Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : การเจริญสติคือการรักษาพระวินัย

 การเจริญสติคือการรักษาพระวินัย

คุณจับแก่นของพระวินัยเอาไว้ได้เต็มๆ ทีเดียวครับ

เพราะมีการยืนยันมาแล้วโดยพระพุทธเจ้าเอง

ว่าการเจริญสติอย่างเดียว ทดแทนการรักษาพระวินัยทั้งหมดได้

 

เคยมีพระรูปหนึ่ง เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาพระวินัย

ก็เกิดความท้อใจว่า กระดิกตัวนิดเดียวก็ผิดพระวินัยแล้ว ท่านควรจะสึกเสีย

เพราะอยู่ไปจะทำให้พระธรรมวินัยเสียหาย

แต่เมื่อท่านไปทูลลาสึก พระศาสดากลับถามท่านว่า

ถ้าวินัยและข้อวัตรมีมากเกินไปจนปฏิบัติไม่ไหว

หากให้เหลือข้อเดียวจะปฏิบัติได้ไหม

ท่านรับว่าถ้ามีข้อเดียวท่านทำได้ และไม่จำเป็นต้องลาสิกขา

พระศาสดาจึงทรงสอนให้ท่านมีสติทุกเมื่อ

ท่านรับปฏิบัติ จนบรรลุพระอรหันต์ได้ในที่สุด

ทั้งท่านก็ไม่ได้ทำผิดพระวินัยต่างๆ ด้วย

เนื่องจากมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์แล้ว

 

ความจริงพระวินัยนั้น เกิดขึ้นด้วยหลายสาเหตุ

เช่นเกิดจากพระท่านทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเองก็มี

ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่เหมาะสมก็มี

เป็นเรื่องขัดเกลาลดภาระทางใจก็มี

 

พระวินัยแต่ละข้อนั้น เป็นไปเพื่อความสบายในการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

เช่นการเสพย์เมถุนจะขัดขวางการปฏิบัติ

เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครอบครัว เป็นภาระพะรุงพะรัง

ทั้งจิตใจหลังการเสพย์เมถุนก็จะกระเพื่อมไหว ไม่สงบ อ่อนแอ

 

 การที่พระมีทรัพย์สินเงินทอง ก็มีภาระผูกพันจิตใจต้องระวังรักษา

และก่อให้เกิดความรู้สึกว่ากูมีอำนาจอยู่ในมือ

จะไม่ถอดเขี้ยวเล็บ หมดพิษสง แบนติดดินแบบพระมือเปล่า

ซึ่งนอกจากจะไม่รู้สึกกร่างแล้ว ยังรู้สึกเบาสบาย อบอุ่นใจในความเป็นพระแท้ด้วย

 

การที่พระอวดอุตริ ทำให้ผู้คนแตกตื่นมาทำบุญ

จิตใจก็จะยะโสโอหังขึ้นมาง่ายๆ มันมีสภาพเหมือนอึ่งพองลม

ในที่สุดก็ต้องท้องแตกตายเพราะลาภสักการะและชื่อเสียง

 

บรรดาเสขิยวัตรทั้งหลาย เป็นเครื่องทำให้พระงาม

และมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกการเคลื่อนไหว

ซึ่งความจริงแล้ว กิริยามารยาทในสังคมไทยนั้น

เดิมถอดแบบพระวินัยมามากทีเดียว

เช่นรับประทานอาหารคำไม่โตเกินควร

ไม่พูดระหว่างมีอาหารในปาก ไม่เคี้ยวดัง ซดดัง

ไม่เดินกินอาหาร ไม่ล่อกแล่กเหลียวหน้าเหลียวหลัง ฯลฯ

คนที่ถูกกล่อมเกลามาจากครอบครัวแบบนี้ พอไปบวชก็ไม่ลำบากนัก

แต่เด็กรุ่นต่อไป ไปบวชคงอึดอัดมากขึ้น

เพราะสังคมเดี๋ยวนี้ทิ้งกิริยามารยาทแบบไทยๆ ซึ่งถอดพระวินัยมา

เช่นจะกินแฮมเบอร์เกอร์สักชิ้น ต้องอ้าปากให้กว้างเกือบคืบจึงจะกัดได้ เป็นต้น

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนพระของท่านให้เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

และเป็นผู้ดีแท้ๆ ที่ไม่มีเครื่องประกอบอิสริยยศใดๆ

จึงน่าอัศจรรย์จริงๆ ที่ลูกพระพุทธเจ้านั้น จนแสนจน

แต่วิญญูชนได้พบเห็นแล้ว รู้สึกงามจับตาจับใจจริงๆ

โดยคุณ  สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน อังคาร ที่ 26 กันยายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : สามัญลักษณะ

สามัญลักษณะ

บางครั้งเราเรียกไตรลักษณ์ว่า “สามัญลักษณะ”
คือลักษณะทั่วไป /ลักษณะร่วม ของสิ่งที่เรียกว่าสังขารที่คุณ พูดไปแล้ว
สำหรับสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร คือนิพพานกับบัญญัตินั้น หลุดจากไตรลักษณ์ไปได้ 2 ข้อ
เหลือเพียงแต่ อนัตตลักษณะ อย่างเดียว
แถมอีกหน่อยว่า อนัตตาไม่ได้แปลว่า “ไม่มีอะไร”
แต่หมายความว่า มันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนา
เช่นร่างกายนี้ ไม่อยากแก่มันก็ต้องแก่ ไม่อยากตายมันก็ต้องตาย
หรือนิพพานซึ่งไม่มีเกิดไม่มีตาย ก็ยังเป็นอนัตตา
คือเป็นเพียงธรรมชาติอันหนึ่งที่จิตไปรู้เข้า
ไม่อยู่ในอำนาจของจิตที่จะเข้าไปยึดมั่นเป็นเจ้าของครอบครองได้

เรื่องความยึดมั่นของจิตนั้น มันละเอียดลึกซึ้งมากครับ
ขนาดพระอนาคามี ท่านก็ยังยึดว่าจิตเป็นตัวท่านอยู่
นับประสาอะไรอย่างพวกเรา
ถึงจะประกาศความไม่ยึดมั่นกันปาวๆ
จริงๆ ก็ยังยึดอยู่
และไม่สามารถคลายความยึดด้วยการคิดเอา หรือตั้งใจเอาได้เลย
มีแต่การเจริญสติและสัมปชัญญะ
เพื่อป้อนข้อมูลให้จิตเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมา และต่อเนื่อง
ว่าสังขารเป็นไตรลักษณ์ นิพพานก็ไม่ใช่ตัวเรา จิตก็ไม่ใช่ตัวเรา
ถึงจุดหนึ่ง “เด็กชายจิต” จึงจะสอบผ่านได้ด้วยตัวของเขาเอง
เพราะไม่มีใครทำจิตให้หลุดพ้นได้ แต่ให้เขาเรียนรู้ได้
(ถ้าทำได้จิตก็เป็นอัตตาสิครับ)

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2541

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ฟังธรรมแล้วได้บุญอย่างไร?

ฟังธรรมแล้วได้บุญอย่างไร?

ถ้าพอใจแค่ฟังแล้วสบายใจมีความสุข ก็ได้บุญแค่สบายใจมีความสุข
ถ้าฟังแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดศีล สมาธิ ปัญญา
ก็ได้บุญเป็นความปกติของใจ เป็นความมีจิตตั้งมั่น มีปัญญาพ้นทุกข์ไปได้

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ผัสสะกับทุกข์

ผัสสะกับทุกข์

ผัสสะเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่เสมอ หนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ
ถึงแอบเข้าไปอยู่ในถ้ำมืดๆ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน … ความคิดนึกก็ยังตามไปกระทบใจได้อีก
เหมือนที่คุณกล่าวน่ะครับ ว่าธัมมารมณ์มีพิษสงมาก

เมื่อหนีไม่พ้น ก็ต้องรู้เท่าทันจิตของตนเองเรื่อยไป
(เพราะความไม่รู้ต่างหาก จิตจึงส่งไปยึดถืออารมณ์แล้วก่อทุกข์ขึ้น
ถ้ารู้โดยไม่ยึด ทุกข์ทางใจ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย)
หากรู้อยู่ที่จิต เวลามีอารมณ์มากระทบ จะเห็นปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์นั้น
เช่นราคะ หรือโทสะ
แล้วก็คอยดูต่อไปอย่าให้เกิดตัณหา (คือการที่จิตทะยานไปยึดอารมณ์
 ตามแรงกระตุ้นของกิเลส)
เพราะตัณหาคือตัวสมุทัย หรือเหตุให้เกิดทุกข์

ลำพังมีกิเลส ทุกข์ยังไม่เกิด แต่เมื่อใดมีตัณหา ทุกข์เกิดแน่ครับ
พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นที่ความสิ้นไปแห่งตัณหา
ท่านไม่เคยเน้นที่ความสิ้นไปแห่งผัสสะเลยครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่  5 ก.พ. 2542

หมายเหตุ :  ผัสสะ ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สัมผัส การกระทบ การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก ผัสสะ เป็น ความประจวบกันแห่งสามสิ่ง

คือ อายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) อายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) และวิญญาณ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับอ.สุรวัฒน์ : ตรงไหนที่จะละอวิชชาได้

 ตรงไหนที่จะละอวิชชาได้

ถ้ายังมองหาอะไรยังทำอะไรเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีๆ ที่ประเสริฐ แม้แต่พระนิพพานก็ตามที แสดงว่าจิตยังไม่เป็นกลางพอที่จะละอวิชชาได้ …

ครั้นจะไม่มองหาอะไรเลยไม่ทำอะไรเลย มันก็ไม่มีปัญญาพอจะละอวิชชาได้เช่นกัน …

แล้วตรงไหนละที่จะละอวิชชาได้?

ก็น่าจะตรงที่ อยู่กับอะไรที่ดีๆไว้ ทำอะไรที่ดีที่เป็นเหตุให้เกิดปัญญาไว้ด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่ไป รู้ทันความอยากดีไป รู้ทันสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมดับไป

 สรุปย่อๆ ว่า “ให้ทำดี ละชั่ว เรียนรู้ดูอุปาทานขันธ์ อย่างรู้ทันอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปจนเกิดปัญญา พ้นความอยาก พ้นความยินดียินร้ายในโลกนั่นแหละ”

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : กิเลสกับน้ำในโอ่ง

กิเลสกับน้ำในโอ่ง

ตอนผมเด็กๆ ที่บ้านมีโอ่งน้ำโตๆ อยู่หลายใบ

เวลาผู้ใหญ่เผลอ ผมชอบแอบเอามือไปกวนน้ำเล่น (เข้าทำนองกวนน้ำให้ขุ่น)

เพื่อให้ตะกอนก้นโอ่งมันกระจายขึ้นมา

น้ำที่ดูใสสะอาด ก็จะแสดงคุณภาพที่แท้จริงของมันออกมา

 

เดี๋ยวนี้เวลาเจริญสติสัมปชัญญะ ก็เห็นจิตมันสงบนิ่ง ใสสะอาด

เหมือนน้ำใสในโอ่งนั้นเอง

แต่เวลามีการกระทบอารมณ์ทางตา หู … ใจ

ตะกอนกิเลส(อาสวะ)ที่นอนเนื่องในสันดานก็จะแสดงตัวออกมาเป็นกิเลส

จิตก็ดูเศร้าหมองลง เหมือนน้ำขุ่น

แต่พอผัสสะนั้นดับไป ไม่นานกิเลสก็ระงับดับไป

มันก็ตกตะกอนลงไปนอนในสันดานของเราอีก

 

ยิ่งนานวัน ตะกอนก้นโอ่งก็ยิ่งมาก (เหมือนจิตที่มีธรรมชาติไหลลงที่ต่ำตลอดเวลา)

พอสังเกตเห็นว่า โอ่งสกปรกมากแล้ว ก็ต้องล้างตะกอนกันทีหนึ่ง

แล้วไม่นานมันก็มีตะกอนอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

เพราะการล้างโอ่งมันยังเป็นวิชาสามัญมาก มันก็แก้ทุกข์ได้เป็นคราวๆ เท่านั้น

 

ส่วนการเจริญสติสัมปชัญญะ เจริญศีล สมาธิ ปัญญา นั้น

ถึงจุดหนึ่งจะทำลายความยึดมั่นในจิตลงไป ก็เหมือนการทุบโอ่งน้ำทิ้งไป

ตะกอนกิเลสก็ไม่มีที่อาศัยอยู่อีก

วิชาทางโลกจึงไม่มีที่สุด แต่วิชาทางธรรมของพระพุทธเจ้า มีที่สุดครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ปรับอินทรีย์พละ๕ให้สมดุลย์

ปรับอินทรีย์พละ๕ให้สมดุลย์

เรื่องที่จะทำให้อินทรีย์/พละ 5 สม่ำเสมอกันนั้น
ไม่ใช่ว่ามีความเพียรมากแล้วลดความเพียรลง
เคยเดินจงกรมวันละ 2 ชั่วโมง ปรับให้เหลือ 1 ชั่วโมง
เพื่อจะให้สมดุลกับที่ยังมีสติน้อยๆ มีสมาธิน้อยๆ
ไม่ใช่แบบนี้นะครับ เพราะมีแต่จะพากันน้อยลงทุกอย่าง
 เป็นการเสียท่ากิเลสอย่างร้ายแรงทีเดียว

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมใช้มาแล้วก็คือ การพิจารณาอย่างแยบคาย
คือในเรื่องศรัทธานั้น ผมไม่เคยมีศรัทธาในครูบาอาจารย์จนถึงขั้นงมงาย
อันนี้เป็นนิสัยมาแต่ดั้งเดิม
คือครูบาอาจารย์สอนอะไร จะลองนำมาปฏิบัติดูอย่างจริงจัง
แล้วไปทดสอบรายงานผลกับท่าน
แต่ไม่เคยรู้สึกว่า ครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
ไม่เคยคิดว่า จะต้องพึ่งพาอยู่ใกล้ท่าน จึงจะปฏิบัติได้

เรื่องความเพียรมากเกินไปนั้น ก็ต้องสังเกตจิตใจตนเอง
ว่าที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น ทำไปเพราะความอยากหรือเปล่า
คาดหวังอะไรแฝงเร้นอยู่หรือเปล่า
เจริญสติสัมปชัญญะถูกต้องหรือเปล่า
เมื่อสามารถเจริญสติได้ถูกต้องแล้ว
การปฏิบัติอยู่ตลอดวัน ในทุกอิริยาบถเมื่อมีโอกาสทำได้
ก็จัดว่าเป็นการทำความเพียรที่พอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป
ไม่เกี่ยวอะไรกับว่าต้องเดินเท่านั้น ต้องนั่งเท่านี้

เรื่องสติก็ต้องสังเกตจิตใจตนเองเหมือนกัน
ว่าสตินั้นกล้าแข็งเกินไปหรือไม่

สติที่พอดี คือสติที่ตามระลึกรู้อารมณ์ไปอย่างสบายๆ ไม่เคร่งเครียด
คล้ายๆ กับงูเห่า คือเวลาอยู่ปกติมันก็สงบๆ อยู่เฉยๆ
แต่พอมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใกล้ งูจึงจะชูคอขึ้นมาคอยดูสิ่งแปลกปลอม
เวลาอยู่ปกติ งูไม่จำเป็นต้องชูคอให้เมื่อย
สติก็เหมือนกัน ในเวลาปกติก็รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏไปเรื่อยๆ
ต่อเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นภัย คือกิเลสตัณหาต่างๆ ผ่านมา
สติจะตื่นตัวปั๊บขึ้นมาเป็นอัตโนมัติ เพื่อรู้สิ่งแปลกปลอมนั้น
ก็จะเห็นสิ่งนั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

ถ้าไปตั้งสติเคร่งเครียดเกินไป คอยระวังตัวแจอยู่ทุกขณะจิต
อันนั้นเหนื่อยเกินไปครับ แล้วกิเลสตัณหามันจะพาลซ่อนเงียบหมด
เพราะไม่อยากเดินผ่านหน้าสติที่เป็นนักเลงโตถือมีดไม้คอยจ้องอยู่ตลอดเวลา
สติมันหลบไปนอนสบาย คนที่ลำบากก็คือเจ้าตัวที่ตั้งสติแรงเกินไปนั่นเอง

ถ้าพิจารณาอย่างแยบคายรู้ว่าตั้งสติแข็งไป
 ก็เพลาๆ การระวังบังคับจิตใจลงบ้าง

เรื่องสมาธิก็เหมือนกัน ถ้าทำสมาธิแบบเคลิ้มๆ อยู่เสมอ
ก็หัดมาทำความตื่นตัวของจิตให้มากขึ้น
แต่ถ้ามันตื่นตัวเกินไป แบบไม่เคยสงบสบายพักผ่อนเลย
ก็หันมาทำความสบายให้แก่จิตบ้าง
จะใช้จิตทำงานแบบใช้แรงงานทาสไม่ได้
ต้องให้เขาได้พักผ่อนบ้าง

ตัวปัญญาก็เหมือนกัน
ปัญญาจริงๆ ไม่มีอะไรมาก
เพียงเห็นจิตและอารมณ์เป็นไตรลักษณ์แบบประจักษ์ต่อหน้าต่อตาก็พอแล้ว
ส่วนความรู้ความเห็น ความแตกฉานต่างๆ นั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรนักหรอกครับ
ดังนั้นแทนที่จะคิดๆ เอา ก็หันมารู้ๆ เอา
ปัญญาจะได้พอดีๆ ครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ไปงานศพทำไม

ไปงานศพกันทำไม

 เมื่อก่อนไม่เข้าใจหรอกนะว่า ทำไมต้องมีงานสวดศพ เพราะเห็นคนไปก็เอาแต่คุยกันสนุกสนานแม้เวลาที่พระสวดก็ตาม คงอาจเพราะคิดว่าฟังพระสวดไม่รู้เรื่อง

ไม่รู้จะฟังทำไม บางทีก็อาจไปร่วมงานเพียงแค่รู้จักผู้ตายหรือญาติ หรือไปเพราะเป็นอะไรที่ต้องทำตามหน้าที่ในสังคมเท่านั้น

 

 แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้ศึกษาเรียนรู้อะไรมากขึ้น ความเข้าใจก็เปลี่ยนไป รู้สึกได้ถึงความฉลาดของคนรุ่นก่อนๆ ที่คิดจัดงานศพขึ้นมา เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ญาติๆ

ตลอดจนคนที่รู้จักผู้ตาย รู้จักญาติผู้ตาย ได้ร่วมกันทำสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อประโยชน์ตนและเพื่อประโยชน์ผู้ตาย โดยเฉพาะผู้ตายที่ยังไม่สามารถพึ่งตนเองให้ไปสู่สุคติได้

 

 เมื่อเข้าใจอะไรๆมากขึ้น ผมจึงไปร่วมงานศพ ด้วยความตั้งใจทำบุญทำกุศล และตั้งใจที่จะแผ่เมตาและอุทิศผลบุญกุศลนั้นให้ผู้ตายได้อนุโมทนา

เพราะด้วยบุญกุศลที่เราอุทิศให้ผู้ตาย และผู้ตายได้อนุโมทนานี้เอง ที่จะช่วยให้ผู้ตายสามารถไปสู่สุคติได้ เพราะหากไม่มีใครแผ่เมตตา

และอุทิศลส่วนกุศลให้ได้อนุโมทนา เขาก็ไม่มีกำลังที่ไปสู่สุคติได้ด้วยตัวเองไปอีกไม่รู้จะนานแค่ไหน

ดังนั้นใครไงานศพแล้วฟังสวดไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เป็นไร แต่ให้ใช้เวลาตรงนั้นมาสำรวมกายวาจาและใจ หยุดคุยสักไม่กี่นาที

แล้วทำจิตใจให้สงบรู้สึกถึงการมีร่างกายนั่งฟังเสียงสวดมนต์ไปเรื่อยๆ พอจิตหนีไปคิดเรื่องต่างๆ ก็ให้หัดรู้ทันจิตที่หนีไปคิด รู้ทันแล้วก็กลับมารู้สึกว่ามีร่างกายนั่งฟังสวดอยู่ต่อไปใหม่

 

 เพียงเท่านี้ก็เป็นการได้ทำจิตให้เป็นกุศลกันแล้ว พอถึงเวลาถวายผ้าถวายปัจจัยต่างๆ ก็ให้ตั้งใจน้อมถวายร่วมกับเจ้าภาพ แล้วเวลาที่พระเริ่มสวด ยถา…

ก็ให้ตั้งใจนึกกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายได้อนุโมทนา และร่วมกันน้อมจิตให้มีความเมตตาต่อกัน แล้วแผ่เมตตานั้นให้กับผู้ตายได้รู้สึกถึงความเย็นสบายของจิตใจ

 

 กรรมดีที่เราทำแม้เพียงเล็กน้อยเหล่านี้แหละ ที่จะเป็นการช่วยผู้ตายให้ไปสู่สุคติได้เร็วขึ้นตามสมควรแก่กรรมดีนั้น

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : คู่รักนักภาวนา

สามีภรรยาในอุดมคติ ที่ครองเรือนด้วยกันและปฏิบัติธรรมไปด้วย

พอถึงจุดที่อินทรีย์แก่กล้า ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์

มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือท่านปิปผลิ(พระมหากัสสปะ)กับภรรยาของท่าน

ผมกับภรรยาก็กำลังจะเดินรอยเดียวกันนั้นเหมือนกัน

ผมเคยพิจารณาว่า เหตุใดสามีภรรยาจำนวนมาก ไม่สามารถไปนิพพานด้วยกันได้

ก็เห็นว่า เพราะ ศรัทธา ศีล และทิฏฐิ ไม่เสมอกัน

หากมีคุณธรรมเหล่านี้เสมอกัน หรือใกล้เคียงกัน

โอกาสที่จะประดับประคองกันไปนิพพานนั้น มีความเป็นไปได้สูง

แรกๆ ที่อินทรีย์ยังอ่อน หรือยังมีภาระ ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสงบสุข

เมื่อใดอินทรีย์แก่กล้า และเงื่อนไขพร้อม ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์

 

ผู้ใดที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผลให้ได้ หรืออยากออกบวช

โดยระหว่างนี้ต้องการมีคู่ครอง

ก็พิจารณาหาคนที่มีศรัทธา ศีล และทิฏฐิเสมอกันไว้ครับ

หากคนหนึ่งมีศรัทธา คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งไม่มี

คนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ คนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ก็มักจะเป็นคู่กรรม มากกว่าคู่บุญบารมีกัน

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : การปล่อยวางกับปัญญาของจิต

การปล่อยวางกับปัญญาของจิต

เรื่องการปล่อยวางนั้น เป็นเรื่องปัญญาของจิต

หากจิตเขายังติดข้องแล้ว ไม่มีใครทำให้เขาปล่อยวางได้เลย

เวลาที่ปฏิบัติ หรือเจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น

อารมณ์ใดผ่านมาให้รู้ จิตผมก็จะสลัดวางอย่างรวดเร็ว

จนถึงอารมณ์ที่ว่างๆ เป็นขันธ์ละเอียด

ถึงตรงนี้จะทราบเลยว่า จิตไม่ยอมปล่อยวางสิ่งละเอียดนั้น

มันยังคลุกเคล้าแนบสนิทปิดบังจิตแท้ธรรมแท้เอาไว้

ผมเห็นชัดเลยว่า ผมไม่สามารถจะ เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ได้

  ได้แต่เห็นสิ่งที่ “สมมุติว่าจิต” หรือจิตที่ติดอารมณ์ละเอียดเท่านั้น

  ภาระที่จะอบรมจิตให้เกิดปัญญาปล่อยวางขันธ์ละเอียดภายใน จึงยังมีอยู่

 

สรุปแล้ว จิตก็ยังเป็นรถบรรทุกความทุกข์อยู่เหมือนๆ กับพวกเราทั้งหลายนั่นเอง

เพียงแต่มันไม่ได้บรรทุกก้อนอิฐก้อนหินอะไร

หากแต่มันบรรทุกความเป็นรถบรรทุกของมันเอง

 

ตัวรถนั่นแหละ หนักไม่ใช่เล่นทีเดียว

ไม่ใช่หนักเฉพาะสิ่งของที่นำมาใส่รถหรอก

ทุกวันนี้ ผมยังไม่มีปัญญาจะรื้อรถคันนี้ลงได้

มันจึงเที่ยววิ่งไปมา รับส่งสินค้าและขยะเรื่อยๆ ไป :(

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตผู้แบกทุกข์

จิตผู้แบกทุกข์

ผมเองโดยจริตนิสัยเดิมก็เป็นพวกโทสจริตเหมือนคุณ
ไปไหนก็แบกความร้อนและความทุกข์ไปด้วย
แล้วนิสัยกังวลก็มีมากเหมือนกัน
จึงเข้าใจสภาวะของคุณได้เป็นอย่างดี
จุดที่ต่างกันมีเรื่องเดียวคือ
ตอนที่ลงมือปฏิบัติธรรมนั้น ผมทำโดยไม่กังวล ไม่หวังผล
แต่ทำไปด้วยเห็นว่าน่าสนใจ มีสิ่งแปลกใหม่ให้เรียนรู้อยู่เสมอ
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องสนุก น่าสนใจ น่าติดตาม
มากกว่าจะเป็นภาระทางใจเหมือนเรื่องอื่นๆ

สิ่งที่เราแบกอยู่ แม้ว่าจะมีมากมาย
แต่รวมแล้วก็คือแบก “ตัวเรา” กับ “ของเรา” เท่านั้นเอง
และ “ของเรา” จะมีความหมายหรือถูกแบกไว้ ก็เพราะมี “ตัวเรา” เป็นแกนกลาง
ดังนั้น ผู้คนส่วนมากจึงพร้อมจะสละ “ของเรา” เพื่อรักษา “ตัวเรา”
เนื่องจาก “ตัวเรา” เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก
เช่นคนที่งกสุดๆ พอจะตายก็ยอมควักกระเป๋าเป็นค่ารักษาพยาบาล
หรืออย่างไฟไหม้บ้าน ยังไงก็ต้องทิ้งบ้านวิ่งหนีเอาตัวรอด
คงไม่มีใครห่วงบ้าน แล้วยอมตายอยู่กับบ้าน
(แต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง เพราะสิ่งทั้งหลายมัน “ไม่แน่”)

“ของเรา” อาจจะเป็นครอบครัว ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ
ส่วน “ตัวเรา” ก็หนีไม่พ้นขันธ์ 5 นั่นเอง
และเมื่อพิจารณาละเอียดเข้าไปอีก
ขันธ์ 5 เว้นแต่จิตเสียแล้ว ก็ยังเป็น “ของเรา” อยู่อีก
เช่น กายของเรา ความทุกข์ความสุขของเรา
ความจำได้หมายรู้ของเรา ความคิดของเรา
คนที่เจ็บป่วย ยอมให้หมดตัดส่วนของร่างกายออก เพื่อให้ “เรา” รอดชีวิตอยู่
ดังนั้น เมื่อถึงคราวที่ยึดไม่ได้แล้ว กระทั่งขันธ์ของเราก็พอจะสละได้
ขอให้ “เรา” รอดก็แล้วกัน

“เรา” จริงๆ จึงอยู่ที่จิต นอกจากจิต ก็เป็น “ของเรา” ทั้งนั้น

แต่เมื่อปฏิบัติต่อไปอีก ก็จะพบว่า “จิตที่เป็นเรา” นั้น ยังสามารถจำแนกต่อไปได้อีก
คือ “ธรรมชาติรู้” อันหนึ่ง กับ “ความสำคัญหรือความเห็นว่าเป็นเรา” อีกอันหนึ่ง

ขณะที่เข้าถึง “ธรรมชาติรู้ หรือใจ” นั้น ยังไม่มีรถบรรทุก
แต่เมื่อใด นำ”ความสำคัญและความเห็นว่าเป็นเรา” บรรทุกเข้ามาในใจ
เมื่อนั้นแหละ รถบรรทุกข์ความทุกข์ ได้เกิดขึ้นแล้ว

จิตนี้เอง เป็นรถบรรทุก หรือเป็นภาชนะแบกหามความทุกข์
สิ่งแรกที่ยึดไว้ก็คือ “จิตเรา” ซึ่งก็คือ “ตัวเรา”
ถัดจากนั้นก็ยึด “ขันธ์ของเรา” ว่าเป็น “ตัวเรา” อีกอย่างหนึ่ง
แล้วขยายการยึดออกไปยังสิ่งที่รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ยิ่งแบกมากเท่าไร ทุกข์ก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น

ส่วนการจะปล่อยวางนั้น ไม่มีอะไรเกินกว่า “การเห็นตามความเป็นจริง”
และการที่พวกเราปฏิบัติธรรมกันนั้น ก็คือการฝึกให้เห็นตามความเป็นจริง
 เมื่อใดจิตเห็นความจริงแล้ว ถึงจะขอร้องให้แบกภาระไว้
จิตก็ไม่ยอมแบบไว้หรอกครับ
ดังนั้น เราปฏิบัติธรรม ก็ขอให้แค่ “รู้ ตามความเป็นจริง” ก็พอแล้ว
ไม่ต้องไปคิดถึงความปล่อยวาง หรือความหลุดพ้นใดๆ หรอกครับ

ที่คุณ เห็นว่า “โลกมันก็เป็นเท่านั้น   แม้ตัวเราเองมันก็เป็นเท่านั้น”
หรือ เห็นว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
หรือใครจะเห็นอะไรก็ตาม ที่ทำให้จิตปล่อยวางได้
เอาเข้าจริง ก็คือ “การเห็นความจริงของไตรลักษณ์” นั่นเอง
ไม่หนีไปจากเรื่องของไตรลักษณ์หรอกครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตนั่นแหละเป็นตัวทุกข์

จิตนั่นแหละเป็นตัวทุกข์

น้อยคนนักที่จะเข้าใจได้ว่า ตัวจิตเองนั่นแหละ เป็นตัวทุกข์อันใหญ่ทีเดียว
ไม่ใช่ต้องอยากหรือยึดสิ่งอื่นหรือขันธ์อื่นเท่านั้น ที่จะเป็นทุกข์
เพียงเมื่อใดยึดว่า จิตเป็นเรา ทันทีนั้นแหละทุกข์เกิดแล้ว

และเมื่อเอา จิตที่เป็นเรา ไปกระโดดโลดเต้นตามแรงกิเลสตัณหา
เช่นไปยึดว่านี่กายเรา นี่ความสุขความทุกข์ของเรา
นี่ครอบครัว นี่สมบัติของเรา แล้วคราวใดเกิดความไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์
อันนี้เป็นทุกข์ซ้ำซ้อนที่ตามมาทีหลัง
ส่วนมากเราจะรู้จักทุกข์ชนิดนี้
แต่ไม่ค่อยรู้จักจิตที่เป็นก้อนทุกข์ ทั้งที่ไม่ได้ยึดถือสิ่งภายนอก

เมื่อเราดูจิตอยู่นั้น และเห็นว่ามันเป็นทุกข์
จิตลึกๆ มันอดที่จะอยากให้จิตพ้นทุกข์ไม่ได้
(ดังที่บอกว่า “เฝ้าดูแล้วมันไม่ดีขึ้น” นั่นแหละครับ เราอยากให้ดีขึ้นนะครับ)
ความอยากนั้น ยิ่งทำให้เพ่งจ้อง ให้พยายามทำลายทุกข์
แล้วผลก็คือทุกข์จะหนักและแรงยิ่งขึ้น
ไม่มีใครทำหรอกครับ เราทำของเราเองทั้งนั้น

ทีนี้ต่อมาเฝ้าสังเกตอยู่เฉยๆ แล้วจิตมันพิจารณาว่านี้คืออะไร
จิตก็ตอบว่า อุปาทาน แล้วความทุกข์ก็คลายออก
ลักษณะนี้ผู้ปฏิบัติเป็นกันทั้งนั้นครับ
เวลาจิตติดขัดสิ่งใดอยู่นั้น เมื่อใดที่ปัญญาตามทัน
ปัญญาจะตัดอารมณ์ที่จิตกำลังยึดถืออยู่ ขาดออกไปทันที
เพราะคุณสมบัติของปัญญาคือการตัด
แต่อันนี้ต้องเป็นปัญญาที่มันผุดขึ้นในใจจริงๆ จึงจะตัดได้
ถ้าคิดๆ เอา ยังตัดไม่ได้ครับ

ที่ปฏิบัติมา ทำได้ดีเชียวครับ
ทีนี้เมื่อจิตวางความทุกข์แล้ว จิตเบา สบาย มีปีติแล้ว
อย่าลืมหันมาสังเกตความยินดีพอใจที่เกิดขึ้นอีกนะครับ
ส่วนมากพอหายทุกข์แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพอใจ แล้วหยุดอยู่แค่นั้นเอง
เข้าลักษณะเกลียดทุกข์ รักสุข
ผมเองเมื่อก่อนที่ปฏิบัติทีแรกก็เป็นอย่างเดียวกันนี้เหมือนกันครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าเรารักธรรมะมากกว่าตัวเอง เราจะได้ธรรมะ

mp 3 (for download) : ถ้าเรารักธรรมะมากกว่าตัวเอง เราจะได้ธรรมะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนาเนี่ยจะมี ๒ กลุ่มเรียก สุขาปฏิปทา กับ ทุกขาปฏิปทา คนใดที่กิเลสเบาบางเนี่ย เป็นสุขาปฏิปทา เพราะเค้าไม่ได้ยึดถือเหนียวแน่นในอัตตาตัวตนอยู่แล้ว คนใดกิเลสรุนแรงอัตตาตัวตนมันรุนแรง พวกนี้กว่าจะสู้ได้นะ เลือดตากระเด็น บางคนแข้งขาเดี้ยง บางคนภาวนาจนเดินไม่ได้เลย บางคนภาวนาจนตาบอดนะ ถึงจะสู้ได้ เคยมีพระองค์นึงตั้งสัจจะว่าจะไม่นอน เกิดไม่สบายเป็นโรคตา ตาเจ็บ หมอทำยาหยอดตาให้หยอดนะ ท่านนั่งหยอด หยอดแล้วไม่ค่อยเข้า ไม่หาย หมอสั่งให้นอนหยอดตาก็ไม่ยอมนะ เพราะตั้งสัจจะไม่นอน ปรากฎว่าท่านก็พยายามนั่งหยอดจนหมอบอกว่าไม่รักษานะ ท่านอย่าไปบอกใครนะว่าผมเป็นคนรักษาท่าน เดี๋ยวผมหากินไม่ได้อีก ในที่สุดตาบอดนะ ตาบอดเลย ตาบอดไปพร้อมๆกับกิเลสดับสลายลงไป คือท่านยอมสละแล้วชีวิตร่างกายนี้ ตายก็ตาย ตาบอดก็ตาบอดนะ รักษาสัจจะไว้ รักษาความตั้งใจมั่นอธิษฐานบารมีไว้ เด็ดเดี่ยว ไม่ได้รักตัวเองมากกว่ารักธรรมะ ถ้าเรารักธรรมะมากกว่าตัวเอง เราจะได้ธรรมะ ถ้าเรารักตัวเองมากกว่าธรรมะ เราก็จะได้ตัวเอง ได้ทุกข์นั่นแหล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
Track: ๔
File: 510223.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : บริกรรมพุทโธ

หลวงตามหาบัว กับหลวงปู่หล้าฯ

บริกรรมพุทโธ

เรื่องบริกรรมพุทโธนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยครับ
หลวงปู่หล้า แห่งภูจ้อก้อ ท่านถึงกับกล่าวว่า
พุทโธคำเดียวนี้ จะทำสมถะก็ได้ จะทำวิปัสสนาก็ได้
กระทั่งจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพานก็ยังได้

คือถ้าพุทโธแล้ว จิตจ่อเข้าไปรวมกับพุทโธ สบายอยู่กับพุทโธ อันนั้นเป็นสมถะ
ถ้าพุทโธแล้ว จิตผู้รู้แยกออก ผุดออก แล้วเฝ้ารู้ความเกิดดับของพุทโธ
พุทโธเป็นเพียงสังขารขันธ์ที่ถูกรู้ อันนี้เป็นวิปัสสนา

หลายปีก่อนผมไปหาหลวงตามหาบัว
ไปกราบเรียนท่านว่า จิตอยู่กับรู้มานานแล้ว ไม่ถึงที่สุดเสียที
ท่านกลับแนะว่า จากประสบการณ์ที่ท่านผ่านมาด้วยตนเอง
การบริกรรมกำกับเข้าไปที่ตัวรู้นั้น ดีที่สุด(สำหรับท่าน)
 แม้จะเป็นขั้นไหนๆ ก็อย่างทิ้งพุทโธ ท่านให้เอามาเป็นกำลังไว้

ผมเองไม่ชอบพุทโธ เพราะรู้สึกเป็นส่วนเกิน ก็เลยไม่ค่อยได้ทำตามที่ท่านบอก
แต่เมื่อ 2 ปีก่อนไปอยู่วัดป่าวังน้ำมอก นึกถึงคำของท่านได้ก็บริกรรมพุทโธ
เอาพุทโธมา ประคองตัวรู้อีกทีหนึ่ง แล้วก็รู้อยู่ที่รู้
ถึงจุดหนึ่งปัญญาเกิดแว้บขึ้นมาว่า
ไม่มีใครทำจิตให้ถึงนิพพานได้หรอก มีแต่จิตเขาเป็นไปเองเพราะจิตเป็นอนัตตา
แล้วจิตก็พลิกตัวเองออกจากขันธ์ กลายเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง
คือเป็นจิตที่หลุดพ้นชั่วคราวจากอุปาทานขันธ์
มีความว่าง เบิกบาน เป็นอิสระ
แต่อยู่ได้ไม่กี่วัน จิตก็เข้ามาเกาะขันธ์อีก
แล้วจนป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติจริงจังเข้าไปที่จุดนั้นอีกเลย
เพียงแต่ลองดำเนินจิตดู พบว่าต้องใช้เวลา 1 – 2วัน จึงจะรื้อฟื้นภาวะนั้นขึ้นมาได้อีก

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : พุทธศาสนาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

พุทธศาสนาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

คำสอนทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นศาสตร์ เพราะมีเหตุมีผลที่พิสูจน์ได้
 เช่นถ้าผู้ใดเจริญสติสัมปชัญญะถูกต้อง จิตใจก็พัฒนาไปสู่ภาวะอันเดียวกัน
คือสงบ สะอาด สว่าง รู้ ตื่น และเบิกบาน
ปฏิบัติถูกต้อง ก็เห็นผลทันที จนผู้ปฏิบัติต้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งอัศจรรย์โดยแท้

จากจิตที่ปฏิบัติสมาธิเท่าไรก็ไม่สงบ พอรู้ตัวจิตก็สงบทันที
จากจิตที่เที่ยวแบกรับภาระและขยะ กลายเป็นจิตที่หมดภาระและสะอาด
จากจิตที่มัวซัวซึมเซา กลายเป็นจิตที่ผ่องใส
จากจิตที่หลับฝัน กลายเป็นจิตที่ตื่นจากฝัน
จากจิตที่ต้องหาความสุขด้วยอามิสหรือสิ่งเร้าภายนอก
กลายเป็นจิตที่เบิกบานอยู่ในตัวเอง
โดยไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากการเจริญสติสัมปชัญญะ
ใครปฏิบัติถูกต้อง ก็พัฒนาไปสู่ผลอันเดียวกัน

พระพุทธศาสนาเป็นศิลปะบริสุทธิ์งดงาม
แต่ละคนจะมีทางเฉพาะตัวที่จะดำเนินจิต
เช่นทำอย่างไรเราจะหลอมรวมการปฏิบัติธรรมกับการดำรงชีวิตเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้
ทำอย่างไรจะเข้าถึงความเป็นกลาง ไม่เผลอและไม่เพ่ง
ทำอย่างไรจะรู้เท่าทันความปรุงแต่งที่ละเอียดซับซ้อนในจิตของตน
ทำอย่างไรจะรู้ ได้โดยไม่เจตนาจะรู้
ควรจะอบรมสมาธิเมื่อไร เพียงใด ควรจะเจริญปัญญาเมื่อใด เพียงใด
ควรเจริญปัญญาไปตรงๆ หรือควรมีอุบายพลิกแพลงอย่างใด เมื่อใด ฯลฯ

เรื่อง ศาสตร์ นั้นพอจะสอนกันได้ครับ
แต่เรื่อง ศิลปะ เป็นเรื่องที่ควรพัฒนาทักษะของตนกันเอาเอง

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวัน อังคาร ที่ 5 กันยายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : สวดมนต์เพื่ออะไร?

สวดมนต์เพื่ออะไร?

 จริงๆ แล้วบทสวดมนต์ส่วนหนึ่ง
จะเป็นการสาธยายคำสอนเรื่องต่างๆ ที่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์
แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อสวดให้เกิดอานิสงส์อื่นๆ
เช่นเพื่อความอยู่เป็นสุข เพื่อความพ้นจากอันตรายต่างๆ

การใช้ประโยชน์จากบทสวดมนต์จึงต้องเลือกว่าเราจะสวดเพื่ออะไร
แต่ที่ดีที่สุดคือ ให้สวดเพื่อใช้เป็นเครื่องฝึกสติ ฝึกจิตให้มีสมาธิ(มีความตั้งมั่น)
และเพื่อนำความรู้จากบทสวดไปใช้เพื่อเจริญปัญญาต่อไป
ส่วนอานิสงส์อื่นๆ ให้เป็นเรื่องรองลงไปครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : หลวงปู่เทสก์เน้นสอนเรื่องใด

หลวงปู่เทสก์เน้นสอนเรื่องใด

หลวงปู่เทสก์เน้นสอนเรื่องใด

หลวงปู่เทสก์ท่านเป็นพระป่าที่สอนเน้นอยู่ 2 – 3 จุดเท่านั้นครับ คือเรื่อง จิตกับใจ เรื่องหนึ่ง และเรื่องมิจฉาสมาธิ กับสัมมาสมาธิ อีกเรื่องหนึ่ง

ท่านสอนว่า จิตเป็นธรรมชาติที่รู้และเสวยอารมณ์ด้วย เมื่อเราปฏิบัติมากเข้า จิตรู้ความจริงแล้วก็วางอารมณ์ รวมเข้ามาเป็นใจ คือเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์เฉยๆ

ท่านสอนว่ามิจฉาสมาธิเป็นความสงบเคลิบเคลิ้ม เหมือนความสงบของเด็กไร้เดียงสา ต่างจากสัมมาสมาธิที่เป็นความสงบแบบผู้ใหญ่ ที่ทำงานเสร็จแล้ว มาหยุดพักผ่อน

คือจิตที่เจริญวิปัสสนา รู้ความเกิดดับของรูปนามไปจนถึงจุดหนึ่ง จิตจะตัดกระแสการเจริญวิปัสสนานั้น รวมสงบเข้ามาพักอยู่ภายใน อาจจะพักในอุปจารสมาธิ หรืออัปนาสมาธิก็ได้ พอมีกำลังแล้วก็ออกไปทำงานใหม่ เมื่อเจริญวิปัสสนาพอสมควรแก่ธรรมแล้ว คราวนี้จิตจะรวมเองเข้าถึงอัปปนาสมาธิ มีความสงบ รู้ อยู่ภายใน แล้วเกิดมรรคญาณขึ้น ด้วยจิตที่ประกอบด้วยอัปปนาสมาธิชั้นใดชั้นหนึ่ง

มรรคญาณจะต้องประกอบด้วยอัปปนาสมาธิ แต่ไม่ใช่อัปปนาสมาธิจะต้องประกอบด้วยมรรคญาณครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 22 มกราคม 2544

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ทำลายสักกายทิฏฐิต้องอาศัยจิตเสื่อม

ทำลายสักกายทิฏฐิต้องอาศัยจิตเสื่อม

เรามองกันว่า จิตเสื่อมไม่ดี จิตเจริญมันดี
ทั้งๆ ที่การทำลายสักกายทิฏฐินั้น จะทำลายได้ก็ต้องอาศัย “จิตเสื่อม”
ผู้ปฏิบัตินั้น รักและหวงแหนจิตผู้รู้กันมาก
พยายามปัดกวาดสิ่งสกปรก ประคับประคองบำรุงสติสัมปชัญญะยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อน
แล้วไม่ว่าจะรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาปานใด
ความเสื่อมของจิตผู้รู้ก็ยังกล้ำกลายเข้ามาอีกจนได้
คือมองไม่เห็นจิตผู้รู้ เห็นแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

การที่จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญนั้น
ถึงจุดหนึ่งจิตจะรู้แจ้งแทงตลอดในความเป็นจริงว่า
แม้ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
                       
ขณะเดียวที่เห็นว่าจิตไม่ใช่เรานั้น สักกายทิฏฐิก็ขาดแล้ว
แล้วก็จะเข้าใจว่า จริงๆ ยังมีธรรมชาติที่ผ่องใสอันหนึ่ง
มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
ที่เจริญและเสื่อมก็คือขันธ์เท่านั้นเอง

จิตที่ฉลาดแล้ว สะอาดแล้ว ไม่เจริญและเสื่อมไปด้วย (แต่ไม่ใช่ไม่เกิดไม่ดับนะครับ)
เหมือนน้ำในท่อน้ำครำ ที่น้ำสะอาดก็ยังคงอยู่
ที่มันสกปรกนั้นไม่ใช่น้ำสกปรก
แต่เป็นเพราะมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกปน
พอแยกสิ่งที่แทรกปนออก น้ำก็สะอาดอย่างเก่า
น้ำที่สะอาดจึงไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่บางคราวเรามองไม่เห็นเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า จิตนั้นผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมฟังครูบาอาจารย์มา
ท่านว่าพระอนาคามีนั้น จิตผู้รู้จะเด่นดวงอย่างยิ่ง
ไม่เศร้าหมอง เพราะกามไม่มีอำนาจดึงดูดแล้ว
บางท่านหาทางพัฒนาต่อไปไม่ได้ เพราะดูอย่างไรก็เห็นแต่จิตที่ไม่เสื่อม
ความยึดถือจิตจึงยังคงอยู่เรื่อยๆ ไป
ต่อเมื่อสังเกตเห็นว่า บางครั้งจิตก็ยังหมองไปนิดๆ เพราะกิเลสชั้นละเอียดคือความไม่รู้
คือมองเห็นความเสื่อมของจิตนั่นเอง
แล้วสามารถแยกเอากิเลสละเอียดออกจากจิตได้อีก
จิตจึงถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่ตกอยู่ใต้แรงดึงดูดใดๆ อีก

ที่จริงผมไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้นี้ เพราะเห็นว่าตอบกันดีอยู่แล้วน่ะครับ
  แล้วเรื่องอย่างนี้ หากอธิบายแจกแจงละเอียดเกินไป
 ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็จะนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม
เพราะปัญญาที่เป็นสัญญาจากการอ่านมันล้ำหน้าไปแล้ว
ว่า จิตเสื่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ แบบเดียวกับการเป็นสิว
แต่เมื่อ คุณ เปิดประเด็นที่ละเอียดไว้ ก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจนครับ
   แต่ก็อยากบอกน้องๆ และหลานๆ ว่าอย่างนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม
เราจะต้องพยายามต่อสู้แก้ไขจนเต็มที่
เพื่อพิสูจน์ความจริงให้จิตเห็นว่า
จิตนั้นเป็นอัตตาหรืออนัตตากันแน่
 หากไม่พิสูจน์กันสุดชีวิตจิตใจ จิตมันไม่เชื่อหรอกครับว่า จิตเป็นอนัตตา

ส่วนอุบายวิธีที่จะแก้ปัญหาจิตเสื่อม ขอให้พยายามพิจารณากันเองเองเถอะครับ
กุศลธรรมทั้งหลายนั้น เอามาใช้ได้ทั้งนั้น
เช่นสัจจะ อธิษฐาน ขันติ ทาน สมถะ วิปัสสนา ฯลฯ
แต่อุบายวิธีในการแก้ปัญหานั้น เราต้องพัฒนาขึ้นตลอดเวลา
เพราะกิลเสมันมีพัฒนาการเหมือนกัน
เช่นคราวนี้เราแก้ความฟุ้งซ่านได้ด้วยการทำสมถะ
อีกวันหนึ่งเอาสมถะมาแก้ ก็ไม่สำเร็จเสียแล้ว
คล้ายกับกิเลสเป็นเชื้อโรคที่ดื้อยาชนิดนั้นไปแล้ว
เราก็ต้องผลิตยาตัวใหม่ มาต่อสู้กับมันอีก

อุบายวิธีในการต่อสู้กับกิเลส จึงมีมากมายนับไม่ถ้วน
ดังนั้นที่ถามหาวิธี ก็คงตอบไม่ได้หรอกครับ
ลองนึกถึงภาพพระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานสิครับ
พระโพธิสัตว์มีจำนวนมาก แต่ละองค์บางทีก็มีตั้งพันกร
เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด
ดังนั้น ไม่มีอุบายสำเร็จรูปหรอกครับ ที่จะสู้กับจิตเสื่อม

แต่ถ้าจะกล่าวอย่างย่นย่อ “โยนิโสมนสิการ” ครับ
ที่จะผลิตอาวุธมาแก้ปัญหาจิตเสื่อมของเราได้เสมอ
ก็ต้องสู้กันจนมารและพระโพธิสัตว์ตายไปพร้อมๆ กันแหละครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

 เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2542

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

สิ่งที่คุณพบนั้น เป็นเช่นนั้นจริงครับ
ในการปฏิบัตินั้น ไม่เพียงจะพบสิ่งที่คุณยกตัวอย่างมานั้น
หากแต่จะพบขันธ์ 5 แจกแจงออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
โดยเฉพาะสังขารขันธ์นั้น มีมากมายเหลือเกินแม้ในภาวะอันหนึ่งๆ
เช่นในขณะที่จิตสักแต่รู้เห็นอารมณ์นั้น
จะมีเจตสิกธรรมเป็นอันมาก
เช่นสติ สัมปชัญญะ อุเบกขา เอกัคคตา ปัญญา ฯลฯ

 ในการปฏิบัตินั้น เราไม่จำเป็นต้องคอยจำแนกชื่อ ว่าสภาวะอันนี้ ชื่อว่าอย่างนี้
 เพราะเราจะพบสภาวะต่างๆ มากมายในขณะหนึ่งๆ
ขืนพยายามจำแนกชื่อ จิตจะฟุ้งซ่านจนปฏิบัติต่อไปไม่ได้
เพราะแทนที่จะรู้ กลับจะกลายเป็นคิดไป
เราเพียงรู้สภาวะเหล่านั้น รู้หน้าที่และบทบาทของมัน เท่าที่จิตรู้ในขณะนั้นก็พอ
ในทางปฏิบัติ เพื่อตัดข้อยุ่งยาก เราจึงมักสรุปย่อสภาวะทั้งหลาย
ลงเหลือเพียง ผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ ก็พอครับ

เมื่อรู้ชัดว่า อันใดเป็นผู้รู้ อันใดเป็นสิ่งที่ถูกรู้แล้ว
ไม่เพียงจะเห็นความเกิดดับของอารมณ์เท่านั้น
 ยังเห็นกลไกการทำงานของจิตตามหลักของปฏิจจสมุปบาทด้วย
คือพบว่าเมื่อจิตรู้อารมณ์แล้ว เกิดเวทนาแล้ว
กิเลสจะแทรกตามเวทนา และกระตุ้นให้จิตเกิดตัณหาหรือความทะยานอยาก
จิตจะเคลื่อนออกยึดถืออารมณ์ เกิดภพขึ้น
แล้วก็เกิดตัวตนขึ้นมากระโดดโลดเต้นในภพนั้น
 อย่างที่คุณสุรวัฒน์บอกว่าเห็นตัวตนนั่นแหละครับ

เมื่อปฏิบัติแล้วเห็นได้ขนาดนี้ ผมก็รู้สึกยินดีด้วยครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ขาดสติ ขาดปัญญา

ขาดสติ ขาดปัญญา

เรื่องการขาดสติปัญญาในการปฏิบัติธรรมนั้น
ผมหมายถึงขาด(สัมมา)สติ และขาดปัญญาในการปฏิบัติธรรมครับ

เรื่องขาดสตินั้น จะเห็นได้ว่าผู้ปฏิบัติจำนวนมากนั้น
ปฏิบัติธรรมด้วยการเพ่งจ้องบังคับจิตและบังคับอารมณ์
บังคับจิต โดยมุ่งจะให้จิตสงบ ไม่ใช่เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง
บังคับอารมณ์คือจะขจัดอารมณ์ที่ไม่ดี จะเอา อารมณ์ที่ดี
จึงไม่ใช่การมีสติระลึกรู้อารมณ์อย่างเป็นกลาง เป็นปัจจุบัน ตามความเป็นจริง

ส่วนขาดปัญญานั้นมีหลายลักษณะ
เช่นขาดความเข้าใจในกฏของอริยสัจจ์
แทนที่จะรู้ทุกข์ และละสมุทัย(ตัณหา-ความอยาก)
กลับมีสมุทัย(อยาก) ที่จะละทุกข์
การปฏิบัติจึงไม่เคยเข้าข่าย รู้สักว่ารู้ถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย

อีกอย่างหนึ่งคือปฏิบัติไปทั้งที่จิตถูกครอบงำด้วยโมหะคือความหลง
อันนี้ก็เข้าข่ายว่าขาดปัญญาเหมือนกัน
เพราะกำลังหลงอยู่แท้ๆ กลับเข้าใจว่ากำลัง รู้ อยู่
ในพระไตรปิฎกท่านจึงจัดเอาความรู้ตัว หรืออสัมโมหะสัมปชัญญะ
ว่าเป็นตัวปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ

เรื่องการถูกโมหะครอบงำจนจิตไม่มีคุณภาพจริงนี้ เป็นเรื่องที่รู้ทันได้ยากครับ
ชาว(ชื่อกลุ่มนักภาวนา) จำนวนมาก ก็ยังถูกเจ้าตัวนี้ครอบงำอยู่
ยังดีว่าหลายคนพอจะรู้ทัน เห็นถึงความหย่อนคุณภาพของจิต
ที่มัวๆ หม่นๆ ไม่รู้อารมณ์ด้วยความชัดเจนแจ่มใสจริง
ถ้ารู้ทันอย่างนี้ ก็พอจะหลุดพ้นจากโมหะได้ครับ
แต่ถ้ามองไม่ออก ก็ต้องถูกมันครอบงำเรื่อยไป

โดยคุณ สันตินันท์  (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อ วัน อังคาร ที่ 4 เมษายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 5 of 9« First...34567...Last »