Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : การตรวจสอบว่าตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือไม่?

การตรวจสอบว่าตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือไม่?

การตรวจสอบตนเอง ก็มี 2 แบบ
แบบแรกเป็นการทราบชัดทันทีที่ผ่านการเกิดมรรคผลแล้ว
โดยผู้ที่ผ่านมรรคผล ที่เกิดผลญาณยาวนาน
และเคยเรียนรู้ปริยัติธรรม ว่าพระโสดาบันละสังโยชน์ใดได้บ้าง
และพระโสดาบันมีองค์คุณใดบ้าง (คือการเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น
การมีศีลบริสุทธิ์ และการไม่เที่ยวแสวงหาบุญกิริยาอื่นนอกหลักของพระศาสนา)
ในขณะที่ผ่านผลญาณออกมานั้น จิตจะพิจารณาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
แล้วรู้ชัดด้วยตนเองในขณะนั้นเลยว่า เกิดอะไรขึ้นแล้ว

บุคคลชนิดนี้ จะไม่สนใจกระทั่งการไปสอบถามครูบาอาจารย์
แต่ก็จะคิดถึงครูบาอาจารย์ เพราะคิดถึงคุณของท่าน
เมื่อไปกราบครูบาอาจารย์ ก็จะไม่ไปเพื่อขอคำรับรอง
เพราะธรรมรับรองตนเองเรียบร้อยประจักษ์ใจไปแล้ว
(พวกที่ทำผิดแล้วมั่นใจมากๆ ก็มีเหมือนกันนะครับ
โดยเฉพาะพวกที่พลาดไปติดวิปัสสนูปกิเลส)

การตรวจสอบตนเองอีกชนิดหนึ่ง เป็นการสังเกตตนเองในภายหลัง
คือบางคนบรรลุพระโสดาบันโดยมีผลญาณเกิดในช่วงสั้นๆ
หรือผู้ที่ไม่เคยรู้ตำราเกี่ยวกับพระอริยบุคคล
แม้รู้ธรรมแล้ว สังโยชน์ขาดแล้ว แต่ก็พูดไม่ได้อธิบายไม่ถูก
ประเภทนี้ก็ต้องคอยสังเกตเอาในภายหลัง
และแม้ผู้ที่เกิดผลญาณยาวดังที่กล่าวมาแล้ว
ก็ควรตรวจสอบตนเองในภายหลังด้วย
เพื่อกันความเข้าใจผิดไปหลงติดวิปัสสนูปกิเลส

วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบตนเองภายหลังก็คือ
สังเกตที่จิตตนเอง โดยรู้ลงไปที่จิตตนเอง
ว่ายังเหลือ “ความเห็นว่าจิตเป็นตัวเรา” หรือไม่
เพราะพระโสดาบันนั้น ไม่มีความเห็นผิดว่าจิตเป็นเราเหลืออยู่เลย
และกระทั่งจิตยังไม่เป็นตัวเรา ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร
เพราะสิ่งเหล่านั้นจะถูกเห็นเป็นตัวเราไปไม่ได้เลย
ถ้าไม่เห็นว่าจิตเป็นตัวเราเสียแล้ว

ถัดจากนั้นก็คอยดูว่า จิตมีความรักศีลเพียงใด มีความจงใจทำผิดศีลหรือไม่
เพราะพระโสดาบันนั้น จะไม่มีความจงใจทำผิดศีลเกิดขึ้นเลย

การตรวจสอบตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากนะครับ
หลายต่อหลายท่าน เจริญสติยังไม่ถูกต้องเลย
ปรมัตถธรรมก็ยังไม่เคยเห็น แต่อาศัยการเรียน ความจำ และความคิด
จู่ๆ ก็คิดว่า เราน่าจะเป็นพระโสดาบันแล้ว
หรือบางท่านจิตรวมด้วยสมถะ แล้วเข้าใจผิดก็มี
ต้องคอยสังเกตจิตใจตนเองให้มากๆ นะครับ ว่ายังเห็นว่าจิตเป็นเราหรือไม่

มาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็มีความเห็นว่า การสังเกตตนเองในระยะยาว
ด้วยการรู้ให้ถึงจิตถึงใจตนเองจริงๆ
ไม่ใช่คิดๆ เอา แบบมีอคติเข้าข้างตนเอง
น่าจะเป็นวิธีที่มาตรฐานที่สุดในยุคนี้
ส่วนความเห็นของครูบาอาจารย์ เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นครับ
ถ้าท่านรับรองว่าใช่ ก็มาดูกิเลสตนเองว่าใช่จริงหรือเปล่า
ถ้าท่านว่าไม่ใช่ แต่เราว่าใช่ ก็มาตรวจสอบว่าเราใช่จริงหรือเปล่า

ที่สำคัญก็คือ ถ้าเราคิดว่าใช่ แล้วมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่
ก็อย่าท้อแท้จนเตลิดเปิดเปิงเลิกปฏิบัติไปเลย ก็แล้วกันครับ 

โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

ณ วัน พฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญปัญญา จิตจะพลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ

mp 3 (for download) : การเจริญปัญญา จิตจะพลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้า(จับ)หลักให้แม่นๆ การภาวนาไม่ยากแล้ว

ครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านก็ภาวนาดี แต่เวลาปฏิบัติเนี่ย ท่านทำมาผสมกันคลุกๆมา คือพากันทำนะครูบาอาจารย์แนะนำท่านทำมา ดูไปอย่างนี้แหล่ะ อะไรงี้ ดูไปเรื่อย ตอนที่ท่านดูอยู่เนี่ย จิตมันพลิกไปพลิกมา ระหว่างสมถะกับวิปัสสนา

ถ้าสังเกตให้ดี กระทั่งครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านจะไม่พูดคำว่าวิปัสสนา นึกออกมั้ย มีแต่เรื่องภาวนา เรื่องปฏิบัติ แต่เวลาลงมือทำนะ มันจะคลุกกันผสมกัน

  • ตอนไหนจิตฟุ้งซ่านมากทำความสงบ นี้ได้สมถะ
  • ถ้าสมถะลึกเกินไปจิตนิ่งเกินไป พิจารณาร่างกาย นี้เป็นอุบายกระตุ้นให้จิตทำงานให้เดินปัญญา ยังไม่เดินแต่เป็นแค่กระตุ้น
  • ตรงที่จิตตั้งมั่นขึ้นมา เห็นกายเคลื่อนไหวทำงานไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู อันนี้เดินปัญญาอยู่แล้ว เห็นเลยไม่ใช่ตัวเรา

ทีนี้เวลาเดินปัญญาเนี่ย ธรรมชาติของจิตจะไม่เดินปัญญารวด เดินปัญญาไปนิดๆหน่อยๆนะ มันจะวกกลับเข้ามาทำความสงบเป็นช่วงๆไป กระทั่งดูจิตก็แบบเดียวกัน

ตอนแรกๆหลวงพ่อโง่ โง่หลาย แต่ไม่ดื้อนะ โง่เฉยๆแต่ไม่ดื้อ ตอนเด็กๆนั่งแต่สมาธิทำความสงบ ก็รู้ว่าเป็นสมาธิ ต่อมาไปหาหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต พอไปดูจิตอยู่ทั้งหมดเลยตั้งแต่เจอท่าน ๗ เดือน ไปส่งการบ้านครั้งที่ ๒ พบท่านครั้งที่ ๓ เป็นการพบครั้งที่ ๓ ไปส่งการบ้านครั้งที่ ๒ ครั้งแรกไปเรียน

ก็ไปเล่าให้ท่านฟังว่าจิตอย่างนี้ๆนะ ท่านก็บอกจิตมันเข้าสมาธิ ไปบอกท่านนะ ไปเถียงท่านนะ โอ ผมไม่ได้นั่งสมาธินะ นึกว่านั่งสมาธิต้องนั่งหายใจ ผมไม่ได้นั่งสมาธิ ผมนั่งดูจิต ทำไมหลวงปู่ว่าจิตเป็นสมาธิ ท่านบอกดูจิตนั้นได้สมาธิอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเดินปัญญาเนี่ยนะ ไม่ใช่เดินปัญญารวด จิตจะพลิกเข้ามารู้สึกตัวอยู่เฉยๆ บางทีก็ออกรู้ เห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปนาม ตรงนั้นเป็นปัญญา ตรงที่รู้อยู่เฉยๆ รู้สึกตัวเฉยๆอยู่เนี่ยเป็นสมถะ

เพราะฉะนั้นบางคนบอกว่ารู้ลูกเดียวๆ ไม่พอนะ รู้ลูกเดียว รู้แล้วก็เฉยอยู่อย่างนั้นทั้งปีทั้งชาติ อันนั้นสมถะ เพราะฉะนั้นจิตตั้งมั่นรู้ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูขันธ์มันทำงาน ดูกายทำงาน ดูใจทำงาน ถึงจะเจริญปัญญา

ตอนเจริญปัญญาจิตก็พลิกทำสมถะเป็นช่วงๆ เดี๋ยวก็ออกไปเจริญปัญญา เดี๋ยวก็ทำสมถะ ไม่เหมือนการทำสมถะ การทำสมถะ ทำสมถะรวดไปเลยไม่เจริญปัญญาเนี่ย ทำได้ แต่วิปัสสนารวดเลย ไม่มีสมถะเนี่ย ไม่มีหรอก จิตมันจะรู้สึกตัวขึ้นเฉยๆเป็นช่วงๆ เดี๋ยวก็ดูต่อ เดี๋ยวก็รู้สึกขึ้นนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๗
File: 550429B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา : ปฎิบัติธรรมแล้วมีความสุขตรงไหน ?

ผมรู้จักนักปฏิบัติมามาก ได้เห็นบทเรียนของแต่ละคน แล้วรู้สึกเสมอว่า ระหว่างการบวช กับการปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่ายๆ เวลามีน้องๆ มาบอกกับผมว่า อยากเลิกกับแฟนเพราะคิดว่าจะไปบวชในอนาคต ผมจะไม่เคยอนุโมทนาสาธุการให้เลย มีแต่บอกว่าให้กลับไปพิจารณาให้ดีก่อน หรือบางคนจะลาออกจากงานเพื่อไปบวชตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมเห็นด้วยง่ายๆ เพราะเหตุใด

ก็เพราะเคยเห็นมาหลายรายแล้วครับ ที่เริ่มต้นด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ลาออกจากงานบ้าง เลิกกับแฟนบ้าง แล้วก็โกนผม ลุยเข้าวัดขอบวชเลย ประเภทยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับพระสัทธรรม แต่กิเลสนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร มันไม่เคยกลัวผ้าเหลือง เมื่อหักหาญกันอย่างรุนแรงไปสักช่วงหนึ่งด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งอดกิน อดนอน ทั้งลำบากตรากตรำต่อสู้สารพัดรูปแบบ จึงเริ่มพบความจริงว่า มรรคผลนิพพานนั้น อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทลงไปนั้น ไม่ทราบว่าจะผลิดอกออกผลเมื่อใด คราวนี้จะทำอย่างไรดี อยู่ก็ไม่มีอนาคต ถอยก็ไม่รู้จะถอยไปไหน เพราะเวลาที่ศรัทธานั้น ลืมนึกถึงทางถอยของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง พวกเราลองนึกถึงสภาพเช่นนี้เถอะครับ ว่ามันแย่ขนาดไหน
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะศรัทธาในพระศาสนามากเพียงใด ก็ต้องมีความสมเหตุสมผล และมองความพร้อมของตนเองให้ออกจริงๆ เสียก่อน มรรคผลนิพพานเป็นที่น่าปรารถนาก็จริง แต่ความอยากได้มรรคผลอย่างเดียว ไม่ช่วยให้เราได้มรรคผลหรอกครับ

- = การรู้จักเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดต่างหาก กลับจะช่วยให้เราเข้าใกล้มรรคผลไปตามลำดับ = -

ในระหว่างเส้นทางเดินนั้น หากพบคนที่ควรร่วมทางไปด้วยกัน ก็เดินเป็นเพื่อนกันไป แต่หากไม่พบเพื่อนร่วมทางที่ดี ก็ควรนึกถึงภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “เอโก จเร ขักคะ วิสานะ กัปโป – พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด” ผมปฏิบัติธรรมมาโดยในตอนเริ่มต้นระวังเรื่องศีลข้อ 4 อย่างเดียว เพราะผมมีธรรมชาติไม่รังแก ไม่ขโมย ไม่ทำผิดในกาม และไม่เสพย์สิ่งเสพติด เพียงแต่เดิมนั้นชอบพูดเล่นตลกคะนอง เพราะชอบอ่าน พล นิกร กิมหงวน มาแต่เด็ก ดังนั้นสิ่งเดียวที่คอยควบคุมตนเองคือ การพูดเพ้อเจ้อ ส่วนสิ่งอื่นๆ นอกกรอบของศีล 5 ไม่เคยบังคับตนเองเลย เช่นไปอยู่วัดป่า ก็ไม่ได้ถือศีล 8 เหมือนคนอื่นเขา หิวก็กิน ง่วงก็นอน

สิ่งที่ทำจริงจังมีเพียงการเฝ้าเรียนรู้จิตใจของตนเองไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งก็ไม่เห็นว่าจะทุกข์ยากอะไรนักหนา ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมนั้น ได้รับมาอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่ความสุขของฌานสมาบัติ เวลากำหนดจิตลงไปจนไม่มีกายเหลือในความรู้สึก มีเพียงความรับรู้อันสว่างไสว หรือประณีตจนหมดความคิดนึกในบางคราว เป็นความสุขในสมาธิที่ไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรได้ แต่เมื่อเจริญปัญญาชำนาญแล้ว ความจงใจเข้าไปเสพย์ความสุขชนิดนี้ก็หมดไป เดี๋ยวนี้ถ้าจิตจะเข้าพัก ก็พักเพียงแว้บๆ แล้วก็ออกมาทำงานต่อ เว้นแต่บางคราวที่จิตจะหลบอะไรบางอย่าง เช่นหลบการรบกวนไม่เลือกเวลาของโอปปาติกะ จิตก็จะดับเงียบหายไปเลยจนถึงเช้า พ้นจากการรบกวนสิ้นเชิง มีความสุขกับการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในจิตใจตนเอง เห็นกลไกการทำงานของจิต เห็นความสัมพันธ์ของจิตกับอารมณ์ รู้จักกิเลส ตัณหา รู้จักขันธ์ 5 ก็เป็นความสุขความเพลิดเพลินในการเจริญปัญญา

แต่ความสุขทั้งความสงบและการเจริญปัญญานั้น ก็ยังไม่เท่ากับความสุขอีกอย่างหนึ่ง คือความรู้สึกมั่นคง รู้สึกพึ่งตนเองได้ รู้จักตนเองว่ามีที่มาและที่ไปอย่างไร เหมือนคนที่เคยหลงทาง แล้วพบทางกลับบ้าน พ้นจากความคาดเดา หรือลังเลสงสัยว่า ชีวิตคืออะไร เรามาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน จะเกิดในอบายภูมิอีกหรือไม่ ถ้าจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนคนเรือแตกในทะเล แต่ก็กระเสือกกระสนจนปลายเท้าหยั่งเข้าถึงชายฝั่ง ก็เกิดความสุข เพราะรู้สึกมั่นคงในจิตใจขึ้นมา ที่ช่วยตนเองได้แล้ว สรุปแล้ว ปฏิบัติธรรมแล้วมีความสุขมากครับ

โดย คุณ สันตินันท์ เมื่อ 14 ก.พ. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา : ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ กับหลวงตาผนึก

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ได้เมตตามาโปรดญาติโยม ในวันเปิดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙

จากหนังสือที่ระลึกในงานฉลองเจดีย์สิริมังคลานุสรณ์

เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2537-2538 ได้มีคณะญาติธรรมคณะหนึ่งเดินทางไปปฏิบัติธรรมร่วมกัน ณ วัดป่าดงคู  จังหวัดสุรินทร์  ในช่วงวันหยุดเป็นเวลา 3 ถึง 4 วัน  ในวันสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางออกจากวัด  หัวหน้าคณะได้กราบเรียนถามท่านเจ้าอาวาสในขณะนั้นว่า  ในจังหวัดสุรินทร์นี้นอกจากหลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม  และหลวงปู่กิม วัดป่าดงคู  ซึ่งท่านทั้งสององค์ได้ละขันธ์ไปแล้ว  ยังมีพระดีที่น่ากราบไหว้ที่ไหนที่ยังมีอยู่อีกบ้าง  ท่านเจ้าอาวาสจึงเมตตาแนะนำว่า  ให้ไปกราบหลวงตาผนึก  วัดป่าเขวาสินรินทร์  รวมถึงได้เมตตาบอกเส้นทางการเดินทางไปวัดป่าเขวาสินรินทร์ด้วย
เมื่อคณะญาติธรรมได้พากันเดินทางออกจากวัดป่าดงคูมาถึงวัดป่าเขวาสินรินทร์  ได้พบผู้ชายสูงอายุจำนวน 3-4 คน  กำลังช่วยกันปูเสื่ออยู่อย่างขะมักเขม้น  สมาชิกในคณะญาติธรรมจึงเอ่ยถามถึงหลวงตาว่า  “หลวงตาผนึกท่านอยู่มั๊ย”  ชายกลุ่มนี้ตอบว่า  “เดี๋ยวหลวงตามา  ท่านสั่งพวกเราไว้ให้ปูเสื่อรอพวกโยมนั่นแหละ”

พอศิษย์ท่านนั้นหันไปข้างหลังก็เห็นหลวงตาเดินมาพร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้นบอกว่า  “วันนี้อาตมาดีใจมาก  อาตมาดีใจมากเลย” แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ในบริเวณที่ท่านจัดไว้ให้คณะญาติธรรมนั่ง  ในขณะนั้นเอง ท่านได้ชี้นิ้วไปที่หัวหน้าคณะญาติธรรมเป็นคนแรกพร้อมกับเมตตาชี้แนะว่า  “ธรรมะจะก้าวหน้าต่อไปอีกนะ  ไม่หยุดอยู่แค่นี้”

หลังจากนั้นหลวงตายังได้เมตตาสั่งสอนชี้แนะข้อธรรมให้แก่สมาชิกคนอื่นๆ  ในคณะเป็นรายบุคคลด้วยความเมตตาของท่านที่ไม่มีประมาณ  สำหรับสมาชิกในคณะที่ท่านเห็นว่าเป็นผู้ที่กำลังปฏิบัติมาถูกทางแล้ว  ท่านก็จะให้กำลังใจว่า  “เออ  ชาตินี้จะไม่ต่ำกว่าความเป็นมนุษย์อีกแล้วนะ”  หรือสำหรับสมาชิกคนอื่นที่ท่านเห็นว่ายังมีความบกพร่องในเรื่องของการรักษาศีล  ท่านก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนไปว่า  “ให้ระวังนะ  มันจะตกนรกนะ”  แม้กระทั่งสมาชิกในคณะคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการเรียนอย่างสูงและท่านเล็งเห็นว่าอาจจะมีความมั่นใจในตัวเองจนเกินไป  ท่านก็ได้เมตตาอบรมให้ว่า  “อย่าคิดว่าตัวเองเก่งนะ  ให้เร่งภาวนานะ”  และแม้กระทั่งการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติให้กับสมาชิกอีกคนหนึ่งว่า  “เพิ่มสตินะ  เพิ่มสติ  มีสติรู้สึกตัวให้มากเข้าไว้”

นับว่าการเดินทางไปกราบนมัสการหลวงตาในครั้งนั้น  ได้นำมาซึ่งความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งของสมาชิกทุกคนในคณะญาติธรรม  ที่ได้มาพบพระผู้ที่รู้จริงเห็นจริง  และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงตาอย่างเต็มหัวจิตหัวใจ  ด้วยการเดินทางมากราบขอฟังธรรมและปรนนิบัติรับใช้ท่านอยู่เสมอมา  จนกระทั่งท่านละขันธ์ไปในที่สุด

สำหรับความแจ่มใสของญาณทัสสนะของท่านนั้นได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ศิษย์ทั้งหลายของท่านเสมอมา  สำหรับหัวหน้าคณะญาติธรรมในครั้งนั้น คือ พระอาจารย์ปราโมทย์  ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม  จังหวัดชลบุรี  เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส (นามปากกา คุณสันตินันท์ ขยายโดย Dhammada.net)  ภายหลังจากที่ท่านบวชแล้ว  ท่านยังได้หาโอกาสนำคณะศิษย์เดินทางมากราบนมัสการหลวงตาดังที่เคยปฏิบัติมาอยู่เนืองๆ  รวมถึงได้เดินทางมาเป็นเจ้าภาพในงานสวดอภิธรรมศพของหลวงตา ณ วัดป่าเขวาสินรินทร์  อีกด้วย

>>>ประวัติหลวงตาผนึก : หลวงตาผนึก ศิษย์อาวุโสหนึ่งในเพชรน้ำเอกของหลวงปู่ดูลย์ <<<

เจดีย์สิริมังคลานุสรณ์ โดย คุณ ยอด

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตคิด กับจิตรู้ : สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา

ไฟล์ที่ลดคุณภาพแล้ว

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนเราทำผิดเพราะอะไร? : สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา

คนเราทำผิดเพราะอะไร?: สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา

คนเราแต่ละคนล้วนอยากมีความสุข อยากได้สิ่งที่ดีๆ แต่เพราะความไม่ฉลาดแท้ๆ จึงตกอยู่ใต้การครอบงำของกิเลสตัณหา จึงกระทำสิ่งที่มีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น

ในเวลาที่เราจะทำผิดอะไรสักอย่าง เรามักจะรู้สึกว่า ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะดี มีความสุข เช่น ถ้ามีภรรยาน้อย จะมีความสุข ถ้าแย่งอำนาจได้ แย่งตำแหน่งได้ จะมีความสุข ถ้าฆ่าศัตรูคู่อาฆาตได้ จะมีความสุข ฯลฯ, เราไม่ค่อยรู้จักมองความจริงว่า “ถ้าทำเหตุอย่างนี้ จะส่งผลอย่างนี้” จึงไปทำเหตุแห่งทุกข์ โดยหวังความสุข

คนที่ทำกรรมชั่ว จึงไม่ใช่คนฉลาด แต่เป็นคนโง่ที่ล้างผลาญตนเองก่อนด้วยความคิดผิด แล้วล้างผลาญผู้อื่นด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจา จากนั้นก็รับผลจากการกระทำผิดของตนเองในที่สุด

สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา (ปัจจุบัน หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช)

หมายเหตุ : ข้อความใน สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา นั้นเป็นข้อความที่นำมาจากวาทะธรรมะ, งานเขียน และโอวาท ของคุณสันตินันท์ อันเป็น นามปากกานาม ของ หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แห่ง สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรมก่อนที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา

>>> คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยายใหญ่ <<<

หมายเหตุ : ข้อความใน สันตินันทอุบาสก สุภาพบุรุษนักภาวนา นั้นเป็นข้อความที่นำมาจากวาทะธรรมะ, งานเขียน และโอวาท ของคุณสันตินันท์ อันเป็น นามปากกานาม ของ หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แห่ง สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรมก่อนที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่