Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : การคิดแก้ปัญหา

การคิดแก้ปัญหา

การคิดแก้ปัญหา เป็นกระบวนตามปกติของคนเรา

ซึ่งเราจะคิดแก้ปัญหาได้เก่งแค่ไหน

ก็ขึ้นกับประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจที่สั่งสมมา

แต่สำหรับปุถุชนทั่วไป จิตจะยังมีอวิชชาอยู่มาก

ทำให้การคิดแก้ปัญหามักพาเข้ารกเข้าหรือพาให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่า

ดังนั้นถ้าจะคิดแก้ปัญหาจริงๆ ก็ควรทำให้จิตมีสติให้มาก

เพราะจะทำให้จิตเห็นโลกได้ตามจริงมากขึ้น

และหากจิตมีสติอันประกอบไปด้วยศีล

ก็จะพบว่า เราสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ โดยที่ใช้การคิดช่วยน้อยลงมาก

หลายเรื่องแทบไม่ต้องจงใจจะคิด

แต่ก็จะรู้วิธีแก้ปัญหาออกมาจากจิตที่มีสตินั่นเองครับ

 :D

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าย่อท้อ ธรรมะพระพุทธเจ้าของจริง อยู่ที่ว่าเราเป็นคนจริงแค่ไหน

mp 3 (for download) : อย่าย่อท้อ ธรรมะพระพุทธเจ้าของจริง อยู่ที่ว่าเราเป็นคนจริงแค่ไหน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใครเคยเห็นความสุขความทุกข์บ้าง เห็นมั้ยว่ามาแล้วก็ไป เห็นมั้ย มันไม่ยากอะไรเลย ของง่ายๆนี่เอง เรียนรู้ไปเรื่อยนะ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงวันนึงจิตมันก็ปิ๊งขึ้นมา ยอมรับ ว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานี่ เป็นของชั่วคราว ยอมรับตรงนี้ได้นะ ความทุกข์หายไปเยอะมากเลย

ถัดจากนั้น เราก็ภาวนาของเราต่อไปนะ จนกระทั่งวันนึง มันเห็นแจ้งขึ้นไปอีก มีปัญญาเห็นจริงขึ้นไปอีก ร่างกายจิตใจเราไม่ใช่เป็นแค่ของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับหรอก แต่ว่าเอาเข้าจริงนะ เราบังคับมันไม่ได้ ไม่ใช่ของที่อยู่ในอำนาจเลย แล้วมันเป็นตัวอะไร มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นตัวทุกข์ ถ้าเมื่อไหร่วันใด ที่จิตของเราเห็นแจ้งแล้ว ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ มันจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก

มันเป็นปรากฎการณ์ที่อัศจรรย์นะ จิตนี่มันสลัดความยึดถือในกายในใจ คืนให้โลกได้นะ มันเหมือนต่อไปนี้ ร่างกายกับตัวเรานี่ คนละเรื่องกันเลย จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา มันคืนให้โลกไปหมดเลยนะ เป็นอัศจรรย์มากเลย เป็นเรื่องที่ประหลาด ถ้าเราศึกษาปฏิบัตินะ อย่าย่อท้อซะก่อน คนที่เค้าไม่ได้ยินได้ฟัง เค้าไม่รู้วิธีปฏิบัติ ก็ส่วนนึงนะ(เป็น)ส่วนใหญ่ พวกเราเมื่อได้ยินได้ฟังได้รู้วิธีปฏิบัติแล้ว เป็นคนส่วนน้อยเต็มที

คนที่ได้ยินธรรมะแท้ๆของพระพุทธเจ้าเนี่ย เป็นคนส่วนน้อยนะ ในโลกนี้คนตั้งเยอะแยะ ในเมืองไทยคนตั้งเยอะแยะ มีคนซักกี่คน ที่เคยได้ยินเรื่องการเจริญสติรู้กายรู้ใจ ทำสติปัฏฐานอะไรนี้ พระพุทธเจ้าสอนนะ ถ้าตราบใดยังมีผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

สติปัฏฐานนี่แหล่ะ เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียว เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งปวง ท่านสอนถึงขนาดนี้

ถ้าพวกเราเป็นชาวพุทธ เราไม่รู้วิธีเจริญสติปัฏฐาน ไม่รู้วิธีรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ก็เรียกว่าเรายังไม่ได้ประโยชน์ จากพระพุทธศาสนาเท่าที่ควรหรอก นี่หลวงพ่อพึ่งไปอินเดียมานะ เห็นวัดวาอารามสมัยก่อน สร้างกันไว้ใหญ่โตมโหฬารนะ พังทลายไม่มีคนดูแล ทำไมมันสูญไปอย่างนั้น เพราะมันไม่มีชาวพุทธ

ของเรานี่ก็เหมือนกันนะ นับวันชาวพุทธแท้ๆร่อยหรอเต็มทีแล้ว มีแต่พุทธแต่ชื่อ พระพุทธเจ้าสอนอะไร ก็ไม่รู้ บอกเป็นชาวพุทธได้ยังไง คิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องพิธีกรรม ถึงปีทำบุญใส่บาตรอะไรงี้นะ นิมนต์พระมาสวด เวลาตายก็เอาศพไปวัดไปสวด คิดว่านี่คือศาสนาพุทธเหรอ คนละเรื่องเลยนะ ด้อยเกินไปนะ

งั้นเราต้องเรียน ให้ได้หลักของการปฏิบัติจริงๆ เรียนให้ได้แก่นสารของการปฏิบัติจริงๆ แล้วความทุกข์จะออกจากใจเราได้จริงๆ ธรรมะของท่านน่ะของจริงนะ อยู่ที่เราเป็นคนจริงแค่ไหน เราเป็นคนจริง ความทุกข์ออกจากใจเราจริงๆ เห็นต่อหน้าต่อตาเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๘ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : เปรียบการภาวนาดั่งมวย (๒)

เปรียบการภาวนาดั่งมวย (๒)

แรกๆ เราเป็นมวยคนละชั้นกับกิเลส แต่ปฏิบัติใหม่ๆ กิเลสก็ประมาทเราเหมือนกัน
คือเราจะได้ขึ้นเวทีเฉพาะกับกิเลสปลายแถวเท่านั้น (เพราะไม่เห็นกิเลสละเอียด)
ได้แก่พวกโทสะ และราคะหยาบๆ
จึงมีโอกาสที่จะผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ พอให้มีกำลังใจสู้
เมื่อเราชนะมากเข้า ก็ได้เลื่อนชั้นไปชกกับกิเลสที่ละเอียดขึ้นคือโมหะ
ซึ่งพวกนี้เทียบแล้วก็เหมือนมวยระดับท้องถิ่น

ถ้าพอสู้ได้แล้ว ก็จะเจอกับกิเลสระดับนิวรณ์ อันเป็นมวยระดับชาติ
ถัดไปก็จะเจอกับมวยระดับโลก คือสังโยชน์ต่างๆ
พอชกชนะหลายครั้งเข้าก็ได้เป็นแช้มป์โลก
คือการปฏิบัติจนเข้าถึงจิตอวิชชานั่นเอง
ถึงจุดนี้ นักปฏิบัติจะคิดว่าตนเองชนะแล้ว หมดกิจแล้ว
ความจริงยังไม่หมด เพราะยังต้องป้องกันแช้มป์อีก
คือจิตอวิชชานั้นเอง ยังมีความเสื่อมให้เห็นได้เป็นระยะๆ

เมื่อใดฉลาดรู้ทันว่าจิตอวิชชาก็ยังเอาไว้ไม่ได้
นั่นคือการสละตำแหน่งแช้มป์คือปล่อยวางจิต
รื้อเวทีคือภพ ไล่กรรมการคือกรรมไปให้พ้น

นักปฏิบัติจะต้องก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดครับ
จะยอมให้กิเลสเคี้ยวเอาฝ่ายเดียวไม่ได้
เพราะมันไม่เคยเมตตาปรานีเราเลย
มันเล่นเราถึงตาย ตายแล้วตายอีก มานานไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน อาทิตย์ ที่ 3 ตุลาคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : เปรียบการภาวนาดั่งมวย (๑)

เปรียบการภาวนาดั่งมวย (๑)

  ชีวิตจริง มันเป็นมวยที่ไม่มีกำหนดยก
ในระหว่างชก คือเวลาเจริญปัญญา
ในระหว่างพักยก คือเวลาพักด้วยสมถะ
ถ้าเอาแต่ชก ไม่นานก็ตาย เพราะจิตไม่มีความสงบเป็นเครื่องหนุน
ถ้าเอาแต่พัก ไม่ยอมชก ก็ถูกไล่ลงจากเวทีของนักสู้
ต้องไปหาเวทีเริ่มชกใหม่เอาชาติหน้า

กิเลสเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้ เพราะมันมีหลายซับหลายซ้อน
และพร้อมจะนำทุกข์มาสู่จิตตนเองได้เสมอ
เราควรทราบว่า ไม่มีใครจะทำให้จิตใจเราเป็นทุกข์ได้
นอกจากเราทำของเราเอง เพราะหลงกลของกิเลส

ถ้าชาตินี้อ่อนแอยอมแพ้กิเลส ก็จะเพาะนิสัยขี้แพ้ให้มากขึ้นไปอีก

 แต่ถ้าฮึดสู้ด้วยสติปัญญา แก้ปัญหาที่จิตตนเอง
ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ ท้อแท้ก็ทำ ฮึกเหิมก็ทำ
อย่างนี้ก็จะชนะได้ในวันหนึ่งข้างหน้า

พวกเราควรซุ่มซ้อมให้ดี เผื่อจะได้เหรียญทองกับเขาบ้าง
 แต่การปฏิบัติต่างกับมวยตรงที่ไม่มีลูกฟลุ้ค
แล้วกิเลสก็เป็นมวยระดับปรมาจารย์ทีเดียว
มัวเหยาะแหยะเสียเวลา เอาแต่คุย เดี๋ยวก็แพ้ 15 แต้มเท่านั้นเอง

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตเป็นไตรลักษณ์

จิตเป็นไตรลักษณ์

การที่จิตเกิดดับติดต่อกันรวดเร็วนั้น
ทำให้ผู้ปฏิบัติส่วนมากไม่เห็นความเกิดดับของจิต
และเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ
จิตเป็นอัตตาตัวตนของตน

เราควรรู้ทฤษฎีว่า จิตเองก็เกิดดับ ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เรา
แต่ไม่จำเป็นต้องเรียนจนถึงวิถีจิตละเอียดยิบ เพราะจะฟุ้งซ่านจนปฏิบัติยาก
(ถ้าจำเป็นต้องเรียนละเอียดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้วครับ)
เมื่อรู้ทฤษฎีแล้ว ก็ควรลืมเสีย อย่าจำเอามาใช้ในเวลาปฏิบัติ
แล้วลงมือเจริญสติปัฏฐานจริงๆ

เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะเข้าใจชัดว่า
ขันธ์ 5 ซึ่งรวมทั้งจิตด้วย เป็นไตรลักษณ์
จิตก็จะลด ละ เลิก ความยึดถือขันธ์ 5 รวมทั้งจิต
เมื่อไม่ยึดขันธ์ ก็ไม่มีผู้ทุกข์อีกต่อไป

 โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : คู่รักนักภาวนา

สามีภรรยาในอุดมคติ ที่ครองเรือนด้วยกันและปฏิบัติธรรมไปด้วย

พอถึงจุดที่อินทรีย์แก่กล้า ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์

มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือท่านปิปผลิ(พระมหากัสสปะ)กับภรรยาของท่าน

ผมกับภรรยาก็กำลังจะเดินรอยเดียวกันนั้นเหมือนกัน

ผมเคยพิจารณาว่า เหตุใดสามีภรรยาจำนวนมาก ไม่สามารถไปนิพพานด้วยกันได้

ก็เห็นว่า เพราะ ศรัทธา ศีล และทิฏฐิ ไม่เสมอกัน

หากมีคุณธรรมเหล่านี้เสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน

โอกาสที่จะประดับประคองกันไปนิพพานนั้น มีความเป็นไปได้สูง

แรกๆ ที่อินทรีย์ยังอ่อน หรือยังมีภาระ ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสงบสุข

เมื่อใดอินทรีย์แก่กล้า และเงื่อนไขพร้อม ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์

 

ผู้ใดที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผลให้ได้ หรืออยากออกบวช

โดยระหว่างนี้ต้องการมีคู่ครอง

ก็พิจารณาหาคนที่มีศรัทธา ศีล และทิฏฐิเสมอกันไว้ครับ

หากคนหนึ่งมีศรัทธา คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งไม่มี

คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ คนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ก็มักจะเป็นคู่กรรม มากกว่าคู่บุญบารมีกัน

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : บริกรรมพุทโธ

หลวงตามหาบัว กับหลวงปู่หล้าฯ

บริกรรมพุทโธ

เรื่องบริกรรมพุทโธนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยครับ
หลวงปู่หล้า แห่งภูจ้อก้อ ท่านถึงกับกล่าวว่า
พุทโธคำเดียวนี้ จะทำสมถะก็ได้ จะทำวิปัสสนาก็ได้
กระทั่งจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพานก็ยังได้

คือถ้าพุทโธแล้ว จิตจ่อเข้าไปรวมกับพุทโธ สบายอยู่กับพุทโธ อันนั้นเป็นสมถะ
ถ้าพุทโธแล้ว จิตผู้รู้แยกออก ผุดออก แล้วเฝ้ารู้ความเกิดดับของพุทโธ
พุทโธเป็นเพียงสังขารขันธ์ที่ถูกรู้ อันนี้เป็นวิปัสสนา

หลายปีก่อนผมไปหาหลวงตามหาบัว
ไปกราบเรียนท่านว่า จิตอยู่กับรู้มานานแล้ว ไม่ถึงที่สุดเสียที
ท่านกลับแนะว่า จากประสบการณ์ที่ท่านผ่านมาด้วยตนเอง
การบริกรรมกำกับเข้าไปที่ตัวรู้นั้น ดีที่สุด(สำหรับท่าน)
 แม้จะเป็นขั้นไหนๆ ก็อย่างทิ้งพุทโธ ท่านให้เอามาเป็นกำลังไว้

ผมเองไม่ชอบพุทโธ เพราะรู้สึกเป็นส่วนเกิน ก็เลยไม่ค่อยได้ทำตามที่ท่านบอก
แต่เมื่อ 2 ปีก่อนไปอยู่วัดป่าวังน้ำมอก นึกถึงคำของท่านได้ก็บริกรรมพุทโธ
เอาพุทโธมา ประคองตัวรู้อีกทีหนึ่ง แล้วก็รู้อยู่ที่รู้
ถึงจุดหนึ่งปัญญาเกิดแว้บขึ้นมาว่า
ไม่มีใครทำจิตให้ถึงนิพพานได้หรอก มีแต่จิตเขาเป็นไปเองเพราะจิตเป็นอนัตตา
แล้วจิตก็พลิกตัวเองออกจากขันธ์ กลายเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง
คือเป็นจิตที่หลุดพ้นชั่วคราวจากอุปาทานขันธ์
มีความว่าง เบิกบาน เป็นอิสระ
แต่อยู่ได้ไม่กี่วัน จิตก็เข้ามาเกาะขันธ์อีก
แล้วจนป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติจริงจังเข้าไปที่จุดนั้นอีกเลย
เพียงแต่ลองดำเนินจิตดู พบว่าต้องใช้เวลา 1 – 2วัน จึงจะรื้อฟื้นภาวะนั้นขึ้นมาได้อีก

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ผู้เข้าถึง จิตแท้ ธรรมแท้

ผู้เข้าถึง จิตแท้ ธรรมแท้

ผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงจิตแท้ธรรมแท้นั้น มีถึง 3 ลักษณะ

คือ 1. ผู้เดินทางปัญญาวิปัสสนา ไม่ข้องแวะสิ่งอื่น

 (แต่จิตที่เดินวิปัสสนาต้องเป็นจิตที่เป็นสัมมาสมาธินะครับ)

2. ผู้ที่ทำฌานก่อน แล้วน้อมไปเจริญวิปัสสนา

และ 3. ผู้ที่ทำฌานด้วย เจริญปัญญาด้วย

แต่ประเภทหลังนี้ชาตินี้มักไม่ค่อยทำฌาน แต่ได้ฌานมาแต่ชาติก่อนๆ

ชาตินี้มาเจริญปัญญา แล้วเกิดทั้งความแตกฉานในธรรมอันละเอียดด้วย

ฌานของเก่าที่เคยทำไว้ก็ยังให้ผลได้ด้วย

(ในภายหลังจากที่หลวงพ่อได้บวชแล้ว ท่านได้สอนเพิ่มเติมว่าแท้จริงยังมีประเภทที่4 ซึ่งอยู่ใน ยุคนัทธสูตร-ผู้เรียบเรียง)

แต่ทุกประเภท อาการที่จิตเข้าถึงธรรม เช่นการเกิดมรรค ผล ปัจจเวกขณะ

จะใกล้เคียงกันมาก ผิดตรงผลที่เกิดหลายขณะสั้นยาวไม่เท่ากันเท่านั้น

ถ้าเกิดผลสั้น ก็มักจะขาดความแตกฉาน เพราะจิตผ่านแว้บไปเท่านั้น

แต่สังโยชน์นั้นขาดเท่าๆ กันครับ

เนื่องจากมันขาดที่มรรค ไม่ใช่ขาดที่ผลซึ่งแตกต่างกัน

 

สิ่งที่ผมเล่ามานั้น มันเป็นการพิจารณาเดินปัญญาของจิตที่มีกำลังฌานสนับสนุน

คุณไม่ต้องไปคิดว่า จะต้องรู้อย่างเดียวกันนั้นจึงจะผ่านไปได้

เหมือนคนที่จะไปเชียงใหม่นั้น บางคนขึ้นเครื่องบินแว้บเดียวไปถึงแล้ว

ส่วนผมเป็นประเภทเดินเท้าบ้าง ลงเรือบ้าง เดินทางไปเชียงใหม่ด้วยเวลายาวนาน

ก็จะรู้ภูมิประเทศรายทางมากกว่าคนที่ขึ้นเครื่องไปน่ะครับ

แต่เมื่อไปถึงเชียงใหม่ ก็จะเห็นว่าเพื่อนๆ เขาไปเที่ยวเชียงใหม่กันจนเบื่อแล้ว

ส่วนเราเพิ่งงุ่มง่ามไปถึง

 

ในทางปฏิบัตินั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่องค์ความรู้

แต่สิ่งสำคัญคือ รู้ ซึ่งหมายถึงรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง ไม่ถูกกิเลสครอบงำ

เวลาจะปฏิบัติขีดวงไว้แค่นี้ก็พอแล้วครับ

ส่วนความรู้ความเห็นที่หยาบละเอียดต่างกันนั้น ไม่สำคัญเท่าความพ้นทุกข์หรอกครับ

 

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ทำลายสักกายทิฏฐิต้องอาศัยจิตเสื่อม

ทำลายสักกายทิฏฐิต้องอาศัยจิตเสื่อม

เรามองกันว่า จิตเสื่อมไม่ดี จิตเจริญมันดี
ทั้งๆ ที่การทำลายสักกายทิฏฐินั้น จะทำลายได้ก็ต้องอาศัย “จิตเสื่อม”
ผู้ปฏิบัตินั้น รักและหวงแหนจิตผู้รู้กันมาก
พยายามปัดกวาดสิ่งสกปรก ประคับประคองบำรุงสติสัมปชัญญะยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อน
แล้วไม่ว่าจะรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาปานใด
ความเสื่อมของจิตผู้รู้ก็ยังกล้ำกลายเข้ามาอีกจนได้
คือมองไม่เห็นจิตผู้รู้ เห็นแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

การที่จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญนั้น
ถึงจุดหนึ่งจิตจะรู้แจ้งแทงตลอดในความเป็นจริงว่า
แม้ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
                       
ขณะเดียวที่เห็นว่าจิตไม่ใช่เรานั้น สักกายทิฏฐิก็ขาดแล้ว
แล้วก็จะเข้าใจว่า จริงๆ ยังมีธรรมชาติที่ผ่องใสอันหนึ่ง
มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
ที่เจริญและเสื่อมก็คือขันธ์เท่านั้นเอง

จิตที่ฉลาดแล้ว สะอาดแล้ว ไม่เจริญและเสื่อมไปด้วย (แต่ไม่ใช่ไม่เกิดไม่ดับนะครับ)
เหมือนน้ำในท่อน้ำครำ ที่น้ำสะอาดก็ยังคงอยู่
ที่มันสกปรกนั้นไม่ใช่น้ำสกปรก
แต่เป็นเพราะมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกปน
พอแยกสิ่งที่แทรกปนออก น้ำก็สะอาดอย่างเก่า
น้ำที่สะอาดจึงไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่บางคราวเรามองไม่เห็นเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า จิตนั้นผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมฟังครูบาอาจารย์มา
ท่านว่าพระอนาคามีนั้น จิตผู้รู้จะเด่นดวงอย่างยิ่ง
ไม่เศร้าหมอง เพราะกามไม่มีอำนาจดึงดูดแล้ว
บางท่านหาทางพัฒนาต่อไปไม่ได้ เพราะดูอย่างไรก็เห็นแต่จิตที่ไม่เสื่อม
ความยึดถือจิตจึงยังคงอยู่เรื่อยๆ ไป
ต่อเมื่อสังเกตเห็นว่า บางครั้งจิตก็ยังหมองไปนิดๆ เพราะกิเลสชั้นละเอียดคือความไม่รู้
คือมองเห็นความเสื่อมของจิตนั่นเอง
แล้วสามารถแยกเอากิเลสละเอียดออกจากจิตได้อีก
จิตจึงถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่ตกอยู่ใต้แรงดึงดูดใดๆ อีก

ที่จริงผมไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้นี้ เพราะเห็นว่าตอบกันดีอยู่แล้วน่ะครับ
  แล้วเรื่องอย่างนี้ หากอธิบายแจกแจงละเอียดเกินไป
 ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็จะนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม
เพราะปัญญาที่เป็นสัญญาจากการอ่านมันล้ำหน้าไปแล้ว
ว่า จิตเสื่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ แบบเดียวกับการเป็นสิว
แต่เมื่อ คุณ เปิดประเด็นที่ละเอียดไว้ ก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจนครับ
   แต่ก็อยากบอกน้องๆ และหลานๆ ว่าอย่างนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม
เราจะต้องพยายามต่อสู้แก้ไขจนเต็มที่
เพื่อพิสูจน์ความจริงให้จิตเห็นว่า
จิตนั้นเป็นอัตตาหรืออนัตตากันแน่
 หากไม่พิสูจน์กันสุดชีวิตจิตใจ จิตมันไม่เชื่อหรอกครับว่า จิตเป็นอนัตตา

ส่วนอุบายวิธีที่จะแก้ปัญหาจิตเสื่อม ขอให้พยายามพิจารณากันเองเองเถอะครับ
กุศลธรรมทั้งหลายนั้น เอามาใช้ได้ทั้งนั้น
เช่นสัจจะ อธิษฐาน ขันติ ทาน สมถะ วิปัสสนา ฯลฯ
แต่อุบายวิธีในการแก้ปัญหานั้น เราต้องพัฒนาขึ้นตลอดเวลา
เพราะกิลเสมันมีพัฒนาการเหมือนกัน
เช่นคราวนี้เราแก้ความฟุ้งซ่านได้ด้วยการทำสมถะ
อีกวันหนึ่งเอาสมถะมาแก้ ก็ไม่สำเร็จเสียแล้ว
คล้ายกับกิเลสเป็นเชื้อโรคที่ดื้อยาชนิดนั้นไปแล้ว
เราก็ต้องผลิตยาตัวใหม่ มาต่อสู้กับมันอีก

อุบายวิธีในการต่อสู้กับกิเลส จึงมีมากมายนับไม่ถ้วน
ดังนั้นที่ถามหาวิธี ก็คงตอบไม่ได้หรอกครับ
ลองนึกถึงภาพพระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานสิครับ
พระโพธิสัตว์มีจำนวนมาก แต่ละองค์บางทีก็มีตั้งพันกร
เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด
ดังนั้น ไม่มีอุบายสำเร็จรูปหรอกครับ ที่จะสู้กับจิตเสื่อม

แต่ถ้าจะกล่าวอย่างย่นย่อ “โยนิโสมนสิการ” ครับ
ที่จะผลิตอาวุธมาแก้ปัญหาจิตเสื่อมของเราได้เสมอ
ก็ต้องสู้กันจนมารและพระโพธิสัตว์ตายไปพร้อมๆ กันแหละครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2542

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

สิ่งที่คุณพบนั้น เป็นเช่นนั้นจริงครับ
ในการปฏิบัตินั้น ไม่เพียงจะพบสิ่งที่คุณยกตัวอย่างมานั้น
หากแต่จะพบขันธ์ 5 แจกแจงออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยเฉพาะสังขารขันธ์นั้น มีมากมายเหลือเกินแม้ในภาวะอันหนึ่งๆ
เช่นในขณะที่จิตสักแต่รู้เห็นอารมณ์นั้น
จะมีเจตสิกธรรมเป็นอันมาก
เช่นสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคคตา ปัญญา ฯลฯ

 ในการปฏิบัตินั้น เราไม่จำเป็นต้องคอยจำแนกชื่อ ว่าสภาวะอันนี้ ชื่อว่าอย่างนี้
 เพราะเราจะพบสภาวะต่างๆ มากมายในขณะหนึ่งๆ
ขืนพยายามจำแนกชื่อ จิตจะฟุ้งซ่านจนปฏิบัติต่อไปไม่ได้
เพราะแทนที่จะรู้ กลับจะกลายเป็นคิดไป
เราเพียงรู้สภาวะเหล่านั้น รู้หน้าที่และบทบาทของมัน เท่าที่จิตรู้ในขณะนั้นก็พอ
ในทางปฏิบัติ เพื่อตัดข้อยุ่งยาก เราจึงมักสรุปย่อสภาวะทั้งหลาย
ลงเหลือเพียง ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ก็พอครับ

เมื่อรู้ชัดว่า อันใดเป็นผู้รู้ อันใดเป็นสิ่งที่ถูกรู้แล้ว
ไม่เพียงจะเห็นความเกิดดับของอารมณ์เท่านั้น
 ยังเห็นกลไกการทำงานของจิตตามหลักของปฏิจจสมุปบาทด้วย
คือพบว่าเมื่อจิตรู้อารมณ์แล้ว เกิดเวทนาแล้ว
กิเลสจะแทรกตามเวทนา และกระตุ้นให้จิตเกิดตัณหาหรือความทะยานอยาก
จิตจะเคลื่อนออกยึดถืออารมณ์ เกิดภพขึ้น
แล้วก็เกิดตัวตนขึ้นมากระโดดโลดเต้นในภพนั้น
 อย่างที่คุณสุรวัฒน์บอกว่าเห็นตัวตนนั่นแหละครับ

เมื่อปฏิบัติแล้วเห็นได้ขนาดนี้ ผมก็รู้สึกยินดีด้วยครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พวกเรามีหน้าที่เจริญสติไป ถึงเวลามันพอของมันเอง

mp 3 (for download) : พวกเรามีหน้าที่เจริญสติไป ถึงเวลามันพอของมันเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่ดูลย์เองก็ไปเรียนกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นสมัยโน้นท่านก็ยังไม่ถึงขั้นสุดขีดอะไรหรอก ท่านภาวนาได้..ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยนะคือจบปี ๓ แล้ว กำลังเรียนปี ๔ ยังไม่จบ ทีนี้หลวงปู่ดูลย์ไปเรียนด้วย หลวงปู่มั่นก็สอนหลวงปู่ดูลย์ให้ทำความสงบแล้วก็พิจารณากายนี้แหละ เบื้องต้นนะ พอท่านทำสอบปี ๑ ผ่านเนี่ยนะ ไปเรียนต่อ หลวงปู่มั่นสอนให้ดูจิตแล้ว

หลวงปู่มั่นท่านสอนเลย สพฺเพ สงฺขารา สพฺพ สญฺญา อนิจฺจา (สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนิจจา) สพฺเพ สงฺขารา สพฺพ สญฺญา อนตฺตา (สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนัตตา) สอนอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็มาดูๆนะ ดูอยู่ไม่กี่เดือนหรอก ท่านก็แจ้งอริยสัจจ์ขึ้นมา รู้เลยว่า ถ้าไม่มีความเป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าไม่มีความปรุงแต่งความเป็นตัวตนก็ไม่มี ถ้าไม่มีความเป็นตัวตนนะ ความทุกข์มันก็ไม่มีที่อยู่ที่ตั้ง ก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น ทีนี้ท่านก็เลยรู้แจ้งอริยสัจจ์แห่งจิตขึ้นมา

ลีลาแห่งการรู้แจ้งของท่านก็ประหลาดนะ ท่านก็คงเจริญสติธรรมดานี่แหละ ถึงเวลาก็ทำความสงบบ้าง เดินจงกรมอะไรของท่าน ก็ทำอย่างนั้นแหละ เหมือนที่เราปฏิบัติเนี่ย แต่อินทรีย์ท่านแก่กล้าแล้ว ท่านใช้เวลาไม่มาก วันหนึ่งบิณฑบาตมา ฉันเสร็จแล้ว ท่านเอาบาตรไปล้าง ระหว่างนั่งล้างบาตรอยู่ เวลาท่านพูดถึงเนี่ย ท่านไม่ได้บอกว่าท่านนั่งล้างบาตร แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้เห็นว่าพระรุ่นโบราณยืนล้างบาตรนะ แต่ว่าพระรุ่นใหม่นี้ยืนล้างบาตรนะที่ล้างมันสูง ท่านอยู่ตามห้วยตามเขาตามอะไร ต้องนั่งล้างเอา

ระหว่างที่ล้างบาตรเนี่ย มีแมวตัวหนึ่งวิ่งมา มีหมา ๓ – ๔ ตัว ไล่มา หมาไล่กัดแมว หลวงปู่ก็หันไปดู แมวนี่วิ่งจ๊กๆๆ ไปเจอต้นมะละกอ กระโดดขึ้นต้นมะละกอไป ไปเกาะอยู่ข้างบน หมาเข้ามาล้อมต้นไม้ไว้ เห่าใหญ่ หมาเนี่ยจะขึ้นต้นไม้ไม่ได้ สัตว์ตระกูลหมามันไม่ขึ้นต้นไม้หรอกพวกหมา ยกเว้นหมาชนิดเดียว ชื่อหมาไม้ หมาไม้ขึ้นต้นไม้ได้ แต่หมาไม้ไม่ใช่หมา เรียกเป็นหมาไปอย่างนั้นแหละ

แมวนี่นะ พอเห็นหมาอยู่ข้างล่างนะ แมวก็หัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะหมาด้วยใจ แหมแมวคงไม่ร้องเฮ่อๆออกมานะ ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่คงไม่ได้อะไร คงตกใจ พอแมวมันหัวเราะเยาะหมานะว่าเอ็งทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว ท่านบอกว่าตอนนั้นท่านปิ๊งเลย ท่านเข้าใจเลยว่า ถ้าจิตพ้นจากความปรุงแต่งแล้วความทุกข์ก็มีไม่ได้

ทำไมต้องไปเกิดตอนนั้น คล้ายๆเรื่องพระเซ็นเลยนะ พระเซ็น อิคคิวซังนะ ซาโตริตอนได้ยินอีการ้อง พวกเราไปหาเทปอีกามาฟังนะ ฟังมันก็ไม่ซาโตริหรอก เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรามีอันเดียวแหละ ภาวนาไป เจริญสติไป เหมือนเรามีหน้าที่กินข้าวก็กินไปนะ หน้าที่อิ่มมันเป็นหน้าที่ของท้อง ไม่ใช่หน้าที่ของเราหรอก หน้าที่กินก็เคี้ยวไป กินไป ถึงเวลาใจมันพอแล้ว มันก็พอของมันเองแหละนะ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะพอตอนไหน กลางวันหรือกลางคืน เราไม่รู้หรอกว่ามันจะพอตอนไหน เราไม่รู้ว่าจะพอตอนยืน ตอนเดิน ตอนนั่ง หรือตอนนอน นะ ไม่แน่นอนนะ เราไม่รู้ว่าจะพอตอนหายใจออกหรือว่าหายใจเข้านะ แต่ว่ามันพอตอนมีสติ ถ้าเมื่อไรเราทิ้งขาดสตินะ เอ้อระเหยลอยชายไปนะ ไม่พอหรอกในขณะนั้น

เพราะฉะนั้นเราฝึกมีสติ รู้กายรู้ใจบ่อยๆนะ รู้ไปเรื่อยๆ วันไหนมันพอ มันก็พอของมันเอง ใจเราจะเปลี่ยนแปลงไปนะ ความทุกข์มันจะตกหายไปจากใจเรา มีความสุขล้วนๆเลย คราวนี้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๘
File: 520612.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมแท้ ธรรมเทียม

ธรรมแท้ ธรรมเทียม

ธรรมของจริง หรือธรรมของปลอม ก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เหมือนๆ กันครับ

เพราะเราปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อ “เอา” แต่เพื่อละเพื่อวาง

จริง – ปลอม ดี- ชั่ว ถูก – ผิด และธรรมที่เป็นคู่ๆ ทั้งหลาย

มันเป็นเรื่องของโลก เป็นของประจำโลก

ให้สักแต่ว่ารู้ ว่าเห็นไปเท่านั้นเอง

ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และรู้ด้วยความเป็นกลาง

เพราะสังขารธรรมทั้งปวงนั้น ล้วนแสดงธรรมบทเดียวกัน

คือแสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

รู้แล้วก็วางเสีย ไม่ใช่รู้เพื่อยึดถือเอา

 

เมื่อไม่กี่วันนี้ มีผู้หนึ่งถามผมว่า นั่งภาวนาแล้วเห็นภูติผีมาปรากฏ

เขาสงสัยว่าผีจริง หรือผีปลอมกันแน่

ผมก็แนะเขาไปว่า ผีจริง มันมาแล้วมันก็ไป ผีปลอม มันมาแล้วมันก็ไป

จริง กับ ปลอม จะมีความสำคัญอะไร

ที่สำคัญคือ เมื่อเจอผีนั้นแล้ว จิตเป็นอย่างไรต่างหาก

 

ความจริงธรรมจะแท้ หรือธรรมจะเทียมคือจิตหลอนเอานั้น

มีหลักสังเกตไม่ยากหรอกครับ

ธรรมใดเป็นไปเพื่อความยึดถือ ธรรมนั้นไม่ใช่ธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า

ธรรมใดเป็นธรรมเพื่อคลายความกำหนัดยินดี คลายความยึดถือ

อันนั้นเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า

ผู้ปฏิบัติแล้วเกิดความเห็นผิดต่างๆ นั้น

มานะอัตตากิเลสตัณหาเขาจะยิ่งรุนแรงกว่าเดิม

ถ้าปฏิบัติถูก รู้ของจริง ก็จะเป็นตรงกันข้าม

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2542 / 20:45:08 น.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระพุทธเจ้าตัวจริงอยู่ไหน?

mp 3 (for download) : พระพุทธเจ้าตัวจริงอยู่ไหน?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นยังไง ใครเคยเห็นมั้ย พระพุทธเจ้าจริงๆคือตัวธรรมะนั้นแหละ ร่างกายของเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุเช่นเดียวกันกับร่างกายของพวกเรานี่แหละ อันนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวจริงหรอกนะ ตัวธรรมะแท้ๆนั้นแหละคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยนิพพานไปไหนหายไปไหนเลยนะ ยังอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ใช่สูญไปแล้วหรอก วันใดที่เราเข้าถึงธรรมะเราจะรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงๆ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาเลย

ฝึกเอานะ ฟังแล้วเหมือนยาก ฟังแล้วเหมือนลึกลับ มันลึกลับเพราะมองไม่เห็น ของอยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละนะ ไม่ได้ไกลตัวอะไรเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๘
File: 520612.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จุดเริ่มต้นของมรรคผล

จุดเริ่มต้นของมรรคผล

พวกเรามักถูกสอนว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้มรรคผลนั้น
ต้องอาศัยการสะสมบารมีมาเนิ่นนาน
ถ้าไม่มีบารมี ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้
แล้วก็พาลท้อแท้ใจ คิดว่าทางนี้ยังไกลนัก ค่อยๆ เดินไปก็แล้วกัน
เพราะขืนรีบเร่งเกินไป จะเหนื่อยตายเสียกลางทาง

ในความเป็นจริงแล้ว จุดเริ่มต้นของมรรคผลนั้นหายากจริง
ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงเปิดเผยไว้ เราไม่มีทางหาพบได้เลย
แต่เมื่อหาพบและลงมือทำแล้ว
มรรคผลไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัยที่เราจะทำได้โดยเร็ว

จุดตั้งต้นของมรรคผลอยู่ที่ไหน
ขอเรียนว่า อยู่ที่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการเจริญสติ
หากเจริญสติถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรับประกันว่า
จะได้ผลโดยเร็ว บางคนก็ 7 ปี บางคนก็ 7 เดือน บางคนก็ 7 วัน

การปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสติ ไม่ใช่การก้าวเดินไปทีละขั้น
เพราะมันไม่ขั้นอะไรหรอก
มีแต่ว่า (1) เจริญสติถูกต้องอยู่ หรือ (2) เผลอสติไปแล้ว
มีอยู่เท่านี้จริงๆ

ถ้าเจริญสติถูกต้อง ก็จัดว่าเดินอยู่ในทาง(มรรค) ที่จะก้าวไปสู่ผลคือความพ้นทุกข์
เจริญสติทุกวัน ก็คือเข้าใกล้มรรคผลไปทีละน้อย
เจริญสติต่อเนื่องมากที่สุด ก็คือการออกวิ่งไปในทางที่ไม่ไกลเกินไปนัก
แต่ถ้าเผลอสติ ก็เหมือนเดินออกนอกทาง หรือกลับหลังหันออกจากผลที่ต้องการ

การเจริญสติเป็นอย่างที่ คุณกล่าวไว้จริงๆ
นั่นคือ ไม่ลำบากเหลือวิสัยหรือต้องทุกข์ทรมานใดๆ
แต่ก็ไม่สบายแบบตามใจกิเลส
มันมีแต่ทางสายกลาง คือการรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ด้วยความเป็นกลางเรื่อยไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การรู้ เป็นสิ่งที่ต้องพากเพียรเรื่อยไป
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
“บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร”
เห็นไหมครับว่า ท่านสอนธรรมตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว

ดังนั้น ถ้าเจริญสติถูกวิธีแล้ว ก็เหลืออย่างเดียว
คือเพียรทำให้มาก เจริญให้มาก อันเป็น “กิจของมรรคสัจจ์”
ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้ตรงๆ แบบไม่ต้องตีความ อีกเช่นกัน

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา

ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา

ธรรมะที่แท้จริงที่จะพาข้ามภพข้ามชาติมีนิดเดียวครับ

คือเข้ามารู้ หยุด อยู่ที่จิต แล้วจิตมันพลิกออกไปเอง

แต่เพราะความไม่รู้ เราจึงวนเวียนอยู่ภายนอก หรือมีจิตส่งออกนอก

ไม่สามารถปฏิบัติเพื่อให้จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งได้

 

ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดาๆ เท่านี้เอง

ที่ผิดธรรมดาก็เพราะไปหลงความปรุงแต่ง

ผมได้อ่านหยดน้ำบนใบบัวที่พวกเราพิมพ์ไว้

ก็พบว่าในขั้นแตกหักของหลวงตา

ก็คือจุดที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งนี้เอง

ไม่มีการกระทำใดๆ นอกจาก รู้ แม้แต่นิดหนึ่ง

ท่านเขียนไว้อย่างนี้ครับ

 

“จิตและสติปัญญาเป็นราวกับว่าต่างวางตัวเป็นอุเปกขามัธยัสถ์

ไม่กระเพื่อมตัวทำหน้าที่ใด ๆ ในขณะนั้นจิตเป็นกลางๆ

ไม่จดจ่อกับอะไร ไม่เผลอส่งใจไปไหน ปัญญาก็ไม่ทำงาน

สติก็รู้อยู่ธรรมดาของตนไม่จดจ่อกับสิ่งใด

 

ขณะจิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล

เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิต อันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจ

ได้กระเทือนและขาดสะบั้นบรรลัยลงจากบัลลังก์

คือใจ กลายเป็น วิสุทธิจิต ขึ้นมาแทนที่”

 

นี่เป็นขั้นการปฏิบัติที่เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างถึงที่สุดครับ

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน จันทร์ ที่ 4 ธันวาคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมะจากชาดก

 ธรรมะจากชาดก

เรื่องชาดกซึ่งรวมถึงทศชาติ เช่นเรื่องพระมหาชนก และพระเวสสันดรนั้น

คนสมัยนี้ฟังแล้วไม่ค่อยเลื่อมใสศรัทธา หรืออาจจะนึกดูถูกเสียด้วยซ้ำไป

เพราะเห็นว่าจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ไม่ถูกต้อง

เช่นการยกลูกเมียให้เป็นทาน เพื่อแลกกับโพธิญาณ

หรือการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรถึง 7 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

เราลืมนึกถึงข้อเท็จจริงไปหลายอย่าง

เช่นวัฒนธรรมของคนโบราณ ที่ลูกและเมียคือทรัพย์สินของพ่อแม่และสามี

ซึ่งคนในยุคที่ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน ยอมรับไม่ได้

และเราเอากำลังกายมาตรฐานของมนุษย์ยุคนี้ ไปประเมินพระมหาชนก

ทั้งที่ไม่ทราบแน่ชัดว่า พระมหาชนกนั้น เป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับเราหรือไม่

แล้วก็สรุปว่า เรื่องพระมหาชนก เป็นไปไม่ได้

 

หากมองในแง่ภาษาคน-ภาษาธรรมตามทัศนะของท่านพุทธทาส

เรื่องราวของชาดกจะน่าฟังอย่างยิ่ง

เช่นถ้าไม่มีจิตใจมั่นคง ถึงขนาดปล่อยวางความผูกพันในลูกเมีย

หรือไม่มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว ไม่ย่อท้อในสิ่งที่คนทั่วไปยอมจำนน

ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้

 

ผมเองไม่รู้สภาพจิตใจของท่านผู้บรรลุธรรมขั้นสูง

ไม่ต้องถึงขั้นพระพุทธเจ้าหรอก

กระทั่งระดับพระอรหันตสาวก ผมก็ประเมินไม่ถูกแล้ว

แต่เวลาอ่านเรื่องพระมหาชนกแล้ว ผมรู้สึกเห็นจริงเห็นจังมาก

เพราะเห็นว่า คนเรานี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังลอยคออยู่กลางทะเล

คนส่วนมาก ไม่มีหวังว่าจะขึ้นฝั่งได้

ก็เอาแต่แหวกว่ายตามๆ กันไป แล้วก็จมน้ำตามๆ กันไป

มีส่วนน้อยที่มีโอกาสได้สดับคำสอนของพระอริยะเจ้า

ที่ท่านพยายามร้องบอกว่า ฝั่งอยู่ทางไหน

 

ผู้มีศรัทธา ก็พยายามว่ายน้ำไปตามทางที่ท่านบอก

ตรงนี้ ท่านเปรียบเทียบไว้น่าฟังมากว่า

พระโสดาบันนั้น เหมือนคนที่เริ่มมองเห็นฝั่งด้วยตนเองแล้ว

ท่านเหล่านี้หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย

เพราะรู้แน่แล้วว่า ท่านผู้ค้นพบฝั่งก่อนหน้านั้น หรือพระพุทธเจ้ามีอยู่แน่ๆ

ฝั่ง คือธรรม ก็มีอยู่แน่ๆ

ผู้ว่ายน้ำไปตามทางนี้ก่อนหน้าเรา คือพระสาวกทั้งหลาย ก็มีอยู่แน่ๆ

เขาย่อมตั้งใจจะว่ายเข้าหาฝั่ง แม้ใครจะชวนให้ว่ายไปทางอื่น ก็ไม่ไปแล้ว

เป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นไม่คลอนแคลนแสวงหาบุญญเขตนอกพระศาสนา

และไม่หลงงมงาย ว่าทางพ้นทุกข์อยู่ที่อื่น

 

พระสกิทาคามีนั้น คือผู้แหวกว่ายต่อไปจนเข้าเขตน้ำตื้น

คลื่นลมของกิเลสตัณหาอ่อนกำลังลง

ไม่เหน็ดเหนื่อยทุกข์ยากกับการปฏิบัติเท่าเมื่อก่อน

 

พระอนาคามีนั้น ท่านเปรียบเทียบได้กับผู้ที่เข้าถึงน้ำตื้น สามารถยืนทรงตัวได้มั่นคง

คือผู้มีความแน่นอนว่า จะไม่ถูกคลื่นซัดกลับลงทะเลอีก

หมายถึงผู้ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก

ส่วนพระอรหันต์คือผู้รอดแล้ว ขึ้นถึงฝั่งแล้ว หมดธุระแล้ว

 

เวลาเราปฏิบัติไปตามลำดับ เราจะรู้สึกตรงกับคำเปรียบเทียบนี้ ไม่มีผิดเลย

และรู้สึกเห็นภาพของพระมหาชนก (ที่ท่านว่ายน้ำนำไปก่อนแล้ว)

ได้อย่างชัดเจนทีเดียว

โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เป็นพระโสดาบันไม่เหลือวิสัยที่พวกเราจะทำได้

mp 3 (for download) : เป็นพระโสดาบันไม่เหลือวิสัยที่พวกเราจะทำได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องยาก เป็นวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาๆอย่างพวกเราจะเป็นได้ ความสามารถของพวกเรานี้ ไม่น้อยกว่าคนในสมัยพุทธกาลหรอก แต่คนสมัยพุทธกาลเขาหิวโหยธรรมะนะ ของเราเนี่ยมันเอียนธรรมะ ในสมัยพุทธกาลนะก่อนนั้นไม่มีพระพุทธเจ้านะ พอมีพระพุทธเจ้าขึ้นมานะ ธรรมะของท่านเป็นของสดใหม่ ไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟัง สังคมยุคนั้นมีแต่เรื่องอาตมัน มีเรื่องอัตตาตัวตน ท่านบอกว่าไม่มีตัวตน เป็นเรื่องแปลกใหม่แหวกแนวออกมา มันกระทบใจคนนะ แล้วตั้งใจศึกษา แปลกดีนะ ตั้งใจศึกษา ค้นคว้าเข้าไป ในที่สุดก็พ้นๆไป

พวกเราพอเกิดมาก็อยู่ในแวดวงชาวพุทธแล้วนะ ตื่นนอนมา เปิดวิทยุบางทีก็ได้ยินธรรมะ หมุนหนีไม่ทันก็เพราะมีธรรมะอยู่ วนเวียนออกมาจากบ้านก็เห็นพระมาเดินอะไรอย่างนี้ มันซ้ำซาก ใจมันดื้อด้าน คล้ายเรามีเชื้อโรคมากนะ เชื้อนี้ดื้อยาแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะจะเอาชนะเชื้อโรคที่ดื้อยานะ ก็ต้องสู้กันหนักหน่อยนะ พวกเราไม่ได้โง่กว่าสมัยพุทธกาลหรอก แต่สิ่งเร้า สิ่งยั่วยวนของเรานี้เยอะกว่าเขา นี่ส่วนหนึ่งนะ อีกส่วนหนึ่งใจของเราชินกับธรรมะนะ ฟังมาจนเพลินๆ

คนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลากินเหล้านะ ผู้ชายไทยทั้งหลายเนี่ย เวลากินเหล้านะแก้วแรกยังสุภาพเรียบร้อยนะ แก้วหนึ่งน้องนุช แก้วสองพุทธวาจา กินเหล้าเข้าไปนะแล้วคุยธรรมะกันนะ แก้วสามแกล้วกล้าพูดจาองอาจ อย่างนี้นะ ชักดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คือมันชินกับธรรมะนะ เหล้ายังคาปากอยู่เลย พูดว่าจะไปนิพพาน เนี่ย แบบนี้ ใจมันจะเฉื่อยชาไม่สนใจจริง ถ้าเราสนใจให้จริง ตั้งอกตั้งใจภาวนาให้จริงจังนะ ฮึดๆไป สักพักเดียวแหละ ไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาๆอย่างพวกเราจะทำได้หรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๐
File: 550804A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ความซื่อตรงต่อพระธรรม

ความซื่อตรงต่อพระธรรม

เรื่องการปฏิบัตินั้น เราต้องปฏิบัติด้วยความซื่อตรงต่อพระธรรม
ไม่ใช่ปฏิบัติด้วยความภักดีต่อกิเลส
ผู้ปฏิบัติจำนวนหนึ่ง ปฏิบัติด้วยความต้องการแอบแฝง
เช่นอยากเด่น อยากดัง อยากได้รับคำชมเชยและการยอมรับจากหมู่เพื่อน
หรือปฏิบัติด้วยวิภวตัณหาอันเป็นไปตามอำนาจของโทสะ
คือเห็นโลกนี้เป็นฟืนเป็นไฟ จะต้องรีบหนีให้ได้ในวันนี้พรุ่งนี้ด้วยความไม่ชอบใจ

บ้างก็ไม่ซื่อตรงต่อแนวทางปฏิบัติที่พระศาสดาทรงวางไว้
คือแทนที่จะปฏิบัติโดยรู้เท่าทันความทุกข์ อันเป็นสัจจะสำคัญประการแรก
กลับมีตัณหา หรือความอยาก อันเป็นตัวสมุทัยที่จะละทุกข์
โดยไม่ทราบว่า การปฏิเสธทุกข์ ก็คือการปฏิเสธอริยสัจจ์ข้อแรก

ไม่มีใครหนีขันธ์ได้ ตราบใดที่ยังไม่นิพพาน
ปัญหาจึงอยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับขันธ์ได้โดยไม่ทุกข์
ทำอย่างไร จึงจะอยู่กับโลกได้ โดยรู้ทันโลก แต่ไม่ทุกข์เพราะโลก

นักปฏิบัติไม่ใช่คนอ่อนแอท้อแท้แพ้กิเลส ไม่ใช่คนวิ่งหนีความจริง
แต่ต้องเข้าเผชิญกับทุกข์ อันเป็นความจริง ด้วยสติปัญญา
โดยดำเนินตามแนวทางที่พระศาสดาทรงพิสูจน์แล้วว่าเป็นทางพ้นทุกข์

สมัยที่ผมหัดปฏิบัติใหม่ๆ นั้น ก็ล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน
บางช่วงบางชาติก็ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเข้าต่อสู้เพื่อแสวงหาสัจจธรรม
บางช่วงบางชาติก็ท้อแท้ทอดอาลัย อับจนหนทางที่จะปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์
แต่เมื่อได้พบหลวงปู่ดูลย์ ได้ฟังคำสอนเรื่องอริยสัจจ์
นับจากวันนั้น ผมลืมความเป็นนักปฏิบัติ ลืมการแสวงหาสัจจธรรม
ทุกวันๆ มีแต่เฝ้าเรียนรู้อยู่ภายในจิตใจด้วยความขยันขันแข็ง
โดยไม่ได้คิดว่า ทำไปแล้วจะรู้อะไร จะละอะไร จะได้อะไร
รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้จิตถูกกิเลสครอบงำ
ตอนนี้จิตต่างคนต่างอยู่กับกิเลส
ตอนนี้จิตทะยานไปตามอำนาจของตัณหา
ตอนนี้จิตสงบเบิกบาน เป็นอิสระชั่วคราวจากตัณหาหยาบๆ
แต่ละวัน รู้เห็นวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้
แต่มันเหมือนกับว่าจิตมีงานทำ ก็ทำเรื่อยไป
โดยไม่คิดว่า ทำไปแล้วจะได้เงินเดือนเมื่อไร

เมื่อพอจะช่วยตนเองได้แล้ว ผมพิจารณาถึงเพื่อนร่วมโลกนับแต่หมู่สัตว์ขึ้นมา
ก็เกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่า
สัตว์ส่วนมาก ไม่ผิดอะไรกับหอยทากตาบอด ที่คืบคลานวนเวียนอยู่ก้นเหว
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะคลานพ้นจากหุบเหวนั้นขึ้นมาได้
เพราะสัตว์ส่วนมากนั้น พอใจกับภพของตนเสียแล้ว
ไม่ได้คิดเฉลียวใจว่า ยังมีทางออกที่ดีกว่าก้นเหวที่ตนรู้จัก
บางพวกที่ฉลาด เงยหน้าขึ้นเห็นแสงสว่างเบื้องบน
แต่ก็ท้อแท้ใจว่า จะต้องไต่หน้าผาสูงชันยากเย็นเสียเต็มประดา

มีน้อยกว่าน้อย ที่มองเห็นแสงสว่างเบื้องบนซึ่งพระศาสดาทรงบุกเบิกไว้
แล้วน้อยลงไปอีก ที่จะสวมหัวใจของพระมหาชนก
ในการว่ายน้ำข้ามห้วงมหรรณพ หรือไต่หน้าผาขึ้นจากก้นเหว

ผมเห็นใจและเข้าใจผู้ปฏิบัติที่เหนื่อยหน่ายท้อแท้ใจเป็นครั้งคราว
เพราะรู้ว่างานนี้ยาก เหมือนการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรของพระมหาชนก
แต่ ทางทางนี้ ต้องเดินเอง
ก็ทำได้แค่ชวนผู้สนใจให้มาเดินเป็นเพื่อนกัน
ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนมาร่วมเดินด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่
บางคนเดินช้า บางคนเดินเร็ว
บางคนเดินตรงทาง บางคนแวะข้างทาง
บางคนพอใจที่จะก้มหน้าก้มตาเดินไปเงียบๆ
ส่วนบางคน พอใจที่จะชักชวนเพื่อนให้มาเดินด้วยกันอีกมากๆ
ผมเองก็ยังต้องเดินอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ลำบากเท่าเมื่อปฏิบัติแรกๆ
แต่ก็ยังต้องพยายาม ไม่อาจจะหยุดพักแบบนิ่งนอนใจได้

จะเดินแบบไหนก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
ขอให้เดินให้ตรงเป้าหมาย และอย่าหยุดพักนานนักก็แล้วกัน

โดย คุณสันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ธรรม

ธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ธรรม

ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ

มีการสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันตามกาลอันสมควรครับ

ไม่ใช่ว่า พอเจอหน้ากันก็มาเล่าๆ กันเสมอไปด้วยความฟุ้งซ่าน

หรือถึงขนาดปิดบังซ่อนเร้นการปฏิบัติของตน อันนั้นก็เกินไปหน่อย

 

ผมขอเล่าธรรมเนียมปฏิบัติในสายพระป่าที่เคยพบมา

เมื่อพระท่านมาพบกัน ท่านจะทักทายกันพอสมควร

จากนั้นถ้าไม่มีใครเริ่มชวนสนทนาธรรม ท่านก็จะนั่งกันเงียบๆ

แต่หากพระผู้ใหญ่เห็นสมควร ท่านก็อาจจะเล่าประสบการณ์ของท่าน

โดยมุ่งประโยชน์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ

หากผู้ฟัง แม้จะเป็นพระผู้น้อย แต่ภูมิธรรมเสมอกันหรือสูงกว่า

พระผู้ใหญ่ท่านก็จะเปิดโอกาสว่า หากมีสิ่งใดจะแนะนำเพิ่มเติมก็ขอให้บอกกัน

ท่านไม่วางฟอร์มว่า ผู้อาวุโสจะต้องรู้ดีกว่าผู้น้อยเสมอไป

 

สำหรับพระผู้น้อยถ้าจะเล่าประสบการณ์ถวายผู้ใหญ่

ก็จะเริ่มจาก “การขอโอกาส” คือขออนุญาตเล่า/ถาม เสียก่อน

เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงเล่าถวาย

หากจะเล่าเพื่อสงเคราะห์พระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติผิด ท่านก็จะขอโอกาสท้วงติง

หรือเล่าโดยเปรียบเทียบให้ผู้ใหญ่ได้คิดในจุดที่ติดอยู่

หากเป็นการเล่าเรื่องของท่านเอง ก็เพื่อให้พระผู้ใหญ่ท้วงติงสิ่งที่ผิด

หรือขออุบายธรรมที่ยิ่งๆ ขึ้นเพื่อนำไปปฏิบัติอีก

ไม่ใช่เล่าเพื่อยกหูชูหางตนเอง ขืนทำเช่นนั้นจะถูกฉีกหน้ากากขาดกลางศาลาเลย

 

ท่านเล่าประสบการณ์กันด้วยมารยาทอันงาม

และด้วยความเมตตาต่อกันมากครับ เห็นแล้วเย็นตาเย็นใจเหลือเกิน

แม้พวกเราฆราวาส หากมุ่งปฏิบัติเอาจริงเอาจัง

พระท่านเข้าใจ ท่านก็ปฏิบัติกับเราเหมือนพระองค์หนึ่ง

มีอะไรควรเล่า ควรบอก แม้แต่เรื่องของจิตที่ละเอียดลึกซึ้ง ท่านก็บอกให้

 

เคยแหย่ท่านว่า ท่านอาจารย์มาเล่าเรื่องอย่างนี้ให้ฆราวาสฟัง

จะไม่เป็นการผิดพระวินัยหรือ

ท่านตอบว่า “พระวินัยเอาไว้กำหราบคนหน้าหนา

ไม่ได้เอาไว้ปิดกั้นผู้ปฏิบัติธรรม”

โดย คุณสันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : หลวงปู่มั่นพูดถึงพระอรหันต์

หลวงปู่มั่นพูดถึงพระอรหันต์

ศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นรูปหนึ่ง ท่านเล่าให้ผมฟังว่า
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเคยปรารภธรรมให้ลูกศิษย์(พระ) ฟังว่า
ในประเทศไทยนี้ ยุคก่อนท่านมีพระอรหันต์เพียง 7 องค์
2 องค์แรกคือพระโสณเถร และพระอุตตรเถร
ผู้มาประกาศพระศาสนาในสุวรรณภูมิ
อีก 5 องค์เป็นพระพื้นเมือง ส่วนมากจะอยู่แถบล้านนา
(จะเห็นว่า ล้านนาเจริญในธรรมสูงมาก
ปราชญ์ทางพระศาสนาสมัยก่อนเป็นพระล้านนาแทบทั้งนั้น)

ต่อมาถึงยุคสมัยของท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านกล่าวว่ามีพระอรหันต์ 5 องค์
(ขอย้ำว่าท่านพยากรณ์กับพระนะครับ ไม่เป็นอาบัติ)
คือสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส องค์นี้เป็นพระชีวิตสมสีสี (สำเร็จอรหันต์ในขณะที่กำลังจะตาย-ผู้เรียบเรียง)
หลวงปู่บุญ ปัญญาวุฑโฒ วัดบุญญานุสรณ์ อุดร เป็นศิษย์เจ้าคุณอุบาลี
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
ส่วนองค์ที่ 5 ท่านพระอาจารย์มั่นไม่พยากรณ์ว่าคือองค์ใด
แต่ศิษย์ก็เชื่อกันว่าคือท่านพระอาจารย์มั่นเอง

สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส

เมื่อสิ้นท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว
ในงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น
ศิษย์ของท่านที่จบพรหมจรรย์แล้วในขณะนั้น มาร่วมงาน 37 รูป
พระอนาคามีนับร้อย ส่วนพระโสดาบัน สกิทาคามี
นับไม่ถูกเพราะมีทั้งพระทั้งฆราวาส

อันนี้เล่าให้ฟังไว้เล่นๆ เป็นข้อมูลเฉยๆ ครับ
ไม่มีใครยืนยันได้หรอกว่า จริงหรือไม่จริง
เพราะคนที่จะยอมรับก็ไม่มีหลักฐาน
ส่วนคนที่จะปฏิเสธ ก็ไม่ได้มีภูมิรู้ที่จะปฏิเสธได้ด้วยตนเอง

โดย คุณสันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 3 of 712345...Last »