Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

mp 3 (for download) : ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

ความสุขในธรรม เป็นความสุขที่อมตะ เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราคอยรู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ปัจจุบันนี้แหล่ะ รู้สภาวะไปนะ แล้ววันนึงจะได้ลิ้มรสของมรรคผลนิพพาน

เดินทางไกลในสังสารวัฏเนี่ยต้องรู้เป้าหมายของชีวิตนะ เป้าหมายของชีวิตเราเพื่อถอดถอนตัวเองออกจากกองทุกข์ให้ได้ มันเรื่องอะไรเราจะต้องมีชีวิตที่ทุกข์ตลอดกาล ทุกข์แล้วทุกข์อีก ตายแล้วตายอีก ก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่อย่างนั้นแหล่ะ คนไม่เชื่อตายแล้วตายอีกก็ดูปัจจุบันไป มันก็ทุกข์อยู่ทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว แล้วเฝ้ารู้เฝ้าดูไปนะ วันนึงใจถอดถอนความยึดถือออกไปแล้วก็ มันพ้นทุกข์ต่อหน้าต่อตาเลย เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ เรียกว่าเราพบสิ่งซึ่งมีคุณค่าที่สุดในสังสารวัฏแล้วคือ ค้นพบธรรมะ นั้นเราเดินทางไกลในสังสารวัฏเนี่ยก็เพื่อแสวงหาธรรมะนั่นเอง

ส่วนคนซึ่งเค้าไม่มีสติปัญญาเค้าไม่สามารถแสวงหาธรรมะได้ เค้าจะแสวงหาอะไร เค้าแสวงหากาม กามคือความสุขความเพลิดเพลินไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย กายกระทบสัมผัสต่างๆ เนี่ยคนทั้งหลายก็เที่ยวแสวงหาความสุขกันแบบนั้น

อีกพวกนึงก็แสวงหากามที่ปราณีตขึ้นไปอีก คือแสวงหาความสุขทางใจ เข้าสมาธิทำฌานทำอะไรไปนะก็ได้รับความสุขทางใจ เป็นราคะที่ละเอียดขึ้นไป

ส่วนผู้มีสติมีปัญญาเนี่ยภาวนาจนเราเข้าใจธรรมรู้แจ้งอริยสัจ พอรู้แจ้งอริยสัจนะพ้นทุกข์ตั้งแต่ปัจจุบัน ตั้งแต่ขณะจิตที่รู้แจ้งอริยสัจนั่นเลย พ้นทุกข์เลย

ตั้งแต่นั้น ถ้ารู้แจ้งแล้วตั้งแต่นั้นเนี่ย ไม่มีอะไรปรุงแต่งจิตอีกแล้ว จิตไม่มีการทำงานแล้ว จิตทำหน้าที่ของจิตไปเรียกว่าเป็นกริยาแต่ไม่มีการทำงานด้วยความจงใจใดๆแล้ว ทำของเค้าเองโดยอัตโนมัติ ใจก็โปร่งโล่งสบาย

งั้นหลวงพ่อขอให้คำแนะนำพวกเรานะ รีบภาวนาแล้วเป็นพระอรหันต์ไวๆเวลาที่เหลือเราจะได้มีชีวิตที่มีความสุขนะ คุ้มค่าที่สุดเลย อย่าไปมัวแต่เอร็ดอร่อยกับของกิ๊กๆก๊อกๆนะ ความสุขทั้งหลายในโลกที่ทำให้เราติดอกติดใจนั้นมันเป็นความสุขเล็กน้อย เหมือนความสุขของเด็กเล่นกรวดเล่นทรายเล่นดินเล่นโคลนอยู่ข้างถนนข้างคลองเท่านั้นเอง

ความสุขในธรรมะนะมันปราณีต มันสะอาดหมดจด ดีกว่ากันเยอะ นั้นอย่าเสียดายความสุขเล็กๆน้อยๆ เรียนรู้ธรรมะไป แล้วเราจะได้ความสุขที่ยิ่งใหญ่ และความสุขที่เป็นอมตะด้วย ความสุขในโลกไม่อมตะหรอก อยู่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๒
File: 511109.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตไม่มีที่ตั้ง

mp3 for download : จิตไม่มีที่ตั้ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

หลวงพ่อปราโมทย์ : เอ.. ไปพยายามแยกมันเนี่ยผิดนะ นึกขึ้นได้ว่าท่านบอกให้ “ดูจิต” นี่ ท่านบอกให้ดู ไม่ได้บอกให้แยกนะ เราเสือกไปแยกเอง นี่ ต้องคำนี้นะ เราเสือกไปแยกเองน่ะ ท่านบอกให้ดูต่างหากล่ะ เอาใหม่วะ คราวนี้มันเป็นยังไง รู้ ว่ามันเป็นอย่างนั้น มันโลภเห็นมันโลภนะ มันโกรธเห็นมันโกรธนะ บางทีใจก็แยกออกมาบางทีก็ไหลเข้าไปรวมกัน ยังไงก็ได้ จริงๆแล้วยังไงก็ได้ ฝึกไปๆนะ จนวันหนึ่งแจ้งขึ้นมา มันไม่มีเรา จิตนี้ก็ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา

เสร็จแล้วความสงสัยก็ยังมีอยู่นะว่า การปฏิบัติที่ละเอียดปราณีตขึ้นไปเนี่ย เราต้องให้ตัวนี้แยกอยู่ตลอดหรือเปล่า? มันมี ๒ ตัวแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่าอารมณ์ จิตผู้รู้มันแยกออกมาอยู่ต่างหาก เสร็จแล้วยังเกิดสงสัยได้อีกนะ เราควรจะดูตัวไหนดี เราจะเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนดี? จะตั้งไว้ที่ตัวรู้นี่ หรือจะตั้งไว้ตรงนี้? ถ้าตัวนี้ก็เห็นมันเกิดดับไปเรื่อยๆ ถ้าตั้งไว้ตรงนี้ก็ว่างๆนิ่งๆ ไม่มีอะไร

เอ..ถ้าตั้งไว้ตรงนี้ก็นิ่งๆนะ หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต พระพุทธเจ้าบอกให้ดูขันธ์ พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ ให้รู้รูปนาม ท่านไม่ได้ให้ไปจ้องใส่ตัวจิต ทำไมหลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต หลวงปู่ดูลย์กับพระพุทธเจ้าทำไมสอนไม่เหมือนกัน ชักงงๆนะ ขนาดเห็นตัวเราไม่มีนะ จะภาวนาที่ยากลำบากที่ปราณีตขึ้นไป ก็ยังต้องลูบๆคลำๆอีก เพราะอยู่ห่างครูบาอาจารย์ สงสัยน่ะ

จิตมันอาจอยู่ตรงนี้ก็ได้ ไอ้นี่มันเป็นตัวผู้รู้ ตัวผู้รู้กับจิตอาจเป็นคนละตัวก็ได้ นี่คิดไปอย่างนั้นอีกนะ เสร็จแล้วมาดูอยู่ตรงนี้ อีกคราวหนึ่งไปหาหลวงปู่ดูลย์อีก หลวงปู่จิตมันตั้งอยู่ที่ไหนแน่ ไปให้ท่านชี้ขาดนะ ว่ามันตั้งอยู่ที่นี่หรือตั้งอยู่ที่นี่ เราก็คิดว่าต้องดูตรงนี้ เพราะพระพุทธเจ้าบอกให้ดูขันธ์มันทำงาน มันเกิดดับ กะว่าคำตอบสุดท้ายที่ท่านจะฟันธงนะ จะต้องอยู่กลางหน้าอกนี่ ท่านบอก “จิตไม่มีที่ตั้ง” ฟังแล้ว หา..ไม่มีที่ตั้ง แล้วจะดูที่ไหนล่ะ คราวนี้งงอยู่หลายปีเลย

จนสิ้นหลวงปู่ดูลย์ไป จะถามท่านอีกนะว่า หลวงปู่ครับ ผมควรจะดูไอ้ตัวนี้ หรือผมควรจะดูตัวนี้ สงสัย เอาไว้ดูเองก่อนน่ะ เดี๋ยวค่อยถามทีหลัง ถามมากนักเดี๋ยวหลวงปู่ว่าเราขี้เกียจดู ดูไปๆจนหลวงปู่มรณภาพไป หลังจากนั้นไปอยู่กับหลวงปุ่เทสก์ ขยับจะถามหลวงปู่เทสก์หลายทีนะ ขยับถามแต่เรื่องอื่นน่ะ พอมาถึงเรื่องนี้ว่าจะเอาจิตไปดูที่ไหนดี จะดูที่นี่หรือดูที่ตัวรู้นี่ ขยับจะถามอยู่นั่นล่ะนะ แต่ไม่ถามนะ จนหลวงปู่เทสก์ก็มรณภาพไป

ไปเรียนกับหลวงปู่สิมอีกนะ หลวงปู่สิมมรณภาพไปอีกองค์หนึ่ง ครูบาอาจารย์ค่อยๆทะยอยมรณภาพไปเรื่อยๆเราก็ไม่ได้ถามใคร จนมาบวชนะ ตั้งแต่มาบวชนี่เรียนกับหลวงปู่สุวัจน์ ให้หลวงปู่สุวัจน์เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์องค์สุดท้าย ให้ชี้เป็นชี้ตายเราได้ ถามดีไม่ดีๆ นี่อุตส่าห์อดกลั้นมา ๒๐ ปีแล้ว อดกลั้นอีกหน่อยก็แล้วกัน ดูไปๆนะ เห็นแต่ทุกข์ล้วนๆนะ ไอ้นี่ก็ทุกข์ๆ ไม่เห็นมีตัวไหนไม่ทุกข์เลย ถึงเข้าใจว่าจริงๆแล้วไม่ได้ดูตัวไหนหรอก ทุกๆตัวล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ ทำไมจะต้องเพ่งเล็งไปดูตัวใดตัวหนึ่ง ทั้งหมดนั้นแสดงไตรลักษณ์เหมือนๆกันหมดเลย เราดูสภาวะทั้งหลายเสมอภาคกันหมดนะ สลัดทิ้งหมดเลย ใจไม่ได้เอา ไม่ใช่ทิ้งตัวนี้แล้วเอาตัวนี้ไว้ ถ้าทิ้งตัวนี้แล้วเอาตัวนี้ไว้ มันเป็นภูมิธรรมของพระอนาคา ไปติดอยู่ตรงนั้นน่ะไปไม่รอดแล้ว

สมัยที่หลวงปู่ดูลย์ยังอยู่ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยี่สิบหกปี วันหนึ่งท่านก็เปรยๆบอกว่า ผู้ปฏิบัติส่วนมาก กระทั่งที่มีชื่อเสียงมากๆเลยเนี่ย ส่วนมากเป็นผีใหญ่ ท่านว่าอย่างนี้ คำว่าผีใหญ่ของท่านหมายถึงเป็นพระอนาคา ตายแล้วไปเป็นพรหม เราก็ฟังไว้นะ ส่วนมากยังไม่จบหรอก ทำไมมันยากเย็นแสนเข็ญนะ

ผู้ปฏิบัตินั้นมีเยอะ ท่านบอกว่าเหมือนขนวัวนะ วัวทั้งตัวมีขนเยอะ แต่ที่บริสุทธิ์หลุดพ้นไปเลยเหมือนเขาวัว เขาวัวมีนิดเดียวนะ ขนวัวมีเยอะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิต ที่ปราณีต

mp3 for download: ดูจิต ที่ปราณีต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูจิต ที่ปราณีต

ดูจิต ที่ปราณีต

หลวงพ่อปราโมทย์: เอ้า.. เบอร์สี่ โน่นๆ อยู่ทางโน้น ป้าธิดา

โยม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ พอดีเดือนที่ผ่านมานี่ ไม่สบายเจ้าค่ะหลวงพ่อ ก็เลยเหมือนจิตมันไม่มีกำลังน่ะค่ะ โยมก็ทนไม่ได้ พยายามที่จะทำสมาธิ มันก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิน่ะค่ะ ทีนี้ครั้งสุดท้ายที่โยมส่งการบ้าน หลวงพ่อได้เมตตาบอก ให้ไปดู ให้ไปดูจิตที่กระสับกระส่าย โยมก็ดูจิตที่กระสับกระส่าย เพราะมันกระสับกระส่ายจริงๆ ค่ะ แต่ดูแล้วมันก็กระสับกระส่ายมากขึ้น ดูจิตที่วิตกกังวล ดูแล้วมันก็วิตกกังวลมากขึ้น จิตไม่เป็นกลาง แล้วมันก็ไม่พอใจมากๆ มันก็ ดิ้น ดิ้น ดิ้น ดิ้น ดิ้นจนไม่รู้เรื่องค่ะ ดิ้นอยู่เดือนหนึ่ง มาสามสี่วันเนี่ยค่ะ มันคงจะหมดแรง มันก็เลยหายดิ้นไปหน่อยหนึ่งนะคะ แล้วพอมันหายดิ้นแล้ว เหมือนสภาวะอะไรทุกอย่าง ที่โยมเคยเห็นว่ามันเกิดคนละที มัน มันเกิดแล้วดับไป แล้วเกิดใหม่แล้วดับไปน่ะค่ะ มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ มันเหมือนเห็นสองสภาวะพร้อมๆกัน ที่ขัดแย้งกันด้วย เช่น ขณะที่จิตมันเบิกบานนี่ มันก็มีความทุกข์ ในขณะที่มันเหมือนมีความสุขเนี่ยฮ่ะ จิตมันก็เหมือนเป็นทุกข์ มันเหมือนเห็นอะไรมันที่ขัดแย้งกันตลอดน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: จริงๆแล้วมันทุกข์ทั้งหมดเลยนะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นแหละ ดูไปถึงจุดหนึ่งจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย มันกำลังสอนเรานะว่าใจเรานี่อยากให้มันมีความสุข อยากดี อยากสุข อยากสงบ แต่ว่าพอเราเจริญปัญญามามากเข้าๆ เราจะเห็นว่า ทุกอย่างมันทุกข์ทั้งนั้นเลย ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยได้สักอย่างเดียว ตอนนี้เริ่มรู้สึกมั้ย มันเหมือนเราไม่มีที่พึ่งที่แท้จริงแล้ว

โยม: ไม่มีจริงๆ

หลวงพ่อปราโมทย์: มันมีแต่ทุกข์นะ เนี่ยใจมันจะถูกสติปัญญาเนี่ยแผดเผาไปเรื่อย นะ จนกระทั่งมันรู้สึกแห้งผากเลย มีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย ก็ต้องตามรู้ตามดูไปนะ ดี ไม่ใช่ไม่ดี

โยม: ทีนี้พอเริ่มจะดูได้นะคะหลวงพ่อ โยมก็เห็นว่า สภาวะนี่ค่ะ มันเหมือน คือมันดูแล้วมันเฉยๆ น่ะคะ หลวงพ่อคะ มันเหมือนไม่เห็น มันเหมือนไม่ได้ดู มันเหมือนไม่ได้ทำอะไร

หลวงพ่อปราโมทย์: คือพอมันปราณีตขึ้นมานะ มันเหมือนไม่มีอะไรเท่าไหร่ ยังรู้สึกอยู่นะ แล้วภาวนานี่พอถึงขั้นละเอียดเข้าไปจริงๆนะ สติ สมาธิ ปัญญา ที่มารู้จิตเนี่ย เป็นสภาวะที่เนียนมากเลย สติระลึกรู้จิตโดยไม่ได้เจตนาระลึก แค่แตะๆ นิดเดียว แค่นั้น แค่เหมือนจะไม่แตะด้วยซ้ำไป สมาธิก็ตั้งมั่นอยู่ จิตก็ตั้งมั่นอยู่ โดยไม่ได้ประคองไว้ นะ ปัญญาก็หยั่งรู้อย่างลึกซึ้งนะ ไม่ออกมาเป็นคำพูด มันจะค่อยปราณีตๆ ขึ้นไปเป็นลำดับ

โยม: เจ้าค่ะ แล้วโยมเห็นสภาวะน่ะค่ะ โยมก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่าจิตมันไม่ตั้งมั่น หรือว่าโยมไม่เห็นหรือว่าโยมเห็นจริงๆ มันเหมือนกราฟหัวใจของคนที่ตายแล้ว แต่ว่ายังตายไม่สนิท มันเป็นเส้นตรงแล้วมันกระตุกนิดเดียว

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ แล้วก็ไหวยิกๆ ขึ้นมา

โยม: แล้วก็โยมก็รู้สึกว่า เราดูไม่เป็นแล้วหรือไง

หลวงพ่อปราโมทย์: เวลาดูนะ ดูห่างๆ ดูสบายๆ ดูห่างๆ นะ ภาวะพอมันละเอียดเข้าแล้วดูยาก แล้วก็ดูไป นานๆ ไหวกิ๊กๆ ขึ้นมาที นะ

โยม: เจ้าค่ะ ยังดูเป็นอยู่ใช่มั้ยเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เป็นๆ แต่เพียงแต่ตอนนี้ จิตมันออกมาอยู่ข้างนอก รู้สึกมั้ย จิตมันมาหาหลวงพ่อ มันออกมาข้างนอก

โยม: ค่ะ เจ้าค่ะ แล้วก็นึกไม่ออกเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: โยมรู้ทุกอย่างนะ อย่างที่เขาเป็นนะ รู้ด้วยความเป็นกลาง ใช้หลักตัวนี้แล้วใช้ได้ตลอดเลย นะ

โยม: โยมขอโอกาสนี้เป็นการกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ตกจากอารมณ์กรรมฐานหรือยังเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ตกสิ

โยม: ไม่ตกนะเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เพียงแต่ตอนนี้จิตไม่ตั้งมั่น จิตมันกระจายออกไป ก็ให้รู้ไปว่ากระจายนะ ถ้ากระจายออกไป จะเบาๆ แล้วดูไม่ออก แต่ถ้าจิตตั้งมั่นอยู่ มันจะเบาๆ นะ จะเห็นนานๆไหวกิ๊กๆๆ ขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๔๓
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่