Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละ หมดเหตุก็ดับเอง

Mp3 for download:  ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละ หมดเหตุก็ดับเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือ รู้ตรงนี้ว่าพอไปคิดเนี่ยนะ เกิดความทุกข์ เห็นความทุกข์ในใจเราเนี่ยนะ มากขึ้นบ้าง เบาลงบ้าง มากขึ้นบ้าง เบาลงบ้าง

ในขณะที่เรามาเฝ้ารู้ใจของเราที่เป็นทุกข์เนี่ย เราไม่ได้คิดละ ความทุกข์นั้นจะค่อยๆสลายตัวไป แต่สลายเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ได้คิด ทำไมเราไม่ได้คิดตอนนั้น เพราะเรามาเฝ้ารู้อยู่ แล้วเราจะเห็นเลย ความทุกข์เองไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปละมันหรอก พอมันหมดเหตุมันก็ดับ ไม่ใช่มันดับเพราะเราไปละมันเข้า

ถ้าเราไม่ละเอียดลออ เราจะไปคิดว่าเราไปดับทุกข์ได้ พอเราดูปุ๊บ ความทุกข์ก็ดับไป พอเราโกรธขึ้นมา เราเห็นความโกรธ ความโกรธก็ดับไป มันเกิดความสำคัญผิด ความจริงเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ไปทำเหตุของมัน มันหมดเหตุแล้วมันดับ

อย่างเราโกรธใครสักคนนะ เราคิดถึงเขาบ่อยๆ นะ ยิ่งโกรธใหญ่ ใช่มั้ย เรามารู้อยู่ที่ความโกรธของเรานี้ เห็นความโกรธตั้งอยู่ในจิตใจ จิตใจเร่าร้อนเป็นเพราะความโกรธ ไม่ได้ไปคิดเรื่องที่ทำให้โกรธ เดี๋ยวความโกรธมันก็หายไป เราก็จะได้ความเห็นที่ถูกต้องว่าความโกรธก็ไม่เที่ยงหรอก เกิดจากเหตุ คือ การไปคิดเรื่องที่ไม่ชอบใจ พอหมดเหตุมันก็ดับ

แต่ความโกรธเกิดขึ้นเนี่ย ถ้าความโกรธครอบงำใจเราได้ ใจเราจะเป็นทุกข์ ก็เห็นต่อไปอีกชั้นนึง อ้อ จิตใจที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระนี้ ไม่ทุกข์หรอก เบิกบาน มีความสุข แต่พอถูกอารมณ์ ถูกกิเลสครอบงำ ก็จะเป็นทุกข์ นี่มันจะเห็นตรงนี้

งั้นเรามีสติอยู่ เราค่อยเห็นข้อเท็จจริง มันคือการเห็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๗ เดือนกรกฏาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑
File: 450707A
ระหว่างนาทีที่ ๓๗ วินาทีที่ ๐๑ ถึง นาทีที่ ๓๘  วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒๕) เมื่อเป็นคนหงุดหงิดง่าย ให้คอยรู้ทันความหงุดหงิด

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒๕) เมื่อเป็นคนหงุดหงิดง่าย ให้คอยรู้ทันความหงุดหงิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ หนูไม่ได้ส่งการบ้านหลวงพ่อนานมากแล้วค่ะ แล้วก็ ภาพรวมก็คือ การปฏิบัติก็วนเวียนแต่ความเข้าใจที่หลวงพ่อพูด แล้วก็ค่อยๆเข้าใจมากขึ้นน่ะค่ะ แล้วก็ หนูก็ฟังหลวงพ่อแล้วหนูก็ไปคิดเยอะมากเลยค่ะ หนูเพิ่งจะเข้าใจว่า หนูน่ะไปคิดตลอด แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่า เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อไม่นานมานี้น่ะค่ะ ก็ขอคำแนะนำจากหลวงพ่อด้วยค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ :
ก็ดีนะ แต่ว่าไม่ว่าจะเผชิญกับอะไรนะ ถ้าใจเราหงุดหงิด ใจเรารำคาญ ใจเราเป็นอย่างไร เราก็รู้ทันะ คือ เวลาที่เราเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆเนี่ย เราเจอปรากฎการณ์ต่างๆแล้วเนี่ย จิตของเราเป็นอย่างไร เรารู้ทันอีกชั้นหนึ่ง เช่น เห็นสภาวะอย่างนี้แล้วหงุดหงิด รู้ว่าหงุดหงิด หงุดหงิดเก่งมั้ย

โยม : เก่งค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นะ หลวงพ่อก็ว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าใจเราหงุดหงิด เราก็คอยรู้ทันนะ รู้ทันนะ ต่อไปใจเราสบาย ภาวนานะ ดีขึ้นเยอะแล้ว

โยม : ขอบคุณค่ะ

550409.51m58-53m10

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๕๑ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๕๓ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : รู้ว่าโกรธแล้ว ไม่หายโกรธ เราควรจะข่มบังคับจิตใจหรือไม่?

รู้ว่าโกรธแล้ว ไม่หายโกรธ เราควรจะข่มบังคับจิตใจหรือไม่?

ถ้าจะเอาเรื่องความโกรธมาเป็นกรณีศึกษาก็จะเห็นได้ว่า ตอนที่จิตจะมีความโกรธ เราก็เลือกไม่ได้ว่าควรโกรธหรือไม่ พอมีการกระทบอารมณ์แล้วไม่พอใจ ความโกรธก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พอโกรธแล้วเราก็เลือกไม่ได้หรอกครับว่าจะข่มบังคับดีไหม ถ้ายังเลือกได้ก็แสดงว่ายังภาวนาไม่ชำนาญ (อันนี้พูดเฉพาะกรณีของนักภาวนานะครับ) หากเป็นนักดูจิตที่ชำนาญ ก็จะไม่ทำการข่มบังคับหรือไม่เอาแต่ดูจิตจนแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้หรอกครับ เพราะทันทีที่เกิดความโกรธ จิตที่ฝึกมาจนจำความโกรธได้ก็จะตื่นรู้ขึ้นเอง แล้วก็จะสามารถจัดการแก้ไขสถานการณ์ไปด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ และถ้าความโกรธนั้นรุนแรงมาก ตัวสติสัมปชัญญะนั่นแหละที่จะเป็นตัวจัดการว่า เฮ้ย..เผ่นเถอะอยู่ไม่ได้แล้ว การจัดการต่างๆ ของจิต ถ้าจะมองว่าเป็นไปด้วยอำนาจของศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ครับ แต่ถ้าไม่ใช่นักภาวนาละก็ การจัดการทุกอย่างเป็นไปตาม ยถากรรม

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : การดูจิตที่โกรธ

การดูจิตที่โกรธ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อใจต่อต้านการทำในรูปแบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: เมื่อใจต่อต้านการทำในรูปแบบ

เมื่อใจต่อต้านการทำในรูปแบบ

เมื่อใจต่อต้านการทำในรูปแบบ

โยม : โยมรู้สึกว่าสรุปว่าตัวเองในช่วงที่ผ่านมามีแต่อกุศลมากมาย (หลวงพ่อปราโมทย์ : ดีสิ) มีตัณหา อยากสารพัดจนว่ามันเกิดโทสะรุนแรง แล้วก็ลังเลสงสัยมาก แล้วก็วิตกกังวล (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้ม เก่งนี่เห็นกิเลสตั้งเยอะแน่ะ) แล้ว เอ่อ มันมีตัวยืนที่ดูมานานแล้วก็ไม่ทราบว่าเพราะที่เรียนหลวงพ่อเมื่อกี๊น่ะมันทำให้เกิดอาการจิตที่ต่อต้านไม่ยอมให้ทำตามรูปแบบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นแหล่ะ ไปดูจิตมันมีโทสะนะ ภาวนาแล้วมันมีโทสะแทรกเข้ามา เราคอยรู้ทันเอา รูปแบบจำเป็นนะจำเป็น แต่ว่าอย่าไปคิดว่ารูปแบบทำแล้วจะลำบาก ทำลำบากใจจะไม่เอา แล้วไงล่ะ  

โยม : แทบจะว่าที่ผ่านมานี่ทำตามรูปแบบแทบไม่ได้เลย มันจะต่อต้านตลอดเวลาเหมือนว่ามันขัดขืนน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราดูใจที่ต่อต้านนะ เท้าก็เดินไป ใจดูใจที่ต่อต้านไป เดินเล่นๆไป (โยม : อันนี้ไม่ใช่เพ่งใช่มั้ยคะ)ไม่ได้เพ่งหรอกนะ ถ้าเพ่งไว้ไม่เห็นกิเลสเยอะอย่างงั้นหรอก เพ่งแล้วเรารู้สึกว่าเราเป็นคนดี นี่กิเลสเยอะแยะเลย รู้สึกมั้ย (โยม : ค่ะ) นี่เราเห็นกิเลสแล้วเนี่ยใจเราไม่เป็นกลาง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ใจมันมีโทสะแทรกไม่ชอบเลย อยากจะดีๆอยากจะสุขๆขึ้นมานะ ไม่ชอบกิเลส ถ้ากิเลสเกิดแล้วก็ให้รู้ว่ากิเลสเกิด กิเลสเกิดแล้วไม่ชอบให้รู้ว่าไม่ชอบนะ มันไม่ยอมเดินจงกลมจิตใจไม่ยอมเดิน เราก็รู้ว่ามันไม่เดิน ขาเราก็เดินไปเรื่อยๆ เดินเล่นๆ ไม่ได้เดินหวังว่าจะดีจะสุขจะสงบอะไร เดินเล่นๆแกล้งมันบ้าง

โยม : คือจริงๆแล้วมันอยากทำตามรูปแบบมากแล้วติดที่จะทำรักที่จะทำ แต่ว่าพอเริ่มจะลงมือปั๊บมันก็เข้ามาทันที

หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่เดิมเราเพ่งไว้มากไง พอมันหลุดออกมาเราขยาดมันเรากลัวมัน ไม่กล้า กลัวมันจะกลับไปติดเพ่งอีกอะไรงี้ ใจมันจะไม่เอา ตอนนี้ทำได้นะถึงช่วงนี้แล้ว ทำสมถะได้แล้วเพราะเรารู้แล้วว่าเพ่งเป็นยังไง คนที่ทำสมถะไม่ได้คือพวกที่ไม่รู้ว่าเพ่งเป็นยังไง ไปลงมือทำสมถะแล้วก็เพ่งลูกเดียว พวกนี้ใช้ไม่ได้ ตอนนี้เรารู้ว่าการเพ่งคืออะไร งั้นเราก็รู้ไป เห็นร่างกายมันเดินไป เห็นร่างกายมันหายใจไป ดูมันเล่นๆไป อย่าไปคาดหวังว่าจะสุขจะสงบจะดี ดูเล่นๆน่ะ ถือว่าเราทำเล่นก็แล้วกัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
File: 520710
ระหว่างนาทีที่  ๑๖ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

mp 3 (for download) : คนใจร้อน ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : จะขอคำแนะนำพระอาจารย์ว่าดูสภาวะจิตนะค่่ะ แล้วอีกคำถามก็คือว่าอยากขอคำแนะนำที่เหมาะสมในเรื่องของวิหารธรรมที่เหมาะสมกับตัวหนูค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราเป็นคนใจร้อนนะ เพราะงั้นเราดูจิตดูใจที่มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเนี่ยมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเลย รู้สึกมั้ยอารมณ์ของเรามันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงไปเรื่อยๆนะ นั่นแหล่ะดูไป เห็นแต่อารมณ์เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์นะ เดี๋ยวก็หงุดหงิดอะไรงี้ ไหลมาไหลไปเดี๋ยวก็หงุดหงิดอีก พอมีสติรู้ความหงุดหงิดหายไปอีกซักพักก็มาอีกอะไรงี้ เฝ้ารู้อยู่อย่างนี้บ่อยๆ

ในที่สุดปัญญามันเกิดมันจะเห็นเลยทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไป ทุกอย่างเป็นของถูกรู้ถูกดู ทุกอย่างไม่ใช่ตัวเราหรอก ของคุณทำในรูปแบบด้วยนะ พยายามไป อดทน เดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดินไป ถึงวันหนึ่งใจมันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา

มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ ไปเรียนกับหลวงพ่อ เมื่อหลายเดือนแล้ว มาเดือนพฤศจิกายนไปเรียนแล้วถามหลวงพ่อว่าที่ภาวนาอยู่เป็นยังไง หลวงพ่อก็บอกว่า ภาวนาก็รู้หลักอยู่แล้ว ภาวนาก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วก็เงียบๆนะไม่พูดต่อแล้ว เขาก็ถามหลวงพ่อว่าเขาขาดวินัยในการปฏิบัติใช่ไหม บอกว่า ใช่ ตั้งแต่นั้นนะ เดินจงกรมทุกวันเลย คนนี้งานเยอะนะ ดูแลบ้านดูแลครอบครัวดูแลลูกดูแลสามี งานเยอะมากเลย พอดูแลเสร็จแล้วก็ไปทำงาน ดูแลบริษัทอีก ๕ บริษัท กลับมาถึงบ้านนะ กว่าจะมีเวลาส่วนตัวเนี่ย ๕ ทุ่มแล้ว ๕ ทุมถ้าเป็นพวกเราทำงานมาตึ้งแต่เช้ามืดยัน ๕ ทุ่ม เราก็มีข้ออ้างแล้วใช่ไหม ขอนอน นี่ คนนี้ฮึดสู้นะ ลุกขึ้ันเดินจงกรม ยังไม่นอนนะ เดินจงกรมไปชั่วโมงกว่า เที่ยงคืนหมดเรี่ยวหมดแรงไปนอน นอนไปตี่นหนึ่งนะ ก็ลุกขึ้นมาเดินอีก เขาฝึกของเขามาอย่างนี้ด้วยความยากลำบากนะ แต่ว่าไม่ท้อถอยเลย เขาฝึกจนกระทั่งวันหนึ่งใจมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ใจมันถอดถอนตัวเองออกมา เราค่อยฝึกเอา ใช้เวลาราวๆ ๗ เดือนเอง ของเราอย่าขึ้เกียจนะ แล้วเราอย่าอ้างว่างานเยอะ งานทั้งหลายที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อจะอาศัยอยู่ในโลกชั่วครั้งชั่วคราว งานในธรรมะนะข้ามภพข้ามชาติ

ดูเด็กนี่ เห็นไหม เด็กนี่เห็นรูปตั้งแต่เล็กๆ ยังไม่เคยฟังธรรมก็รู้จักรูปแล้ว แต่ว่าไม่รู้ชื่อมันเท่านั้นเอง คนที่เคยทำนะ มันทำง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา
ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปฎิบัติธรรมต้องฉลาดนะ สู้ไม่ได้ก็ต้องถอย

mp3 (for download): ปฎิบัติธรรมต้องฉลาดนะ สู้ไม่ได้ก็ต้องถอย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปฎิบัติธรรมต้องฉลาดนะ สู้ไม่ได้ก็ต้องถอย

ปฎิบัติธรรมต้องฉลาดนะ สู้ไม่ได้ก็ต้องถอย

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ก็มีตามรู้ว่า จิตคิดอย่างไร ทีนี้ถ้าหากว่าเราก็รู้แล้ว ก็รู้ว่าอะไรเป็นปฏิฆะให้เราเกิดเช่นโทสะ เราก็รู้ว่าโทสะ เราควรหลีกเลี่ยงปฏิฆะนั้นมั้ย เพื่อไม่ให้จิตต้องเกิดโทสะอยู่เนืองๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คืออยู่ที่ว่าเราจะฝึกอะไร ถ้าเราฝึกสมถะนะ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง จิตจะได้มีความสุข เพราะสิ่งที่เราต้องการคือความสุขความสงบ แต่ถ้าเราจะเจริญปัญญานะไม่จำเป็นต้องเลี่ยง ตากระทบรูปแล้วปฏิฆะเกิด มีสติรู้ทัน ก็จะเห็นเลย แต่เดิมปฏิฆะไม่มี ตอนนี้ปฏิฆะมีขึ้นมา นี่นะมันไม่เที่ยงแล้ว ปฏิฆะมีขึ้นมาแล้ว แล้วมีสติรู้ทัน ปฏิฆะหายไป นี่ก็ไม่เที่ยงละ ดูอย่างนี้ก็ใช้ได้ แล้วแต่ว่าเราต้องการอะไร

แต่ถ้าดู จะเจริญวิปัสสนารวดไปเลยนะ หมดแรงแล้ว ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวจะระเบิดอยู่แล้ว เดินหนีเลย ยังได้เลย หลบเลี่ยงเสียก่อน

โยม : ก็เป็นวิธีหนึ่งได้ ถ้ารู้ว่าอ่อนล้า

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ ถ้าสู้ไม่ได้ก็ถอยสิ ใช่มั้ย เราต้องฉลาดนะ ปฏิบัติธรรม สู้ไม่ไหวก็หนี ครูบาอาจารย์ท่านก็ถอยนะ ยกตัวอย่างบางทีสมัยหนุ่มๆท่านไปธุดงค์ ไปเจอสาวเข้านะ ใจมันชอบนะ ทำไงได้ใจมันชอบน่ะ ห้ามไม่ได้ ท่านดูอย่างไรก็ไม่หายนะ ท่านหนีเลย คว้ากลดคว้าบาตรหนีไปเลย มีอยู่องค์นะ หนีไปแล้วไปเจอสาวที่หมู่บ้านที่หนีไปอีก ไอ้คนเดิมแหละ เวรกรรมอะไรไม่รู้ เลยหนีไปรอดน่ะองค์นั้น

เพราะฉะนั้นอย่างบางคนนะเราเข้าใกล้แล้วเราหงุดหงิดมากเลย เจริญสติไม่ได้ สติจะแตกอย่างเดียวนะ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อน ไม่ใช่วิปัสสนาแต่ว่าเอาตัวรอดไว้ก่อน ถ้าเป็นวิปัสสนาแท้นะ รู้อย่างที่เขาเป็นไปเรื่อย เพื่อให้เห็นเลย ปฏิฆะก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา จิตจะมีปฏิฆะก็ห้ามไม่ได้ ดูอย่างนั้น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๕๕ วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๕๗ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาสำหรับคนโทสะแรง

mp3 (for download) : เป็นคนโทสะแรงมาก ควรภาวนาอย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนาสำหรับคนโทสะแรง

การภาวนาสำหรับคนโทสะแรง

โยม : ค่ะ โทสะของหนูแรงมากเลยล่ะค่ะ หนูขี้โมโหแล้วก็ มันชอบไประรานคนอื่นเขาน่ะค่ะ จนทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูไปทำอะไรนะ

โยม : ไปพูดจาเสียดสี อะไรพวกนี้ล่ะค่ะ พูดจาไม่ดีใส่คนอื่น ขี้โมโหใส่คนอื่น แล้วหนูก็มีสติตามรู้ไม่ทัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..นะ ฝึกไปเรื่อย.. ต่อไปมันเร็ว สติค่อยเร็วขึ้นหรอก ดีแล้วล่ะที่หนูเห็นอย่างนั้นน่ะ

โยม : แต่หนูสงสารคนอื่นเขาค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อก็สงสาร

โยม : แล้วมีความรู้สึกว่า ดูเหมือนมันจะแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อน

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะว่าเราไม่เก็บกด ถ้าเราทำแต่สมาธินะ เรากดนิ่งๆนะ กิเลสไม่แรงหรอก ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า กรรมฐานแบบเอาก้อนหินไปทับหญ้าไว้ วันใดเอาก้อนหินออกไปนะ หญ้าก็งอกใหม่ แถมงอกแล้วมีดอกเบี้ยด้วย จะโมโหมากกว่าคนทั่วๆไป พวกที่ติดความสงบน่ะ

แต่มันเป็นแค่ช่วงเดียวแหละ ต่อไปพอสติมันเร็วขึ้นนะ มันจะอ่อนลง กิเลสมันจะอ่อนลง

โยม : แล้วช่วงนี้หนูจะต้องปล่อยมันเป็นแบบนี้หรือคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูตั้งใจไว้เลย ตั้งแต่ตื่นนอน ทุกวัน ตั้งใจว่าเราจะรักษาศีล ๕ กลางวันก็ตั้งใจอีก ตอนค่ำก็ตั้งใจอีก ตั้งใจวันละหลายๆรอบ เป็นการย้ำกับตัวเอง เป็นการเตือนตัวเองว่า ถึงกิเลสจะครอบงำจิตอย่างไร เราก็จะไม่ละเมิดคนอื่น เพราะฉะนั้นศีลเนี่ย จำเป็น

พวกที่ทำสมถะนะ ไม่ค่อยไปยุ่งกับใครอยู่แล้ว แต่พวกที่จะเดินวิปัสสนาเนี่ย ไม่เก็บกด เพราะฉะนั้นกิเลสจะแรงนะ ยิ่งเคยติดสมถะมาก่อนนะ กิเลสจะแรงกว่าคนทั่วไป

โยม : หนูนั่งสมาธิไม่เป็นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อ๋อ..ถ้างั้นยังไม่แรงเต็มที่หรอก ถ้าติดสมถะนะ แรงสุดๆเลย เพราะฉะนั้นหนูตั้งใจรักษาศีลไว้

โยม : หนูก็ตั้งใจอยู่น่ะค่ะ แต่ว่า ดูเหมือนมันจะ..

หลวงพ่อปราโมทย์ : แล้วเวลาไปเล่นงานเขาแล้วเสียใจ ให้รู้ว่าเสียใจนะ ดูลงไปเลย เห็นมีแต่ทุกข์แต่โทษ ไปเล่นงานคนอื่นแล้วเนี่ย เกิดทุกข์เกิดโทษขึ้นมา เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปไม่อยากเล่นงานใครหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม
พ.ศ.๒๕๕๔

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๙
File: 540319B
ลำดับที่ ๖
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เสียท่ากิเลสไปแล้ว อย่าเสียท่าอีกรอบด้วยการเสียใจ

mp3 (for download) : เสียท่ากิเลสไปแล้ว อย่าเสียท่าอีกรอบด้วยการเสียใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เสียท่ากิเลสไปแล้ว อย่าเสียท่าอีกรอบด้วยการเสียใจ

เสียท่ากิเลสไปแล้ว อย่าเสียท่าอีกรอบด้วยการเสียใจ

โยม : คือ บางทีเป็นคนที่โทสะแรงค่ะ แล้วพอเวลาที่ตัวเองโกรธเนี่ย รู้เหมือนกัน รู้สึกเหมือนแบบ เหมือนเจ็บ รู้สึกเหมือนเจ็บอยู่ที่กลางอก แต่บางทีก็.. แต่ว่าไม่เคยหายไปเลยค่ะ คือจะออกไปทาง.. กลายเป็นว่าออกไปทางกายตลอด คือแสดงกริยาที่ไม่น่ารักออกไปน่ะค่ะ แล้วก็บางทีก็มารู้สึกเสียใจเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกว่า ทำไม เรารู้สึกแล้วว่าเราโกรธ แต่ทำไมมันไม่หายไปค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันเคยชินนะ กำลังของกิเลสมันแรงกว่าสติปัญญาของเรา แต่เราฝึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งกำลังของสติปัญญาก็แรงกว่ากิเลสเองแหละ ถ้าเราไม่ฝึกนะ ตามใจมันเรื่อย มันก็ยิ่งแรงใหญ่ เวลาโกรธแล้วรู้สึกภูมิใจมั้ย

โยม : เป็น..

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..นั่นแหละ มันยังไม่ละหรอก

โยม : คือ รู้สึกว่า ถ้าได้ว่าเขาไปแล้ว คือชนะเขาได้เลย รู้สึกว่ากูเก่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. นั่นแหละ หนูไปดูตัวนี้แหละ มันภูมิใจที่โกรธน่ะ มันไม่อยากละจริง มันรู้สึกเท่ดี แต่ว่าพอหายโกรธแล้วมันเสียใจ

เวลาโกรธ เรารู้ไม่ทันเนี่ย เราพลาดยกที่หนึ่งนะ พอไปว่าเขาแล้วเรากลับมาเสียใจ เราไม่รู้ว่ากำลังเสียใจอยู่ เราพลาดยกที่สองแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพลาดยกหนึ่งแล้วอย่าให้เสียยกที่สอง เสียใจรู้ทันลงไปเลยนะ

การที่หนูคอยรู้บ่อยๆนะ วันหนึ่งสติปัญญามันเข้มแข็งนะ กิเลสมันจะอ่อนแรงไป

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม
พ.ศ.๒๕๕๔

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๙
File: 540319B
ลำดับที่ ๖
ระหว่างนาทีที่ ๓๙ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๔๑ วินาทีที่ ๒๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเหมือนเรือทอดสมอ

mp3 (for download): ภาวนาเหมือนเรือทอดสมอ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาเหมือนเรือทอดสมอ

ภาวนาเหมือนเรือทอดสมอ

หลวงพ่อปราโมทย์: คือ ตรงที่เราเห็นโทสะเนี่ย ดีแล้วนะ ตรงที่ข่มไว้เนี่ย เป็นส่วนเกิน แต่ว่าโดยที่เรายังไม่ชำนิชำนาญการปฏิบัติ ข่มไว้ก่อนก็ดี จะได้ไม่ทำอะไรผิดทางกายทางวาจา แต่ถ้าเราเจริญสติชำนิชำนาญขึ้น พอจิตมีโทสะ เรารู้ว่ามีโทสะ เราจะเห็นเลย จิตที่มีโทสะมันไม่ใช่ตัวเรา มันมีของมันเอง ใจของเราเป็นแค่คนดู เป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู เห็นจิตมีโทสะเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ ก็ดับไป

ต่อไปสภาวะอย่างอื่น นอกเหนือจากโทสะ เช่น ราคะ โมหะ อะไรต่ออะไรนะ อิจฉา กังวล อะไรเกิดขึ้นมา เราก็ดูแบบเดียวกัน คือเห็นว่า มันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ดับไป เราไม่ได้ไปแก้ไขมัน ทีนี้การปฏิบัติเนี่ย มันมี ส่วนมากพวกเราชอบเก็บกด เราไปกดมัน พอสภาวธรรม ยกตัวอย่างกิเลสอะไรเกิดขึ้นมา เราไปพยายามเพ่ง ไปกดๆมัน มันจะไปซ่อนตัวไว้ อย่างนี้ไม่ดี

ถ้าเราเห็นกิเลสโผล่ขึ้น เราสักว่ารู้ สักว่าเห็นนะ จะเห็นมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะไม่ไปกดมันไว้ ต่อไปใจเราจะนิ่ง เบา สบาย ยิ่งภาวนาดี จะยิ่งสบาย แต่ถ้าเราฝืน เราต่อต้านกิเลสนะ เราจะเหนื่อย

เราจะทำกับจิตใจเรา ให้คล้ายเรือลำใหญ่ๆ จอดอยู่ในแม่น้ำ ในทะเล จอดทอดสมออยู่ น้ำไหลมา เรือนี้ไม่ไหลตามน้ำ คือใจเราไม่ไหลไปตามกิเลส ในขณะเดียวกัน เรือไม่เคยต้านน้ำ เรือก็จะปล่อยให้น้ำไหลผ่านไป ใจเราจะสักว่ารู้สักว่าเห็น ไม่ต้าน ถ้าเราไปพยายามแก้ พยายามเก็บกด พยายามอะไรอย่างนี้ เราไปต้านมัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๗
ลำดับที่  ๒
File: 491222
ระหว่างนาทีที่  ๐๓ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๐๕ วินาทีที่ ๐๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

mp3 for download: การเดินจงกรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ที่จริงเราต้องลบภาพ ลบความรู้สึกนะ ที่ว่า การเดินจงกรมเนี่ย คือเวลาปฎิบัติธรรม ตรงนี้ต้องลบทิ้งไป แล้วก็กลมกลืนการปฏิบัติเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกก้าวที่เดินเนี่ย รู้สึกตัวไป

ส่วนที่เดินกลับไปกลับมานั้นน่ะ มันมีหลายแบบ บางทีก็เดินเรื่อยเปื่อย ใจลอยไป บางทีก็เดินทำสมถะนะ เดินเพ่งไป บางทีก็เดินรู้สึกไป บางทีก็รู้สึกกาย บางทีก็รู้สึกใจ หมุนไปเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้วก็คือ ทุกก้าวที่เดิน ต้องรู้สึกตัว พยายามรู้สึก ไม่ใช่ว่าจะเลิกปฏิบัติ

คำว่าปฏิบัติ เลิกไม่ได้ ต้องทำตั้งแต่ตื่นจนหลับ ยกเว้นตอนทีเผลอไป กับตอนที่ไปคิดๆ อะไรอย่างนี้ นอกนั้นต้องปฏิบัติทั้งวัน ห้ามเลิก

โยม: คือทีนี้มัน จะเลิก ไม่เลิก ที่มันรู้สึกตีกัน ก็เพราะว่า ที่สังเกตมาตลอดเวลาทำเนี่ย มันก็เป็น ส่วนใหญ่มันเป็นสมถะ รู้สึกว่า ถ้าทำสมถะไปเยอะๆเนี่ย พอไปเจริญสติในชีวิตประจำวันต่อแล้วเนี่ย สติมันว่องไว

หลวงพ่อปราโมทย์: งั้นก็เดินไป

โยม: มันรู้ มันรู้ได้เร็ว แต่ถ้าเกิด มันเดินๆไปปุ๊บ มันก็ครื้น.. แล้วก็โอ๊ย โทสะมันก็ท่วมไปหมดเลย

หลวงพ่อปราโมทย์: ก็มีสติ รู้ว่าโทสะท่วมขึ้นมานะ แล้วก็เดินไป เพราะว่าร่างกายนี้มันอยู่ในอิริยาบถใด เราก็ต้องมีสติ ถ้ามันอยู่ในอิริยาบถเดิน เราก็รู้สึกไป โทสะท่วมขึ้นมาก็รู้สึกเอา นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๑
ลำดับที่ ๑๔
FILE 500824
นาทีที่ ๕ วินาทีที่๒๘ ถึงนาทีที่๖วินาทีที่๕๖

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เราไปปรุงแต่งต่อ

mp 3 (for download) : จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เราไปปรุงแต่งต่อ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เราไปปรุงแต่งต่อ

จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่เราไปปรุงแต่งต่อ

โยม: ช่วงนี้ก็หลงเยอะ แล้วก็นานด้วย แล้วก็จิต จิตแกว่งง่าย ไม่ค่อยมีสมาธิ บวกขี้เกียจ แล้วพอจะรู้ตัวขึ้นมา เหมือนจะรู้นิดนึง ก็จะพยามข่มไว้นิดๆ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดีนะ ดีที่รู้ว่า มันทำยังไง ดีที่รู้ว่าไปทำอะไรมัน สังเกตมั้ย มี ๒ อันนะ อันหนึ่งจิตมันทำงานไปนะ มันปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ไป อันนี้อันหนึ่ง อีกอันคือเราเข้าไปทำมัน เช่น เราเข้าไปข่มมันไว้ เราคล้อยตามมันไป

ตรงที่จิตปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ไม่มีปัญหานะ ยังไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ตรงที่พอเราไปรู้มันแล้ว ใจเราไปทำงานเข้า ไปปรุงต่อเข้าไปอีก ปัญหาไปอยู่ตรงนั้นเอง

อย่างความโกรธเกิดขึ้นนะ จิตมันจะโกรธ ห้ามมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีหน้าที่ไปห้าม พอความโกรธเกิดขึ้นแล้วอยากให้หาย พออยากให้หายเนี่ย หาทางแก้ไขความโกรธ ตัวนี้เป็นปัญหาล่ะ นี่คือความปรุงแต่ง ปรุงแต่งใหม่ เป็นกรรมใหม่

ตรงที่จิตมันโกรธขึ้นมา มันโกรธไปตามความเคยชินเดิมๆ ของมัน มันเคยโกรธ มันก็โกรธ พอมันโกรธขึ้นมา ใจเราไม่ชอบมัน หาทางแก้ ตรงที่ใจหาทางแก้หาทางทำนี่ล่ะ เป็นกรรมใหม่ ตรงนี้ต้องรู้ทันนะ ถ้ารู้ไม่ทันความทุกข์จะเกิด ใจจะแน่นขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ถ้าสภาวะใดๆ เกิดขึ้นเนี่ยไม่ใช่ปัญหา ภาวะใดๆ เกิดขึ้นนะ เราสักว่ารู้สักว่าเห็นได้นี่ใช้ได้เลย ถ้าสภาวะใดๆ เกิดขึ้นเราไม่เข้าใจ เราพยามเข้าไปแทรกแซงแก้ไข อันนี้ใช้ไม่ได้ ที่ใช้ไม่ได้ ไม่ใด้ใช้ไม่ได้ตรงที่มีสภาวะเกิดขึ้นนะ ใช้ไม่ได้ตรงที่เข้าไปแทรกแซง ไปคล้อยตามบ้าง ไปต่อต้านบ้าง

สภาวะใดๆ เกิดขึ้นนะ ปล่อยให้เขาเกิดขึ้น ขันธ์ ๕ เนี่ยเป็น ‘สังขตธรรม’ เป็นธรรมะฝ่ายปรุงแต่งนะ เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ ต้องปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เราไม่ได้ไปห้ามมัน อย่างจิตมีหน้าที่คิดนะ ก็คิดทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องไปห้ามมัน แต่พอคิดแล้วเกิดสุขเกิดทุกข์เกิดดีเกิดชั่ว เราก็ไม่ต้องไปห้ามมัน เพราะว่ามันต้องเกิด มันมีเหตุ มันไปคิดอย่างนี้เข้า มันไปกระทบอารมณ์อย่างนี้เข้า มันมีนิสัยเคยขี้โมโห มันก็เลยโมโหขึ้นมา อันนี้ห้ามไม่ได้

พอมันโกรธขึ้นมาแล้วเราไม่ชอบความโกรธ ตรงนี้ปัญหาอยู่ตรงนี้ล่ะ ตรงที่เราพอใจ เราไม่พอใจ ต่อสภาวะนั้น พอเราพอใจเราก็หาทางรักษา เราไม่พอใจเราก็หาทางผลักหาทางทำลายแก้ไขมันออกไป ตรงที่เราทำงานขึ้นมานี้แหละ เรียกว่าเราสร้างกรรมใหม่ เราสร้างภพอันใหม่ขึ้นมา จิตจะมีความทุกข์เกิดขึ้นทันทีเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นสภาวธรรม เห็นรูปเห็นนาม เห็นกายเห็นใจ เขาปรุงของเขาไปเรื่อยนะ เราไม่ปรุงอะไรเราไม่ทุกข์นะ ขันธ์ต่างหากล่ะมันเป็นตัวทุกข์ มันก็ทุกข์ มันก็ทำงาน ดิ้นรนของมันตามหน้าที่ของมัน เพราะเป็นธรรมะฝ่ายปรุงแต่ง เป็นสังขตธรรม เราห้ามมันไม่ได้ มันก็ปรุงของมันไปเรื่อยๆ เราไม่เกี่ยวข้องนี้เราไม่ทุกข์นะ

แต่พอเรายินดียินร้ายกับมันขึ้นมา มันปรุงอย่างนี้เราชอบ มันปรุงอย่างนี้เราไม่ชอบ ไปยินดียินร้ายขึ้นมาเนี่ย ใจก็ดิ้นรน ใจก็มีความทุกข์ ให้คอยรู้เรื่อยๆ ง่ายๆ

จิตจะมีความสุขก็ได้ จิตจะมีความทุกข์ก็ได้ จิตจะเป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เมื่อไหร่เข้าไปยุ่งเมื่อนั้นก็จะมีความทุกข์อันใหม่เกิดขึ้น จิตใจมีความทุกข์ขึ้นมา ตัวนี้คือตัวที่เราต้องรู้ทัน ถ้ารู้ไม่ทันเราจะปรุงทุกข์ซ้ำซ้อนขึ้นมา ขันธ์ ๕ ก็เป็นทุกข์โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว มันต้องดิ้นรนไปเรื่อยๆ ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นตัวทุกข์น่ะ ต้องดิ้นรนปรุงแต่งไปเรื่อยๆ แต่เราไม่พอใจขึ้นมา เราพอใจขึ้นมา ใจเราปรุงแต่งซ้อนขึ้นมาอีกที คราวนี้เราจะทุกข์แล้ว

ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ก็ปรุงแต่งนะ ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ไม่ปรุงแต่ง ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ปรุงแต่ง แต่จิตของพระอรหันต์นั้นไม่มีอะไรปรุงแต่งได้เลย ด้วยเหตุขันธ์มันทำงานไปโดยจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่มีอะไรปรุงแต่งจิต ไม่ทำงานต่อ ที่เรียกบอกว่า หมด หมดกิจแล้ว จบกิจแล้ว คือใจไม่ต้องทำงานแล้ว เห็นแต่ขันธ์มันทำงาน ใจไม่ต้องทำอะไร ขันธ์ก็ทำงานไปตามหน้าที่ของขันธ์ จนวันหนึ่งก็สิ้นขันธ์ ตรงที่ใจมันพรากออกจากขันธ์ จิตมันพรากออกจากขันธ์ ขันธ์ไม่กระเทือนเข้าถึงจิต เรียกว่า ‘สอุปาทิเสสนิพพาน’ จิตถึงสอุปาทิเสสนิพพาน ตรงที่สิ้นขันธ์ไปแล้ว อันนี้เรียก ‘อนุปาทิเสสนิพพาน’

ค่อยๆ ฝึกนะ เราไม่ได้ฝึกเพื่อให้ขันธ์ผิดปกตินะ บางคนพยายามฝึกให้ขันธ์ผิดปกติ เช่น ไม่ให้คิดนะ ไม่ให้คิด ไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง เนี่ยฝึกให้ขันธ์ผิดปกติ ให้มันคิดไป ให้มันโลภ ให้มันโกรธ ให้มันหลงไป แล้วตามรู้มันไป ตามรู้แล้วอย่าไปหลงยินดีกับมัน อย่าไปหลงยินร้ายกับมัน


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
Track: ๖
File: 500106.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำไมปฏิบัติแล้วความโกรธไม่ลดลง?

mp3 (for download) : anger not stable

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : การสังเกตอารมณ์ที่รู้ทัน เช่น เวลาที่เราดีใจ เสียใจ หรือโกรธ คือ หลังจากปฏิบัติแล้วไม่ได้ลดน้อยลง เพียงแต่รู้ทันว่าตอนนี้กำลังโกรธ ตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราไม่ได้ฝึกให้ลดน้อย แต่เราฝึกให้เห็นความจริงว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับ เห็นตรงนี้มั้ย โกรธแล้วก็ดับ โลภเกิดแล้วก็ดับ ดีใจเสียใจเกิดแล้วก็ดับเราเรียนเพื่อสิ่งนี้ต่างหาก หลวงพ่อบอกแล้วว่าเราไม่ได้เรียนเอาดี

โยม : มันดับเร็วขึ้นกว่าเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ นั่นแหละดีแล้ว นั่นมีพัฒนาการแล้ว แต่เดิมเคยโกรธทีนึงหลายชั่วโมง เดี๋ยวนี้พอความโกรธผุดแว้บก็ขาดสะบั้นไปแล้ว ภพชาติของเราสั้นลง แทนที่จะเป็นภพขี้โมโหหลายชั่วโมงนะ ก็เป็นภพขี้โมโหหนึ่งแว้บ อะไรงี้ สังสารวัฏเราก็หดสั้นลงๆ

เพราะฉะนั้นเรียนนี่ไม่ใช่เรียนเพื่อไม่ให้โกรธ ความโกรธก็เป็นอนัตตาเหมือนกัน ถ้าเหตุของความโกรธยังมีมันจะต้องโกรธอีก เหตุของความโกรธคืออะไร อันแรกเลยคือมีอนุสัยขี้โมโห พูดภาษาไทยคือมีสันดานขี้โมโห มันคุ้นเคยที่จะโมโห มันจะโมโหบ่อย มีสันดานขี้โมโหอย่างเดียวก็ยังไม่โกรธ ต้องมีอันอื่นอีก ต้องได้กระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจถึงจะโกรธ ถ้ากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างเดียว แต่ไม่มีอนุสัยขี้โมโห มันก็ไม่โกรธนะ เพราะงั้นความโกรธ เกิดจากเหตุตั้งหลายอย่างมาประชุมกัน แล้วก็ปรุงเป็นความโกรธขึ้นมา ถ้าเหตุของมันยังอยู่ มันยังโกรธอีก ถ้าวันนึงเราภาวนาจนอนุนัยขี้โมโหนี้หายไป มันจะไม่โกรธละ เพราะฉะนั้น เราไม่ได้เรียนเพื่อจะไปบังคับเพื่อแทรกแซงสังสารวัฏนะ ไม่ใช่ไปแทรกแซงสภาวะนะ แต่เรียนว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับ

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ 12

ไฟล์ 080749B

26min49-28min43

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนขี้โมโหดูจิต

MP3 (for download) :คนขี้โมโหดูจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: ขี้โมโห คือมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็ขัดเคืองใจเก่งมาก หนูก็เลยอยากถามหลวงพ่อว่า หนูควรจะทำอย่างไร ซึ่งการดูจิตหนูก็ดูมาตั้งนานแล้วค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ให้ดูไปสินะ กิเลสหลักของเราคือ โทสะ ดูจิตมาตั้งนานเรายังโมโหเลย

โยม: ใช่ค่ะ คือเวลาอ่านหนังสือหลวงพ่อบอกว่า พอเราดูจิตปั๊บ มันจะดับ บางทีมันไม่ดับน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: มันดับแต่มันดับเป็นขณะๆ นะ เหตุของมันยังอยู่มันก็ปรุงความโกรธขึ้นมาอีก เราไม่ได้ดูจนมันดับถาวรนะ มันจะดับในขณะที่เรารู้ทันเท่านั้น เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก ขึ้นมาอีก เดี๋ยวเราก็รู้อีก ทั้งวันเราจะเห็นจิตมีสองชนิดเท่านั้นเอง คือจิตที่มีโทสะกับจิตที่ไม่มีโทสะ ดูอย่างนี้นะ จิตที่มีโทสะจะเกิดก็ห้ามมันไม่ได้ จิตไม่มีโทสะนะ รักษาไว้ก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวโทสะก็มาอีก เพราะฉะนั้น คุณไปดูจิตหนึ่งคู่นะ จิตที่มีโทสะกับจิตที่ไม่มีโทสะ มันจะเกิดสลับกันทั้งวันเลย ดูอย่างนี้ ไม่ใช่ดูเพื่อให้หายนะ ไม่ใช่ว่าดูเพื่อให้ไม่มีโทสะ ดูไปจนวันหนึ่งปัญญามันเกิด มันเห็นเลยจิตที่มีโทสะกับจิตที่ไม่มีโทสะนี้เท่าเทียมกัน เพราะเกิดแล้วดับเหมือนๆกัน ไปดูอย่างนี้นะ ใจจะเป็นกลาง จิตมีโทสะเกิดขึ้น ใจก็เป็นกลาง โทสะหายไปใจก็ยังเป็นกลาง

โยม: ค่ะ คือถ้ายิ่งแรงๆ มันก็จะรู้สึกมันก็ยังคงเดิมไม่ดับอะไรอย่างนี้ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ ใจมันไม่ชอบ มันยังไม่มีสติแท้ ในขณะที่โทสะเกิดขึ้น เราไปดูมันนะ ถ้าเรารู้เฉยๆ นี่มันดับเอง แต่ถ้าเราไปดูแล้วเราเกลียดมัน ความเกลียดโทสะนั่นแหละเป็นโทสะอีกตัวหนึ่ง เหมือนกับไฟกำลังไหม้นะเราอุตส่าห์เอาไฟไปเติมอีก เอาเชื้อไปใส่เพิ่ม ให้เรารู้ลงไปว่าใจเราไม่ชอบโทสะ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่