป จึงทำให้คิดไปว่า สิ่งที่จิตพูด เหมือนเป็นการบอกว่า เราจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป ไม่ทราบว่าผมเข้าใจผิดหรือไม่ ?

 

ตอบ : ระวังจะเป็นอาการ ปัญญาล้ำหน้าไปนะครับ อาการปัญญาล้ำหน้าจะออกมาในรูปของความคิดแล้วจิตสงบลงแบบสมถะ โดยที่จิตยังไม่แจ้งอริยสัจจริง ยังไม่แจ้งจริงว่า ตัวจิตนั่นแหละคือตัวทุกข์ แต่อาศัยการได้ยินได้ฟังธรรมะมาก่อน ก็เลยคิดนึกไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอาการอย่างไรตามมา จากการคิดนึกหรือที่มันแวบขึ้นว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ให้มีสติแค่รู้มันเกิดดับไปตามปกติครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมอันมีอุปการะมาก

ธรรมอันมีอุปการะมาก

สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมมีอุปการะมาก

เพราะเป็นเครื่องมือ ให้ได้สมบัติในสุคติและ นิพพาน

เสียดายแต่ผู้ปฏิบัติส่วนมาก ไม่มีสัมมาสติ

และไม่มีสัมปชัญญะคือ สัมมาทิฏฐิ อันเป็นตัวปัญญา

พูดง่ายๆ ก็คือขาดสติปัญญาในการปฏิบัติธรรม

จึงได้เพียงปฏิบัติตามๆ กันไป และไม่เห็นผลประจักษ์แก่ตนเอง

ว่าทุกข์น้อยลง และกิเลสตัณหาเบาบางลง

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน จันทร์ ที่ 3 เมษายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : วิปัสสนูปกิเลส

วิปัสสนูปกิเลส

วิปัสสนูปกิเลส เป็นอาการที่เกิดกับผู้ที่กำลังเจริญวิปัสสนา เช่นเกิดอาการที่มีสติแก่กล้า

หรือเกิดรู้สึกตัวเองเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ่ง จนเกิดสำคัญตนผิดว่า ได้ของดีได้คุณธรรม

บางคนก็คิดไปว่าบรรลุธรรมไปแล้ว เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว และมีความยึดมั่นถือมั่นกับความเข้าใจผิดๆอันนั้น

ทั้งที่ใจมันยังเร่าร้อนที่จะอวดตัว เร่าร้อนที่จะพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง แต่ตัวเองดูไม่เห็นว่าจิตมันเร้าร้อนอยู่ …

อาการวิปัสสนูปกิเลสมีถึง 10 อาการด้วยกัน (>>> อาการทั้ง 10 มีอะไรบ้างอ่านตรงนี้ <<<)

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : อัตตา-อนัตตา

  อัตตา-อนัตตา

ที่จริงเรื่องอัตตา อนัตตาเป็นเรื่องตื้นๆ ต่อหน้าต่อตา

ดูเข้าไปที่จิตตนเองสิครับ แล้วจะเห็นว่า

สิ่งทั้งปวงทุกอย่าง แม้แต่ตัวจิตเอง ล้วนเป็นอนัตตา

อัตตา มันเกิดจากจิต-ถูกความคิดและความหมายรู้ผิดๆ หลอกเอาเท่านั้นเอง

 

ถ้าไม่ “ดูจิตตนเอง” เอาแต่ “ดูสิ่งอื่น”

ถ้าไม่หยุด “คิด” แล้วมาอยู่กับ “รู้”

ก็ยังเห็นว่านิพพานเป็นอัตตาได้ครับ

เพราะเมื่อจิตเป็นอัตตาเสียแล้ว ก็พลอยดึงสิ่งที่จิตปรารถนาให้เป็นอัตตาไปด้วย

 

ดังนั้นแทนที่จะโต้เถียงด้วยความคิด หรือความเชื่อ

มาเฝ้าดูจิตตนเองดีกว่าครับ

แล้วชีวิตจิตใจจะพบกับความสงบสุขมากขึ้น

เอาให้เห็นจิตที่ไม่เป็นอัตตาก่อนเถอะครับ

แล้วก็จะเข้าใจเอง ไม่ต้องเชื่อใคร ว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : รู้สภาวะเพื่ออะไร?

รู้สภาวะเพื่ออะไร?

รู้ ไม่ใช่เพื่อให้ดับ แต่รู้เพื่อให้เห็นว่ามัน ไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ …

อย่างพอรู้แล้วดับ มันแสดงให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง

พอรู้แล้วไม่ดับอย่างที่คาดไว้ มันก็แสดงความไม่ใช่ตัวตน

ดังนั้นรู้แล้วจะดับไม่ดับก็ได้ แต่ให้หัดดูความเป็นไตรลักษณ์ไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : เทคนิคในการรู้ตามความเป็นจริง

เทคนิคในการรู้ตามความเป็นจริง

ให้รู้ตามความเป็นจริงเท่าที่รู้ได้

ไม่ใช่ เจตนา และอยาก จะรู้ให้เกินกว่าที่สติปัญญาจะรู้ได้จริง

ให้ฝึกฝนพัฒนาสติสัมปชัญญะให้มาก

  แล้วก็จะรู้ได้ว่องไว รู้ได้ละเอียด

และรู้ความจริงของจริงได้มากขึ้น โดยไม่ต้องฝืน

 

ขณะที่รู้อารมณ์ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือธัมมารมณ์จริงๆ

ตรงนั้นจิตเพียงแต่รู้เท่านั้น ยังไม่เสพย์อารมณ์

จิตตรงนี้ยังเป็นอุเบกขาหรือเป็นกลางอยู่ตามธรรมชาติ

 

อย่าพยายามไปกำหนดจิตให้หยุดนิ่งลงตรงนี้เพื่อจะรู้แต่ปรมัตถ์นะครับ

เพราะกำหนดไม่ได้จริงหรอก

ตอนที่คิดจะกำหนดนั้น

จิตมันขึ้นวิถีใหม่ หรือขึ้นกระบวนการของจิตรอบใหม่แล้ว

ตรงนี้แหละที่ผู้เรียนตำราชั้นหลังปฏิบัติผิดกันมาก

กลายเป็นหลงคิดตามสัญญาเท่านั้น

 

จึงควรปล่อยให้จิตเขาทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา

คือเมื่อถัดจากรู้รูป เสียง .. ธัมมารมณ์ นั้น

จิตจะอาศัยความจำรูปได้ ความจำเสียง .. ธัมมารมณ์ได้

เอามาเป็นปัจจัยสนับสนุนความคิดนึกปรุงแต่ง

แล้วเกิดกิเลสตัณหาอุปาทานขึ้นตรงช่วงหลังนี้

ตามตำรารุ่นหลังเขาเรียกว่า “ชวนะ”

จิตก็จะเกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง

 

แต่ตัวความคิดนึกปรุงแต่ง เช่นกิเลสตัณหา

และกลไกที่จิตแล่นไปก่อทุกข์ (ไม่ใช่เรื่องหรือเนื้อหาที่คิดนะครับ)

มันก็เป็นความจริงหรือปรมัตถ์ในฝ่ายนามธรรมของมันเหมือนกัน

ให้มีสติสัมปชัญญะ รู้มันไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไปเลย

อันนี้ก็เป็นวิปัสสนาเหมือนกัน ในหมวดของ เวทนา จิต และธรรม

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน พุธ ที่ 13 กันยายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เมื่อไปเรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์

เมื่อไปเรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์

 เวลาพวกเราไปเรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์ ต้องสังเกตจิตใจเราให้ดี

 ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับคำสอนท่าน เราก็ไม่ควรไปรบกวนท่าน

เพราะอาจจะทำให้ท่านเหนื่อยมากกับการคุยกับเรา

ควรเลือกไปเรียนกับครูบาอาจารย์ที่เราเห็นด้วยกับคำสอนของท่าน

ซึ่งนอกจากจะไม่รบกวนครูบาอาจารย์แล้ว ยังทำให้เราเปิดใจเรียนรู้และเจริญในธรรมได้ดีกว่าด้วย

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : นักภาวนากับคนทั่วไปต่างกันที่คุณภาพจิต

นักภาวนากับคนทั่วไปต่างกันที่คุณภาพจิต

ผมก็มีตาเห็นรูป มีหูได้ยินเสียง มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นรู้รส

มีกายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง มีจิตคิดนึก

ไม่ได้มีผัสสะอะไรแปลกแตกต่างจากคนอื่นๆ เลยครับ

แต่ความแปลกมันไปต่างกันที่คุณภาพของจิตที่รู้อารมณ์ต่างหากเล่าครับ

คือบางคน จิตรู้อารมณ์แล้ว จิตประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ

บางคน จิตรู้อารมณ์แล้ว จิตซึมอยู่เฉยๆ เป็นอกุศลจิตที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ

บางคนจิตเป็นกุศลจิต มีสติรู้อารมณ์ก็จริงแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา

แต่บางคน จิตมีปัญญาประกอบจิตซ้อนเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง

เป็นจิตรู้ สงบ เบิกบาน และฉลาดแจ่มใส

 

การปฏิบัตินั้น เราพัฒนาจิตกันครับ ไม่ใช่พัฒนาอารมณ์หรือผัสสะ

ถึงเป็นพระอรหันต์ ก็พบอารมณ์ พบผัสสะอย่างเดียวกับคุณนั่นเอง

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน ศุกร์ ที่ 24 พฤศจิกายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : จิตตั้งมั่นแล้ว ยังทำสมถะได้ไหม

จิตตั้งมั่นแล้ว ยังทำสมถะได้ไหม

ถาม : ตอนนี้จิตผมตั้งมั่นในภาวะปัจจุบันคือดูอารมณ์จิตได้ และตามดูอยู่แล้ว  แต่ผมยังหวังในสมาธิจากสมถะอีก  ผมควรต้องทำสมถะให้หนักต่อไปมั๊ยครับ

ตอบ : ถ้าทำสมถะด้วยเพราะความอยากได้อยากเป็น

ก็เท่ากับทำไปตามความอยากที่เป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ซึ่งไม่ว่าจะทำมากแค่ไหนก็จะไม่พ้นทุกข์

และยิ่งทำมากเท่าใดมันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น

ต้องวางใจใหม่ว่า เราจะทำเพราะเป็นกิจที่ควรทำ

ทำเพื่อให้จิตได้พักมีกำลังที่จะเดินปัญญาต่อ

ไม่ใช่ทำเพราะอยากได้อยากเป็น

ถ้าเกิดอยากได้อยากเป็นก็ให้รู้ทันจิตไปครับ

ส่วนจะทำมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่สะดวก

ที่สำคัญคือ ทำแล้วให้ออกมาเดินปัญญาต่อครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตที่ถูกอาสวะห่อหุ้มเอาไว้

จิตที่ถูกอาสวะห่อหุ้มเอาไว้

จิตที่ถูกห่อหุ้ม จมแช่อยู่ในก้อนทุกข์นั้น ยังเป็นจิตที่เกิดในอบายภูมิ

จิตที่พ้นออกจากการจมแช่นั้น ก็คือจิตที่เกิดในสุคติภูมิระดับมนุษย์และเทวดา

จิตที่ลอยตัวขึ้นนั้น ก็คือจิตที่เกิดในพรหมโลก

ในขั้นแรกที่ปฏิบัตินั้น จิตยังผลุบโผล่อยู่ระหว่างอบายและมนุษย์/เทวดา

พอทำมากเข้า จิตก็ไม่ไปอบาย แต่มาอยู่ในภูมิมนุษย์/เทวดา

ทำมากเข้าอีก จิตก็ผลุบโผล่อีก

แต่เป็นการผลุบโผล่ระหว่างภูมิมนุษย์/เทวดากับพรหมโลก

ทำมากเข้าอีก ก็จะอยู่ในภูมิของพรหมโลก

ไม่กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์และเทวดา

 

การพัฒนาจิตไปตามลำดับนี้

จะพัฒนาไปด้วยการทำทาน รักษาศีล และทำสมถะก็ได้

แต่ทำแล้วยังเวียนลงได้อีก

แต่ถ้าจิตพัฒนาไปด้วยวิปัสสนา

ก็มีแต่จะเขยิบขึ้นไปตามลำดับ ไม่มีลงครับ

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน พุธ ที่ 22 พฤศจิกายน 2543

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : หลงแล้วรู้

หลงแล้วรู้

หัดดูกายดูจิตมานานแล้ว จิตก็ยังมีปกติหลงแล้วรู้อยู่นั่นเอง
บางช่วงก็หลงนานแล้วจึงจะรู้ว่าเมื่อกี้หลงไป
บางช่วงก็หลงไม่นานแล้วรู้ว่าเมื่อกี้หลงไป
แรกๆ ก็ไม่เห็นหรอกนะว่าที่หลงหลงไปไหนมา
พอรู้ว่าเมื่อกี้หลงไปได้บ่อยๆ ก็จะค่อยๆ เห็นว่า
ส่วนมากจะหลงไปคิด กับหลงไปมองภาพทางตา

แต่การเห็นว่าหลงไปไหนนี่
มันก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องรู้แจ้งเห็นจริง
เพราะที่ต้องรู้แจ้งเห็นจริงมันอยู่ที่
รู้สึกได้ชัดว่า เมื่อกี้หลงไป
เมื่อรู้ได้ชัดว่าเมื่อกี้หลงไปได้บ่อยๆ
ก็จะค่อยรู้ชัดขึ้นที่ละนิดทีละหน่อยว่า
ร่างกายจิตใจ (รูปนาม ขันธ์ห้า) มันไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงถาวร
มีแต่เกิดแล้วดับไปตามเรื่องตามราว (ตามเหตุปัจจัย) ของมัน
มันจะหลงก็ห้ามมันไม่ได้ มันจะรู้ก็สั่งให้รู้ไม่ได้

เมื่อหัดให้รู้ชัดได้ตามจริงแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แล้วละก็
สติปัญญาจะเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
แม้ไม่ได้อยากจะเอามรรคผลนิพพานอะไร
มรรคผลนิพพานก็จะเป็นสภาวะที่พึงปรากฏชัดขึ้นได้
ด้วยเพราะเหตุปัจจัยถึงพร้อมนั่นเอง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News : หลวงพ่อฯปลูกต้นโพธิ์เพื่อเป็นกำลังใจแก่กลุ่มวิมุตติฟลอริด้า

บ่ายวันที่ 7 มิ.ย.2556 หลวงพ่อปราโมทย์ ครูบาอ๊า และท่านแม่ชี ร่วมให้พรและปลูกต้นโพธิ์เป็นกำลังใจแก่กล­ุ่มวิมุตติฟลอริด้า ณ บริเวณที่ดินที่เตรียมก่อสร้างศูนย์ไตรสิก­ขา เมือง Plant City รัฐฟลอริด้า

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 5 of 73« First...34567...102030...Last »