Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

mp3 for dowload : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอานาปานสตินะ คลุมสติปัฏฐาน ๔ ได้ด้วย ไม่มีกรรมฐานอะไรเหมือนเลยนะ ตั้งแต่โหลยโท่ย ไม่มีสติเลย หรือทำจนเครียดสติแตกไปเลยนะ ก็เป็นไปได้ ทำอานาปานสติแล้วก็พลิกไปทางกสิณ เล่นอภิญญาก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานเพื่อพักผ่อน ออกจากฌานมา มาเดินปัญญา ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำแล้วเข้าอัปปนาสมาธิ เข้าฌาน เจริญปัญญาอยู่ในฌานเลยก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจ-ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา นี่เดินปัญญานะ ใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ไปดูจิตดูใจ หายใจไป จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้รู้ทัน นี่เดินปัญญาดูจิต เดินปัญญาดูกาย เดินปัญญาดูจิต แจกแจงให้ครบก็คือ การทำสติปัฏฐาน ๔ ครบทั้งหมดเลย

เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นกายไม่ใช่เรา เป็นกายานุปัสสนา

หายใจไปมีความสุข หายใจไปความสุขหายไป หายใจไปแล้วมีความทุกข์ หายใจแล้วความทุกข์หายไป หายใจแล้วมีอุเบกขา แล้วอุเบกขาหายไป อันนี้เป็นเวทนานุปัสสนา

หายใจแล้วฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วสงบ รู้ว่าสงบ หายใจไปแล้วจิตรวม เป็นมหัคคตะ หายใจแล้วจิตไม่รวม อย่างนี้เป็นจิตตานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออกไป แต่ละขันธ์ทำงานของขันธ์ เป็นขันธบรรพ ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วโพชฌงค์เกิดขึ้น มีสติรู้ลมหายใจ มีความเพียรที่จะรู้ลมหายใจ มีฉันทะ หายใจแล้วสบายใจ วิริยะมันก็เกิด มีความเพียร ตามรู้ตามเห็นในตัวที่หายใจอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธัมมวิจยะ มีปีติขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ปีติในฌาน เป็นปีติเพราะมีปัญญา มีปีติแล้ว สติรู้ทันปีติ หายใจไปมีปีติ รู้ทัน ปีติดับ สงบเข้ามาเป็น ปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นอุเบกขา เห็นจิตมันเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป เป็นลำดับ ตามหลักของโพชฌงค์ อันนี้ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วมีนิวรณ์ขึ้นมา รู้เท่าทันนิวรณ์นั้น นิวรณ์เกิดแล้วดับไป เป็นนิวรณบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นอริยสัจ ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วตัณหาเกิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น หายใจแล้วมีความทุกข์ ตัณหาก็เกิดอยากให้มันหายไป อยากให้ความทุกข์หายไป มีตัณหาขึ้นมาจิตใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เห็นปฏิจจสมุทปบาท (อยู่ในธัมมานุปัสสนา – ผู้ถอด)

ฉะนั้น หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำจนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญ

541106B.14m43-18m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

mp3 (for download) : ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตัวที่จะทำให้ธรรมะสามัคคีกันคือตัวสมาธิ สมาธิเนี่ยเป็นภาชนะเป็นที่รองรับองค์ธรรมฝ่ายกุศลทั้งหมดเลย ให้รวมเข้ามาในจุดเดียวกันคือรวมลงมาที่จิต ไปรวมที่อื่นก็ไม่ได้นะ นั่นสมาธิออกนอกจิตไปรวมอยู่ที่อื่นนะธรรมะไม่สามัคคีกัน

ธรรมะจะสามัคคีได้เนี่ยอาศัยพลังของสมาธิในระดับฌานขึ้นไป ตั้งแต่ปฐมฌานเลยจิตรวมลงที่จิต งั้นฌานแท้ๆนี่จิตไม่ไปรวมอยู่ที่อื่นนะ จิตรวมลงที่จิต แล้วสติสมาธิปัญญาอะไรต่ออะไรนะ คุณงามความดี โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อิทธิบาท อะไรต่ออะไรนะ มันจะเกิดร่วมกันที่จิต เกิดพร้อมๆกันที่จิต เพราะธรรมะสามัคคีกันได้ถึงจะโค่นล่มกิเลสได้

กิเลสนะสามัคคีกันมาตลอดเลยรักกันเหนียวแน่นนะ มีหมัดตามมาเป็นชุดๆเลยเวลากิเลสมา อย่างเป็นต้นว่าวันไหนเราฟุ้งซ่านตามใจกิเลสนะ ไปเดินห้างเล่นฟุ้งซ่านดูอะไรเพลินไป เดี๋ยวราคะก็เกิดแล้ว เห็นอันนู้นก็อยากได้เห็นอันนี้ก็อยากได้ พออยากได้แล้วไม่มีสตางค์จะซื้อนะ โทสะก็เกิดแล้ว ไม่สบายใจ กิเลสเล่นเป็นทีมเลยนะ อาศัยความฟุ้งซ่านของจิตนะมายืนพื้นเลย กุศลก็ต้องอาศัยสมาธิเป็นตัวยืนพื้นไว้ถึงจะประชุมลงได้ เนี่ยธรรมะกับอธรรมนะมันสู้กันมาอย่างนี้ตลอดเวลา

แต่คนในโลกนี้มันแพ้ไม่ภาวนาปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม จิตเลยไม่รวมลงที่จิต ศีลสมาธิปัญญาและธรรมฝ่ายดีทั้งหลายไม่ประชุมพร้อมๆกัน ต่างคนต่างมา ไม่สามัคคี อกุศลเนี่ยโอ้โหสามัคคีกันมากเลย สังเกตมั้ยช่วงไหนฟุ้งซ่านมากนะ ราคะอะไรงี้แรง ช่วงไหนราคะมากสังเกตมั้ยต่อไปโทสะแรง สังเกตมั้ยโทสะแรงอีกหน่อยเซื่องซึมถัดจากนั้น หมดแรงแล้วซึมๆไปหน่อย พอซึมได้ที่มีเรี่ยวมีแรงฟุ้งซ่านอีกแล้ว โอ้ เล่นไม่มีเลิกเลยนะ มันวางแผนพร้อมๆกันนะ วนเวียนผลัดกันชกก็มีนะ รุมกันชกก็มีนะ

งั้นพวกเราต้องมาพัฒนากุศลของเราให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เห็นมั้ยท่านไม่ได้บอกให้พัฒนากุศลนะ ท่านไม่ได้กำหนดไว้แค่นั้น ท่านบอกให้เราเนี่ยพัฒนากุศลให้ถึงพร้อม ถึงพร้อมคือกุศลต้องมีครบเลย ทุกชนิดเลย คือความไม่ประมาท ถ้าประมาทคือขาดสติ ต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติไม่มีกุศลหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
อ. ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: พระธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 541205

ระหว่างนาทีที่  ๓ วินาทีที่ ๓๖ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๒) ดูจิตด้วยอานาปานสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ทำอานาปานสติแล้วดูจิตก็ได้ เห็นมั้ยกรรมฐานนี้กว้าง เห็นมั้ย ทำสมาธิได้ทุกแบบเลยนะ จนถึงเข้าอรูปนะ แต่ตรงอรูปเนี่ยทิ้งเรื่องลมไปแล้ว แล้วเข้าไปดูจิตต่อ เข้าอรูปไป จะทำโดยใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ใช้สมาธินำปัญญาก็ได้ ใช้สมาธิและปัญญาควบกันก็ได้ เนี่ยอานาปานสติทำได้หมดเลย ตรงที่ใช้ปัญญานำสมาธินี้เอง เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เนี่ยเราใช้ปัญญานำสมาธิไปเลย ไม่ได้เข้าฌานนะ ถ้าใช้สมาธินำปัญญาก็คือ เข้าฌานไปก่อนนะ ออกจากฌานแล้วมาพิจารณาธาตุขันธ์ แล้วได้ตัวผู้รู้ออกมา จากฌานที่ ๒ ออกมาข้างนอกเนี่ยนะ ดู ดูธาตุดูขันธ์ทำงาน ดูได้เป็นวันๆเลย อันนี้ใช้สมาธินำปัญญา ตัวผู้รู้จะเด่นดวง อดทน ทนได้นาน

พวกใช้ปัญญานำสมาธิ ตัวผู้รู้จะอยู่แว้บๆ เพราะสมาธิที่ใช้ มันก็มีสมาธิเหมือนกัน สมาธิที่ใช้เดินปัญญามันแค่ขณิกสมาธิ ไม่ถึงอุปจาระ ไม่ถึงอัปนา นะ ได้แค่ ขณิกะ ให้รู้ตัวเป็นขณะๆ จิตหนีไปแล้วรู้ทัน ก็ได้สมาธิขึ้นมา ได้มานิดเดียว แต่พอหลายๆนิดเข้านะ นิดบ่อยๆเข้า มันก็รู้ได้เหมือนกัน ก็เห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนดู ตรงที่จิตเป็นคนดู ตรงนี้ล่ะ ได้ขณิกสมาธิแล้ว ตรงนี้เป็นปัญญานำสมาธิ เดินปัญญาไปก่อนแล้วสมาธิที่ถึงอัปนาฯจะเกิดทีหลัง แต่ตอนที่เดินปัญญานี้มีขณิกสมาธิอยู่

แล้วถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตล่ะ ทำไง? หายใจไป หายใจไปแล้วจิตมีความสุข รู้ ว่าจิตมีความสุข หายใจไปแล้วจิตเครียดๆขึ้นมา รู้ ว่าจิตเครียดๆ เนี่ย ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน ว่าจิตฟุ้งซ่าน หายใจไปแล้วจิตสงบ รู้ทัน ว่าจิตสงบ นี่หายใจแล้วดูจิต หายใจแล้วจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ หายใจแล้วจิตตั้งมั่น สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ไหลเข้าไปในลมหายใจ อันนี้ก็เรียกว่า “ดูจิต”

เพราะฉะนั้นนะ หายใจนะ ดูกายก็ได้ เจริญปัญญาด้วยการดูกาย เห็นกายมันหายใจ หายใจไม่ใช่แค่เห็นว่าร่างกายมันหายใจนะ บางทีโยงไปถึงท้องพองยุบ จิตเป็นคนดู เพราะฉะนั้นถ้าทำท้องพองยุบแล้วจิตเป็นคนดู ก็ใช้ได้เหมือนกัน เราจะเห็นว่า ร่างกายที่พองที่ยุบ ไม่ใช่เรา

ถ้าหายใจไปแล้ว จิตมีความสุขก็รู้ จิตมีความทุกข์ก็รู้ อันนี้ถือว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตสงบก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ะ หายใจไปแล้วจิตตั้งมั่นอยู่ก็รู้ จิตไหลเข้าไปอยู่ที่ลมหายใจก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่าดูจิตล่ืะ มันจะเห็นว่าจิตทุกชนิดไม่เที่ยง จิตสุขก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตกุศลก็ไม่เที่ยง จิตอกุศลก็ไม่เที่ยง เห็นจิตไม่เที่ยงตลอดเวลาเลย เนี่ยแหละ เดินปัญญาแล้วนะ ดูจิตจะเห็นอนิจจังง่ายนะ จะเห็นแต่ของไม่เที่ยง เปลี่ยนตลอดเวลา เปลี่ยนเร็วมากเลย

541106A.19m51-23m22

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๑) การเจริญปัญญาสำหรับสุกขวิปัสสโก

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอเรามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้วนะ เราก็เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย ทำอานาปานสตินี่แหละ ไม่ต้องเข้าฌาน เข้าไม่เป็นก็ไม่ต้องกลุ้มใจ อุปจาระก็ยังไม่ได้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ เห็นร่างกายหายใจไปเรื่อยๆใจเป็นคนดู มันจะเห็นทันทีเลยว่า ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายที่หายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง เห็นมั้ย เป็นอนิจจัง การหายใจเข้าก็ทนอยู่ได้ไม่นาน หายใจออกทนอยู่ได้ไม่นาน เป็นทุกขัง ร่างกายที่หายใจอยู่เป็นวัตถุธาตุ เป็นก้อนธาตุ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เป็นแค่วัตถุธาตุเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่ เห็นอย่างนี้เขาเรียกว่าเห็น “อนัตตา”

เห็นมั้ย ทำอานาปานสตินะ แล้วก็เห็นร่างกายแสดงไตรลักษณ์ นี่เดินปัญญาเลย พวกนี้ได้สุกขวิปัสสกะ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขาหรอก ไม่มีของเล่น ต่างจากพวกที่ไปทางฌานโน้น แต่พวกที่ไปทางฌานบางคนก็ไม่มีของเล่น อภิญญาจิตไม่เกิด ต้องสร้างบารมีพิเศษนะ ตั้งใจอธิษฐานไว้ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งหลายๆองค์ยิ่งดี ยิ่งขลัง เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา ถ้าบารมีน้อย อยากเล่นอภิญญา จิตหลอนเสียเป็นส่วนใหญ่ กิเลสหลอกเอาไป ไม่ใช่อภิญญาจริงหรอก

541106A.18m21-19m49

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 42
File: 541106A.mp3
นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

mp3 (for download) : ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

ทุกข์นานเพราะคิดซ้ำ

โยม : คือหนูสงสัยเรื่องจิตเกิดดับที่ท่านสอนน่ะค่ะ สงสัยว่าคือจิตเกิดดับเร็ว แล้วก็ในวันนึงมันเกิดดับตั้งหลายครั้งใช่มั้ยคะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) แล้วทำไมสมมติว่าเรามีความทุกข์ ทำไมมันทุกข์ไปสามวันเจ็ดวันพอมันดับแล้วทำไมมันไม่หายทุกข์ล่ะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ  ถ้าเหตุของทุกข์ตัวนั้นยังอยู่ จิตดวงใหม่ที่เกิดมาตามเหตุของทุกข์มันก็ยังทุกข์อีก มันเป็นคนละตัวกัน หลวงพ่อเคยถามเด็กผู้หญิงคนนึงนะ เด็กผู้หญิงนั้นน่ะหน้าตาเนี่ยชอบชอปปิ้งมากเลย ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่เมืองกาญฯใกล้ๆนี้เองนะ ถามเลยว่า เคยไปเที่ยวตามศูนย์การค้าอะไรมั้ย รู้ว่าชอบเที่ยวหน้าตาบอกยี่ห้อเลย บอกเคยๆ ความจริงไปแทบทุกวันน่ะ ถามว่า แล้วเคยมั้ยที่ไปเที่ยวศูนย์การค้าแล้วก็เกิดปวดท้องกระทันหันอะไรเงี้ย วิ่งหาห้องน้ำอะไรเงี้ยเคยมั้ย เคย

ทีแรกหลวงพ่อถามอย่างงี้ก่อนว่าใครมีความทุกข์นานๆบ้าง เค้ายกมือเลยนะว่าเค้าทุกข์นาน ถามว่าทุกข์เรื่องอะไร อกหัก ถามว่านานจริงเหรอ จริง ทุกข์อยู่ตั้งหลายวันตั้งเป็นเดือนเลยนะ เลยถามเค้าว่าไปชอปปิ้งบ้างมั้ย บอกเคย ไปชอปปิ้งแล้วเคยปวดท้องอยากหาห้องน้ำแล้วก็หาไม่ได้มีมั้ยห้องน้ำมีแต่คนอยู่อะไรนี้ บอกเคย ตอนที่วิ่งหาห้องน้ำเนี่ยอกหักมั้ย อกไม่หักหรอกแต่ว่าห้องน้ำอยู่ไหนอ่ะ มันทุกข์ขึ้นมาอีก พอเข้าห้องน้ำเรียบร้อยนะปลดทุกข์แล้ว ภาระฉุกเฉินได้รับการยกเว้นแล้วประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน กลับมาคิดใหม่ มึงหักอกกู ก็กลับมาทุกข์อีก เพราะนั้นความทุกข์หรือความสุขหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนะเกิดจากเหตุทั้งสิ้น ถ้าเหตุของมันอยู่ มันยังอยู่ นั้นเราทำเหตุซ้ำก็คือการคิดในเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ความทุกข์ก็เกิด มันเกิดใหม่ๆหรอก

ตอนนอนหลับไปฝันเรื่องนี้มั้ย ตอนหลับบางทีก็ฝันบางทีก็ไม่ฝันใช่มั้ย ลืมเรื่องทุกข์นี่แล้ว ทุกข์เที่ยงมั้ย ทุกข์ไม่เที่ยงทุกข์มีอยู่ตอนที่นั่งคิด คิดเรื่องนี้ต่างหาก นี้เราคิดเราคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่แรมเดือนแรมปีก็เลยรู้สึกว่าทุกข์นาน ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันนะ อย่างคนมันหักอกเรานะ มันหักแว้บเดียวเอง เราทุกข์อยู่เป็นปีเพราะเราคิดซ้ำ นั้นเราอย่าไปคิดซ้ำ อยู่กับปัจจุบันไป ไม่มีความทุกข์นานๆ ไม่มี ไม่มีหรอกความสุขนานๆ มีแต่ของชั่วคราว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File: 541207
ระหว่างนาทีที่ ๕๔ วินาทีที่ ๑๗ ถึงนาทีที่ ๕๖ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติรักษาใจ จะมีศีลโดยอัตโนมัติ

mp3 (for download) : มีสติรักษาใจ จะมีศีลโดยอัตโนมัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


มีสติรักษาใจ จะมีศีลโดยอัตโนมัติ

มีสติรักษาใจ จะมีศีลโดยอัตโนมัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใครๆก็บอกว่าตัวเองมีสติ ในความเป็นจริงแล้วคนในโลกนี้ไม่ค่อยมีสติหรอก มีแต่คนหลงคนลืมตัวเอง ใจลอยทั้งวัน ใจฟุ้งซ่านทั้งวัน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีร่างกายแล้วก็ลืมมัน มีจิตใจแล้วก็ลืมมัน

เราไม่เคยรู้สึกนะในร่างกายของเรา เราลืมมันทั้งวันเลย เรารู้หมดเลยใครเค้าเดินยังไง เคลื่อนไหวยังไง ใครเค้าไปไหนมาไหน เรารู้หมดเลย แต่เราหายใจออกหรือหายใจเข้าเรายังไม่ค่อยจะรู้เลย เราจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรนี้ เราไม่ค่อยรู้ตัวของเราเอง จิตใจของเราจะสุขจิตใจเราจะทุกข์ จิตใจเราจะดีจิตใจเราจะเลว เราก็ไม่เคยรู้ทันมันเลย นี่เรียกว่าเราขาดสติ

สตินั้นเป็นเครื่องมือรู้ทันกายรู้ทันใจของตัวเอง โดยเฉพาะการที่เรามีสติรู้ทันจิตใจของตนเองนั่นแหล่ะจะทำให้เรารักษาศีลง่าย เพราะว่าคนทำผิดศีลนะมันผิดมาเพราะกิเลสครอบงำจิตได้ ถ้ากิเลสครอบงำจิตไม่ได้มันทำผิดศีลไม่ได้ เพราะงั้นเรามามีสตินะคอยรู้ทัน กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่จิตเราคอยรู้ทัน กิเลสอะไรเกิดที่จิตเราคอยรู้ทัน การที่เราคอยรู้ทันมีสติ คอยรู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นที่จิตนี่แหล่ะ จะทำให้เรามีศีลอัตโนมัติเกิดขึ้น

เช่นโทสะเกิดขึ้นเรารู้ทันนะ เราก็ไม่ไปฆ่าใคร ไม่ไปตีใครไม่ไปด่าใคร ไม่ไปทำลายทรัพย์สินของใคร อยู่แค่รู้ทันโทสะที่เกิดที่จิตนี่แหล่ะ เนี่ยการรักษาศีลที่ดีรักษากันที่จิตนี่ รักษาที่มือที่เท้าที่ปากนะเดี๋ยวๆก็ขาดแล้วเพราะจิตมันไม่ดี ถูกกิเลสลากเอาไป ราคะเกิดที่จิตเราก็มีสติรู้ทันนะ ถ้าเรารู้ทันราคะมันจะดับ เราจะไม่ทำผิดศีลเพราะว่าราคะ ทำผิดศีลเพราะราคะอย่างไปฆ่าเค้าเพราะราคะมีมั้ย ฆ่าเค้าเพราะอยากได้สมบัติของเค้าก็ไปฆ่าเค้า ไปขโมยเค้า ไปประพฤติผิดในกามอันนี้ก็เพราะราคะ ไปปลิ้นปล้อนหลอกลวง ผิดศีลข้อ ๔ ก็เพราะราคะ อาศัยราคะอาศัยโทสะที่เกิดขึ้นแล้วเราไม่มีสติรู้ทันนั่นแหล่ะเราถึงทำผิดศีล ๕ ได้

ถ้าเรามีสติรู้ทันนะอย่างใจฟุ้งซ่านขึ้นมารู้ทัน ใจฟุ้งซ่านรู้ทัน กิเลสหยาบๆมันจะเกิดไม่ได้ นี่เป็นวิธีรักษาศีลที่เราจะรักษาได้ตลอดรอดฝั่ง คนที่เรียนกับหลวงพ่อนะไปส่งการบ้านที่วัดก็เยอะแยะนะ เค้าก็ไปเล่าว่าแต่เดิมรักษาศีลไม่ค่อยสำเร็จหรอก เพราะว่าพยายามรักษาที่กายที่วาจา แป๊บเดียวพอใจมันเผลอนะกายวาจามันก็ทำผิดไปด้วย แต่พอมาหัดเจริญสตินะ มาคอยรู้ทันมาคอยรู้ทัน ศีลมันเกิดเอง ไม่ต้องเจตนารักษาเลย ศีลมันมาเองเลย งั้นเราจะรักษาศีลให้ดีเนี่ยนะ รักษาที่จิต กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่จิต รู้ทัน กิเลสอะไรเกิดที่จิต รู้ทัน แล้วศีลมันจะมาเอง ถ้าเราไม่รู้ทันกิเลสที่เกิดที่จิต ศีลมันไปเองมันไปอย่างรวดเร็วเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File:
541207
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๐ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รักษาศีลให้รักษาที่ใจ

mp3 (for download) : รักษาศีลให้รักษาที่ใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รักษาศีลให้รักษาที่ใจ

รักษาศีลให้รักษาที่ใจ

หลวงพ่อปราโมทย์ : การปฏิบัติธรรมจริงๆไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรหรอก การปฏิบัติธรรมจริงๆปฏิบัติไปก็เพื่อขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราไปเป็นลำดับๆ กิเลสหยาบๆ ราคะ โทสะ โมหะ โกรธแรงๆโลภแรงๆ หลงแรงๆฟุ้งซ่านมากๆอะไรงี้ มันจะทำให้คนเราทำผิดศีล งั้นเราก็ตั้งใจรักษาศีลไว้ก่อน

ศีลในเบื้องต้นต้องตั้งใจรักษา อย่างเรากล่าวปฏิญาณนะ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เป็นการบอกเลยเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ เราก็ต้องทำตามพ่อตามแม่ของเราสอนให้ได้ ไม่ใช่รับศีลเล่นๆหรอก เรารับไปก็เพื่อเอาไปปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาตัวเองให้สมกับที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ให้สมกับที่เราเกิดมาในแวดวงของธรรมะ ถ้าเรารับแล้วก็ทิ้งไปเปล่าๆไม่มีประโยชน์

งั้นศีลก็เอาไว้เพื่ิอขัดเกลาตัวเองนั่นเอง อย่างคนเราจะทำผิดศีลได้นะ วิธีจะรักษาศีลให้ดีนะไม่ใช่แค่ตั้งใจจะรักษาศีล ไม่ใช่แค่มาขอกับพระ มาขอศีลแป๊บเดียวแต่เดี๋ยวเดียวศีลขาดแล้ว ศีลขาดง่ายมากนะโดยเฉพาะศีลข้อ ๔ ศีลข้อ๔ไม่ใช่แค่มุสาวาท ไม่ใช่แค่โกหก มันรวมไปถึงการพูดที่ไม่ดีอย่างอื่นอีกเยอะแยะเลย เช่นการพูดส่อเสียดยุให้เค้าทะเลาะกัน การพูดคำหยาบ การพูดเพ้อเจ้อ พูดเพ้อเจ้อก็คือพูดโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด มีมั้ยพวกเรามีมั้ย วันๆนะเราพูดโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดเยอะมากเลย การที่เราพูดอะไรต่ออะไรโดยไม่จำเป็นต้องพูดเนี่ย สิ่งที่ได้มาก็คือความฟุ้งซ่านของจิต จิตไม่สงบหรอก งั้นศีลนี่แหล่ะเป็นการขัดเกลาเบื้องต้น

แต่ว่าเราจะขัดเกลาได้ไม่ใช่แค่ไปขอศีล ต้องรู้จักวิธีรักษาศีลที่ดี การรักษาศีลที่ดีไม่ใช่รักษาที่กายที่วาจา คนเราทำผิดศีลได้เพราะใจมันทำผิดศีลก่อน ใจมันต้องชั่วซะก่อนนะ กายวาจามันถึงจะชั่วตาม อย่างใจเรามีโทสะแรงๆเราถึงจะฆ่าเค้าได้ ตีเค้าได้ด่าเค้าได้ ทำลายทรัพย์สินเค้าได้ ใจของเราต้องมีราคะก่อนนะถึงจะไปปล้นฆ่าเค้าได้ ไปชิงทรัพย์เค้าได้ เป็นชู้กับเค้าได้ พูดจาหลอกลวงนะอะไรต่ออะไรเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้มันเกิดมาจากใจเราทั้งสิ้นเลย

เพราะนั้นถ้าเราอยากรักษาศีลให้มันตลอดรอดฝั่งนะ มารักษาที่ใจ เครื่องมือในการที่จะรักษาศีลที่ใจเราได้ดีนะก็คือสตินั่นเอง สติเนี่ยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลย ถ้ามีสติถึงจะมีศีล ถ้าขาดสติคุณงามความดีทั้งหลายหายหมดเลย เพราะนั้นสิ่งสำคัญมากที่เราจะต้องพัฒนาขึ้นมาให้ได้คือความมีสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File:
541207
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศาสนาพุทธมุ่งที่ปัญญา

mp 3 (for download) : ศาสนาพุทธมุ่งที่ปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ศาสนาพุทธนะมุ่งมาที่ตัวปัญญาเนี่ยตัวสำคัญเลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการสอนเรื่องการเจริญปัญญา ส่วนการทำทานการรักษาศีลการทำสมาธิมีมาตลอด มีมาตลอดไม่ขาดช่วง เรียกว่าสาธารณกุศล สาธารณกุศลหมายถึงเป็นบุญทั่วๆไป ไม่เฉพาะศาสนาพุทธหรอก เค้าก็มี อย่างมุสลิมก็มีซะกาต ใครรู้จักมั้ยซะกาต ซะกาตเนี่ยถึงปีนะคนที่มีรายได้ต้องสละ คล้ายๆภาษีเป็นภาษีทางศาสนาสละเอาไปช่วยคนที่ยากจนกว่า เนี่ยเค้าก็ทำทานนะเป็นเรื่องดี เค้ามีสมาธิมั้ยก็มี การที่เค้าละหมาดวันละห้าครั้งคิดถึงพระเจ้าวันละห้าครั้งถ้าเทียบกับศาสนาพุทธก็คือเทวตานุสติ การระลึกถึงเทพนึกถึงเทวดาก็ได้สมาธิ เห็นมั้ยเค้าก็มีทำทานก็มีสมาธิก็มี ศีลเค้ามีมั้ยเค้าก็มีศีลอย่างของเค้าใช่มั้ย มีการดำรงชีวิตอย่างมีระเบียบมีวินัยเข้มงวดกวดขันมากกว่าเราซะอีก งั้นแค่ทำทานรักษาศีลทำสมาธิศาสนาอื่นก็มี

มาถึงขั้นเจริญปัญญาพวกเราต้องเรียนให้มาก ถ้าเราลืมการเจริญปัญญาก็เท่ากับเราทิ้งศาสนาพุทธไปแล้ว พระพุทธเจ้าสอนบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญานะ ถ้าเราปราศจากปัญญาจิตเราจะบริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าจิตยังบริสุทธิ์ไม่ได้จิตยังต้องเจือต้องระคนด้วยความทุกข์เสมอไปยังมีความทุกข์ตลอดไป แต่ถ้าจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์นะไม่มีอะไรย้อมจิตได้จิตก็ไม่ทุกข์อีก จิตที่มันทุกข์ขึ้นมาได้เพราะจิตโดยตัวของมันเป็นตัวรู้ จิตโดยตัวของมันไม่ใช่ตัวต้องมาเป็นทุกข์อะไร เป็นแค่ตัวรู้เท่านั้นเอง แต่เพราะกิเลสนะเพราะมันไม่บริสุทธิ์กิเลสมันย้อมจิตได้ มันเลยไม่ใช่ตัวรู้ที่ดีเป็นตัวรู้สกปรก ตัวรู้ที่สกปรกรู้ผิดๆเนี่ยก็เที่ยวไปหยิบไปฉวยไปยึดไปถือสิ่งต่างๆขึ้นมา ความทุกข์ก็เลยเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าจิตบริสุทธิ์นะมันจะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งตัวมันเอง อัศจรรย์ตรงนี้แหล่ะมันปล่อยวางกระทั่งตัวมันเองได้ ถ้ามันปล่อยวางตัวมันเองได้แล้วมันจะไม่ไปหยิบฉวยอะไรขึ้นมาอีกแล้ว เพราะสิ่งที่จิตยึดถือเหนียวแน่นที่สุดนะคือตัวจิตเอง จิตนั่นแหล่ะยึดถือจิตอย่างเหนียวแน่นที่สุดว่าเป็นตัวเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

mp3 (for download) : ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

หลวงพ่อปราโมทย์ : ส่วนใหญ่เวลาหัดทำสมาธิ นึกออกมั้ยสมัยก่อนที่พวกเราหัดปฏิบัติ ทันทีที่ลงมือปฏิบัติจิตแน่นๆเลย รู้สึกมั้ย พอลงมือปฏิบัติ (หลวงพ่อทำท่าเกร็ง) เนี่ยเอาเลยนะอกุศลชัดๆเลยคิดว่าจะเจริญวิปัสสนาเหรอ จิตเป็นอกุศลชัดๆเลยนะ

เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนเรื่องจิตให้ชำนาญนะ แยกให้ออกว่าจิตชนิดไหนเป็นกุศล ชนิดไหนเป็นอกุศล ไม่งั้นนะพอคิดถึงการปฏิบัติทีไรนะ อกุศลเกิดทุกทีเลย เกิดตัวไหน ตัวไหนเกิดก่อน โลภะเกิดก่อน ก็เก่งเหมือนกัน จริงๆโมหะเกิดก่อน โง่ก่อน พอโง่นะก็อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากได้ อยากรู้ให้ชัด อยากรู้ตลอดเวลา โลภะเกิดเห็นมั้ย ไปนั่งจ้องไว้

จ้องแล้วมันไม่ค่อยยอมอย่างที่เป็น อย่างที่อยาก โทสะก็เกิดเนี่ย ทันทีที่จ้องรู้สึกมั้ย ทันทีที่จ้องลงไปแน่นขึ้นมาแล้ว รู้สึกมั้ย จิตที่แน่นๆเป็นอกุศลจิตนะ เพราะนั้นทันทีที่ลงมือปฏิบัตินะ กำหนดปุ๊บแน่นปั๊บเนี่ย นั่ันแหล่ะอกุศลเกิดแล้ว ภาวนาผิดแล้ว แทนที่จะภาวนาแล้วเกิดกุศลนะ กลายเป็นภาวนาได้อกุศล งั้นต้องระมัดระวังนะ ต้องเรียนให้ออกว่าอันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศล

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

mp3 (for download) : จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

จิตที่เดินปัญญาได้จริงต้องตั้งมั่น เป็นกลาง และมีกำลังกล้า

หลวงพ่อปราโมทย์ : บทเรียนเกี่ยวกับจิตตสิกขาไม่ได้จบแค่ว่า อันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศล ยังลึกลงไปอีกชั้นนึง ในบรรดาจิตที่เป็นกุศลนั้นยังมี 2 ชนิด กุศลที่สงบพักผ่อนอยู่เฉยๆ กับกุศลที่ใช้เจริญปัญญา ไม่เหมือนกัน

จิตที่มีกุศลแบบสงบพักผ่อนสบาย จิตเป็นอยู่ในอารมณ์ที่เป็นบุญเป็นกุศลเนี่ยอย่างหนึ่ง อย่างเวลาเราทำบุญใส่บาตร รู้สึกมั้ย มีความสุข รู้สึกมั้ย และจิตเป็นกุศลนะแต่กุศลอย่างนี้ไม่เจริญปัญญา เป็นกุศลเฉยๆ ทำบุญทำความดีอะไรนี้ เสียสละปลื้มใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นเจริญปัญญา

กุศลที่เจริญปัญญาได้นะ จิตที่จะเจริญปัญญาได้ต้องตั้งมั่น ตั้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถอนตัวออกจากปรากฎการณ์ทั้งหลายทางรูปธรรมนามธรรม เห็นรูปธรรมแสดงละคร เห็นนามธรรมแสดงละคร จิตถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู เห็นมันแสดงทั้งวันเลย

ในร่างกายเรามีตัวละครอยู่ 28 ตัวนะ มีรูปมันมี 28 รูปแต่รูปจริงๆมี 18 รูป รูปเทียมๆ รูปไม่จริงมีอีก 10 รูป นามธรรมทั้งหลายเนี่ยมีจิตหนึ่ง จิตมีหนึ่ง จิตคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เจตสิกอีก 52 เจตสิก 52 อย่างเนี่ยแยกเป็นเวทนาซะหนึ่ง สัญญาอีกหนึ่ง อีก 50 เป็นตัวสังขาร เนี่ยตัวละครนะ ตัวละครโรงใหญ่เลยนะ มีจิต มีเจตสิก มีรูปนะ

จิต ถ้าแยกออกไปอีกมีจิตอีกเยอะแยะเลย มีอีก 81 ดวง พวกเราไม่มี 89 ดวง เราไม่เคยมี เราไม่มีโลกุตตรจิต(อ่าน โล-กุต-ตะ-ระ-จิต)อีก 8 ดวง ถ้าคนใหนเป็นพระอริยะก็เคยมีโลกุตตรจิต ถ้าเป็นพระอรหันต์ผลจิตเกิดขึ้นนะก็เป็นโลกุตตระได้นะแต่อย่างปุถุชนนี่ไม่มี ไม่เคยเห็น ถ้าคนทำฌานไม่ได้นะจำนวนจิตที่มียิ่งลดลงอีก

อย่างพวกเรานี้เป็นจิตอยู่ในกาม จิตวนเวียนอยู่ในกามาวจรภูมิ เราดูจิตเท่าที่เรามี จิตที่เรามีนะเดี๋ยวก็เป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลเนี่ยหัดดูไปเท่าที่มีนะ ไม่ต้องอุตริไปดูว่าจิตของพรหมเป็นแบบใหนเราต้องเลียนแบบไม่จำเป็นเลย ไม่จำเป็น เราดูของจริงในตัวเอง รวมๆแล้วสภาวะธรรมทั้งหมดนะที่จะเรียนจริงๆมี 72 ตัว เป็นนิพพานซะตัวนึง เป็นจิตซะตัวนึง อีก70 ตัวเนี่ยเป็นทั้งรูปทั้งนาม รูปนามแท้ๆนะ เราไม่ต้องเรียนเยอะขนาดนั้น

เราเรียนเท่าที่เรามี เรียนเท่าที่เรามี หัดดูของจริงนะ หัดดูไปเรื่อย ดูด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นกลาง เนี่ยจิตที่เป็นกุศลชนิดที่มันตั้งมั่น มันเป็นกลาง แล้วจิตที่เป็นกุศลที่ใช้เดินปัญญาได้จริงเนี่ยต้องเป็นกุศลที่มีกำลังกล้า

จิตที่มีกุศลนะยังมี 2 ชนิดนะ ชนิดที่ 1 มีกำลังอ่อนเอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก ชนิดที่ 2 มีกำลังกล้าต้องมีปัญญาด้วย จิตที่มีกุศลก็ยังมีอีกสองพวก พวกที่มีปัญญากับพวกไม่มีปัญญา พวกที่มีปัญญากับไม่มีปัญญายังแยกได้อีกนะ แยกเป็นพวกที่มีกำลังแก่กล้ากับพวกกำลังไม่แก่กล้า

อย่างพวกมีปัญญาเนี่ย ปัญญาอ่อนๆก็มีนะแต่ไม่ใช่ปัญญาอ่อนอย่างโลกๆนะหมายถึงกำลังของปัญญาเนี่ยไม่แก่กล้า กับพวกที่กำลังแก่กล้า จิตที่เป็นกุศลที่มีกำลังกล้าเนี่ยเป็นจิตที่เกิดอัตโนมัติเกิดได้เองเรียกว่า อสังขาริกัง เกิดเอง จิตที่ต้องน้อมนำให้เกิดกุศลเนี่ยมีกำลังอ่อนเรียก สสังขาริกัง

สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตำหรับตำรา ต้องศึกษา รู้เองไม่ได้หรอก กระทั่งพระอรหันต์ก็ไม่รู้หมดหรอก เพราะว่าไม่ใช่ภูมิปัญญาที่จะรู้ได้ทั่วถึงขนาดพระพุทธเจ้าขนาดนั้น นั้นเราอย่าดูถูก ตำหรับตำรานะ เป็นนักปฏิบัติอย่าดูถูกปริยัติ ดูของจริง ดูของจริงลงไป เรามาฝึกจนจิตที่เป็นกุศลเกิดอัตโนมัติ                           

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีหัดเรียนรู้จิต

mp3 (for download) : วิธีหัดเรียนรู้จิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีหัดเรียนรู้จิต

วิธีหัดเรียนรู้จิต

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรียนรู้จิตนี่ใช้วิธีสังเกตเอานะ สังเกตเอา จิตใจของเราแต่ละวันแต่ละเวลาไม่เคยเหมือนกัน แรกๆหัดดูเป็นวันๆก่อน วันนี้ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นแล้ว วันนี้เป็นวันที่แจ่มใส อีกวันเป็นวันที่เซ็ง อีกวันหงุดหงิดทั้งวันเลย นะ หัดดูอย่างนี้ก่อน หัดดูเป็นวันๆ ดูเป็นวันๆได้แล้วก็มาดูเป็นเวลา วันเดียวนี้แหละ เช้า สาย บ่าย เย็น ตอนกลางคืน จิตไม่เหมือนกัน ดูเป็นเวลา

ต่อไปชำนาญขึ้น ดูเป็นขณะ ขณะที่ตามองเห็นจิตเป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่หูได้ยินเสียงจิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง จมูกได้กลิ่นลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจคิดนึกปรุงแต่ง จิตเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เนี่ยดูความเปลี่ยนแปลง ดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไป หัดรู้หัดดูไปเรื่อยนะ ค่อยๆสังเกตไปเรื่อย

ต่อไปก็แยกออกน่ะ จิตที่เป็นกุศลมันเป็นยังไง จิตที่เป็นอกุศลมันเป็นยังไง จิตที่เป็นอกุศลก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง แทรกอยู่ แรกๆก็จะเห็นแต่ว่า กิเลสหยาบๆถึงจะรู้ กิเลสละเอียดไม่รู้ หัดรู้หัดดูบ่อยๆ ต่อไปกิเลสละเอียดเกิดขึ้นก็เห็น อย่างแต่เดิมต้องโกรธแรงๆถึงเห็น ต่อมาหัดรู้หัดดูบ่อยๆ ขัดใจเล็กๆก็เห็น ตอนนี้ใครเห็นความขัดใจเล็กๆบ้าง ยกมือซิ มีมั้ย เอ่อ ดีนะ ดี จะไม่ตกนรกนะ เพราะว่าเรารู้ทันโทสะแล้ว ถ้ารู้ไม่ทันโทสะนะ ตกนรกนะ

แต่เดิมต้องโลภแรงๆนะ ต้องโลภแรงๆ อยากได้อย่างรุนแรงถึงจะเห็น เดี๋ยวนี้ใจอยากได้นิดหน่อยก็เห็นแล้ว อย่างอากาศร้อนจัดๆนะ ลมโชยมา เย็นสบาย เกิดความยินดีพอใจ เนี่ยราคะแทรกแล้วนะ ยินดีพอใจในความสุข ลมมันโชยมา ตอนนี้ใครเห็น ลมโชยมาแล้วเห็นราคะบ้าง มีมั้ย ยกมือซิ นี่น้อยกว่าโทสะนะ แต่ก็ยังเยอะอยู่

โมหะๆ โมหะนี้เป็นความฟุ้งซ่านกับความสงสัยเป็นตัวหลัก ความฟุ้งซ่าน ใครรู้จักฟุ้งซ่าน แต่เดิมต้องฟุ้งแรงๆถึงรู้นะ ต่อมาเนี่ย ใจเคลื่อนไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว ใจไหลออกไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว เช่น เวลาจะดูอะไรใจก็เคลื่อนไปดู เวลาฟังอะไรใจก็เคลื่อนไปฟัง มันไม่ตั้งมั่นนะ มันไหลไป มันฟุ้งซ่าน มันเคลื่อน ตอนนี้ใครเห็นจิตที่เคลื่อนได้บ้าง ยกมือซิ โอ้..ก็ยังเยอะอยู่นะ แสดงว่าเก่งเข้าขั้นแล้ว

หัดดูไป ทีแรกจะเห็นของหยาบก่อน ต่อมาก็รู้ของละเอียดขึ้นนะ ถ้าจิตมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ อยู่ล่ะก็ จิตเป็นอกุศล ถ้าจิตไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ จิตมันจะเบา มันจะนุ่ม มันจะสบาย มันโปร่ง มันโล่ง มันปราดเปรียวว่องไว ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ นะ เนี่ยหัดรู้จักไปเรื่อย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๖ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

mp3 (for download) : จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้พอมีศีลแล้วเราก็ต้องมาเรียนบทเรียนที่สองนะ บทเรียนที่สองชื่อ จิตตสิกขา ต้องเรียนเรื่องจิต ใครจะบอกว่าไม่เอาดูจิตไม่อยากเรียนเรื่องจิตก็ปล่อยเขาไป เป็นพวกที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเรียนเรื่องจิต เพราะบทเรียนที่สองของชาวพุทธชื่อจิตตสิกขา ต้องเรียนเรื่องจิต ต้องแยกให้ออกว่าจิตชนิดไหนเป็นกุศล จิตชนิดไหนอกุศล ไม่เหมือนกัน

ส่วนใหญ่นะมีจิตอกุศล เอาจิตอกุศลไปเจริญวิปัสสนา เป็นไปไม่ได้ จิตไม่มีคุณภาพนะ อย่างจิตที่เป็นอกุศลนะ มันจะหนักๆแน่นๆ แข็งๆ ซึมๆ ทื่อๆ จิตที่เป็นกุศลมี ลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน มีปาคุญตา คล่องแคล่วไม่ใช่ซึมซื่อบื้ออยู่ทั้งวัน มีกัมมัญญตา ควรแก่การงาน เห็นมั้ยไม่ใช่จิตขี้เกียจขี้คร้านไม่ยอมรับรู้อะไรสักอย่างเดียว ประคองจิตให้นิ่งให้ว่างแล้วเพลินไปอยู่อย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่จิตของดีของวิเศษอะไร จิตต้องคล่องแคล่วในการทำงาน ทำอะไร จิตทำอะไร จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์นะ เพราะฉะนั้นจิตรู้อารมณ์ไม่ใช่ฝึกจิตให้ไม่รู้อารมณ์อะไร เนี่ยต้องฝึก จิตต้องมีความซื่อตรงเรียก อุชุกตา ซื่อตรงในการรับรู้นะ ไม่เข้าไปแทรกแซง ถ้ายังอยากแทรกแซง ยินดียินร้ายขึ้นมา ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๗ ถึงนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อริยสัจจ์แห่งจิต

mp3 (for download) : อริยสัจจ์แห่งจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมชาติจิตส่งออกนอก หลวงปู่ดุลย์สอนอย่างนี้นะ ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก แต่จิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวไปตามอารมณ์นี่ เป็น”สมุทัย” มีผลเป็น”ทุกข์” จิตส่งออกนอกแล้วไม่กระเพื่อมหวั่นไหวน่ะไม่ทุกข์ ท่านว่าอย่างนี้นะ

พระอรหันต์มีจิตออกนอกมั้ย มีมั้ยเอ่ย? ไม่มี…เพราะไม่มีนอกมีใน มันเท่ากันหมดนะ เท่ากันหมด หลวงปู่ดุลย์เลยบอก พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก คำว่า พระอริยเจ้าของท่านคือพระอรหันต์ มีจิตไม่ส่งออกนอก จะออกทำไม จิตท่านเต็มโลกธาตุ เต็มจักรวาล ไม่เห็นต้องออกตรงไหนเลย รู้สึกตอนไหนก็ได้ ฉะนั้นพระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว มีความสุข เดี๋ยววันหลังต้องเขียนป้าย หลวงปู่ดุลย์ข้างหน้าต้องเขียนให้ครบดีกว่า มันขาด นี่มันบทแรกเท่านั้นนะ มีอีก บทหลังก็มีอีก นี่ไม่ครบหรอก แต่คนรุ่นหลังลืมไปแล้ว

แต่ก่อนนี้ เวลาจะเขียนมันเยอะไป เขียนต้องเขียนรอบสี่ทิศเลยละมั้งกว่าจะครบ แต่ธรรมะของท่านดีมากนะ “จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ อนึ่งธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก เมื่อจิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวนะในการสนองรับอารมณ์ เป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหว เป็นทุกข์ จิตส่งออกนอกนะไม่กระเพื่อมหวั่นไหว มีความรู้สึกตัวอยู่เป็นวิหารธรรม ไม่ทุกข์หรอกนะ แต่เสร็จแล้วท่านตบท้าย พระอริยเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ มีจิตไม่ออกนอก มีจิตไม่ปรุงแต่ง คำสอนท่านลึก คำว่าพระอริยเจ้าคือพระอรหันต์ คำว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งหมายถึงอะไร เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิต จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เห็นว่าจิตเป็นไตรลักษณ์”

นี่เมื่อไม่นาน หลวงพ่อไปเทศน์​ที่วัดบูรพารามนะ เทศน์เรื่องการดูจิต บอกบางคนนะ เรียนหรืออ่านคำสอนหลวงปู่ดุลย์แล้วอ่านแล้วไม่เข้าใจ อย่างบางคนเนี่ยหลวงปู่ดุลย์สอนบอกว่า ประคองจิตให้นิ่งเลยนะ ความคิดนึกปรุงแต่งเกิดขึ้นให้ปัดทิ้งไป แล้วบอกว่าหลวงปู่ดุลย์สอนดูจิตแบบนี้ ท่านสอนแบบนี้เหมือนกัน “แต่นั่นเป็นการดูจิตในขั้นการทำสมถะ” หรือบางท่านก็บอก หลวงปู่ดุลย์สอนดูจิตบอกว่าง สว่าง บริสุทธ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรซักอย่าง อันนี้บอกหลวงปู่ดุลย์สอน ก็ถูกอีกหลวงปู่ก็สอน “แต่นั่นเป็นผล เป็นผลที่พระอรหันต์ท่านเป็น ไม่ใช่อย่างพวกเราเป็น” จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค อันนี้ต้องเรียนให้มาก จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งไม่ใช่แปลว่าเห็นจิตชัดๆ ไม่คลาดสายตา จิตเห็นจิตแจ่มแจ้งที่จะเดินปัญญาก็คือ”เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิต”นั่นเอง ถ้าเห็นไตรลักษณ์ของจิตได้ ก็วาง ปล่อยวางได้ นี่ หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดุลย์นะ ให้ดูสังขาร ดูสัญญานะ มันปรุงแต่งจิตขึ้นมา หลวงปู่ดุลย์รู้ทันสัญญา รู้ทันสังขาร ก็เลยรู้แจ้งอริยสัจ

หลวงปู่มั่นไม่ได้สอนหลวงปู่ดุลย์ให้ดูจิตนิ่งๆว่างๆนะ แต่ให้เห็นสังขารคือความปรุงของจิต ให้เห็นสัญญาคือการหมายรู้ของจิต ทำงานควบกันอยู่ เพราะมันไปหมายเข้ามันก็เลยไปปรุง พอไปปรุงแล้วมันก็ไปหมาย อย่างพวกเราอยู่ๆนะ บางที ความจำมันเกิดขึ้น หน้าของคนนี้โผล่ขึ้นมา นี่สัญญามันผุดขึ้นมาก่อน สังขารก็ปรุงเลย นี่ผู้หญิงสวยคนนี้ แฟนเก่าเราชอบ รักมาก ความรัก ความรู้สึกรักเกิดขึ้น หรือความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น กิเลสมาปรุงจิตแล้ว ก็ไปหมายผิดๆนะ พอปรุงนี่แฟนเรานะ ก็หมายผิดๆ ว่ามีตัวมีตนมีจริงๆนี่หมายผิดอีกแล้ว อาศัยสัญญาทำให้เกิดสังขาร อาศัยสังขารทำให้สัญญาทำงาน หมายไปผิดๆต่อไปอีก กระทบกันไปกระทบกันมา สังสารวัฏยืดเยื้อยาวนานเลย

ฉะนั้นเวลาเราฟังพระพุทธเจ้า ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็ดี ฟังที่หลวงพ่อสอนก็ดีนะ หรือฟังจากหลวงปู่ดุลย์สอน หรือ ครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ดี ต้องแยกให้ออกว่า สิ่งที่ท่านสอนนั้นเป็นธรรมะระดับไหน สอนใคร ธรรมะแต่ละชั้น แต่ละชั้น ไม่เหมือนกัน อย่างดูจิตเพื่อให้เกิดศีล ดูจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ ดูจิตเพื่อให้ตั้งมั่น ดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญา คนละแบบกัน หรือ ดูจิตเป็นวิหารธรรมของพระอรหันต์ คนละแบบกัน อย่าไปมั่วนะ บอก หลวงปู่ดุลย์​บอกประคองจิตให้ว่าง โถ นั่นสอนพวกทำสมถะไม่เป็นให้ทำสมถะก่อนอะไรนี้นะ คนละเรื่องกันเลย หลวงพ่อเคยไปทำนะ ประคองไว้ โดนท่านจวกเอา ไม่ได้ดูจิต ดูจิตต้องปล่อยให้มันทำงาน ถึงเจริญปัญญา เห็นไตรลักษณ์ เห็นมันทำงานได้เองนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๔๘ ถึงนาทีที่ ๕๒ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเหมือนลูก ให้การศึกษาเขาได้ แต่ดีชั่วเป็นเรื่องเขาเอง

mp3 (for download) : จิตเหมือนลูก ให้การศึกษาเขาได้ แต่ดีชั่วเป็นเรื่องเขาเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


โยม​ : เอ่อ อย่างเมื่อคืนตอนดึกๆ อาจจะเป็นว่ากลัวความมืดด้วย ก็เลยแบบว่าจงใจภาวนา มันจะเห็นความเครียดน่ะเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : โลภนะ โลภอยากภาวนาก็ไปบังคับจิต จิตถูกบังคับจิตก็เครียด เหมือนเวลาเราบังคับลูกนะ ลูกก็เครียดนะ จิตเหมือนลูกแหล่ะ ให้การศึกษาเค้าไป ส่วนเค้าจะดีเค้าจะเลว เค้าจะสุขเค้าจะทุกข์ ก็ขึ้นกับกรรมของเค้า เราให้การศึกษากับลูก ลูกเป็นยังไงเค้าก็ต้องเป็นไปตามกรรมของเค้า จิตนี้ก็เหมือนลูกนะ เราให้การศึกษากับเค้าไป พาเค้าดูกายดูใจให้เห็นไตรลักษณ์ไป ส่วนเค้าจะสุขเค้าจะทุกข์ เค้าจะดีเค้าจะชั่ว เรื่องของเค้าแล้ว จัดการจิตเหมือนจัดการลูกนะ ไม่ใช่ตัวเรา

(หลวงพ่อปราโมทย์ มักจะสอนอยู่เนืองๆว่า จิตจะดีหรือจะชั่ว เราจะไปบังคับไม่ได้ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อให้จิตดี แต่เราภาวนาเพื่อให้จิตเห็นความจริงว่า ใจนี้ กายนี้ ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์  คือ มีเกิดแล้วก็ดับไม่คงทนถาวร แปรเปลี่ยนตลอดเวลา บังคับไม่ได้อย่างแท้จริง แล้วก็ไม่ได้มีตัวตน หรือตัวเราของเราอย่างที่เราคิด แต่แม้จะปล่อยจิตให้ดีชั่วตามธรรมชาติ แต่เราก็ต้อง มีศีล ไม่ไปทำให้ผู้อื่นหรือตนเอง เดือดร้อน แม้ในภาวะที่จิตชั่ว - ผู้เรียบเรียง)

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ว่างหรือไม่ว่างต่างก็เท่าเทียมกัน

mp3 (for download) : ว่างหรือไม่ว่างต่างก็เท่าเทียมกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : แล้วเมื่อวานนี้หนูเดินจงกลมอยุู่ในศาลาค่ะหลวงพ่อ ก็ เห็นใจที่มันคือ เดินๆอยู่แล้วก็เห็นใจที่มันค่อยๆไหลลงไปเต็มฐานน่ะค่ะ แล้วมันก็ดีดตัวออกมา มันก็รู้ คือ แต่ไอ้ตัวรู้เนี่ยเมื่อก่อนมันจะ ที่หลวงพ่อบอกมันว่างแล้วมัน เอ่อ ที่หนูบอกหลวงพ่อว่า มันว่างแล้วมันก็สลับกับรู้ เอ่ะ ไม่ใช่ ว่างแล้วก็สลับกับหลง อย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ แต่คราวนี้พอมันดีดมารู้ปุ๊บ มันจะเห็นว่างตัวนี้ มันจะเป็นว่างที่แบบ นานเกือบสิบนาที คือหนูเดินดูตัวเองที่แบบ เหมือนเป็นศพน่ะค่ะ เพราะว่า มันไม่มีตัวเราอยู่ในนั้นเลย แล้วก็แขนขา มันไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นแขนขา มันเป็นก้านๆแล้วมันก็เดินไปเดินมา

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูรู้สึกมั้ย ไอ้ตัวดูนี่ นิ่งๆ ทุกอย่างไม่เที่ยง ยกเว้นตัวดู

โยม : อ๋อ มันก็คือ ตัวเดียวกันกับที่หลวงพ่อบอกเมื่อตะกี้นี้

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันก็ไปติดนะแหล่ะ มันก็ไปภพอีกภพนึง เห็นมั้ย ทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์นะ ยกเว้นจิต ตัวรู้นี้เที่ยง แล้วเที่ยงกันเป็นกัลป์ๆเลยนะ ตรงนี้ถ้าหลุดไปพรหมโลก การดูจิตเนี่ย ถ้าพลาดนะจะไปอรูปภูมิ ไปอรูปพรหม เป็นอรูปพรหม ดูกายนะ ดูพลาดไปเป็นรูปพรหม

โยม : งั้น หนูก็แค่รู้มันไป

หลวงพ่อปราโมทย์ : อืม แค่รู้มันนะ มันก็คือสภาวะอันนึงที่จิตไปรู้เข้า เท่าเทียมกับทุกๆสภาวะนั่นแหล่ะ ไม่ใช่ว่าว่างดีกว่าไม่ว่าง ถ้าว่างดีกว่าไม่ว่างยังเป็นภาวะแห่งความเป็นคู่อยู่ ยังมีความต่างอยู่ เพราะฉะนั้น จิตจะดิ้นรนเอาความว่าง จะดิ้นรนหนีจากความวุ่นวาย ถ้าจิตยังปรุงแต่งจิตยังดิ้นรนอยู่ สร้างภพสร้างชาติไม่เลิกหรอก แต่ถ้าเห็นสภาวะทั้งหลายนั้นเท่าเทียมกันหมดเลยนะ จิตไม่ปรุงต่อ  เห็นแล้วจบลงจริงๆเลยไม่ปรุงต่อด้วยปัญญาอันยิ่งนะ ไม่ใช่ประคองไว้ ไม่ใช่ตัวนี้นิ่ง ตัวอย่างอื่นปรุง ไม่ใช่ ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนะ เห็นจิตเกิดดับไปด้วยนะ แต่ว่าไม่ยินดียินร้ายกับมันนะ นั่นแหล่ะ ถึงจะไม่ยึดถือจริงๆ ถ้ายังประคองตัวรู้อยู่ ไม่ใช่หรอก (โยม : ขอบพระคุณเจ้าค่ะ) ปล่อยให้ออกนะ หนูมุ่งไปทางอรูปมากไป

โยม : คือหนูรู้ลงไปแล้วก็ยังไงก็ได้ใช่มั้ยคะหลวงพ่อยอมรับมัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูรู้ลงไปอะไรก็ได้ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว ว่างไม่ว่าง เสมอกันหมดเลย อยู่ที่จิตเรา จิตจะเกิดปฏิกิริยาอะไร ให้รู้ทัน เห็นว่างแล้วจิตพอใจ รู้ทัน เห็นว่างแล้วจิตนิ่งๆ เฉยๆ รู้ว่านิ่งๆเฉยๆ เห็นมันก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งความว่างทั้งจิตนั่นแหล่ะดีที่สุด

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๕ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๐๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเก่งแค่ไหนจิตก็ต้องเสื่อม (เป็นอกุศล)

Mp3 for download: 451117B_decay

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: มาเล่าบอกกรรมฐานมันเสื่อม  เคาะๆไปแล้วจิตมันเสื่อมไปเนี่ยนะ หาทางแก้มาเป็นปีๆ แก้ไม่ตกหรอก บอกอ๋อ แก้ยังไงก็ไม่ตกหรอก ที่จริงเนี่ยเคาะไปเนี่ยนะ เคาะกระทบๆไป จิตตื่นขึ้นมาละ ต่อมากระทบอยู่อย่างเก่าเนี่ย จิตเสื่อม จิตแสดงธรรมะให้ดูแล้วว่าจิตเป็นของที่บังคับไม่ได้ เจริญได้ก็เสื่อมได้ แต่ว่าเราไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พอเจริญแล้วเราก็ดีใจใช่มั้ย ทั้งๆที่ทำอย่างเดิมมันเสื่อมได้นี่ เสื่อมคราวนี้ไม่พอใจละ หาทางแก้ไขจะไม่ให้เสื่อม นี่กำลังทำอะไร เหมือนคนที่หาทางจะไม่ตายน่ะ เกิดแล้วจะไม่ตายน่ะ พอมันแก่ลง ตีนกาขึ้น โอ๊ยทำยังไง  ทำอะไรไม่ได้ก็ไปหลอก ดึงเอา แก้จากข้างในไม่ได้แล้วนี่

จิตก็เหมือนกัน มันเจริญได้ก็เสื่อมได้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ปั๊บนะ ไม่ยึดมั่นในความเสื่อม จิตก็ผ่านไปเลย ง่ายนิดเดียว ทีนี้พอมาเสื่อม ตกใจ ตกใจหาทางแก้กรรมฐานใหญ่ ยิ่งแก้ยิ่งไปสิ เพราะยิ่งปรุงแทนที่จะรู้ ก็เลยไม่ตื่นเลย เพราะฉะนั้นนักปฏิบัตินะ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนนะ จิตก็ต้องเสื่อม

รู้จักหลวงตามหาบัวมั้ย เรอะ เป็นเพื่อนกับท่านเรอะถึงรู้จัก หรือว่าแค่เคยเห็น อ้อเคยเห็นท่าน บอกว่ารู้จัก หึๆ หลวงตานะ ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นอะไรนี่ก็เรื่องของท่าน ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ เดี๋ยวท่านเป็นจะเดือดร้อน ท่านบอกว่าตอนที่ท่านอาจารย์มั่นสิ้นเนี่ย  ท่านไม่มีอาจารย์ละต้องช่วยตัวเอง ท่านก็ไปปฏิบัติอยู่บนดอยธรรมเจดีย์

จิตของท่านเนี่ยเป็นผู้รู้ รู้ตัวอยู่ได้ตลอดเลย ท่านก็พยายามรักษาความรู้สึกตัวนี้้ไว้ รักษาตัวรู้ไว้ รู้ตัวไปเรื่อยไม่ให้เผลอไม่ให้หลงน่ะ จิตใจไม่เศร้าหมองเลย รู้หมด อะไรกิเลสอะไรมา เห็นหมดเลย รู้มาแล้วดับไปหมด ท่านก็พยายามจะรักษาจิตผู้รู้ให้มันอยู่ตลอดไป

วันหนึ่งท่านเริ่มสังเกตว่าจิตผู้รู้มันไม่เที่ยง มันหมองๆได้อีก พยายามทำยังไงมันก็ยังเสื่อมได้ พอรู้ว่ามันเสื่อมได้นะ หาทางแก้ยังไงก็ไม่สำเร็จนะ วันนึงก็เฉลียวใจขึ้นมาว่า โอ้ จิตมันเป็นอนัตตานี่ บังคับมันไม่ได้นี่ พอเห็นว่าจิตเป็นของบังคับไม่ได้ เลิกคิดที่จะบังคับมัน เลิกคิดที่จะให้มันดีตลอด มันจะเป็นยังไงเรื่องของมันต่างหากล่ะ ท่านปล่อยวางจิตนะ ท่านบอกว่า ตอนนั้นท่านหลุดพ้นเลย

เพราะฉะนั้น ความหลุดพ้นเนี่ยไม่ได้เกิดจากการที่เราฝึกจิตของเราให้ดี ดีจนเที่ยง ดีถาวร ไม่ใช่ แต่เกิดจากการที่เราเข้าไปเห็นความจริงของธรรมชาติ ของขันธ์น่ะ ขันธ์ห้าทั้งหมด รวมทั้งจิตด้วย มันอยู่ในวิญญาณขันธ์น่ะ ว่ามันเจริญแล้วเสื่อมๆ พอเห็นความจริงแล้วปล่อยวาง แล้วถึงจะหลุดพ้น ความหลุดพ้นเกิดจากการปล่อยวาง ความหลุดพ้นไม่ได้เกิดจากการทำสิ่งที่ไม่เที่ยงให้เที่ยง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑

File: 451117B
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเองก็เป็นทุกข์

mp3 (for download) : จิตเองก็เป็นทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ : เราต้องมีให้ครบนะ ศีล สมาธิ ปัญญา จะมีศีลได้ดีต้องมีสติ ถ้าคนไหนไม่มีสติ อย่ามาอวดว่ามีศีลเลย ไม่จริงหรอก โกหก ถ้าขาดสตินะ รู้ทันจิตตัวเองไม่เป็นถือศีลยาก กะพร่องกะแพร่งด่างพร้อยง่าย ถ้ามีสติรู้ทันจิตอยู่ กิเลสเกิดนะ อายเลย กิเลสบางตัวน่าอาย ตัวไหนน่าอายที่สุด ตัวกูเก่ง นี่ สำรวจมาแล้ว เวลารู้สึกกูเก่งแล้วพอรู้ทันนะ อายเลยนะ ใครรู้สึกตัวนี้บ้าง ตัวนี้น่าอาย ถัดจากนี้ก็หน้าด้านถ้ายังไม่อายอีกนะ ขนาดนี้ถึงหน้าด้านแล้ว ไม่มีสติอย่ามาอวดเรื่องศีลนะ ไม่มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดู ละก็ อย่ามาอวดว่าทำสมาธิเก่งเลย ทำสมาธิจนกระทั่งอยากรู้อยากเห็นอะไรทั่วโลกธาตุ รู้ได้หมดเลยนะ ไม่เห็นจิตตัวเองอันเดียว ก็ได้ของไม่มีสาระ ไปเห็นของไม่มีสาระว่ามีสาระ เพราะกิเลสเกิดที่จิต มรรคผลเกิดที่จิต กุศลอะไรก็เกิดที่จิต เนี่ยถ้าเราไม่มีจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดู สมาธิของเรายังอ่อนนะ อย่างมากก็มีแค่สมาธิสงบ แต่ไม่มีสมาธิตั้งมั่น เป็นสมาธิพื้นๆหรอก สมาธิสงบ ศาสนาอื่นก็มี สมาธิตั้งมั่นมีแต่ในคำสอนพระพุทธเจ้านะ คนอื่นไม่มีหรอกไม่เข้าใจเลย สมาธิตั้งมั่นเนี่ยหายากมาก

ไม่มีสติอย่ามาอวดเรื่องศีล ไม่มีจิตผู้รู้อย่ามาอวดว่ามีสมาธิ แยกรูปนามไม่เป็นอย่ามาอวดว่าเจริญปัญญา “การเจริญปัญญานะเริ่มต้นด้วยการแยกรูปนาม” ทำไมต้องแยก ก็แยกสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วนๆ เพื่อวันนึงจะเห็นว่าทุกๆส่วนไม่มีตัวเรา นี่ไม่มีตัวเราที่ใดเลย ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ถัดจากนั้นก็รู้สภาวะ แต่ละส่วน แต่ละส่วนนั้นต่อไป จะเห็นว่าสภาวะทั้งหลายเป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย กระทั่งความสุขก็เป็นทุกข์​ อะไรๆก็เป็นทุกข์หมดเลย รูปธรรมก็เป็นทุกข์ นามธรรมก็เป็นทุกข์ จิตเองก็เป็นทุกข์ ในขันธ์ห้าไม่มีการสงวนรักษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้เป็นตัวสุขเลย มีแต่ตัวทุกข์ล้วนๆเรียกว่าเราเห็นขันธ์เป็นทุกข์แล้ว “วันใดที่เห็นขันธ์เป็นทุกข์ได้ เราทำลายอวิชชาได้” อวิชชา มันไม่รู้ความจริงของอริยสัจ ไม่รู้ว่าขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ เนี่ยไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ ถ้าพอเห็นแจ้งว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์นะ กระทั่งตัว”จิตผู้รู้”เองซึ่งเป็นของดีของวิเศษ​ที่เคยฝึกฝนอบรมมานะ มันพลิกขึ้นมาเป็นตัวทุกข์ให้ดู มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป เป็นอย่างนี้ จิตจะสลัดคืนจิตให้โลก ทำไมสลัดคืน ก็มันเป็นตัวทุกข์ มันจะไปยกไว้ทำไม จะไปแบกไว้ทำไม ไม่ถือเอาไว้สลัดทิ้งไป ถ้าสลัดทิ้งไปแล้วจิตเข้าสู่สภาวะอีกชนิดนึง ไม่ยึดอะไรในโลก จิตดวงนี้ไม่มีอะไรย้อมได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๓๕ ถึงนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

เราปฎิบัติเพื่ออะไร?mp 3 (for download) : เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของการปฏิบัติเราก็ต้องรู้ ว่าเราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นยังไง ต้องตอบได้ชัดเจน เราจะปฏิบัติอะไร มีสองอย่างที่จะต้องปฏิบัติคือ “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” ปฏิบัติเพื่ออะไร สมถะ ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะเดินวิปัสสนา ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะได้เห็นนู่นเห็นนี่มีตาทิพย์มีหูทิพย์ บางคนอยากได้เจโตอยากได้ทิพจักษุ  หลวงพ่อเคยเจอนะ มีไอ้หนุ่มคนนึง มันภาวนาอยากได้ทิพจักษุ ถามว่าอยากได้ทำไม มันจะได้มองทะลุผ้าของคนอื่น มันเห็นธรรมะเป็นเรื่องอะไร จะทะลุฝาห้องของเค้าอะไรอย่างนี้ ได้เรื่องเลย มีจริงๆนะ สมถะนะ เราทำไปเพื่อให้ใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดปัญญา รู้ความจริงของกายของใจนี้ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ ดังนั้นทำเราทำวิปัสสนาเพื่อให้รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ รู้แล้วได้อะไร รู้ถึงที่สุดแล้วมันจะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ

พระอรหันต์ไม่ใช่คนประหลาดนะ อย่าไปวาดภาพพระอรหันต์ประหลาดเกินเหตุทำอะไรก็ไม่ได้ กระดุกกระดิกก็ไม่ได้ วันๆต้องนั่งเซื่องๆเหมือนนกกระยางรอให้ปลามาใกล้ๆจะได้ฉกเอาเชื่องๆห้ามกระดุกกระดิก พระอรหันต์จริงๆก็คือท่านผู้ภาวนาจนมีปัญญา เห็นทุกข์เห็นโทษของขันธ์นะ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์เห็นอย่างนี้ แล้วท่านปล่อยวางความยึดถือขันธ์ได้ จิตท่านแยกออกจากขันธ์ พรากออกจากขันธ์ ไม่ยึดถือขันธ์ ท่านเป็นอิสระจากขันธ์ ตัวขันธ์เป็นตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เลยพ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นี่พ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่ตายแล้วเค้าเรียกดับทุกข์คือขันธ์มันดับ ไม่ใช่ไปเกิดอีกนะ หลายคนวาดภาพเป็นพระอรหันต์ไปเกิดอีกไปอยู่ในโลกนิพพาน อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธหรอก พระอรหันต์ นิพพานแล้วเหมือนไฟที่ดับไปแล้ว ไฟที่ดับแล้วอยู่ที่ใหน ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ ภาวนาทำสมถะเพื่อให้มีแรง ทำวิปัสสนา ทำวิปัสสนาเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจ ถ้าเราเห็นความจริงของกายของใจได้มันจะหมดความยึดถือ ปล่อยวางได้ พอปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ เพราะตัวกายตัวใจตัวขันธ์นี้แหล่ะตัวทุกข์

นี่ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้ แล้วทำยังไง เราจะทำอะไร ทำสมถะและวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร บอกแล้ว ทำอย่างไร สมถะนี่ไม่ใช่ทำเพื่อให้เคลิ้ม วิธีทำสมถะไม่ใช่น้อมใจให้เคลิ้มให้ซึมให้นิ่ง แต่ฝึกความรู้สึกตัวขึ้นมา หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก เคยได้ยินคำว่า”อานาปานสติ”มั้ย มีสตินะไม่ใช่ฝึกให้ไม่มีสติ ไม่ใช่ฝึก(เสียงกรน)คร้อกบรรลุแล้ว ฝึกให้มีสติหายใจเข้า ฝึกให้มีสติหายใจออก มีสติไปเรื่อยเลย หรือบางทีพิจารณากาย”กายคตาสติ” มีสติไล่ไปในกาย ดูอาการสามสิบสอง ดูอวัยวะต่างๆในร่างกาย มีสติ เห็นมั้ย ไม่ได้บอกให้ขาดสติเลยนะ ไม่ได้ดูเอาแก้วแหวนเงินทอง เอาวิมานสวรรค์อะไรทั้งสิ้นเลย แต่ฝึกให้มันมีสติ รู้ลมหายใจก็ให้มันมีสติ พิจารณากายก็พิจารณาด้วยความมีสติ เรียกว่ากายคตาสติ ทำอะไรๆก็มีสติ คิดถึงพระพุทธเจ้าก็คิดถึงด้วยความมีสติ หัดพุทโธ ๆ แล้วรู้สึกตัวไป นึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราจะทำยังไงพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราไม่ได้ภาวนาให้เคลิ้มๆ ภาวนาให้รู้สึกตัว ฉะนั้นเราอย่าทิ้งสติ ครูบาอาจารย์เคยสอนบอก “สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ”

ฉะนั้นทำสมถะก็ต้องมีสตินะ แต่มีสติอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อารมณ์อันเดียว ทำไมต้องอารมณ์อันเดียว อารมณ์หลายอันแล้วก็รู้ตัวยาก ปกติจิตมันจะหนีตลอดเวลา วิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา พอเรามาทำสมถะนะ เรามีอารมณ์อันเดียว มาเป็นเหยื่อ เหยื่อล่อจิต อย่างถ้าจะตกปลานะ มีคนโยนเบ็ดพร้อมกันร้อยอัน ปลางงเลยจะกินอันใหนดีใช่มั้ย ว่างมาทางนี้ เอ๊ะ ไม่เอาตัวเล็กไป ว่ายทางนี้ ก็ใหญ่ไปเกินพอดี เกินคำ ไม่เอา วกไปวกมา ไม่ได้กิน ถ้ามีเหยื่ออันเดียวปลาฝูงนึงยิ่งดี มีเหยื่ออันเดียวล่อ จิตของเราปกติร่อนเร่ไปเรื่อยๆ วิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนะ ร่อนเร่ไปเรื่อย เที่ยวแสวงหาอารมณ์ไปเรื่อย เหมือนปลาวิ่งหาเหยื่อไปเรื่อย ว่ายไปเรื่อยๆ เราหาอารมณ์อันนึงที่ชอบใจของปลาตัวนี้มาล่อมัน ไปเอาพุทโธก็ได้ คนไหนพุทโธแล้วสบายใจเอาพุทโธ คนไหนหายใจเข้าหายใจออกแล้วสบายใจเอาลมหายใจ คนไหนดูท้องพองยุบแล้วมีความสุขก็ดูท้องพองยุบไป คนไหนเดินจงกลมแล้วมีความสุขก็เดินไป ไม่ใช่เดินทรมาน เดินไปเครียดไป เดินไปเครียดไป สมถะก็ไม่มี วิปัสสนาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ หาอารมณ์ที่สบายๆ อยู่แล้วมีความสุข

อย่างหลวงพ่อนะ ฝึกอานาปานสติมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เจ็ดขวบ พวกเราส่วนใหญ่ในห้องนี้ยังไม่เกิด หายใจแล้วมีความสุข พอจิตใจมีความสุข จิตจะสงบ จิตมันหิวอารมณ์นะ พอมันได้กินของชอบนะ มันเลยไม่ไปเที่ยวที่อื่น เอาอารมณ์มาล่อ อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจแล้วมีความสุข จิตก็ไม่หนีไปไหน จิตเคล้าเคลียอยู่ แต่ระวังอย่างเดียว อย่าให้ขาดสติ อย่างเราหายใจไป ถ้าใจเคลิ้มก็รู้ทันว่าเคลิ้ม หายใจไปใจฟุ้งซ่านหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าใจฟุ้งซ่านไป ใจก็มีความสุข เคล้าเคลีย สงบอยู่กับลมหายใจ จนกระทั่งลมหายใจมันสว่างขึ้นมา หายใจไปเรื่อยๆ เวลาจะเข้าฌาน ไม่ใช่รู้ลมหายใจหรอกจะบอกให้ พวกเรามั่วๆนะ หายใจแล้วเข้าฌานรู้ลมหายใจแล้วเข้าฌาน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก

ลมหายใจเบื้องต้นเรียกว่า บริกรรมนิมิต รู้ลมไปเรื่อย สบาย จิตใจมีความสุข มันจะสว่างขึ้นมา ความสว่างมันเกิดขึ้นนะ ใจมันสงบลงมา ในทางร่างกายเวลาจิตสงบลงมา เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้ เลือดจะมาเลิ้ยงตรงนี้เยอะ มันจะให้ความรู้สึกที่สว่างขึ้นมา จิตมันก็สว่างนะ กายมันก็สว่างขึ้นมา ผ่องใส ความสว่างเกิดขึ้นแล้วเนี่ย เอาความสว่างนี้มาเป็นนิมิตแทนลมหายใจได้ ต่อไปความสว่างมันเข้มข้นขึ้นนะ เป็นดวงขึ้นมา ให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ จิตใจก็มีความสุข สนุก มีความสุขอิ่มเอิบเบิกบาน มีปีติขึ้นมา เข้าฌาน ไม่ใช่หายใจรู้ลมแล้ว (เสียงกรน คร้อก) บอกว่าหายใจจนลมระงับ ถามว่าลมระงับยังไง ลืมไปเลย หลับไปแล้ว บอกว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ไม่ใช่นะ

เพราะฉะนั้นหลักของการทำสมถะนะ ก็อย่าทิ้งสติ มีสติไปเรื่อย เวลาจิตรวมก็รวมด้วยความมีสติ ไม่รวมแบบขาตสติ วูบๆวาบๆหรอก รู้เนื้อรู้ตัวตลอดสายของการปฏิบัติเลย รวมลงไปลึกเลย จนร่างกายหายไปเลย ลมหายใจก็หาย ร่างกายก็หาย โลกทั้งโลกก็หายไปหมดเหลือจิตอันเดียว ก็ยังไม่ขาดสตินะ จิตดวงเดียวอย่างนั้น เด่นอยู่อย่างนั้น ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ทำไมต้องมีจิตขึ้นมา โดดเด่นขึ้นมา เพื่อเราจะได้เอาไว้ต่อวิปัสสนา

ฉะนั้นบางคนทำไม่ถึงฌานก็ไม่เป็นไรนะ แค่หัดพุทโธ พุทโธๆ ไป ค่อยๆดูไป พุทโธเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เห็นมั้ย ใจนั้นค่อยตั้งมั่นขึ้นมา อย่างนี้ใช้ได้ หายใจไปเรื่อยๆ หายใจเข้าหายใจออก อะไรก็ว่าไปเถอะ หายใจไปแล้วเห็นร่างกายมันหายใจ จิตเป็นคนดู อย่างนี้นะถึงจะทำสมถะ เพื่อจะต่อวิปัสสนา คือหายใจไปแล้วมีจิตเป็นคนรู้คนดูขึ้นมา ดูท้องพองยุบไปนะ เห็นร่างกายมันพองเห็นร่างกายมันยุบ จิตเป็นคนดู

เพราะฉะนั้นบทเรียนเรื่องการทำสมาธิเนี่ย ในทางศาสนาพุทธท่านถึงใช้คำว่า “จิตตสิกขา” ทำสมาธิจนกระทั่งเราเห็นจิตของเรา จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ยแหล่ะ พร้อมที่จะไปเดินวิปัสสนาต่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนไหนจะทำสมถะนะ ก็อย่าให้ขาดสติ หายใจไปเห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู หายใจไปจิตแอบไปคิด รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็มีจิตอีกคนนึงเป็นคนดู เฝ้ารู้ไปจนกระทั่งจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าเราทำสมถะเป็น เวลาบางช่วงบางครั้งบางคราวจิตก็เข้าพักสงบ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่นะ สงบ ไม่แส่ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สงบไม่คิดไม่นึกอะไร ใจว่างสบายสว่าง อันนี้ทำสมถะเต็มที่

ต่อไปก็หัด นั่งสมาธิไปแล้วเห็นจิตเคลื่อนไหวรู้ไปเรื่อยจนจิตตั้งขึ้นมา ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อย่างนี้ดี จะเอาไว้ต่อวิปัสสนา นี้พอเราหัดภาวนาไปนะ พุทโธๆ เราเห็นเลย พุทโธเป็นของถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้พุทโธ หายใจออกหายใจเข้านะ หายใจไป จนกระทั่งเห็นเลยร่างกายมันหายใจ จิตเป็นผู้รู้ว่าร่างกายหายใจ มีจิตที่เป็นผู้รู้ขึ้นมา จะเดินจงกลมยกเท้าย่างเท้าเห็นร่างกายมันเดินไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ต่อไปพอผู้รู้ผู้ดูมันหายแว้บไป คือมันขาดสติเมื่อไรมันหายเมื่อนั้น สติมันระลึกได้เองเพราะมันเคยรู้จักผู้รู้ผู้ดูเนืองๆ ฉะนั้นเราจะฝึกจนกระทั่งสามารถรู้สึกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันได้เนืองๆ เมื่อไรเป็นผู้หลงนะ ก็ขาดผู้รู้ เมื่อไรเป็นผู้รู้ก็ไม่เป็นผู้หลง บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็หลงเป็นผู้คิด บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็เป็นผู้เพ่ง

พอเรามาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเห็นตัวผู้รู้เค้าเกิดดับไปเรื่อยๆ เนี่ย เฝ้ารู้เฝ้าดูอย่างนี้เรื่อยๆ พอใจมันเป็นคนรู้คนดูขึ้นมาได้ มันจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นวัตถุ ร่างกายเป็นก้อนธาตุ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไป จะเห็นเวทมาทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ความไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ จนใจของเรามันตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ตั้งเอาไว้จนแข็งๆรู้ตัวตลอดเวลา อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องรู้บ้างเผลอบ้างนะ ถึงจะเห็นว่าตัวรู้เองก็เกิดๆดับๆ

สมัยก่อน หลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนโน้น เข้าวัดไหนครูบาอาจารย์พูดแต่คำว่า”ผู้รู้” ท่านยังสอนด้วยซ้ำไปว่า ศาสนาพุทธ “พุทธ”แปลว่าอะไร พุทธ (อ่าน พุท-ธะ) แปลว่า”รู้” พุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ใจของเราชอบเป็นผู้คิด ใจของเราชอบเป็นผู้หลง เราฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ทำยังไงใจจะเป็นผู้รู้  ถ้ารู้ทันสภาวะที่กำลังปรากฎนะ ใจจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา เช่นเผลอไปรู้ว่าเผลอ ใจก็จะเป็นผู้รู้ขึ้นแว้บนึง เป็นผู้รู้ตรงขณะไหน ขณะที่รู้ว่าเผลอ ถัดจากนั้นอาจจะเป็นผู้เพ่ง ใจโกรธขึ้นมานะ รู้ว่าโกรธ ขณะที่โกรธนะ ขณะนึง ขณะที่รู้ว่าโกรธนี่แหล่ะ ใจเป็นผู้รู้ขึ้นมาแล้ว ถัดจากนั้นอยากให้หายโกรธนี่ ใจมีอกุศลแล้ว มีความอยากเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเราดูใจเราไปเรื่อยนะ ไม่ใช่ผู้รู้ต้องเที่ยงถวร ผู้รู้ไม่เที่ยงหรอก ผู้รู้เองก็เกิดดับ

ครูบาอาจารย์องค์นึงสอนดีมากเลยคือ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ บอกเลยว่า ผู้ใดเห็นว่าผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฐิ จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยงแต่ว่าต้องมีอยู่อาศัยไว้ใช้ปฏิบัติเอา ของเราสังเกตสิ เดี๋ยวใจก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง เมื่อไหร่รู้สภาวะตรงความเป็นจริง ใจก็เป็นผู้รู้ขึ้นมาแว้บนึง เอาแค่แว้บเดียวพอนะ ไม่ต้องตั้งอยู่เป็นชั่วโมงๆ คนที่ตั้งเป็นชั่วโมงๆได้ต้องพวกที่เค้าทรงฌาน ผ่านฌานมาเต็มที่แล้ว เต็มภูมิอย่างน้อยได้ฌานที่สองแล้ว ได้ฌานที่สองใจจะเด่น ออกจากฌานมา ยังเด่นอยู่เป็นวันๆเลย อาศัยสมาธิอย่างนี้ตามรู้ดูกายดูใจได้นาน พวกเราไม่ได้ทรงฌานเนี่ยสมาธิจะอยู่แว้บเดียวๆเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” แต่อาศัย ขณิกสมาธิ เนี่ยแหล่ะทำมรรคผลนิพพานให้เกิดได้ เพราะสมาธิที่ใช้ทำวิปัสสนาจริงๆก็คือ ขณิกสมาธิ นี่แหล่ะดีที่สุดเลย รองลงมาก็คือตัว อุปจาร (คำเต็ม อุปจารสมาธิ) เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ ให้ใจมันตื่นขึ้นมา

วิธีง่ายที่สุดเลย ทำฌานไม่ได้ ทำยังไงใจจะตื่น ใจตื่นก็ตรงข้ามกับใจที่ไม่ตื่น ใจที่ไม่ตื่นคือใจหลับ ใจหลับได้ใจก็ฝันได้ ความฝันของใจก็คือความคิด ถ้าเมื่อไหร่รู้ว่าฝันนะเมื่อนั้นจะตื่น เวลาที่ใจไหลไปคิด ถ้าเมื่อไหร่พวกเรารู้ว่าจิตแอบไปคิดนะ เราจะตื่นขึ้นชั่วขณะนึง รู้ทันว่าจิตไหลไปคิด ขณะที่รู้นั่นน่ะตื่น ไม่เฉพาะหลงไปคิดนะ โกรธขึ้นมาขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นก็ตื่นเหมือนกัน แต่ตัวนี้ดูยากกว่า ใจของเราหลงคิดทั้งวัน มันดูง่ายกว่า อย่างจะดูจิตที่โกรธนะ แล้วก็ตัวรู้ว่าโกรธ วันนี้ยังไม่โกรธใครเลยเนี่ย จะภาวนายังไง แต่มีมั้ยวันใหนชั่วโมงไหนที่ไม่คิดมีมั้ย ไม่มีเลย จิตที่คิดคือจิตฟุ้งซ่าน เป็นจิตมีโมหะเค้าเรียกว่า “อุทธัจจะ” โมหะชนิด อุทธัจจะ จิตมันฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่เกิดบ่อยที่สุดเลยจิตฟุ้งซ่านเนี่ย

เราเอาตัวที่เกิดบ่อยเนี่ยแหล่ะมาหัดทำกรรมฐาน เราจะได้ทำกรรมฐานบ่อยๆ เพราะฉะนั้นจิตไหลไปคิดแล้ว อ้อ หลงไปแล้ว มีคำว่า “แล้ว” นะ ทำไมต้องมี แล้ว ด้วย หมายถึงว่า หลงไปก่อน ไม่ได้ห้ามหลง หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง หลายคนภาวนาผิดนะ ไปจ้องรอดู ไหน เมื่อไหร่จะหลง เมื่อไหร่จะหลง จ้องใหญ่ ขณะที่รอดูนั่นหลงเรียบร้อยแล้วนะ ไม่มีวันรู้เลยว่าหลงเป็นยังไงเพราะหลงไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้มันหลงไปก่อนให้มันเผลอไปคิดก่อน แล้วก็ค่อยรู้ว่าเผลอไป หลงไป ให้มันโกรธไปก่อน ให้มันโลภไปก่อน แล้วก็รู้ว่ามันโกรธ​รู้ว่ามันโลภ นี่หัดรู้อย่างนี้บ่อยๆรู้ไปแล้วจะได้อะไร เห็นมั้ย คำสอนในศาสนาพุทธละเอียดนะ จะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำอย่างไรบอกแล้วนะ อย่างถ้าจะดูจิตดูใจเนี่ย ตามดูไป ให้สภาวะเกิดแล้วก็ตามรู้ไป หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง โกรธไปก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ ตามดูไปเรื่อยๆ เราจะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำแล้วได้ผลอะไร ถ้าเราตามดูไปเรื่อย เราจะเห็นเลย เดี๋ยวจิตก็หลงเดี๋ยวจิตก็รู้  เดี๋ยวหลงเดี๋ยวรู้ นานๆจะมีอย่างอื่นแทรก เดี๋ยวโลภขึ้นมาเราก็รู้ หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ อ้าว เดี๋ยวโกรธขึ้นมา อีกแล้ว นานๆจะมีโลภแทรก นานๆจะมีโกรธแทรกที แต่หลงนี่มันยืนพื้นเลย มันเป็นกิเลสยืนพื้นเลย

ดังนั้นเราคอยรู้ทันเรื่อยๆ ไม่ใช่รู้เพื่อจะไม่ให้หลง แต่รู้เพื่ออะไร รู้เพื่อจะรู้ว่าเมื่อกี้จิตเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้จิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตโลภตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ ไม่ใช่ฝึกเพื่อจะไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง จะฝึกเพื่อให้เห็นว่า เมื่อกี้เป็นอย่างนึง เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนึง นี่คือการเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมนั่นเอง เห็นมั้ยเมื่อกี้จิตหลง ตอนนี้จิตหลงดับไปแล้ว เกิดจิตที่รู้ขึ้นมา เห็นมั้ยเมื่อกี้เป็นจิตโกรธ ตอนนี้เกิดเป็นจิตที่รู้ จิตโกรธดับไปแล้ว จิตที่รู้อยู่ไม่นาน เกิดจิตหลงขึ้นมาแทนอีกแล้ว เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ ฝึกไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่ฝึกเอาดี ไม่ใช่ฝึกปฏิเสธ สิ่งที่ไม่ดีแต่ฝึกจนเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้จิตรู้นี้ เป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น จิตโลภก็โลภชั่วคราว จิตโกรธก็โกรธชั่วคราว จิตหลงก็หลงชั่วคราว ทำไมหลงชั่วคราวเพราะมีตัวรู้มาคั่น มีจิตรู้มาคั่น เราก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลยมันก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลย มันก็จะมีแต่จิตหลง หลงทั้งวัน หลงทั้งคืน เราจะรู้สึกว่าหลงแล้วเที่ยง จะไม่เห็นหรอกว่ามันเป็นไตรลักษณ์ แต่เรามีรู้ขึ้นมานะ เพื่อจะเห็นหลงมันขาดเป็นท่อนๆ หลงไปหนึ่งนาทีแล้วรู้สึกตัวแว้บ เราเห็นเลยชีวิตที่หลงนะมันจบไปแล้ว มันเกิดชีวิตใหม่ที่รู้สึกตัว เสร็จแล้วหลงไปอีกห้านาที ก็รู้สึกอีกทีนึง หลงไปอีกชั่วโมงรู้สึกอีกที ต่อไปฝึกไปเรื่อยๆนะ หลงสามวินาทีรู้สึก หลงสองวินาทีรู้สึก ยิ่งฝึกเก่งนะยิ่งหลงบ่อย หลงแว้บรู้สึก ฝึกไปเรื่อย ไม่ใช่ฝึกไม่ให้หลง ไม่ได้ฝึกห้ามหลง ไม่ได้ฝึกที่จะให้รู้ตลอดเวลา แต่ฝึกเพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่ดับทั้งสิ้น

ปัญญาแก่รอบต่อไปอีก ก็จะเห็นอีกว่า จิตจะรู้หรือจิตจะหลงนะ ห้ามมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ นี่คือการเห็นอนัตตา เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่ใช่เราหรอก จิตจะหลง มันก็หลงของมันเอง จิตจะโลภ ก็โลภของมันเอง จิตจะโกรธ ก็โกรธของมันเอง จิตจะเป็นยังไงมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ จิตจะรู้ขึ้นมา ก็รู้ได้เอง จงใจรู้ก็ไม่ใช่อีกแล้ว แต่เราก็ต้องฝึกจนกระทั่งมันได้รู้ขึ้นมานะ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนี่ฝึกให้มันมีรู้ก่อน

บางคนได้ยินหลวงพ่อพูด หลวงพ่อเล่าให้ฟังนะว่า ตอนหลวงพ่อไปหาหลวงปู่ดุลย์ครั้งสุดท้าย สามสิบหกวันก่อนท่านมรณะภาพ หลวงปู่ดุลย์สอนหลวงพ่อ พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ ออกจากหลวงปู่ดุลย์นะ อีกวันไปหาหลวงพ่อพุธ หลวงพ่อพุธก็บอกท่านไปหาหลวงปู่ดุลย์มา หลวงปู่ดุลย์สอนอย่างเดียวกันนี้ บอก เจ้าคุณการปฏิบัติจะยากอะไร พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ สอนอย่างนี้ พอได้ยินอย่างนี้นะเลยพยายามทำลายผู้รู้ทั้งๆที่ผู้รู้ยังไม่มีเลย มีแต่ผู้หลงแต่หาทางทำลายผู้รู้ สติแตกสิ

ตอนนี้อย่าเพิ่งทำลายผู้รู้นะ ไม่ใช่เวลาทำลายผู้รู้ เอาไว้ให้ได้พระอนาคาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องทำลายผู้รู้ ตอนนี้เรายังไม่ได้ เราก็ยังไม่ทำลาย เราต้องมีผู้รู้ไว้ก่อน สังเกตมั้ยเดี๋ยวจิตก็รู้ เดี๋ยวจิตก็หลง เดี๋ยวจิตก็โลภ คอยรู้สึกไปเรื่อย รู้ัมันจะมีทีละแว้บ มีรู้อย่างนี้บ่อยๆ มีรู้ขึ้นมาเพื่อตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นช่วงๆ ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตตรงนี้รู้ เห็นมั้ยหลงต้องใหญ่หน่อย รู้ต้องนิดเดียว เป็นธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ใช่ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตเดี๋ยวนี้รู้ ปัจจุบันไม่โตขนาดนี้ คำว่าปัจจุบันน่ะเล็กนิดเดียว ชิวิตที่รู้ลงมาคือชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันได้ ขณะแว้บเดียวต่อหน้าเท่านั้น เล็กๆ ไม่มีรู้ยาวเท่านี้ (หลวงพ่อวาดมือ) รู้เที่ยงสิรู้อย่างนี้ รู้เที่ยงก็มิจฉาทิฐิ จริงๆรู้เกิดวับก็ดับ วับก็ดับ ดังนั้นเราฝึกนะจนกระทั่งเรารู้สึกขึ้นมา

วิธีที่จะให้รู้ขึ้นมาก็คือ คอยไปหัดรู้ทันเวลาใจหลงไปคิด อันนี้เป็นการบ้านที่ง่ายๆเลย เพราะจิตที่หลงคิดคือจิตที่เกิดบ่อยที่สุด จิตโลภจิตโกรธอะไรนี่มีน้อยนะ จิตหลงเนี่ยมีทั้งวันเลย เพราะในขณะที่โลภ ในขณะที่โกรธเนี่ยต้องมีหลงประกอบอยู่ด้วย ถ้าไม่หลงจะไม่มีโลภ ถ้าไม่หลงจะไม่โกรธ เพราะฉะนั้นจิตหลงเนี่ยเป็นตัวสาหัสสากันเลย ถ้าเราเรียนเรื่องจิตหลงได้ เราจะภาวนาได้ทั้งวัน

กรรมฐานนะ เราควรจะเลือกกรรมฐานซึ่งมันเกิดบ่อยๆ เราจะได้ดูบ่อยๆ อย่างใจเราหลงเนี่ยหลงทั้งวัน แล้วก็รู้ ใจหลงไปแล้วรู้  มันจะเห็นสลับกันเร็ว เคยมีนะ ตอนอยู่เมืองกาญฯ มีหนุ่มคนนึงมาถามหลวงพ่อ ผมใช้สิ่งอื่นนอกจากในสติปัฏฐานได้มั้ย ที่จะมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ถามว่าจะใช้อะไร ถ้าฟ้าร้องแล้วผมจะรู้สึกตัว ปีนึงมันร้องกี่ครั้งนะ นานมาก บางวันก็ไม่ร้องตั้งหลายเดือน แสดงว่าตลอดมาเนี่ยเอ็งไม่มีสติเลยใช่มั้ย เอ็งจะมีสติตอนหน้าฝนอย่างเดียว อย่างงี้ใช้ไม่ได้

พวกเราไปดูสิอารมณ์ในสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะ เป็นอารมณ์ที่เกิดตลอดเวลา หายใจออก หายใจเข้านี่ หายใจทั้งวันมั้ย ถ้าหายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวทั้งวัน ยืน เดิน นั่ง นอน มีทั้งวันใช่มั้ย ไม่ยืนก็เดิน ไม่เดินก็นั่ง ไม่นั่งก็นอน อะไรนี้ เวียนไปนี้ ถ้า ยืน เดิน นั่ง นอนรู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวได้เกือบทั้งวันแล้ว ยกเว้นอิริยาบถประหลาดๆ เช่น กระโดดอะไรนี้นะ หรือไปว่ายน้ำ เป็นอิริยาบถ แปลกๆไป ท่านก็สอนล็อกไว้อีกอันนึงเรื่องสัมปชัญญะ เคลื่อนไหวแล้วรู้สึก ก็เคลื่อนไหวแล้วก็หยุดนิ่ง หยุดนิ่งแล้วก็เคลื่อนไหว ถ้าหยุดนิ่งก็รู้สึก เคลื่อนไหวก็รู้สึก ก็รู้สึกตัวได้ทั้งวันแล้ว อารมณ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะเกิดทั้งวัน อารมณ์เวทนาล่ะ มีทั้งวันมั้ย สุข ทุกข์ เฉยๆก็หมุนอยู่อย่างนี้ทั้งวันใช่มั้ย ถ้าสุขก็รู้ตัว ทุกข์ก็รู้ตัว เฉยๆก็รู้ตัว ก็คือรู้ตัวได้ทั้งวัน ดูจิตดูใจล่ะ จิตหลงไปแล้วรู้ เกิดได้ทั้งวัน หลงทั้งวัน ยกเว้นบางคนนั้นขี้โลภ เจออะไรมันก็อยากตลอดเวลาเลย ความอยากเกิดถี่ยิบเลยทั้งวัน พวกนี้ก็เอาความอยากเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่เดี๋ยวมันอยากแว้บอยากดู รู้ทัน อยากฟังรู้ทัน อยากคิดรู้ทัน พวกโลภมากนะ ดูอยากเป็นวิหารธรรม มีจิตที่อยากกับจิตที่ไม่อยาก คู่เดียวก็พอแล้ว เกิดทั้งวันแล้ว คนไหนขี้โมโหนะ อะไรนิดนึงก็โมโห อะไรนิดนึงก็ขัดใจ ก็เอาจิตที่มีโมโหนี่แหล่ะมาเป็นวิหารธรรม จิตโกรธขึ้นมาก็รู้ ขณะที่รู้ว่าโกรธนั้นคือจิตที่รู้ จิตนั้นมันโกรธ เดี๋ยวก็โกรธอีก เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ เห็นมั้ยมันจะเกิดทั้งวัน

เพราะฉะนั้นอารมณ์กรรมฐานที่เราใช้นั้นต้องเป็นอารมณ์ที่เกิดทั้งวัน เราจะได้มีสติได้ทั้งวัน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เผลอไปรู้สึกตัว รู้ รู้ทันว่าเผลอ ก็รู้สึกตัว ก็เป็นจิตที่รู้ขึ้นมา ก็รู้ว่ามีจิตที่รู้อยู่ ทุกอย่างเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอด เวลา เราทำไปเพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบเช่น เราเห็นว่าร่างกายที่หายใจออก เกิดขึ้นมาแล้วดับไป กลายเป็นร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ กลายเป็นร่างกายที่หายใจออก ร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอนนี่ ก็คือร่างกายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆนะ ก็แสดงความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความหลงไปกับความรู้สึก หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ ก็แสดงความเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ภาวนาเพื่อให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบอะไรหรอกนั่นตื้นไป แต่ภาวนาเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ มันมีแต่ความไม่เที่ยง ในกายในใจนี้ มีแต่ความทนอยู่ไม่ได้ในสภาวะ อันใดอันหนึ่ง อยู่ไม่ได้ตลอดหรอก ไม่นานก็ต้องเสื่อมไป

มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้นะ สั่งไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ใช่เรานะ เป็นแค่วัตถุอันนึง จิตใจก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สั่งมันไม่ได้ นี่ภาวนาอย่างนี้ สุดท้ายจะได้อะไรขึ้นมา จะเห็นเลยว่า ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งขันธ์ห้านี้เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งหมดเลยนะ ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก อย่างร่างกายนะ ประคบประหงมมันอย่างดีเลย ให้มันมีความสุข ไม่นานเลยมันก็ทุกข์อีกแล้ว นี่อย่างนี้ดูไปเรื่อย มันเอื่อมระอา มันไม่ยึดกายแล้ว จิตใจก็เหมือนกันนะ อุตสาห์ทำความสงบเข้ามา ไม่นานก็ฟุ้งอีกแล้ว ทำดียังไงเดี๋ยวก็แย่ขึ้นมาอีกแล้ว มีแต่ของไม่เที่ยงนะ เห็นแล้วอิดหนาระอาใจ ในที่สุดไม่ยึดจิตใจด้วย

สุดท้ายไม่ยึดทั้งกายไม่ยึดทั้งใจ ก็ไม่ยึดสิ่งใดในโลกนะ จิตก็หลุดพ้นจากความยึดถือ เรียกว่าวิมุตตินะ จิตหลุดพ้น หลุดแล้วจะได้อะไร ได้เห็นนิพพาน แต่ไม่เป็นเจ้าของนิพพานนะ นิพพานไม่เป็นของใคร นิพพานเป็นธรรมดาของโลกอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมะประจำโลกอยู่อย่างนั้น แต่ว่าผู้ใดไปเห็นนิพพานผู้นั้นมีความสุขนะ จิตที่ไปรู้นิพพานนั้นมีบรมสุขที่สุดเลย มันพ้นความดิ้นรน พ้นความปรุงแต่ง พ้นความหิวโหย พวกเราค่อยๆฝึกนะ

วันนี้เทศน์มาตั้งแต่เช้าเนี่ยเรื่องอะไรบ้าง หวังว่าการปฏิบัติต้องรู้นะว่าเราจะทำอะไร ก็มีสมถะกับวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร ทำสมถะนะก็เพื่อให้มีกำลังไปทำวิปัสสนา หรือว่าบางครั้งก็ใช้พักผ่อนนิดๆหน่อยๆ พอมีเรี่ยวมีแรงสดชื่นแล้วก็ไปทำวิปัสสนา ทำอย่างไรนะ สมถะ เนี่ย ให้จิตไปอยู่ในอารมณ์ที่สบายแล้วจิตจะสงบ วิปัสสนานะให้ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจไป ใจเป็นแค่คนรู้คนดูไปเรื่อย โลภขึ้นมาแล้วรู้ โกรธขึ้นมาแล้วรู้ ดูไปเรื่อย รู้แล้วได้อะไร ทำแล้วได้อะไร ถ้าทำสมถะก็ได้ตัวรู้ขึ้นมา ทำวิปัสสนาก็ได้ปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ ได้เห็นความจริงแล้วก็หมดความยึดถือ ปล่อยวาง เข้าถึงบรมสุขที่แท้จริง


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๓
File: 520809A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิต คือ รู้ทันปฏิกริยาของจิตต่อทุกๆสถานการณ์ โดยเห็นความเปลี่ยนแปลง

mp3 (for download): ดูจิต คือ รู้ทันปฏิกริยาของจิตต่อทุกๆสถานการณ์ โดยเห็นความเปลี่ยนแปลง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูจิต คือ รู้ทันปฏิกริยาของจิตต่อทุกๆสถานการณ์ โดยเห็นความเปลี่ยนแปลง

ดูจิต คือ รู้ทันปฏิกริยาของจิตต่อทุกๆสถานการณ์ โดยเห็นความเปลี่ยนแปลง

โยม : ภาวนาแล้วรู้สึกว่าใจมันไม่แช่มชื่นน่ะเจ้าค่ะ ใจแห้งๆ แล้วเหมือนจงใจภาวนาเจ้าค่ะ ทีนี้พอจะไม่ภาวนามันก็หลงไป..

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ได้ ต้องภาวนาไว้ก่อนนะ ไม่แช่มชื่นก็รู้ทันเอา ทำไมภาวนาแล้วไม่แช่มชื่น อันหนึ่งเราอยากนะ บางทีเราอยาก เราอยากให้มันดี อยากรู้ตลอดเวลา อะไรอย่างนี้ ไม่แช่มชื่น มีบางทีเกิดปัญญาก็ไม่แช่มชื่นนะ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งของการภาวนา เห็นแต่ทุกข์ ไม่แช่มชื่น มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ก็อดทนเอา อย่าให้ความทุกข์นั้นครอบงำจิต

จุดสำคัญไม่ใช่ภาวนาแล้วมีความรู้สึกอย่างไร จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่าภาวนาแล้วนะ จิตมีปฏิกริยาอย่างไรต่อความรู้สึก เพราะฉะนั้นเมื่อภาวนาแล้วจิตไม่แช่มชื่น รู้ว่าจิตไม่แช่มชื่น อยากแช่มชื่นรู้ว่าอยาก รู้ทันปฏิกริยาของจิตต่อทุกๆสถานการณ์ เนี่ยถึงจะเรียกว่าดูจิตเป็นนะ

ถ้าจิตไม่แช่มชื่น หาทางทำให้แช่มชื่น ไม่ใช่วิปัสสนาแล้ว ต้องไปทำสมถะ สมถะเนี่ยจิตไม่ดีทำให้ดี จิตไม่สุขทำให้สุข จิตไม่สงบทำให้สงบ วิปัสสนานะก็รู้ทันจิตใจของตนเองไว้ในทุกๆสถานการณ์ โดยเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นบางครั้งภาวนามืดเลย มืดไปหมดเลย เราไม่ต้องตกใจว่าวันนี้ภาวนาแล้วไม่สว่าง มืดกับสว่างนั้นเท่าเทียมกัน พอสว่างขึ้นมาจิตก็หลงยินดี พอมืดจิตก็หลงยินร้าย ก็หลงเท่าๆกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าให้มันครอบงำจิตได้ จิตไม่แช่มชื่น รู้ทัน ไม่งั้นความรู้สึก(ไม่แช่มชื่น-ผู้ถอด)มันครอบงำ

ต่อไปเราจะเป็นอิสระ จากทุกสิ่งทุกอย่าง มันมืดเราก็มีความสุขอยู่ท่ามกลางความมืด มันสว่างเราก็มีความสุขอยู่ท่ามกลางความสว่าง เวลาได้โลกธรรมมา ได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญได้ความสุขมา เราก็มีความสุขมีความสงบอยู่ท่ามกลางลาภยศสรรเสริญสุข มีความเสื่อมลาภเสื่อมยศนินทาทุกข์เกิดขึ้น เราก็เป็นกลางมีความสุขท่ามกลางความเสื่อมลาภเสื่อมยศ ท่ามกลางการนินทา ท่ามกลางทุกข์นั้นเอง

อยู่กับโลก ด้วยความเป็นกลาง เราฝึกจนกระทั่งจิตเราเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าโลกนี้ต้องดี ไม่ใช่ว่าเราต้องสัมผัสแต่อารมณ์ที่ดี อารมณ์เลวๆก็สอนธรรมะเราเท่าๆกันแหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๐๙ ถึงนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ได้ภาวนาให้เป็นคนดี แต่ให้เห็นว่าไม่มีคน

mp3 for download : ไม่ได้ภาวนาให้เป็นคนดี แต่ให้เห็นว่าไม่มีคน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่ได้ภาวนาให้เป็นคนดี แต่ให้เห็นว่าไม่มีคน

ไม่ได้ภาวนาให้เป็นคนดี แต่ให้เห็นว่าไม่มีคน

โยม : เรื่องการปฏิบัติในช่วงนี้ ก็รู้สึกว่าสติปัญญามันทื่อๆ มันจะไม่ค่อยรู้อะไรน่ะครับ มันจะไม่ค่อยรู้อะไรน่ะครับ แต่มันพอจะรู้ได้บ้างครับ

แล้วก็ผมจะรู้สึกว่ารู้สภาวธรรมอื่นๆ มันไม่ค่อยดีครับ เพราะแบบบางทีมันกลัว ถ้าเป็นความคิดแบบชั่วมาก บางทีผมก็กลัวว่าจะเป็นคนชั่ว ก็เลยรีบพยายามไปดับมันน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เห็นมั้ยอยากเป็นคนดี เห็นมั้ย ไม่ได้อยากเลิกเป็นคน ยังอยากเป็นคนดี พออยากเป็นคนดี ก็ต้องพยายามสร้างความดี ต่อต้านความชั่ว แต่ถ้าเราคิดว่าเราจะไม่เป็นคน เราก็จะเห็นสภาวะของความดีเกิดขึ้นแล้วก็ดับ สภาวะของความชั่วเกิดขึ้นแล้วก็ดับ มันอยู่ที่เป้าหมายในชีวิตของเรานะ ว่าต้องการแค่ไหน

การที่เราต้องการเป็นคนดี ก็คือการต้องการภพภูมิที่ดี ต้องการไปสู่ภพภูมิที่ดี เราจะเวียนว่ายตายเกิดไป แต่ถ้าเราต้องการเห็นความจริงว่าตัวเราไม่มีนี้ จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันจะพ้นจากภพภูมิทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ทันใจตัวเองแล้วมันอยากดีมันรักดีมันกลัวชั่วเนี่ย ดูลึกลงไปอีกอย่างหนึ่ง มันก็คือมันรักตัวเอง มันยังสงวนรักษาตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นการดิ้นรนเพื่อจะสร้างความดี ดิ้นรนเพื่อจะต่อต้านความชั่วน้้นน่ะ ทำไปก็เพื่อ Serve อัตตาตัวตนทั้งสิ้น ทำเพื่้อรักษาตัวเรานั่นแหละ

เพราะฉะนั้นการที่เราละชั่วก็ตามทำดีก็ตามเนี่ย ถ้าเราหยุดอยู่เพียงแต่ละชั่วทำดีเนี่ย เราไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ ไปเรียนต่อนะ ดูลงไป ละชั่วทำดีจนกระทั่งจิตผ่องแผ้ว

จิตผ่องแผ้วก็คือ ไม่ว่าอะไรก็ย้อมจิตไม่ติด จิตผ่องแผ้วเป็นสภาวะซึ่งว่า สภาวธรรมทั้งหลายมีอยู่ แต่มันย้อมจิตไม่ได้ จิตเข้าถึงสภาวะที่ไม่มีอะไรย้อมติด เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานตัณหาสร้างภพอะไรอย่างนี้ ตอนนี้ท่านรู้ทันแล้ว มันสร้างให้ท่านไม่ได้แล้ว จิตของท่านถึงสภาพที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้แล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510315
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๔ ถึงนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 3 of 912345...Last »