Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ฝึกใจให้เป็นพระ ไม่ใช่แค่ใจเทพ ใจพรหม

mp3 (for download) : ฝึกใจให้เป็นพระ ไม่ใช่แค่ใจเทพ ใจพรหม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ฝึกใจให้เป็นพระ ไม่ใช่แค่ใจเทพ ใจพรหม

ฝึกใจให้เป็นพระ ไม่ใช่แค่ใจเทพ ใจพรหม

หลวงพ่อปราโมทย์​ :ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของดีของวิเศษจริงๆ เรียนแล้วเข้าไปเปลี่ยนใจได้ สมัยพุทธกาลเนี่ย พวกเดียรถีย์เวลาใครจะมาเจอพระพุทธเจ้านะ เขาจะบอกกันว่า อย่ามาดีกว่า เพราะสมณโคดมนี้มีมนต์เปลี่ยนใจ คิดว่าท่านมีคาถาเปลี่ยนใจ จริงๆแล้วธรรมะของท่านนั่นแหละ เปลี่ยนใจคนได้

ทีนี้เราก็มาเรียนธรรมะของท่านนะ เพื่อจะมาเปลี่ยนใจของเรา จากใจของสัตว์นรก ใจของอสุรกาย ใจของเดรัจฉาน ใจของเปรต มาเป็นใจคน ใจที่สูงขึ้นๆ ไม่ใช่เป็นแค่ใจเทพ ใจพรหม ขึ้นไปเป็นใจพระ ขึ้นสู่โลกุตตรภูมิเป็นลำดับไป

ลำพังฝึกจิตให้เป็นพรหมนะ อยู่ได้ช่วงหนึ่งก็ต้องเสื่อม พรหมก็ตกสวรรค์เหมือนกัน เสื่อมได้เหมือนกัน ยังเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ ยังเป็นความแปรปรวนอยู่ ต้องฝึกใหัจนเป็นใจพระนะ จิตใจของเราจะเป็นพระขึ้นมาได้เนี่ย ไม่ใช่ว่าต้องไปทำอะไรแปลกๆหรอก เป็นพระนั้นสะอาด บริสุทธิ์ ขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ก็คือ ตัวปัญญา

ปัญญาเกิดลอยๆไม่ได้ ต้องมีศีล มีสมาธิ เป็นฐาน รวมแล้วเป็นมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา สามอัน เป็นเครื่องหนุนกัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
อ. ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕

CD: พระธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550331
ระหว่างนาทีที่  ๒ วินาทีที่ ๔๔ ถึงนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีความเห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราหรอก ความทุกข์จะหายไป ความทุกข์จะหายไปเยอะเลย เราทุกข์เพราะอะไร ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเรารักกาย เราทุกข์เพราะเรารักจิตใจของเรา อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ อยากโน้นอยากนี่ ทุกคราวที่ความอยากเกิด ความทุกข์จะเกิดเสมอ ความอยากใดๆเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที อยากขึ้นมาได้เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก มันคิดว่าเป็นเราจริงๆ ไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ก็ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย คิดว่าจิตใจนี้เป็นตัวเราจริงๆ ก็ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่อยากประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราอยากโน้นอยากนี้ ก็อยากจะสมหวังอย่างเดียว ไม่สมหวังก็กลุ้มใจทุกข์ใจ หนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ เส้นทางที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงเนี่ย ก็คือเส้นทางที่จะพัฒนาสติปัญญาของเราให้แก่กล้า ให้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา” ถ้าเห็นได้ก็จะหมดความยึดถือในสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา”ได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนนะ ถ้าเรามีปัญญา เราเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร สังขารก็คือกายกับใจเรานี่เอง คือ ขันธ์ ๕ นี่เอง ถ้ามีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่าย นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าเห็นความเป็นทุกข์ของสังขาร คือของกายของใจ จิตจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายมันก็จะไม่ยึดถือกายยึดถือใจ นี่คือเส้นทางของความบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นสังขารคือกายนี้ใจนี้นะ เป็นอนัตตา คือสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ก็คือการที่เราสามารถเห็นกายนี้ใจนี้ หรือเห็นขันธ์ ๕ นี้ รูปนามนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วก็หมดความยึดถือ

550409.32m06-33m57

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าภาวนาต่อไปอีกนะ เราก็ดูแต่ละส่วนนั้นต่อไปอีก (หากเพิ่งได้ฟังตอนนี้เป็นตอนแรก ขอให้ท่านฟังเรื่อง ทางวิปัสสนา ตั้งแต่ตอนแรกตามลำดับ ที่นี่) เห็นแต่ละส่วนนั้นมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป

ยกตัวอย่างร่างกายเราบังคับไม่ได้จริงนะ สั่งไม่ให้แก่มันก็แก่ใช่มั้ย สั่งไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ สั่งไม่ให้ตายมันก็ตาย จิตใจเราก็บังคับไม่ได้นะ สั่งมันให้สุขมันก็ไม่ยอมจะสุข ห้ามทุกข์มันก็จะทุกข์ อะไรอย่างนี้ สั่งให้ดีมันก็ไม่ค่อยจะดีนะ ห้ามชั่วมันก็ขยันชั่ว ไม่อยู่ในอำนาจจริง เฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกายในใจนะ ไม่เห็นมีสาระแก่นสาร

พอเห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้ หาสาระแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้ มันจะหมดความยึดถือในกายในใจ ถ้าหมดความยึดถือในกายในใจเมื่อไหร่นะ จิตจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก รู้เลยว่านี่คือสมบัติของโลก ขันธ์ ๕ นี้ กายใจนี้ เป็นสมบัติของโลก เรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง จิตหมดความยึดถือในรูปในนาม นั่นแหละคือสิ่งที่เขาสมมุติเรียกกันว่า “พระอรหันต์”

550409.29m56-30m-56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูปนามต่อหน้าต่อตา จึงจะเป็นวิปัสสนา

mp 3 (for download) : โสฬสญาณ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : อย่างนี้ถ้าเกิดเราแยกธาตุแยกขันธ์ได้ ถือว่าเป็นการวิปัสสนามั้ยครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์  :แยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้วยังไม่ถึงวิปัสสนา แยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้วต้องเห็นเลยแต่ละขันธ์แต่ละขันธ์ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ถึงจะเป็นวิปัสสนา

มันมีธรรมะอยู่เรื่องนึงชื่อโสฬสญาณ เคยได้ยินมั้ยโสฬสญาณ โสฬสญาณเนี่ยไม่ใช่พระพุทธวจนะ เป็นตำราที่พระรุ่นหลังท่านแต่งขึ้นมา แต่ท่านก็เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแจกแจงให้ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา

ในโสฬสญาณนี้ ญาณที่ ๑ ชื่อนามรูปปริจเฉทญาณแยกรูปกับนาม แยกรูปแยกนามนั่นแหล่ะ พอแยกรูปกับนามแล้วรูปยังแยกออกไปได้อีกนะ ตัวรูปแยกออกเป็นอะไร แยกได้ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ตัวนามแยกออกได้ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แยกรูปแยกนามนามรูปปริจเฉทญาณเนี่ย ยังไม่ใช่วิปัสสนา

ก็จะเห็นอีกรูปอย่างนี้ก็มีเหตุให้เกิด นามอย่างนี้ก็มีเหตุให้เกิด ตรงที่รู้ว่าแต่ละอย่างเกิดจากเหตุ เกิดจากเหตุไม่ได้ลอยๆมานะ อันนี้เรียกว่าปัจจยปริคคหญาณ ปัจจยปริคคหญาณเนี่ยก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา

ต่อไปก็จะเห็นเลยแต่ละอย่างเนี่ยมันไม่คงที่นะ อย่างหน้าตาของเราตอนนี้กับหน้าตาของเราตอนเด็กๆไม่เหมือนกัน หน้าตาของเราตอนตื่นนอนกับหน้าตาตอนที่ตื่นแล้วก็ไม่เหมือนกัน เนี่ยแสดงว่ารูปไม่เที่ยง อันนี้รูปไม่เที่ยงด้วยการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน อันนี้ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา เรียกว่าสัมมสนญาณ

แต่ตรงที่เป็นวิปัสสนานี่เห็นต่อหน้าต่อตาเนี่ย เช่นความโกรธผุดขึ้นมาแล้วความโกรธก็ดับไปต่อหน้าต่อตา ความโลภผุดขึ้นมาแล้วก็ดับไปต่อหน้าต่อตานะ ความสุขผุดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ตรงที่เห็นว่าสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ตัวนี้เรียกว่าอุทยัพพยญาณ เนี่ยขึ้นวิปัสสนาตรงนี้

เพราะงั้นตรงที่คุณบอกว่ารู้สึกตัวเนี่ยเป็นวิปัสสนาหรือยัง ไม่เป็น แยกรูปนามเป็นวิปัสสนาหรือยัง ยังไม่เป็น ต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูปนามก่อนถึงจะเป็น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๑๘
File: 541118B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราไม่มีตัวเรานะ ลองเห็นขันธ์ ๕ มัน.. สิ่งที่เรียกว่าเรา.. เคยรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้น เอาเข้าจริงเป็นแค่ “ขันธ์” ที่มารวมกลุ่มกันอยู่แค่นั้นเอง แล้วเราก็ไปรู้สึกผิดว่าเป็นตัวเรา แต่พอขันธ์กระจายออกไปนะ ก็พบว่าไม่มีตัวเราแล้ว เหมือนจับรถยนต์ถอดเป็นชิ้นๆแล้วก็พบว่ารถยนต์หายไปแล้ว นี่เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นวิธีที่แปลกมั้ย ไม่น่าเชื่อนะ คนตั้งสองสามพันปีก่อนสอนเรื่องอย่างนี้ ๒๖๐๐ ปีก่อน สอนเรื่องอย่างนี้ได้

เพราะฉะนั้นเรามาเรียนนะ มาเรียน ค่อยๆสังเกตลงไป ตัวเราเอง ถ้าหากเราเห็นความจริงถ่องแท้ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ความสุขความทุกข์ไม่ใช่เรา ความจำไม่ใช่เรา ความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น โลภ โกรธ หลง อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เรา จิตใจที่เป็นคนรู้ก็ไม่ใช่เรา ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้นะ ตัวเราจะหายไป เมื่อไรเห็นว่าตัวเราไม่มี จะได้พระโสดาบัน

เคยได้ยินคำว่า “โสดาบัน” มั้ย เราวาดภาพโสดาบันคืออะไรก็ไม่รู้ที่ abstract มากเลยนะ สัมผัสไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ฝันเลยว่าอีกแสนชาติก็ไม่ถึง ไม่ถึงแน่นอนเลยถ้าไม่รู้จักรูปไม่รู้จักนาม ไม่รู้จักแยกธาตุแยกขันธ์อย่างนี้ ถ้าแยกเป็นนะ ไม่ยากอะไร พระโสดาบันคือท่านผู้ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ท่านล้างความเห็นผิดได้ เพราะท่านแยกขันธ์ออกมาเป็นส่วนๆ และเห็นว่าแต่ละส่วนไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

550409.28m24-29m56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๒) เมื่อแยกธาตุแยกขันธ์ได้ จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีคน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๒) เมื่อแยกธาตุแยกขันธ์ได้ จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีคน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เราฝึกมาสองเรื่องแล้วนะ (หากต้องการอ่านย้อนหลัง กรุณาอ่านเรื่องในหมวด ทางวิปัสสนา) เรื่องแรก ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิต พุทโธไปจิตหนีไปคิด-รู้ทัน หายใจจิตหนีไปคิด-รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งลมหายใจ-รู้ทัน ฝึกรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตก็ตั้งมั่นเป็นคนดู

พอจิตตั้งมั่นเป็นคนดูแล้วค่อยๆดูไป ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายที่นั่งอยู่ ร่างกายที่เดิน ร่างกายที่นอน เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ดูร่างกายกับจิตเป็นคนละอันกัน จะเป็นคนละอันอย่างอัตโนมัติ ต่อไปก็ดูไป ความปวดความเมื่อย อะไรเกิดขึ้นในร่างกายนะ ก็เป็นคนละส่วนกับร่างกาย เป็นคนละส่วนกับจิต ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ก็เป็นคนละอันกับร่างกาย คนละอันกับความปวดเมื่อยเป็นคนละอันกับจิต นี้เราหัดแยกออกเป็นส่วนๆอย่างนี้แหละ

พอเราแยกออกเป็นส่วนๆแล้ว เราจะเห็นความจริงขึ้นมาแล้ว ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ ร่างกายนี้มีธาตุไหลเข้าร่างกายนี้มีธาตุไหลออกตลอดเวลา เช่นเรากินอาหารแล้วเราก็ขับถ่าย เราหายใจเข้าแล้วเราก็หายใจออก เพราะฉะนั้นร่างกายนี้มีธาตุหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ร่างกายเป็นเพียงแค่วัตถุเท่านั้นเอง เป็นสมบัติของโลกที่เรายืมโลกมาใช้ เรายืมวัตถุของโลกมาใช้ ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องคืนวัตถุชิ้นนี้ให้โลกไป เราครอบครองตลอดไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราค่อยๆมาดูความจริงของร่างกาย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นแค่วัตถุอันหนึ่งเท่านั้นเอง มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก เนี่ยเราเริ่มล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเราได้แล้ว ตัวเรานี้ประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนของขันธ์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันเข้า แต่พอเราแยกออกมาเป็นส่วนๆเราจะเริ่มเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก ร่างกายเป็นวัตถุไม่ใช่ตัวเรา ความเจ็บปวดทั้งหลายความปวดเมื่อยทั้งหลาย กระทั่งความสุขทั้งหลาย เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาชั่วคราว

มันจะเห็นชัดๆเลยว่า ความสุขก็ไม่ใช่ตัวเรา ความสุขไม่ใช่ร่างกาย ความสุขไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความสุขเป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่คน ใครเห็นว่าคนคือความสุขบ้าง มีมั้ย คนคือความสุขไม่มี ไม่มีใครเห็นอย่างนั้นนะ เห็นอย่างนั้นก็เพี้ยนเลย

เพราะฉะนั้นถ้าเราแยกออกมาได้ เห็นตัวความสุขเห็นตัวความทุกข์ แล้วจะพบว่า ไม่มีคนนะ แต่ว่าคนเป็นสุขได้มั้ย อย่างพวกเราเป็นคน เรามีความสุขได้ ใช่มั้ย แต่พอแยกปั๊บออกไปนะ ความสุขไม่ใช่คน ร่างกายไม่ใช่คน จิตใจก็ไม่ใช่คนนะจิตใจก็ไม่ใช่คน ความปรุงดีปรุงชั่วความโกรธก็ไม่ใช่คน เราจะเห็นแยกออกไป ความกังวลใจก็ไม่ใช่คน พวกนี้เรียกว่าสังขารขันธ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสังขารขันธ์ เป็นความปรุงของจิต ดูไปเรื่อย ความโกรธไม่ใช่คน ใครเห็นความโกรธเป็นคนได้ ต้องเพี้ยนนะ ความโกรธไม่ใช่คน ความโลภ ความรัก ไม่ใช่คนนะ ความใจลอย ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ไม่ใช่คน

เราหัดรู้หัดดูไปเรื่อยอย่างนี้ ในที่สุดจะเห็นว่า ทุกส่วนที่เราแยกออกมาเป็นส่วนๆแล้วเนี่ย มันสอนให้เราเห็นความจริงว่า ไม่มีคนหรอก ไม่มีตัวเราหรอก

550409.25m04-28m24

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๕) ความจริงตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวเรา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๕) ความจริงตัวเราไม่มี มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : วิธีปฏิบัติที่จะมาทำลายความรู้สึกว่ามีตัวเราความโง่ว่ามีตัวเรา จริงๆตัวเราไม่มี แต่ว่าหลงผิดว่ามี เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าการปฏิบัติเพื่อละความมีตัวมีตน อันนี้เข้าใจผิด การปฏิบัติธรรม การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติไปเพื่อละความมีตัวมีตน เพราะตัวตนไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว มีแต่ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน พวกเราไม่มีตัวมีตนที่แท้จริง มีแต่ความเห็นผิดว่ามีตัวตน

ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเราเห็นรถยนต์ ๑ คัน รู้สึกมั้ยว่ารถยนต์มีจริงๆนะ วิธีการที่จะทำให้เห็นว่ารถยนต์ไม่มีนะ จับมันมาถอดเป็นชิ้นๆ รถยนต์ประกอบด้วยอะหลั่ยจำนวนมาก ใช่มั้ย ลูกล้อเป็นรถยนต์มั้ย ลูกล้อไม่ใช่รถยนต์ใช่มั้ย แต่รถยนต์ต้องมีลูกล้อ พวงมาลัยไม่ใช่รถยนต์ ตัวถังไม่ใช่รถยนต์ ใช่มั้ย แต่รถยนต์มีตัวถังมีพวงมาลัย เครื่องยนต์ก็ไม้ใช่รถยนต์นะ แต่รถยนต์มีเครื่องยนต์ เนี่ยมันประกอบกันขึ้นมานะ ในที่สุดเราก็มีความสำคัญมั่นหมายว่ามีรถยนต์จริงๆ ที่จริงมันคืออะหลั่ยจำนวนมากมารวมกัน

สิ่งที่มาสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรามีอยู่นะ ก็แยกออกเป็น ๕ กอง ๕ ส่วน ที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕” นั่นเอง ไม่มากเท่าอะหลั่ยรถยนต์นะ อะหลั่ยรถยนต์มีเยอะแยะ นับไม่ถ้วน มีน็อตมีอะไร สายฟงสายไฟ เยอะแยะไปหมดเลย มีถังน้ำมัน มีเบรค มีคลัช์ มีอะไร เยอะแยะ

แต่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้น แยกออกเป็น ๕ กลุ่ม เท่านั้นเอง เรียนไม่มากหรอก แต่ว่าวิธีการเรียนรู้นั้น แบบเดียวกับการถอดรถยนต์เป็นชิ้นๆ เรามาถอดสิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวเรา เป็นชิ้นๆนะ

550409.11m21-13m06

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑) มิจฉาทิฎฐิที่ปลอมปนในพุทธบริษัทฯ

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา (๑)

ทางวิปัสสนา (๑)

หลวงพ่อปราโมทย์ : เจริญพรทุกท่าน บางทีการฟังธรรมเข้าใจยาก นิดหน่อย แต่ไม่เหนือความพยายามที่พวกเราจะเข้าใจหรอก ธรรมะแท้ๆนั้นถ่ายทอดสืบทอดกันมาจนถึงยุคของเราเนี่ย มันมีธรรมะที่ไม่แท้เนี่ยเข้ามาปลอมปนอยู่เป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างพวกการปฏิบัติ ที่ออกนอกแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เนี่ย มันปลอมปนเข้ามาอยู่ในแวดวงพระพุทธศาสนาเนี่ย เยอะมาก

อย่างบางคนก็เชื่อว่าตายแล้วเกิด ส่วนใหญ่เชื่ออย่างนี้ ตายแล้วเกิด นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างหนึ่ง บางพวกเชื่อว่าตายแล้วสูญ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอีกอย่างหนึ่ง บางคนก็เชื่อบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเหตุมีผลอะไร คล้ายๆฟลุ๊ค คล้ายๆทฤษฎีที่ว่า พระเจ้าทอดลูกเต๋าน่ะ แล้วแต่ฟลุ๊ค (แนวคิดของทฤษฎีควอนตั้มในปัจจุบัน – ผู้ถอด) หรือบางคนก็เชื่อว่าหลังจากนิพพานแล้ว ยังมีตัวมีตนอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังดำรงชีวิตอยู่ ความเชื่อแปลกพวกนี้ ปลอมปนมาอยู่ในพระพุทธศาสนานานมากแล้ว จนบางทีเรา คนรุ่นหลังเนี่ย เราแยกไม่ออกว่า อะไรคือคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่

ในสมัยพุทธกาลเนี่ย การแยกแยะคำสอน ว่าอันนี้ของพระพุทธเจ้า อันนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเนี่ย ทำง่าย เพราะพระพุทธเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่ แต่ถึงขนาดนั้นบางครั้ง พระแท้ๆนี่แหละ พระทีใฝ่ดีแท้ๆนี่แหละ ปฎิบัติไปแล้วก็เกิดความเห็นผิดขึ้นได้ ก็ยังดี มีพระผู้ใหญ่ มีพระพุทธเจ้าอะไรอย่างนี้ แก้ให้

อย่างมีพระองค์หนึ่ง ท่านภาวนาไปแล้วท่านก็เกิดความเห็นผิดว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญ คิดว่าตายแล้วสูญ ประกาศสัจจะ ประกาศความเห็นอันนี้ออกมา พระทั้งหลายก็กลุ้มใจว่า โอ้..เข้าใจผิดนะ ก็พยายามจะแก้ไขให้ท่านเข้าใจถูก ท่านก็ไม่เข้าใจ ในที่สุดก็ต้องไปเชิญพระสารีบุตรมาช่วยแก้ให้ พระสารีบุตรท่านก็แสดงธรรมเรื่องขันธ์ ๕ ใครเคยได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ มั้ย ขันธ์ ๕ ใครไม่เคยได้ยิน ที่นี่เป็นอนัตตาจริงๆ ได้ยินก็เงียบๆนะ (หัวเราะ)ไม่ได้ยินก็เงียบๆ

พระสารีบุตรสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สอนอย่างนี้ พระองค์นี้ปิ๊งขึ้นมา ท่านบรรลุพระอรหันต์ พระสารีบุตรถามว่า ต่อไปถ้ามีคนมาถามท่านว่า พระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ท่านจะตอบว่าอะไร ที่จะไม่เป็นมิจฉาทิฎฐิ ท่านตอบบอกว่า ถ้าใครมาถามท่านนะ ท่านจะตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ปรากฎว่าสอบผ่าน เราฟังไม่รู้เรื่อง ใช่มั้ย ไม่แปลก เราไม่ใช่พระอรหันต์ ทำข้อสอบนี้ไม่ผ่าน

ตรงนี้ หลวงพ่อพูดให้ฟังน่ะ หมายถึงว่า กระทั่งในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่นะ มิจฉาทิฎฐิก็มีอยู่แล้ว แล้วมันปลอมปนมันเจือปนเข้ามา ทั้งที่ตั้งใจและโดยไม่ตั้งใจ บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจ หวังภาวนาให้ดี แต่ก็ยังหลงผิดไปได้ หลงผิดตรงที่คิดว่าพระอรหันต์มีจริงๆ มีตัวมีตนอยู่ พอตายแล้ว ตายแล้วสูญก็มี ตายแล้วยังอยู่ก็มี มันไม่ได้ผิดตรงที่ตายแล้วสูญหรือตายแล้วยังอยู่นะ มันเริ่มตั้งแต่ว่ามีตัวมีตน มีคนจริงๆมีพระอรหันต์จริงๆ ท่านจึงตอบว่า คำตอบที่ถูกนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีพระอรหันตหรอก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเราว่าเขา

เนี่ย ตัวเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาเข้าใจยาก ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะรู้ว่า ตัวเราไม่มี นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งหลายทนไม่ไหว คนทั้งหลายนั้นรักในสิ่งที่เรียกว่าตัวเราๆนี้ รักที่สุดเลย หวงแหนที่สุด ถ้ามาหัดภาวนาแล้วมาเห็นว่าตัวเราไม่มีนะ แรกๆนะ จะทนไม่ได้สักรายหนึ่ง กลัวบ้างนะ บางทีก็สยดสยอง บางคนก็ขวัญหนีดีฝ่อ บางคนก็เซ็งไปเลยนะ เหี่ยวเฉาไปเลย เพราะตัวเรานี้เป็นสิ่งที่รักที่หวงแหนที่สุด แล้วพบว่า มันไม่มีจริง

550409.00m00-04m46

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)

เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๐ วินาทีที่ ๐ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

mp 3 (for download) : รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ไปเรื่อยนะ มีสติรู้สึกขึ้นมา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามทำสติให้เกิดตลอดเวลา เราไม่ต้องการสติตลอดเวลา เราต้องการสติทีละแว้บเดียว

เพราะงั้นเรารู้สึกตัวขึ้นแว้บแล้วหลงไปอีก เราก็รู้สึกอีกแว้บนึงแล้วค่อยหลงไปอีก แล้วฝึกอย่างนี้นะ ไม่ใช่รู้สึกๆๆไม่มีหลงเลย ถ้ารู้สึกๆๆไม่มีหลงเลยน่ะคือการทำฌาน เพราะจิตที่จะเกิดซ้ำซากมีสติซ้ำซากอยู่ได้อย่างเดียวตลอดนานๆเนี่ยคือฌานจิตเท่านั้น จิตธรรมดาๆไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ให้รู้ขึ้นแว้บนึงแล้วหลง รู้แว้บนึงแล้วก็หลง ตรงนี้สำคัญ

ไม่ต้องฝึกให้รู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ฝึกให้รู้สึกบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝึกบ่อยๆไม่ใช่ให้ต่อเนื่องยาวนาน ทีละแว้บนี่แหล่ะ มันจำเป็นยังไง คนในโลกนี้นะไม่เคยมีสติ ไม่เคยรู้สึกตัว คนในโลกอยู่ในความฝันตลอดเวลา ฝันทั้งวันทั้งคืนทั้งตื่นทั้งหลับ แล้วมันจะเกิดความสำคัญผิดขึ้นมา ว่ามันมีตัวเราจริงๆ

พวกเรารู้สึกมั้ยในนี้มีเราอยู่คนนึง เราคนนี้นะกับเราตอนเด็กๆก็ยังเป็นเราคนเดิม รู้สึกมั้ยมันมีเราอยู่คนหนึ่ง เรามาตั้งแต่เด็กนะจนวันนี้ยังเป็นคนเก่าอยู่ เราคนเดิมหรอกหน้าตาต่างหากที่เปลี่ยนไปแต่ข้างในนี้มีเราที่คงเดิมอยู่คนหนึ่ง เนี่ยเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเห็นมันเกิดดับ เราไม่เคยเห็นจิตเกิดดับ ถ้าเราเห็นจิตเกิดดับเราจะรู้ว่าไม่มีเราหรอก ข้างในนี้

งั้นที่เราหัดรู้สึกตัวขึ้นมานะเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่่อนๆ ถ้าชีวิตเรายาวอย่างนี้อันเดียวเนี่ย หลง หลงตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่นี้หลงมาเรื่ิอยๆๆจนหมดเวลาตาย เราจะรู้สึกมีเราคงที่อยู่ เหมือนเราดูการ์ตูนนะ มีโดเรมอนใช่มั้ยมีอิคคิวซัง หลวงพ่อรู้จักแค่รุ่นเนี่ยหลังจากนั้นไม่รู้จักแล้ว โดเรมอนมันเดินไปเดินมาได้ นี่เป็นภาพลวงตาจริงๆมันเป็นรูปแต่ละช็อตแต่ละช็อต รูปแต่ละรูปแต่ละรูป แล้วมันเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เราเลยรู้สึกมีเรา ถ้าเราเห็นรูปแต่ละรูปเกิดแล้วหายไปๆ เราจะไม่รู้สึกว่ามีโดเรมอนตัวจริงขึ้นมา โดเรมอนไม่มีจริง

การที่เราฝึกให้มีสติขึ้นมานี่ก็เหมือนกัน เราจะเห็นเลยเดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก เดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก พอจิตมันหลงไปคิดไปนึกไปปรุงไปแต่งนะ หลงไปทางทวารทั้งหก หลงไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย หลงไปทางใจคือหลงไปคิด หรือบางทีก็หลงไปเพ่ง นี่หลงทางใจ แล้วตามมามีสติมันจะรู้ว่าเมื่อกี๊นี้หลงแต่จิตที่หลงนั้นดับไปแล้ว จะเห็นเลยจิตที่รู้กับจิตที่หลงเนี่ยเป็นคนละดวงกัน

การที่เราเห็นจิตที่รู้กับจิตที่หลงเป็นคนละอันกันเนี่ย เรียกว่าสันตติคือความสืบเนื่องเนี่ยขาดลงแล้ว การภาวนาจนสันตติขาดเนี่ยนะ คือการทำวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว งั้นเราจะเห็นจิตเนี่ยเกิดแล้วก็ดับนะ เช่นจิตที่หลงไปพอเรารู้สึกตัวเราจะเห็นเลยจิตที่หลงดับไปแล้วเกิดจิตที่รู้สึก แล้วจิตที่รู้สึกอยู่ได้แว้บเดียวก็หลงใหม่ เห็นมั้ย แล้วก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งนึง คราวนี้รู้สองทีเลย รู้ว่าจิตที่รู้สึกตัวอันแรกนั้นดับไปแล้วเกิดจิตที่หลง จิตที่หลงก็ดับไปแล้วอีก เกิดมีจิตรู้สึกตัวอันใหม่

เนี่ยฝึกดูไปเรื่อยนะจะเห็นนะมีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ขาดเป็นช่วงๆ หรือถ้าสติระลึกรู้กายนะจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจออกร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน ร่างกายที่คู้ที่เหยียดเนี่ย เกิดดับตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

mp 3 (for download) : จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

จ้องจิตเอาไว้ จิตจะนิ่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่าไปดักดู ถ้าไปดักดูไปรอดูจะกลายเป็นการเพ่งจ้อง เพ่งจ้องใช้ไม่ได้หรอก

อย่างบางคนอยากดูจิตใช่มั้ยไปจ้องไว้เลย ไหน จิตมันจะขยับยังไง จ้องๆไม่เห็นมันจะขยับเลย ความจริงขยับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขยับตรงไหน ขยับจากตรงนี้นะพุ่งลงไปจ้องอยู่ที่นี่ พุ่งออกไปเกาะเรียบร้อยแล้ว จิตส่งออกนอกเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างนี้หลวงปู่เทศก์เรียกว่าจิตส่งใน หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกเหมาออกนอกหมดเลย ออกนอกจากรู้ก็เรียกว่าออกนอกทั้งนั้นน่ะ

แต่จิตตั้งมั่นอยู่กับรู้เนี่ยไม่ใช่แปลว่าไม่รู้อะไร ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎ รู้ทั้งรูปธรรมรู้ทั้งนามธรรมที่กำลังปรากฎแต่จิตตั้งมั่นอยู่ต่างหาก จิตตั้งมั่นอยู่ต่างหาก ไม่ถลำลงไปรู้ นี่ถลำลงไปรู้เนี่ยเป็นกันเยอะ เวลาอยากรู้ให้ชัดก็ถลำไปรู้นะ อยากรู้ให้ไวๆก็ถลำไปรู้ กลัวว่าจะไม่รู้ก็ถลำไปรู้อีก ถลำลงไปจ้องไว้ก่อน ถ้าถลำลงไปรู้ใช้ไม่ได้นะ ต้องสักว่ารู้สักว่าเห็น รู้อยู่ห่างๆ ดูอย่างสบายๆ

เนี่ยของคุณที่นั่งข้างเสานั้นน่ะอย่างนั้นน่ะมันถลำไปรู้ ถลำลงไป ถลำลงไปรู้มันกลายเป็นการเพ่งจ้อง ทำไมต้องถลำลงไป เพราะมีโลภะนำหน้า อยากดี อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นอยากได้ มันก็เลยถลำลงไปดู เสร็จแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็นิ่งๆสิ ไปจ้องเอาไว้มันก็นิ่ง จิตนี้มันก็เหนียมเป็นนะ เราไปจ้องมันนะมันไม่กล้ากระดุกกระดิกนะมันก็เหนียมๆ มันก็อยู่นิ่งๆอยู่อย่างงั้นแหล่ะ

งั้นเราอย่าไปจ้องไว้นะ ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนแล้วก็ค่อยรู้เอา รู้บ้างเผลอบ้างไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้ตลอดเวลา รู้ตลอดเวลาไม่ได้ไม่ใช่ภูมิของเรา ภูมิของเราต้องรู้บ้างเผลอบ้าง เราไม่ใช่พระอรหันต์นี่ พระอรหันต์นะท่านรู้อยู่เรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะท่านไม่ได้จงใจจะรู้ด้วยนะ มันรู้อัตโนมัติ รู้เอง นี่พวกเราไม่ใช่พระอรหันต์เราจะมารู้อยู่ตลอดไม่ได้หรอก เราก็ต้องรู้บ้างเผลอบ้าง ถึงอยากรู้ตลอดนะมันก็จะหลงเลย เช่นหลงไปเพ่งไปจ้อง

งั้นเราคอยดูใจของเรา ใจเราไหลไปเราก็คอยรู้ ไหลแล้วก็รู้ ไหลแล้วก็รู้นะ ไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิด ไหลไปจ้อง ไหลไปเพ่ง ใจมันไหลไปทั้งนั้นน่ะ เราก็คอยรู้ทันเอา เราจะเห็นว่าจิตมันไหลไปได้เอง จิตนี้มันไม่เที่ยงนะ มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยววิ่งไปดู เดี๋ยววิ่งไปฟัง เดี๋ยววิ่งไปคิด แล้วมันก็บังคับไม่ได้ สั่งมันไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๘ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๒
File: 510718A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

mp3 for download : ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

ทางบรรลุธรรม (๓) ขั้นแรกของการฝึก การเจริญวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือการเจริญปัญญา การทำวิปัสสนา ไม่ใช่อะไรที่ลึกลับอะไรหรอก มันคือการฝึกจิตให้มองต่างมุม เดิมจิตเคยมองแต่ว่า “มีตัวเรา มีตัวเรา” มองอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เรามาฝึกจิตให้หัดมองต่างมุม ให้เห็นความจริง ว่าขันธ์ไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา หัดดูไปเรื่อยๆ

เบื้องต้นก็ช่วยมันคิดหน่อยนึงก็ได้ สำหรับบางคนซึ่งชาติก่อนๆไม่เคยเดินปัญญามา คนที่ถ้าไม่เคยเจริญปัญญามาแต่ปางก่อนนะ เคยแต่ทำสมาธินะ พอจิตมีกำลัง จิตตั้งมั่นขึ้นมา ขนาดจิตตั้งมั่นแล้วนะ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นแล้วนะ มันยังไม่ยอมดูธาตุดูขันธ์ทำงานเลย มันก็ตื่นอยู่เฉยๆ ว่างอยู่เฉยๆ จิตอย่างนั้นใช้ไม่ได้ จิตไม่เดินปัญญา

ถ้ามันไม่เดินปัญญา ก็ต้องช่วยมันพิจารณา ช่วยมันคิด คิดนำให้มันหัดมองต่างมุม ดูบ้างว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงนะ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา สอนมัน พอมันหัดมองต่างมุม พอมันชำนาญในการมอง ต่อไปมันมองเอง ตรงที่พามันมองเนี่ย ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ตรงที่มันมองได้เองถึงจะเป็นวิปัสสนานะ

เพราะฉะนั้นบางคน ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้านะ ต้องช่วยมันพิจารณา ถ้าอินทรีย์แก่กล้าจริงนะ ขันธ์มันแตกออกไปเลย พอจับตัวผู้รู้ได้แล้วขันธ์จะแตกออกไปนะ

เคยมีโยมคนหนึ่ง ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ เรียนตอนเช้า ตอนเย็นนะ ขันธ์แตกออกมาแล้ว มีตัวผู้รู้ เพราะตัวผู้รู้ทำมาได้ตั้งแต่เด็ก ทำสมถะ ทำลมหายใจ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ นับหนึ่ง อะไรอย่างนี้ มีจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้ว แต่ต่อไม่เป็น ไม่รู้จะเดินปัญญายังไง ก็ไปอยู่แค่นั้นเอง

ไปเจอครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ให้ไปดูจิตต่อ พอจะมาดูจิตก็มาดู จิตต้องอยู่ในร่างกาย เห็นร่างกาย ดูซิจิตอยู่ตรงไหน อยู่ในผมมั้ย อยู่ในขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูกมั้ย ไล่ๆ ไล่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายร่างกายก็แยกไปอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะจิตเป็นผู้รู้อยู่แล้ว

พอไปดูกายเข้า จงใจมาดูกายนี้ ก็เห็นกายแยกออกไปอยู่ต่างหาก มาดูเวทนาก็เห็นเวทนาแยกออกไปอยู่ต่างหาก มาดูสังขาร ความปรุงต่างๆของจิต ก็แยกออกไปอยู่ต่างหาก กระทั่งเรื่องราวที่คิดนะ คิด อย่างคิดบทสวดมนต์ พุทโธ สุสุทโธ กรุณา มหรรณโว คิดบทสวดมนต์นี้ จิตเป็นคนรู้ขึ้นมานะ ความคิดกับจิตก็แยกออกจากกัน พอจิตกับความคิดแยกออกจากกันได้นะ ตัวรู้มันก็ผุดขึ้นมาอีก เป็นตัวรู้ที่มีคุณภาพมาก ไม่ใช่รู้อยู่เฉยๆด้วย คราวนี้ รู้แล้วเห็นขันธ์ทำงานได้

540805.03m41-06m37


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File (ประเทศไทย): 540805.mp3
File (สหรัฐอเมริกาและยุโรป): 540805.mp3

นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

mp3 for download : ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

ทางบรรลุธรรม (๒) ดูรูป(ร่างกาย)ให้เป็นวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนน่ะแยกละเอียดยิบเลย อย่างร่างกายก็แยกเป็นธาตุต่อไปอีก ตัวรูปขันธ์ก็แยกออกเป็นธาตุอีก ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุน้ำดูยากที่สุด ธาตุน้ำรู้ด้วยใจ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม รู้ด้วยร่างกาย

อย่างเราคิดพิจารณาผมเป็นดิน นี้รู้ธาตุดินมั้ย คิดพิจารณาผมว่าเป็นดินน่ะ ถือว่าเป็นการรู้ธาตุดินมั้ย เป็นมั้ยเอ่ย ไม่เป็น เพราะธาตุดินรู้ด้วยร่างกาย คิดพิจารณารู้ด้วยใจ คิดพิจารณาธาตุดิน ผมเป็นธาตุดินอย่างนี้เป็นสมถกรรมฐาน รู้ไม่ได้ด้วยสภาวะแท้ๆ อายตนะแท้ๆที่จะใช้รู้ธาตุดินคือกายนะ

นี่บางคนละเอียด แต่บางคนก็ไม่ต้องละเอียดขนาดนี้ก็ได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้ละเอียดถึงขนาดนี้หรอก ที่ภาวนากันจริงๆ พ้นทุกข์พ้นร้อนกันจริงๆ แค่เห็นเส้นผมไม่ใช่ตัวเรา ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ไม่ใช่ตัวเรา ดูลงเป็นอนัตตาไป เห็นมันไม่มีไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเรา แค่นั้นก็ยังได้เลย

ดูความไม่เที่ยง ดูยากหน่อย ตัวรูปมันอายุยืน จะดูว่าเส้นผมไม่เที่ยง จะไม่ให้เจือด้วยการคิดน่ะยาก ถ้าเจือด้วยการคิดนะ ผมแต่ก่อนดำเดี๋ยวขาวอะไรอย่างนี้ ผมแต่ก่อนสั้นเดี๋ยวนี้ยาว เจือด้วยการคิด ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนา

เพราะฉะนั้นดูรูปให้เห็นอนิจจังดูยาก รูปมันอายุยืนกว่าจิต ส่วนมาก็จะเบี่ยงไปดูรูปข้างเคียง อย่างรูปยืนรูปเดินรูปนั่งรูปนอน รูปยืนเดินนั่งนอน รูปหายใจออกหายใจเข้า อันนี้ไม่จัดว่าเป็นรูปแท้ รูปแท้เป็นธาตุดินน้ำไฟลม มีสี มีกลิ่น อะไรพวกนี้เป็นรูปแท้ รูปข้างเคียง เช่นรูปยืนเดินนั่งนอน ไม่จัดเป็นรูปแท้ ในตำราบอกว่า เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จะไปดูรูปไม่ได้ ไม่ได้จริง

แต่พลิกอีกมุมหนึ่งนะ ดูเป็นอนัตตาได้มั้ย ได้ ดูเป็นอนัตตาได้ จะเห็นเลย ตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวที่นั่งอยู่ไม่ใช่ตัวเรา

540805.00m56-03m40


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File: 540805.mp3
นาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำ จนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญหรอก

ทีนี้ พวกเราเล่นไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกเอาส่วนที่เล่นได้ หายใจแล้วรู้สึกตัวไป หายใจไปแล้วจิตหนีไปคิด คอยรู้ทัน ทำตรงนี้ให้ได้ หายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา พอจิตเป็นผู้รู้แล้วจะดูกายดูใจก็ดูไปเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ เอาแค่ว่าหายใจไป เห็นกายมันหายใจ ไม่ใช่ตัวเราหายใจ หายใจไปจิตใจมีความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์ของมันได้เอง หายใจไปแล้วก็เกิดกุศลบ้าง เกิดอกุศลบ้าง เช่น เกิดฟุ้งซ่าน หายใจแล้วมีฟุ้งซ่านมีไหม ส่วนใหญ่นั่นแหละหายใจแล้วฟุ้งซ่าน ใช่ไหม ก็ดูไป จิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู ดูไปๆมันก็เลิกฟุ้งของมันไปเอง ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีความสงบเกิดขึ้น หายใจสบายๆ มันสงบขึ้นมา มันก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นี้เราฝึกแค่นี้ก็พอแล้ว

หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เดินปัญญาด้วยการดูกาย ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตก็หายใจไป มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆก็รู้ หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ บางทีเห็น ทุกอย่างชั่วคราวไปหมด

ฝึกไปอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ มันนำสมาธิอย่างไร ความจริงมันมีสมาธิอยู่แล้ว แต่มันมีในขั้นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ

เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล อริยมรรค อริยผล ไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา อริยมรรค อริยผล เกิดในฌานจิตเท่านั้น เกิดในรูปฌานก็ได้ เกิดในอรูปฌานก็ได้ แต่จะไม่เกิดในวิถีจิตปกติของมนุษย์นี้

ทีนี้ ถ้าเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่ต้องตกใจ เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาก็ทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รู้ทันจิตที่หนีไป หมดเวลาก็มารู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันต่อไป ถึงวันที่ สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบพอ จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเอง แล้วเกิด อริยมรรค อริยผล ขึ้น อันนี้เรียกว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ

ลึกซึ้งมาก เรื่องอานาปานสติ แต่ว่าเราฝึกง่ายๆอย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจถึงขนาด ทำอย่างไรจะเกิดฌานจิต ทำอย่างไรจะไปเดินวิปัสสนาในอุปจาระ เห็นมันไหวๆขึ้นมา แต่ส่วนมากพวกเราก็ทำได้อันนี้ คนจำนวนมากก็ทำได้ นั่งสมาธิแล้วก็เห็น ใจสงบไปเห็นมันปรุงขึ้นมา เกิดดับไป บางทีไม่รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ ไม่มีชื่อ ถ้ายังมีชื่ออยู่จิตยังฟุ้งซ่านมาก บางทีเห็นแค่สิ่งบางสิ่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที ประเภทหนึ่งในแสน หายาก ส่วนถ้าฝึกในชีวิตประจำวัน เดินปัญญาอยู่นี้ ง่าย พอทำได้สำหรับฆราวาส ที่วันๆเต็มไปด้วยความวุ่นวายนะ หายใจไป อย่าหยุดหายใจ หายใจไว้ก่อน เอ้า ต่อไปส่งการบ้าน

541106B.17m57-22m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยดูใจของเรานะเวลามันรู้สภาวะขึ้นมา เช่นมันเห็นความสุขเกิดขึ้นมา มันหลงยินดีให้รู้ทัน มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา มันหลงยินร้ายให้รู้ทัน หรือภาวนาเจริญสตินะ สติเกิดถี่ยิบเลย พอใจรู้ทัน ช่วงนี้สติไม่เกิดเลยสติแตก เสื่อมไปกรรมฐานเสื่อม เสียใจกลุ่มใจทุรนทุราย รู้ทันลงไปว่าไม่พอใจอยู่ เนี่ย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะรู้ลงไปที่ใจของเรา

เบื้องต้นแค่เห็นสภาวะก่อน เช่นร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก โลภโกรธหลงเกิดขึ้นก็รู้อะไรรู้ ถ้ารู้แล้วนะต่อไปก็ลึกซึ้งขึ้นมาอีก สังเกตเข้ามาถึงจิตถึงใจ มันจะเข้ามาสังเกตได้เองแหล่ะ อย่าจงใจสังเกตนะ มันจะเห็นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น

งั้นเบื้องต้นรู้สภาวะนะ ถัดมาก็รู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น เมื่อเรารู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น ความยินดียินร้ายจะดับไป ใจก็เป็นกลางขึ้นชั่วขณะ ก็ไปรู้สภาวะอีก ก็หลงยินดียินร้ายอีก รู้ทันความยินดียินร้ายอีกนะ ความยินดียินร้ายดับอีกชั่วขณะ เดี๋ยวกระทบอารมณ์ก็เกิดอีก เกิดไปจนวันนึงปัญญามันแจ้งขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา คราวนี้มันจะไม่ยินดียินร้ายของมันเองแล้ว

เบื้องต้นไม่ยินดียินร้ายเข้าไปรู้ทันความยินดียินร้ายเข้าเราจะได้ไม่ปรุงนาน พอฝึกมากเข้ามากเข้าเนี่ย มันเข้าใจความเป็นจริงของสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทั้งกายทั้งใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันจะหมดความยินดียินร้ายไปเอง นี่เป็นการที่มันเข้าถึงความยินดียินร้ายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสติ

เบื้องต้นรู้ด้วยสตินะ เห็นจิตมันยินดีก็รู้ อย่างไปเห็นสาวสวยใจมันชอบนะ เราเห็นลงไปรู้ทันความชอบนี้ ใจไม่ชอบอีกแล้วอยากให้หายราคะ อยากให้หาย รู้ทันลงไปที่ความอยากให้ราคะดับอีกมันยินร้ายอีกแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้นะอย่างนี้เรียกว่ารู้ด้วยสติ รู้ไปเรื่อยๆ ทันทีที่รู้ด้วยสตินะ ความยินดียินร้ายก็ดับ แต่ดับชั่วคราว ต่อไปพอซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นสภาวะเกิดดับไปเรื่อยๆ เห็นเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อย ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว ไม่รู้จะยินดีไปทำไม ไม่รู้จะยินร้ายไปทำไม อย่างนี้รู้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๐
File: 511108A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ทำอานาปานสติแล้วดูจิตก็ได้ เห็นมั้ยกรรมฐานนี้กว้าง เห็นมั้ย ทำสมาธิได้ทุกแบบเลยนะ จนถึงเข้าอรูปนะ แต่ตรงอรูปเนี่ยทิ้งเรื่องลมไปแล้ว แล้วเข้าไปดูจิตต่อ เข้าอรูปไป จะทำโดยใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ใช้สมาธินำปัญญาก็ได้ ใช้สมาธิและปัญญาควบกันก็ได้ เนี่ยอานาปานสติทำได้หมดเลย ตรงที่ใช้ปัญญานำสมาธินี้เอง เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เนี่ยเราใช้ปัญญานำสมาธิไปเลย ไม่ได้เข้าฌานนะ ถ้าใช้สมาธินำปัญญาก็คือ เข้าฌานไปก่อนนะ ออกจากฌานแล้วมาพิจารณาธาตุขันธ์ แล้วได้ตัวผู้รู้ออกมา จากฌานที่ ๒ ออกมาข้างนอกเนี่ยนะ ดู ดูธาตุดูขันธ์ทำงาน ดูได้เป็นวันๆเลย อันนี้ใช้สมาธินำปัญญา ตัวผู้รู้จะเด่นดวง อดทน ทนได้นาน

พวกใช้ปัญญานำสมาธิ ตัวผู้รู้จะอยู่แว้บๆ เพราะสมาธิที่ใช้ มันก็มีสมาธิเหมือนกัน สมาธิที่ใช้เดินปัญญามันแค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงอุปจาระ ไม่ถึงอัปนา นะ ได้แค่ ขณิกะ ให้รู้ตัวเป็นขณะๆ จิตหนีไปแล้วรู้ทัน ก็ได้สมาธิขึ้นมา ได้มานิดเดียว แต่พอหลายๆนิดเข้านะ นิดบ่อยๆเข้า มันก็รู้ได้เหมือนกัน ก็เห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนดู ตรงที่จิตเป็นคนดู ตรงนี้ล่ะ ได้ขณิกสมาธิแล้ว ตรงนี้เป็นปัญญานำสมาธิ เดินปัญญาไปก่อนแล้วสมาธิที่ถึงอัปนาฯจะเกิดทีหลัง แต่ตอนที่เดินปัญญานี้มีขณิกสมาธิอยู่

แล้วถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตล่ะ ทำไง? หายใจไป หายใจไปแล้วจิตมีความสุข รู้ ว่าจิตมีความสุข หายใจไปแล้วจิตเครียดๆขึ้นมา รู้ ว่าจิตเครียดๆ เนี่ย ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน ว่าจิตฟุ้งซ่าน หายใจไปแล้วจิตสงบ รู้ทัน ว่าจิตสงบ นี่หายใจแล้วดูจิต หายใจแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หายใจแล้วจิตตั้งมั่น สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ไหลเข้าไปในลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า “ดูจิต”

เพราะฉะนั้นนะ หายใจนะ ดูกายก็ได้ เจริญปัญญาด้วยการดูกาย เห็นกายมันหายใจ หายใจไม่ใช่แค่เห็นว่าร่างกายมันหายใจนะ บางทีโยงไปถึงท้องพองยุบ จิตเป็นคนดู เพราะฉะนั้นถ้าทำท้องพองยุบแล้วจิตเป็นคนดู ก็ใช้ได้เหมือนกัน เราจะเห็นว่า ร่างกายที่พองที่ยุบ ไม่ใช่เรา

ถ้าหายใจไปแล้ว จิตมีความสุขก็รู้ จิตมีความทุกข์ก็รู้ อันนี้ถือว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตสงบก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตตั้งมั่นอยู่ก็รู้ จิตไหลเข้าไปอยู่ที่ลมหายใจก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ืะ มันจะเห็นว่าจิตทุกชนิดไม่เที่ยง จิตสุขก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตกุศลก็ไม่เที่ยง จิตอกุศลก็ไม่เที่ยง เห็นจิตไม่เที่ยงตลอดเวลาเลย เนี่ยแหละ เดินปัญญาแล้วนะ ดูจิตจะเห็นอนิจจังง่ายนะ จะเห็นแต่ของไม่เที่ยง เปลี่ยนตลอดเวลา เปลี่ยนเร็วมากเลย

541106A.19m51-23m22

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วนะ เราก็เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย ทำอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเข้าฌาน เข้าไม่เป็นก็ไม่ต้องกลุ้มใจ อุปจาระก็ยังไม่ได้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อยๆใจเป็นคนดู มันจะเห็นทันทีเลยว่า ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง เห็นมั้ย เป็นอนิจจัง การหายใจเข้าก็ทนอยู่ได้ไม่นาน หายใจออกทนอยู่ได้ไม่นาน เป็นทุกขัง ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่ เห็นอย่างนี้เขาเรียกว่าเห็น “อนัตตา”

เห็นมั้ย ทำอานาปานสตินะ แล้วก็เห็นร่างกายแสดงไตรลักษณ์ นี่เดินปัญญาเลย พวกนี้ได้สุกขวิปัสสกะ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขาหรอก ไม่มีของเล่น ต่างจากพวกที่ไปทางฌานโน้น แต่พวกที่ไปทางฌานบางคนก็ไม่มีของเล่น อภิญญาจิตไม่เกิด ต้องสร้างบารมีพิเศษนะ ตั้งใจอธิษฐานไว้ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆองค์ยิ่งดี ยิ่งขลัง เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา ถ้าบารมีน้อย อยากเล่นอภิญญา จิตหลอนเสียเป็นส่วนใหญ่ กิเลสหลอกเอาไป ไม่ใช่อภิญญาจริงหรอก

541106A.18m21-19m49

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูรูปนามแสดงละคร

mp 3 (for download) : ดูรูปนามแสดงละคร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูรูปนามแสดงละคร

ดูรูปนามแสดงละคร

หลวงพ่อปราโมทย์ : การเจริญปัญญานั้นจะรู้รูปธรรมนามธรรมว่าเป็น“ไตรลักษณ์” ต้องการเห็นตรงนี้

เราจะเจริญปัญญาได้นะ ถ้าหากเรามีสติรู้รูปรู้นาม รู้ตามความเป็นจริง คือไม่เข้าไปแทรกแซงนะ มันเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีสติรู้กายรู้ใจรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าทำได้อย่างนี้นะปัญญาจะเกิด มันจะเห็นความจริงของรูปของนามได้

จิตมันเป็นแค่คนดู รูปนามนั้นแสดงละครให้จิตดู จิตเหมือนคนดูละคร รูปนามเป็นตัวละครผลัดกันมาแสดง เดี๋ยวตัวดีมาเดี๋ยวตัวร้ายมา เดี๋ยวตัวสุขมาเดี๋ยวตัวทุกข์มา เดี๋ยวรูปธรรมมาเดี๋ยวนามธรรมมา มันแสดงให้เราดู เราเป็นคนดูเฉยๆ ถ้าเราดูได้อย่างนี้ เราก็จะรู้เลยตัวละครทุกตัวเมื่อออกมาแสดงแล้ว ไม่นานก็ต้องไป

มีมั้ยตัวละครที่ไม่ยอมเข้าไปในโรงเลยมีมั้ย เราคงไม่ดูหรอก มันต้องไหลไปเรื่อย เปลี่ยน ตัวนี้มาตัวนี้ไปตัวนี้มาตัวนี้ไป หมุนเวียนไปเรื่อย ดูไปดูไปถึงรู้เลยโลกนี้เป็นโรงละครเท่านั้น ไม่ได้มีจริงหรอก ขันธ์ทั้งหลายที่แสดงละครให้เราดูเป็นแค่ตัวละครหลอกๆ เหมือนเราดูละครเรารู้แล้วละครไม่ใช่เรื่องจริง เราเห็นขันธ์ห้าแสดงละคร เรารู้เลยนี่มันแค่สมมติขึ้นมา แค่ตัวหลอกๆขึ้นมา

ใจไม่ไปหลงยินดียินร้ายในขันธ์ห้าเนี่ย ใจจะคลายความยึดถือในขันธ์ห้าออก ถ้าใจไม่ยึดในขันธ์ห้านะก็ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ตรงนั้นเอง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ไม่ยึดตรงนั้น ไม่ยึดเพราะปัญญา ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะน้อมใจให้ไม่ยึด ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะเจตนาไม่ยึด แต่จิตมันไม่ยึดของมันเองเพราะมันเห็นความจริงแล้วว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เค้าถึงไม่ยึด เค้าไม่ยึดของเค้าเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๖
File: 541008B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๕ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

mp 3 (for download) : การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

การภาวนามีแต่เจริญแล้วเสื่อม

โยม : สงสัยว่าบางวันน่ะค่ะ ก็รู้สึกเหมือนรู้น่ะค่ะ แต่บางวันก็เหมือนไม่แน่ใจว่าไม่รู้คิดหรือรู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นอย่างนั้นทุกคนแหล่ะ  เป็นอย่างนั้นทุกคนนะ บางวันภาวนาง่าย บางวันเหมือนภาวนาไม่เป็น เป็นทุกคน พอรู้สึกว่าภาวนาไม่เป็นอย่าไปดิ้นรนค้นคว้าให้รู้ว่าใจมันเหมือนกับไม่รู้เรื่อง ดูไม่รู้เรื่องก็รู้ว่าดูไม่รู้เรื่องไป ถ้าเราไม่ชอบเราไปยิ่งดิ้นรนค้นคว้านะ ยิ่งเสียเลย ยิ่งดูไม่ออก การภาวนามันมีแต่เจริญแล้วเสื่อมเจริญแล้วเสื่อมไปเรื่อยนะ บางทีก็รู้บางทีก็หลงบางทีก็รู้บางทีก็หลง ไม่มีหรอกดีถาวรสุขถาวรสงบถาวร ไม่มี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719.mp3
ระหว่างชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๙ ถึง ชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชาวพุทธที่ดีต้องพึ่งตนเองได้

mp3 (for download) : ชาวพุทธที่ดีต้องพึ่งตนเองได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ชาวพุทธที่ดีต้องพึ่งตนเองได้

ชาวพุทธที่ดีต้องพึ่งตนเองได้

โยม : ตอนนี้สภาวะจิตหนูเป็นยังไงบ้างคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตอนนี้เหรอบ อกหลวงพ่อได้มั้ยเป็นยังไง ทื่อๆรู้สึกมั้ย ทื่อๆไปข่มไว้ ตื่นเต้น ตื่นเต้นแล้วก็กดเอาไว้นะ แล้วก็ฟุ้งซ่านหน่อยๆรู้สึกมั้ย ใจวิ่งยุกยิกยุกยิกดูออกเปล่า เนี่ยหลงไปอีกแล้วเห็นมั้ย สงสัยทราบมั้ย เอ้อ อ๋อแล้ว หัดรู้สภาวะ

ทำไมหลวงพ่อพาให้ดูอย่างนี้ หลวงพ่อพาให้ดูสภาวะนะ ถ้าเมื่อใดดูสภาวะได้แล้ว เราปฏิบัติได้ด้วยตนเองเมื่อนั้นเลย งั้นสิ่งที่หลวงพ่อสอนเนี่ย หลวงพ่อจะไม่ใช่ว่าขยักความรู้อะไรไว้นะ หลวงพ่อสอนเพื่อให้พวกเราเนี่ยพึ่งตัวเองได้ ชาวพุทธที่ดีต้องพึ่งตัวเองได้นะ เรียนธรรมะไปเนี่ยวันนึงต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องพึ่งหลวงพ่อตลอดไป ต้องมาคอยถามหลวงพ่อว่าจะทำอย่างโง้นทำอย่างงี้ ถ้าเราเห็นสภาวะไปเรื่อยๆ แล้วสภาวะน่ะสอนเองสภาวะจะแสดงไตรลักษณ์ อย่างเมื่อกี้ดูออกมั้ย จิตเดี๋ยวก็หนีไป เดี๋ยวก็รู้สึก เดี๋ยวก็หนีไป เดี๋ยวก็รู้สึก เนี่ยหัดรู้สึกอย่างนี้แหล่ะ ไม่ได้ฝึกเพื่อจะรู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ฝึกเพื่อให้เห็นความจริงว่า เดี๋ยวจิตก็เผลอ เดี๋ยวจิตก็รู้ เดี๋ยวจิตก็เผลอ เดี๋ยวจิตก็รู้ บางคนเดี๋ยวจิตก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็เพ่ง มีหลายแบบ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๓
File:
510817.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วจะไม่ทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วจะไม่ทุกข์

เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วจะไม่ทุกข์

เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วจะไม่ทุกข์

หลวงพ่อปราโมทย์ : ระลึกรู้ตามที่มันเป็นนะ เราก็จะรู้ว่าจริงๆแล้วธรรมชาติเป็นยังไง เราจะเข้าใจธรรมชาติอย่างน้อยใน ๓ dimension อันหนึ่งธรรมชาติทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นมามีแค่รูปกับนาม ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล-เรา-เขา ธรรมชาติข้อที่ ๒ ก็คือ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปอย่างที่อยาก

อันที่ ๓ จะรู้อริยสัจจ์ คือ ลำพังสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นนะ เรายังไม่ทุกข์หรอก ถ้าอยากถ้ายึดเมื่อไหร่จะทุกข์ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติอย่างนี้แล้ว ความหลงอยากหลงยึดนั้นจะหายไป ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นมา

เพราะฉะนั้นสรุปนะ พระพุทธเจ้าสอนว่า เป้าหมายของเราก็คือ ทำอย่างไรเราจะไม่ทุกข์ ท่านชี้ต่อมาว่าความทุกข์เกิดจากใจเราอยากใจเรายึด ใจเราทำไมถึงอยากถึงยึด ถ้าใจเราไม่รู้ความเป็นจริงของธรรมชาติ เช่น เราคิดว่าบ้านนี้ของเรา ร่างกายนี้ของเรา จะต้องอยู่นานๆ จะต้องไม่เจ็บป่วย เราไม่รู้ธรรมชาติ เราไม่ยอมรับธรรมชาติ ว่ามันจะต้องป่วย บ้านมันจะต้องพัง ชีวิตจะต้องเผชิญกับปัญหา เผชิญกับสุขบ้างทุกข์บ้าง เราจะต้องสัมผัสกับอารมณ์ที่ดีบ้าง อารมณ์ที่ไม่ดีบ้าง ธรรมชาติทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นพอเราไม่รู้ทันการกระทบเข้ามา เราก็หลงยินดียินร้าย หลงอยากหลงยึด แล้วเราก็ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก เพราะว่าเราไปอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

*หมายเหตุ เป็นพระธรรมเทศนาในพรรษาแรก ย่างเข้าพรรษาที่สอง ที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี หนองตากยา ท่าม่วง กาญจนบุรี

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๕ หลังฉันเช้า
ณ.สวนโพธิญาณอรัญวาสี หนองตากยา ท่าม่วง กาญจนบุรี


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑
File: 450714B
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 10« First...23456...10...Last »