Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

mp 3 (for download) : ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

โยม : จะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อครับ ถึงเรื่องวิธีการฝึกจิตแล้วก็ดูสติน่ะครับ ไม่ทราบว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า เพราะว่าปัญหาของตัวเองก็คือมีโทสะค่อนข้างมาไวแล้วไม่ค่อยทัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : อะไรนะ โทสะอะไรนะ

โยม : โทสะน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไม โทสะทำอะไร

โยม : คือมาค่อนข้างไว เหมือนกับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : แล้วไง

โยม : คือ รู้ครับ แต่มารู้ทีหลังทุกทีครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : รู้ทีหลังก็ถูกแล้ว คนที่ภาวนาเป็นน่ะนะ กิเลสจะเกิดบ่อย คนที่ภาวนาไม่เป็นไปเพ่งไว้นะ ทั้งวันเลยไม่เกิดกิเลส มันนิ่งลูกเดียว เราอย่ากลัวกิเลส แต่ว่าอย่าผิดศีล ๕ นะ เบื้องต้นต้องมีศีล ๕ ไว้ก่อน เพราะว่าต่อไปนี้เวลาเราเจริญวิปัสสนาเนี่ย เราจะไม่เก็บกด

คนซึ่งทำสมถะเนี่ยนะ ไม่ต้องถือศีลมากก็ได้นะ เพราะว่ามันเก็บกด ไม่ได้ไปทำชั่วอะไรหรอก วันๆก็ซึมกระทืออยู่อย่างนี้นะ ไม่ยุ่งกับใคร ทั้งวันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้เรื่องหรอก แต่พอเราไม่ได้เก็บกด เราปล่อยเนี่ย ความชั่วในส่วนลึก ที่เรียกว่าอนุสัยทั้งหลายเนี่ย จะผุดขึ้นมาอย่างอิสระ ตากระทบรูปปุ๊บ ไม่ได้เก็บกดนะ โทสะพุ่งแล้ว กระทบสาวปุ๊บราคะขึ้นแล้ว จะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นตรงนี้แสดงว่าเราไม่ได้กดไว้แล้ว เป็นการที่กิเลสเกิดบ่อย

พอมีกิเลสเกิดบ่อยเราก็มีสติรู้ทัน เราจะเห็น ต่อไปมันก็เกิดปัญญา เห็นมั้ยกิเลสจะเกิดก็ห้ามมันไม่ได้นะ เกิดมาแล้วเรารู้ทันมันไป กิเลสก็เกิดแล้วก็ดับ อย่าไปฝึกดับกิเลสนะ แต่ฝึกเห็นกิเลสเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ฝึกดับกิเลส คนละเรื่องกันเลย

โยม : คือดูไปเรื่อยๆแล้วมันจะค่อยลดเองใช่มั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยากลดเหรอ

โยม : อ๋อ.. คือที่รู้สึกก็คือรู้ว่าน้อยกว่าเมื่อก่อนครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือกิเลสจะเกิดบ่อยกว่าแต่ก่อน แต่กิเลสจะเบา ทำไมมันเบา เพราะเรารู้เร็ว กิเลสเหมือนไฟไหม้บ้านนะ ถ้าปล่อยให้ไหม้หลายนาทีเนี่ย จะไหม้เยอะ ถ้าคนมันมาวางเพลิง มาขีดไฟแช็คปุ๊บ เราเห็นแล้วถีบมันเปรี๊ยง ไฟไม่ติดละ ดังนั้นกิเลสเนี่ย พอเรามีสติรู้เร็ว กิเลสมันก็อ่อน กิเลสจะเกิดบ่อยนะ ไหววับรู้สึก วับรู้สึก วับรู้สึก ไม่ต้องทำอะไรมัน


CD: บ้านอารีย์ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
File: 510914.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๔๕ วินาทีที่ ๓๒
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

กลัวภาวนาไม่ดี

Mp3 for download: 500707B_dontbeafraid

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

กลัวภาวนาไม่ดี

กลัวภาวนาไม่ดี

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจถึงๆหน่อย อย่ากลัวไม่ดี อย่ากลัวไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ความกลัวความกังวลนั้นเป็นโทสะ ถ้าตราบใดที่มันยังครอบครองพื้นที่ในจิตใจของเราอยู่ สติจะไม่เกิด เกิดไม่ได้เลย สติไม่เกิดร่วมกับอกุศล

ถ้าเราไม่กลัวมันนะ เราเห็นใจมันกลัว ไม่ใช่เรากลัว แต่ใจมันกลัว ใจเราเป็นแค่คนดู เราเห็นว่ามันกลัว ความกลัวมันจะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเลย เพราะเราไม่เข้าไปแทรกแซง

เพราะฉะนั้น จิตใจจะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ หยาบก็ได้ ละเอียดก็ได้ วิ่งไปข้างใน วิ่งไปข้างนอก หรือเป็นกลางๆก็ได้ ให้รู้ด้วยความเป็นกลางไป รู้สภาวะทุกอย่างตามที่เขาเป็นแหละ ไม่ต้องไปอยากให้เขาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เราจะเห็นสภาวะทั้งหลายเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีตัวเราในนั้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๑
File: 500707B
ระหว่างนาที่ที่ ๙ วินาที่ที่ ๔๗ ถึงนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๘

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราคิด หรือ จิตคิด?

mp 3 (for download) : เราคิด หรือ จิตคิด?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เราคิด หรือจิตคิด

เราคิด หรือจิตคิด

โยม: เมื่อวาน หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดมาก ก็ สรุปแล้ว ทำไม่ได้ค่ะ หมายความว่า มันไม่สามารถทำได้

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ๆ อย่าคิดมากของหลวงพ่อ หมายถึงว่า อย่าไปช่วยมันคิด ส่วนจิตเนี่ย มันคิดทั้งวันอยู่แล้ว ต่อไปนี้พอจิตมันไหลไปคิดนะ รู้ทันแว้บเลย อย่าไปช่วยมันคิด ภาษามนุษย์นะ บางทีไม่ค่อยสื่อนะ ลำบาก ตัวสภาวธรรมก็คือ ปล่อยให้จิตมันคิดไป แล้วมีสติรู้ทัน อย่าไปช่วยมันคิด

สมมุติว่า อยู่ๆมันคิดถึงยายชีคนนี้อยู่วัด อยู่กับเรา ที่ ที่อื่นนะ เกลี๊ยดเกลียดมัน อยู่ๆ ก็คิดถึงมันนะ ให้มีสติรู้ว่าไปคิดถึงเขาละ ให้มีสติรู้ว่าโทสะเกิด ให้รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่ไปช่วยเขาคิด

ช่วยเขาคิดมีหลายแบบนะ ช่วยเพิ่มกิเลส ไปช่วยแบบสู้กิเลส ช่วยเพิ่มกิเลสก็คือ ป่านนี้มันคงตายไปแล้ว มันทำชั่วมาก ช่วยแบบเพิ่มกิเลสตัวเอง อีกช่วย อีกช่วยหนึ่ง ช่วยข่มกิเลส อย่าไปโกรธเขาเลยน่ะ เขาหลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราว อีกหน่อยเขาคงจะดี เห็นมั้ย ขณะที่ไปช่วยคิดเพื่อจะไปสู้กิเลส ลืมตัวเองอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเรา ใจของเรานะ เหมือนเรืออยู่ในแม่น้ำทอดสมอไว้ ไม่ไหลตามน้ำไป ไม่ต้านน้ำ ให้น้ำไหลผ่านไป ปล่อยให้ความคิด ให้จิตใจนี่แหละทำงานไปตามปกติ ไม่ไปต้านมัน ปล่อย มีหน้าที่รู้ลูกเดียว แต่อย่าไปคล้อยตามมัน พอรู้เรื่องมั้ย สำนวนนี้ หรือต้องเปลี่ยน เปลี่ยนสำนวน

โยม: เข้าใจค่ะ เวลาที่มันมีความคิดเกิดน่ะค่ะ มัน มันเห็นเหมือนว่า มี หมายความว่าความคิด กับสิ่งที่มันคิด มันคนละอย่างกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่.. แล้วคนที่รู้ว่าคิด ก็มีอยู่ต่างหาก นะ มัน ขันธ์นะกระจายตัวออกไป เห็นมั้ยเรื่องราวที่คิดอันหนึ่ง ใจที่คิดอันหนึ่ง ให้รู้อาการที่ใจคิดนะ ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด รู้เรื่องที่คิดเป็นการรู้อารมณ์บัญญัติ คนที่ไม่ภาวนาก็รู้เหมือนกัน หมาก็รู้นะ อย่างไอ้เหลืองมันคิดได้นะ หมาก็ฝันเป็นนะ เออ.. ไม่ใช่ว่าหมาฝันไม่เป็น คิดไม่เป็น

เพราะฉะนั้น ไปรู้เรื่องราวที่คิดที่ฝันเนี่ย กระทั่งสัตว์ก็ทำเป็น ตัวสำคัญคือ รู้..ว่าใจไปคิด เนี่ย ที่หลวงพ่อเทียนสอนน่ะ รู้ว่าจิตไปคิดน่ะได้ต้นทางแล้ว

พอเรารู้ว่าจิตไปคิด จิตจะหลุดออกจากโลกของความคิด มาเกิดโลกของความรู้สึกตัวขึ้นมา จะตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมา มันให้เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ ที่ขยับอยู่เนี่ย ท่านให้ขยับไปเรื่อย เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ไม่ใช่ตัวเราเลย เห็นทันทีนะ ไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นเรามั้ย จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เรา

และถ้าจิตเคลื่อนไหว ทำงานขึ้นมา ก็จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เราอีก ตัวเราไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้าใจหนีไปคิด ให้รู้ว่าไปคิดนะ ให้รู้อาการที่ใจหนีไปคิด ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิดนะ ถ้ารู้เรื่องที่คิดเป็นสมมุติบัญญัติ หมามันก็รู้เหมือนกัน ไม่เห็นบรรลุอะไร แต่ถ้ารู้อาการที่ใจคิดเนี่ย รู้อารมณ์ปรมัตถ์ เรารู้จิตที่คิด การรู้อารมณ์ปรมัตถ์นี่เป็นการทำวิปัสสนา เราจะเห็นเลย จิตจะคิดห้ามมันไม่ได้นะ มันคิดของมันเอง มันทำงานได้เอง มันไม่ใช่ตัวเราหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
Track: ๑๕
File: 500615A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีภพทีไร มีทุกข์ทุกที

mp3 for download: มีภพทีไร มีทุกข์ทุกที

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราสังเกตมั้ย กิเลสมันเกิดทั้งวัน พวกนักเรียนที่เรียนมาแล้ว เคยเห็นมั้ย กิเลสมันเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวหดหู่ เดี๋ยวลังเลสงสัย อะไรอย่างนี้ ใจเรานี่หมุนไปเรื่อยๆนะ เดี๋ยวกิเลสตัวนั้นเกิด เดี๋ยวกิเลสตัวนี้เกิด ทุกคราวที่ใจเราทำงานขึ้นมานี่ ภาษาพระเรียกว่า “ภพ” นะ

เวลาที่จิตใจของเราหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ทำงานปรุงแต่งอะไรไป เขาเรียกว่ามันสร้างภพไปเรื่อย ภพมีสองส่วน ภพหนึ่งเรียกภพโดยการเกิด อย่างเราตอนนี้เราเกิดในภพของมนุษย์ ภพของมนุษย์เนี่ย เรียกว่าเป็นกามภพ ถ้าเราเข้าฌานก็เป็น รูปภพ อรูปภพ อันนี้เป็นภพโดยการเกิด เรียกว่า “อุปัติภพ” ตัวนี้ตอนนี้เรามีอยู่แล้ว เราเป็นภพของมนุษย์ นะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าเป็นภพใหญ่ของมนุษย์ มีภพใหญ่เป็นมนุษย์

แต่มันยังมีภพอีกชนิดหนึ่งนะ เรียกว่า “กรรมภพ” กรรมภพเนี่ย คือการที่จิตทำงานขึ้นแต่ละคราว แต่ละคราว เมื่อไรจิตใจเรามีความโลภขึ้นมานะ ขณะนั้น จิตเรา ร่างกายเราเป็นมนุษย์จริง แต่ใจเราเป็นเปรต เวลามีความโลภ สังเกตมั้ย ใจมีความสุขหรือมีความทุกข์ นึกออกมั้ย เวลาเราอยากโน้นอยากนี้ ใจเรามีความทุกข์นะ เวลาเรามีความโกรธขึ้นมาเนี่ย ใจเราก็อยู่ในภพที่เป็นสัตว์นรก สัตว์นรกเนี่ย จิตใจไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบาน เจือด้วยโทสะ เจือด้วยความทุกข์ตลอดเวลา

เวลาเรามีความโกรธ หรือเวลาเรามีความทุกข์ เราสุขมั้ย เราไม่สุขใช่มั้ย มันเป็นภพของเปรต มีความโลภเราก็มีความทุกข์นะ เป็นภพของสัตว์นรกมีโทสะ มีความโกรธขึ้นมา เราก็มีความทุกข์ เป็นภพของสัตว์เดรัจฉาน ใจลอย ตัวนี้ดูยากแล้ว โมหะ ใจลอยไป ดูยาก หลงๆไปวันหนึ่งๆ นะ ดูยากแล้วว่าเป็นตัวทุกข์ อันนี้ต้องค่อยๆฝึกก่อน ทีแรกก็จะเห็นที่ภพที่มีโทสะ บางครั้งก็เห็นได้ง่ายว่าเป็นทุกข์ ภพที่มีความโลภขึ้นมา เห็นได้ง่ายว่ามีความทุกข์

ถ้าใจของเราเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมานะ เราก็เป็นภพของมนุษย์ ใจเรามีความสุขนะ อยู่กับความสุข มีความละอายบาป เกรงกลัวต่อบาป เราก็อยู่ในภพเทวดา ร่างกายเรายังเป็นคนอยู่ แต่ใจเราเป็นเทวดา บางทีเราทำสมาธินะ ร่างกายเราเป็นคน ใจเราเป็นพรหม เป็นพระพรหมเงียบๆ สงบนะ

เพราะฉะนั้นใจเราแหละ เสวยภพโน้น เสวยภพนี้ ตลอดเวลา เปลี่ยนภพตลอด คือเปลี่ยนสภาวะ พูดคำว่าภพแล้วงง เปลี่ยนมาเป็นว่า มันเป็นสภาวะต่างๆ เดี๋ยวใจเราก็มีสภาวะที่เป็นสุข เดี๋ยวใจก็มีสภาวะเป็นทุกข์ เดี๋ยวใจโลภ ใจโกรธ ใจหลง ใจฟุ้งซ่าน ใจหดหู่

บางภพหรือบางสภาวะเนี่ย ดูง่ายว่าเป็นทุกข์ บางภพที่ละเอียดปราณีตนะ บางสภาวะที่ละเอียดปราณีตนะ ดูยากว่าเป็นทุกข์ ต้องภาวนากันนานๆ ยกตัวอย่างใจของพรหมเนี่ยดูยากที่สุดเลยว่าเป็นภพ มันมีความสุข มันมีความสงบ มีอุเบกขาอยู่อย่างนั้น ดูยาก และใจอื่นๆนะ ก็ดูง่ายหน่อย ใจเทวดาก็ดูยาก มีความสุขเยอะไป

เวลาพวกเรามีความสุข เรารู้สึกมั้ย เรามักจะเผลอ เรามักจะเพลินในความสุข เราจะลืมกายลืมใจ เพราะฉะนั้นพวกเทวดาเนี่ย เผลอๆเพลินๆไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่นะ ยกเว้นว่าเคยศึกษาธรรมะมาก่อน เป็นเทวดาแล้วก็ภาวนาได้อีก ถ้าไม่เป็น หรือเคยศึกษามาก่อน ก็หลงๆไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง ไม่มีสาระอะไร

เวลาที่เราเป็นคนนะ ใจเราเปลี่ยนภพอยู่ตลอดเวลา มีภพทีไรมีทุกข์ทุกที นี่.. พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้ มีภพทีไรก็เป็นทุกข์ทุกที เห็นมั้ยเราโลภขึ้นมาทีหนึ่ง จิตมีความโลภขึ้นมา นี่เป็นจิตโลภ เป็นจิตของเปรต เราก็มีความทุกข์

บางทีเรามีความคิดความเห็นนะ เราว่าต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้นะ คนอื่นไม่เชื่อเรา เราโมโหเลยนะ เนี่ยบังคับคนอื่นให้เชื่อตามเรา เรายึดในความคิดความเห็นของเรา ก็เป็นภพชนิดหนึ่ง ชื่อว่า อสุรกาย พวกเจ้าทิฎฐิ เจ้ามานะ เจ้าความเห็น เพราะฉะนั้นอสุรกายเยอะนะ ลูกศิษย์หลวงพ่อเนี่ย พวกเรียนหนังสือมากเนี่ย พวกอสุรกายนะ อสุรกายจำแลงมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๑๕
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปัสสนาคือ เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์

mp3 for download: วิปัสสนาคือ เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิปัสสนาคือ เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์

วิปัสสนาคือ เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์

หลวงพ่อปราโมทย์: นักเรียนคนไหนไม่มีมือถือมีมั้ย? ยกมือให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อจะได้ชื่นใจ โอ้..ดีมากนะ ดีมาก นักเรียนคนไหนมีมือถือบ้าง ยกมือซิ.. งั้นๆแหละไม่ชื่นใจ นะ ไม่มีสตางค์ซักหน่อยนะ หาเงินไม่ได้เลย บริโภคเยอะไป ใช้อะไรบ้างนะ ส่ง message หรือส่งอะไร ถูกเขาหลอกนะ หลวงพ่อเคยมีมือถือนะ แต่ก่อนนี้ อย่างมือถือนะ เดือนหนึ่งนะเสียแต่ค่าอะไร เขาเรียก ค่ารายเดือนน่ะ ไม่ค่อยมีค่าจ่ายน่ะ ไม่ได้ค่าพูดไม่ค่อยมี

สังเกตดูเวลาเรามีมือถืออยู่หนึ่งอัน พอมีรุ่นใหม่นะ เพื่อนเอารุ่นใหม่มา เราอยากได้ มีใครเห็นของเพื่อนใหม่กว่า แล้วก็เฉยๆอุเบกขามีมั้ย ไม่ค่อยมีหรอก มีแต่อยากได้นะ บางทีเราไปซื้อมานะ รุ่นนี้เราว่าซื้อได้ถูกมากแล้วนะ ซื้อมาได้ราคา ราคาหมื่นบาท เราว่าเราซื้อได้ถูกนะ เพื่อนมันซื้อมารุ่นเดียวกัน เหมือนกันเปี๊ยบเลย ราคาเก้าพัน จากความสุขที่มีอยู่แล้วกลายเป็นความทุกข์อีกแล้ว

หรือเราไม่มีซักเครื่องนะ เห็นคนอื่นมาเราอยากจะได้ใช่มั้ย ใจที่มีความอยากขึ้นมา ก็มีความทุกข์แล้ว ใจที่เห็นของคนอื่นเขาดีกว่านะ อิจฉาเขา นี่มีความทุกข์อีก เป็นโทสะตระกูลอิจฉา เพราะฉะนั้นใจเราเนี่ยหมุนเวียนที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมาแผดเผาตนเองอยู่ตลอดเวลา ห้ามได้มั้ย ห้ามไม่ได้นะ ใจจะโลภก็ห้ามไม่ได้ ใจจะโกรธก็ห้ามไม่ได้ ใจจะหลง ใจจะฟุ้งซ่าน ใจจะหดหู่ ใจจะลังเลสงสัย ห้ามไม่ได้ เราบังคับมันไม่ได้จริงหรอกนะ แล้วทำอย่างไร เราถึงจะสู้กับกิเลสไหว พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทันนะ คอยรู้ทัน

ต่อไปนี้ ง่ายๆเลยนักเรียนทั้งหลาย ใจเราโลภขึ้นมา ใจเรามีความอยากขึ้นมา เราก็รู้ทันว่าตอนนี้อยากละ ใจเราโกรธขึ้นมา หรือใจเรากลัว หรือใจเราอิจฉา หรือใจเรากังวล นี่เป็นตระกูลโทสะนะ หวงแหนนี่ตระกูลโทสะ โทสะเกิดขึ้นในใจเราก็คอยรู้ทัน ใจลอยไป ใจฟุ้งซ่านไป ใจหดหู่ไป นี่พวกโมหะ เราก็รู้ทันนะ ใจ ใจมันซึมๆไป ก็รู้ทัน

ต่อไปนี้ง่ายๆเลย การปฏิบัติธรรม อย่าไปวาดภาพว่าต้องไปนั่งสมาธิมากๆ ไปเดินจงกรมมากๆ หัดเจริญสติในชีวิตประจำวันให้มากนะ การเจริญสติในชีวิตประจำวันนี้แหละ คือหัวใจของกรรมฐานเลย หัวใจของการปฎิบัติ ไม่ใช่หลวงพ่อพูดเองนะ ครูบาอาจารย์บอกมาอีกทีหนึ่ง ว่าหลวงปู่มั่นสอนท่านมากัน บอก หลวงปู่มั่นสอนบอกว่า ทำสมาธิมาก นั่ง..ลูกเดียวเลย ไม่ทำอย่างอื่นเลย นั่งเอาความสงบอย่างเดียวเลย ท่านบอก ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามาก พิจารณาธรรมะมากๆนะ ฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฎิบัติธรรมนะ คือการเจริญสติ มีสติในชีวิตประจำวันนี่แหละ เราจะยืน เราจะเดิน เราจะนั่ง เราจะนอนนะ ใจเราเป็นอย่างไร เราคอยรู้ทันไปเรื่อย คอยรู้ทันใจของเรา

พอรู้บ่อยๆ จะเห็นเลย เดี๋ยวใจก็เสวยภพนี้ เดี๋ยวใจก็เสวยภพนี้ เดี๋ยวใจเราก็เป็นเปรต เดี๋ยวใจเราก็เป็นอสุรกายเจ้าความคิดเจ้าความเห็น เดี๋ยวใจเราก็เป็นสัตว์นรก มีความทุกข์ขึ้นมา เดี๋ยวใจเราก็แช่มชื่นเป็นบุญเป็นกุศลนะ ก็เป็นเทวดาขึ้นมา มีศีลมีธรรม เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ใจเราเข้าถึงความสงบ บางช่วงใจเราเข้าถึงความสงบ ใจเราก็เป็นพระพรหม เนี่ยใจเราหมุนไปเรื่อยๆ ให้เราคอยรู้ทันใจนะ เราจะเห็นว่าใจเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใจไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนะ มันหาความสุขหาความสบายที่แท้จริงไม่ได้ แต่ตัวนี้ดูยากนิดนึง โดยเฉพาะจิตที่ละเอียดที่ปราณีต เป็นภพที่ละเอียดที่ปราณีตนี่ดูยาก ว่าเป็นตัวทุกข์ เราจะเห็นแต่หยาบๆก่อน

เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ ใจเราโกรธขึ้นมาเราดูเลย เห็นมั้ย ใจมันดิ้นเร่าๆหาความสุขไม่ได้ ใจมันโลภขึ้นมารู้ทันเลย ใจมันดิ้นเร่าๆหาความสุขไม่ได้ คอยรู้ทันใจตัวเองไป อย่าไปบังคับนะ อย่าไปห้ามมัน อย่าไปควบคุมมัน ให้รู้ลูกเดียวเลย

คำว่า “วิปัสสนา” เนี่ย มาจากคำสองคำนะ คำว่า “วิ” ตัวหนึ่ง คำว่า “ปัสสนา” คำหนึ่ง “ปัสสนา” แปลว่า “การเห็น” นะ ปัสสนาแปลว่าการเห็น “วิ” ตรงกับคำว่า “วิเศษ” นี่เอง เห็นอย่างยอดเยี่ยมเลย เห็นอะไร เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์นะ จึงจะเรียกว่า “วิปัสสนา” ถ้าเราคอยรู้สึกกายรู้สึกใจนะ เราเห็นกายมันทำงาน เห็นกายมันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอน ใจเราเป็นคนดูมัน เราเห็นจิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย คอยดูเฉยๆ อย่าไปบังคับมันนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จุดอ่อนของฆราวาส คือ ไม่อดทน และไม่ต่อเนื่อง

mp 3 (for download) :จุดอ่อนของฆราวาส คือ ไม่อดทน และไม่ต่อเนื่อง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จุดอ่อนของฆราวาส คือ ไม่อดทน และไม่ต่อเนื่อง

หลวงพ่อปราโมทย์: เมื่อก่อนเขียนไว้ บอกว่า อะไรนะ หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้ ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป เพราะถ้าถึงวันนนั้นนะ เราจะระหกระเหินอีกแสนนาน

ลงมือแต่วันนี้นะ ลงมือเจริญสตินะ ไม่ใช่ลงมือทำอย่างอื่น อย่างอื่นทำมาเยอะแล้ว ลงมือเจริญสติ หัดรู้สึกกาย หัดรู้สึกใจ กายเป็นอย่างไรรู้มันไป จิตเป็นอย่างไรรู้มันไป ฝึกอยู่อย่างนี้แหละ เดี๋ยววันหนึ่งก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นเป็นลำดับ ลำดับไป ต้องสู้นะ เส้นทางนี้ต้องอดทน

อดทนอย่างแรกเลย อดทนต่อคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ต้องอดทน อดทนอันที่สองนะ อดทนต่อความยากลำบากทางร่างกาย อย่างบางทีจะมาเรียนใช่มั้ย ต้องตื่นนอน ต้องเบิ่งตาใช่มั้ย มันตื่นไม่ขึ้น ต้องทรมาน อุตส่าห์มา พากเพียรมา เหน็ดเหนื่อย มาเรียนได้ชั่วโมงกว่าๆ ขับรถกลับบ้านไปละ เสียเวลาไปหนึ่งวันแน่ะ เหนื่อย

ต้องอดทนต่อความลำบากทางกาย อดทนต่อกิเลส นี้ตัวสำคัญเลย ต้องอดทนต่อกิเลสตัณหาที่มันจะมายั่วยวนให้เราไม่ปฏิบัติ มายั่วยวนให้เราเลิกรู้กายรู้ใจ ตัวนี้ต้องอดทนมากเลย อาศัยความอดทนนี้นะ ถึงจะผ่านไปได้ เรียนให้รู้หลักแล้วอดทน ปฎิบัติไปด้วยความอดทน รู้กายรู้ใจไป จุดอ่อนของฆราวาสนะ คือไม่อดทน ไม่ต่อเนื่อง ทำบ้างหยุดบ้าง เหยาะๆแหยะๆ อยากได้ของดีนะแต่เหยาะแหยะ ไม่ได้กินหรอกนะ

รัชกาลที่ ๖ ท่านแต่งกลอน บอกอะไรนะ ไม่คิดสอยมัวแต่คอยดอกไม้ร่วง ใช่มั้ย คงชวดดวง บุปผชาติ สะอาดหอม ไม่คิดสอยนะ นั่ง..เมื่อไหร่จะบรรลุ.. บรรลุอะไร บรรลุโมหะสิ ต้องสู้นะ ขี้เกียจ ก็อย่าไปปล่อยให้ความขี้เกียจครอบงำ ขี้เกียจได้ แต่ต้องปฏิบัติ ลุกขึ้นมาเดินจงกรม ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องรู้สึกตัว ต้องเข้มแข็งนะ ต้องอดทนนะ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ อย่ามาพูดเลยว่าจะอยากได้ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้อยากจริง อยากแต่ปาก อยากแต่เวลามาพูดเอาใจหลวงพ่อนะว่า หนูอยากนิพพาน พูดเอาใจเรา ลับหลังเราไปช็อปปิ้งเพลินเลย ใช่มั้ย ต้องสู้นะ ต้องเด็ดเดี่ยว ไม่มีอะไรสำคัญเท่าอดทนเลย


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๓
Track: ๑๑
File: 510202.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเศร้าหมอง จะภาวนาอย่างไร?

จิตเศร้าหมอง จะภาวนาอย่างไร?

จิตเศร้าหมอง จะภาวนาอย่างไร?

mp 3 (for download) : จิตเศร้าหมอง จะภาวนาอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: คืออยากทราบว่า การที่จิตเศร้าหมองมากๆ นี่เกิดจากอะไรล่ะคะ

หลวงพ่อ: โอ้.. มันไปกระทบอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มันก็เศร้าหมอง

โยม: ก็คือ.. ให้เห็นว่าเราเศร้าหมอง ใช่มั้ยคะ?

หลวงพ่อ: ไม่ใช่ให้เห็นว่าเราเศร้าหมอง ให้เห็นว่าความเศร้าหมองนั้นไม่ใช่เรา ค่อยๆแยกนะ ระหว่างจิตอันหนึ่ง ความเศร้าหมองเป็นอีกอันหนึ่ง คนละอันกัน ความเศร้าหมองเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความเศร้าหมองไม่ใช่ตัวเรา ความเศร้าหมองมันไม่ใช่จิตด้วย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า รู้สึกมั้ย ความเศร้าหมองเป็นของถูกรู้

โยม: รู้สึกค่ะ แล้วบางครั้งรู้สึกจมไปกับความเศร้าหมอง..

หลวงพ่อ: เอ้อ.. ตรงนี้ที่หลวงพ่อพูดเมื่อเช้าว่า เวลารู้อะไรแล้วอย่าจมไปในสิ่งนั้น ที่จมลงไป บางคน มันแพ้กันนะ มันแพ้ทาง บางคนมันเจอโทสะมันทนไม่ได้ ต้องกระโจนลงไปในโทสะ บางคนเจอความเศร้าทนไม่ได้ ผู้หญิงเป็นเยอะนะ พอมีอารมณ์อะไรเศร้าๆมาแล้วก็ชอบไหลลงไปอยู่กับมัน แถมชอบด้วย บางคนน่ะ ลงไปแล้วรู้สึกสะใจเล็กๆข้างใน

โยม: คือ อาจจะไม่รู้ตัวว่าว่าชอบแล้วทำเหมือนเป็นนิสัยที่ติดหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ: เอ้อ.. ใจเราชอบนะ บางที ให้เรารู้ทันว่าใจเราไหลลงไป อย่าลงไปนอนแช่เฉยๆ ให้รู้ทันว่ามันไหลลงไปแล้ว เนี่ยใจหนีไปคิดทราบมั้ย?

โยม: ค่ะ ทราบว่าใจหนีไปคิดแล้วค่ะ

หลวงพ่อ: อย่าไปตรึงความรู้สึกให้นิ่ง ตอนนี้บังคับตัวเองเยอะไป ผ่อนคลายมากกว่านี้ การภาวนาต้องผ่อนคลายนะ การภาวนาต้องผ่อนคลาย ต้องสบาย จิตใจแอบไปคิดแล้วทราบมั้ย สังเกตมั้ย ตอนที่รู้ว่าใจหนีไปคิดน่ะ ไม่ได้เศร้าแล้ว รู้สึกมั้ย ไม่ได้จมอยู่ในความเศร้าแล้ว เพราะอะไร จริงๆแล้วสภาวะทั้งหลาย เกิดชั่วครั้งชั่วคราวทั้งหมดเลย ที่เราบอกว่าใจเราไปติดอยู่ในความเศร้านานๆ เพราะเราไปยอมติดอยู่ตรงนั้นเอง ถ้ามาหัดเจริญสติ มันอยู่..กำลังเศร้าๆอยู่ แล้วใจแอบไปคิดนะ รู้ว่าใจแอบไปคิด ทันทีที่รู้ว่าใจแอบไปคิด จิตไม่เศร้าแล้วในขณะนั้น รู้สึกมั้ยตอนนี้เศร้าน้อยกว่าเมื่อตะกี้นี้

โยม: รู้สึกเศร้าน้อยกว่าค่ะ

หลวงพ่อ: เออ.. นั่นแหละ เฝ้ารู้ลงปัจจุบัน รู้ใจนะ ไม่ใช่ไปรู้ความเศร้านะ ปรับนิดนึง ถ้าใจเราไปติดกับความเศร้าก็อย่าไปดูมัน ให้รู้ทันใจ เช่น พอมันติดอยู่กับความเศร้าแล้วใจไม่ชอบ ให้รู้ว่าไม่ชอบ ใจกลัว ให้รู้ว่ากลัว ใจเผลอไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้ว่าเผลอไปคิด ไม่ต้องไปเกาะนิ่งดูความเศร้าเฉยๆอยู่ ถ้ามีแรงแล้วจะเห็นเลย ความเศร้าอันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง คนละอันกัน เนี่ย ใจแอบไปคิดอีกแล้ว ทราบมั้ย แล้วมันอยากพูดแล้ว รู้สึกมั้ย เห็นมั้ย มันมีแรงดันเกิดขึ้นกลางหน้าอก ดูออกมั้ย

โยม: ค่ะ

หลวงพ่อ: เห็นมั้ย เอาอีกละ เอาอีกละ เห็นมั้ย..

โยม: ค่ะ คือถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ก็คือ ให้เหมือนกับเห็นแล้วรู้เฉยๆ หรือว่า..

หลวงพ่อ: ให้รู้เฉยๆ นะ นั่นแหละ ตัวนี้เรียกว่า ‘ตัณหา’ ตัณหามันจะผลักขึ้นมา พอผลักขึ้นมานะ ใจเราก็กระโจนตามที่มันสั่งเลย ถ้ารู้ลงปัจจุบันนะ ใจจะไม่ไปติดอยู่กับความเศร้า ให้รู้ทันใจลงเป็นปัจจุบันไป ถ้าไม่ยอมรู้ในปัจจุบันนะ มัวแต่คิดว่าเศร้าๆแล้วเกาะนิ่งๆอยู่กับความเศร้า ออกมาไม่ได้

โยม: คือ ถ้ารู้ว่าเศร้าแล้วไม่ชอบ ก็ให้รู้ว่าไม่ชอบ

หลวงพ่อ: เออ.. รู้ว่าไม่ชอบนะ หรือว่าเศร้าแล้วก็คิด แหม..มันอย่างโน้น มันอย่างนี้ รู้ว่าหลงไปคิดแล้ว พอรู้ว่าหลงไปคิดก็หลุดออกมาแล้ว จิตมันเปลี่ยนอารมณ์แล้ว จิตที่ไปเกาะนิ่งๆกับความเศร้าก็ไม่เที่ยงเหมือนกันน่ะ พอจิตไปจับอารมณ์อันใหม่ก็ทิ้งอารมณ์อันเก่า..

โยม: ขอบพระคุณหลวงพ่อค่ะ

หลวงพ่อ: อย่ามัวเศร้าอยู่นะ เสียเวลา ไม่ดี บางคนชอบนะ สาวๆ เป็นเยอะนะ ชอบสวมวิญญาณนางเอก แกล้งเศร้าก็มีนะ ทำใจให้มันเศร้าๆไว้ ให้รู้สึกสะใจ แสบๆนะ แสบๆแล้วชอบนะ ผู้ชายก็เป็นนะ หลวงพ่อสังเกตดู ผู้ชายก็มีเหมือนกัน แต่ผู้หญิงเยอะกว่า อันนี้ สวมวิญญาณนางเอกรอพระเอกมาปลอบ พระเอกอยู่ไหนยังไม่รู้เลยนะ แต่ว่าซ้อมไว้ก่อน

อย่ายอมอย่างนั้นนะ ยอมอย่างนั้นคือฝึกจิตให้คุ้นเคยกับโทสะ จะตกนรกนะ อย่าให้ใจมันไปคุ้นกับโทสะ แล้วก็อย่าให้ใจไปคุ้นกับความเผลอเพลิน ใจลอยไปทั้งวัน จิตคุ้นเคยกับใจลอย เผลอๆ ลืมเนื้อลืมตัว มันจะไปเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน แล้วก็อย่าให้จิตมันเต็มไปด้วยความอยาก ยอมให้ความอยากครอบงำนะมันจะไปเป็นเปรต

เพราะฉะนั้น เวลากิเลสอะไรเกิดขึ้นนะ สักว่ารู้สักว่าเห็น รู้ทันเข้ามาที่จิตที่ใจเรานี้ กิเลสอยู่ส่วนกิเลส จิตอยู่ส่วนจิต จิตไม่คล้อยตามกิเลส ไม่ไปอบายแล้ว ถ้าจิตไปติดไปข้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนะ ไปดูมันแล้วมันไม่ขาดไปนะ ก็ไม่ต้องไปดูมัน ดูจิตของเรา ไม่ต้องไปดูมัน เช่น จิตไปเกาะกับความเศร้า ไม่ต้องไปดูที่ความเศร้านะ ถ้าดูความเศร้าแล้วมันขาดปั๊บไปอย่างนั้นก็ใช้ได้ แสดงว่าจิตมีกำลังพอ มีสัมมาสมาธิตั้งมั่น พอดูปั๊บขาดปั๊บ แต่ถ้าดูแล้วไม่ขาด แล้วเราไปแช่อ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง ไม่มีเรี่ยวมีแรงเนี่ย อย่าไปดูมัน ดูจิตของเรา จิตเราแอบไปคิดก็รู้ จิตเรากลุ้มใจขึ้นมาก็รู้ รู้ที่จิต มันจะมีความเคลื่อนไหว มีความเปลี่ยนปลงขึ้นมา พอมันเคลื่อนไหว มันเปลี่ยนแปลง ไอ้ภาวะนิ่งๆ ทื่อๆ ที่ไปติดอยู่ก็หลุดไปเลย เพราะภาวะทั้งหลายเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
ลำดับที่ ๖
File: 530305.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

mp3 for download: การเดินจงกรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

การเดินจงกรม เมื่อมีโทสะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ที่จริงเราต้องลบภาพ ลบความรู้สึกนะ ที่ว่า การเดินจงกรมเนี่ย คือเวลาปฎิบัติธรรม ตรงนี้ต้องลบทิ้งไป แล้วก็กลมกลืนการปฏิบัติเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกก้าวที่เดินเนี่ย รู้สึกตัวไป

ส่วนที่เดินกลับไปกลับมานั้นน่ะ มันมีหลายแบบ บางทีก็เดินเรื่อยเปื่อย ใจลอยไป บางทีก็เดินทำสมถะนะ เดินเพ่งไป บางทีก็เดินรู้สึกไป บางทีก็รู้สึกกาย บางทีก็รู้สึกใจ หมุนไปเรื่อยๆ ในความเป็นจริงแล้วก็คือ ทุกก้าวที่เดิน ต้องรู้สึกตัว พยายามรู้สึก ไม่ใช่ว่าจะเลิกปฏิบัติ

คำว่าปฏิบัติ เลิกไม่ได้ ต้องทำตั้งแต่ตื่นจนหลับ ยกเว้นตอนทีเผลอไป กับตอนที่ไปคิดๆ อะไรอย่างนี้ นอกนั้นต้องปฏิบัติทั้งวัน ห้ามเลิก

โยม: คือทีนี้มัน จะเลิก ไม่เลิก ที่มันรู้สึกตีกัน ก็เพราะว่า ที่สังเกตมาตลอดเวลาทำเนี่ย มันก็เป็น ส่วนใหญ่มันเป็นสมถะ รู้สึกว่า ถ้าทำสมถะไปเยอะๆเนี่ย พอไปเจริญสติในชีวิตประจำวันต่อแล้วเนี่ย สติมันว่องไว

หลวงพ่อปราโมทย์: งั้นก็เดินไป

โยม: มันรู้ มันรู้ได้เร็ว แต่ถ้าเกิด มันเดินๆไปปุ๊บ มันก็ครื้น.. แล้วก็โอ๊ย โทสะมันก็ท่วมไปหมดเลย

หลวงพ่อปราโมทย์: ก็มีสติ รู้ว่าโทสะท่วมขึ้นมานะ แล้วก็เดินไป เพราะว่าร่างกายนี้มันอยู่ในอิริยาบถใด เราก็ต้องมีสติ ถ้ามันอยู่ในอิริยาบถเดิน เราก็รู้สึกไป โทสะท่วมขึ้นมาก็รู้สึกเอา นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์ สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๑
ลำดับที่ ๑๔
FILE 500824
นาทีที่ ๕ วินาทีที่๒๘ ถึงนาทีที่๖วินาทีที่๕๖

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม

ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม

ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม

mp3 for download: ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: พอจิตตั้งมั่นแล้ว ก็มาถึงขั้นของการเดินปัญญา ปัญญาทำหน้าที่ล้างกิเลสละเอียด กิเลสหยาบ คือ ‘ราคะ โทสะ โมหะ’ เนี่ยมันล้นออกมาทางกายทางวาจาได้ มันมาควบคุมพฤติกรรมทางกายทางวาจาได้ สู้ด้วยศีล ไม่ทำผิดทางกายทางวาจา ตั้งใจไว้เลยทุกวัน ตั้งใจจะไม่ผิดศีล ๕

กิเลสอย่างกลางคือ ‘นิวรณ์’ มันทำให้จิตฟุ้งซ่าน เราก็ให้จิตมาแน่วแน่ ตั้งมั่นอยู่ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ โดยการมีวิหารธรรมมาเป็นเครื่องสังเกตว่าจิตหนีไปแล้ว จิตจะตั้งขึ้นมา จิตก็ไม่ฟุ้งไป นี่สู้กับกิเลสชั้นกลางได้ คือนิวรณ์ได้

กิเลสอย่างละเอียดคืออะไร กิเลสอย่างละเอียดคือ ‘มิจฉาทิฎฐิ’ จำไว้นะ เพราะฉะนั้นกิเลสละเอียดที่สุดคือตัวมิจฉาทิฎฐิ บางคนสอนเสียอีกนะ จิตดีอยู่แล้ว สัมมาทิฎฐิก็ไม่จำเป็น จิตแค่ปภัสสรเท่านั้น จิตโง่ ราคะ โทสะ โมหะ เพียบเลย นิวรณ์ก็ยังซ่อนอยู่ มองไม่เห็นหรอก มิจฉาทิฎฐิก็ยังมีอยู่ บอกไม่ต้องล้าง ไม่ล้างได้ไง พระพุทธเจ้าสอนให้ล้าง ล้างมิจฉาทิฎฐิด้วยปัญญา ปัญญาเท่านั้นแหละที่จะล้างมิจฉาทิฎฐิได้

เพราะฉะนั้นศีลเนี่ยนะ ล้าง ราคะ โทสะ ที่เป็นกิเลสชั่วหยาบ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะล้างกิเลสชั้นกลางคือนิวรณ์ คือความฟุ้งต่างๆ ฟุ้งนานาชนิด ไม่ฟุ้ง กิเลสชั้นละเอียดคือมิจฉาทิฎฐิ ล้างด้วยปัญญา เป็นหน้าที่ของปัญญา ปัญญาเนี่ยเหมือนมีดโกนนะ เหมือนมีดผ่าตัดน่ะ ตัวศีลเหมือนขวาน เหมือนพร้า เหมือนเลื่อย เหมือนสิ่วอะไรนี่ ของหยาบๆ ตัวนิวรณ์สู้ด้วยสมาธินะ เหมือนตะไบ เหมือนอะไร กระดาษทราย เหมือนอะไร อันนี้ก็ละเอียดขึ้นมา ตัวปัญญานะ คมกริบเลย เหมือนมีดผ่าตัดนะ จะเอามีดผ่าตัดไปตัดต้นไม้ได้มั้ย ตัดได้แต่ต้นไม้ไม่ตาย ไม่ขาด เอามีดผ่าตัดไปตัดกิเลสหยาบๆ ตัดไม่ขาดหรอก กิเลสมันตัดเอาปัญญาขาดไปเลย

เพราะฉะนั้นอย่านึกนะว่า มีสติ มีปัญญา อย่างเดียว แล้วสู้กิเลสได้ทุกชนิด ต้องพร้อม ท่านถึงบอกว่า ความดีต้องพร้อม ใช่มั้ย สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ทำบาปทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา ทำกุศลให้ถึงพร้อม ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพร้อม ไม่ใช่มีอันเดียว

เพราะฉะนั้น ถ้ามีศีลอย่างเดียวนะ รักษาศีลอย่างเดียวไม่มีสมาธิได้มั้ย ได้ มีสมาธิอย่างเดียวไม่มีศีล ไม่ได้แล้ว นะ ไม่ได้แล้ว มีปัญญาอย่างเดียวไม่มีศีลไม่มีสมาธินี่ไม่ได้เลยนะ ไม่ได้เลย เหมือนสร้างบ้านกลางอากาศ ไม่มีเสาเข็ม ไม่มีตอม่อ ไม่มีคาน ไม่มีอะไรอย่างนี้ สร้างไว้กลางอากาศ

ปัญญานี้จะเป็นตัวล้างความเห็นผิด เพราะฉะนั้นความเห็นผิดนี้แหละเป็นกิเลสชั่วหยาบ ชั่วร้ายสุดๆเลย ความเห็นผิดก็คือตัวอวิชานั่นเอง ซ่อนเนียนๆอยู่ในใจ ถ้าใครเชื่อว่าจิตนี้ดีอยู่แล้ว เพราะปภัสสรอยู่แล้วนะ แสดงว่าบริสุทธิ์อยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องใช้ สัมมาทิฎฐิไม่ต้องมี พวกนี้จะนอนจมกิเลสโดยไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น กี่ภพกี่ชาติก็จะจมอยู่กับกิเลสอยู่อย่างนั้นเลย

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๒๙ ถึงนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๙
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๕
ลำดับที่ ๒๑
File: 530730A.mp3
 
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีเครื่องอยู่ของจิตไว้อันหนึ่งนะ ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่น

มีเครื่องอยู่ของจิตไว้อันหนึ่งนะ ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่น

มีเครื่องอยู่ของจิตไว้อันหนึ่งนะ ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่น

mp3 for download: มีเครื่องอยู่ของจิตไว้อันหนึ่งนะ ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้นเวลาที่กิเลสชั่วหยาบเกิดนะ คนจะทำผิดศีล เรายังสู้กิเลสหยาบๆไม่ได้ ตั้งใจไว้ รักษาศีลไว้ อย่างน้อยกิเลสชั่วหยาบเกิดขึ้นที่ใจก็ตาม อย่าให้มันทำผิดศีล ทางกายทางวาจาออกมา อย่าให้มันล้นออกมาทางกายทางวาจา มันไปเบียดเบียนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นศีลเนี่ยนะ ช่วยควบคุมพฤติกรรมทางกายทางวาจาของเรา ไม่ให้ไประรานผู้อื่น นี่ มันหยาบมาก มันก็ไประรานคนอื่น

กิเลสชั้นกลางชื่อว่านิวรณ์ เราจะสู้ด้วยสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่สู้ความสงบ แต่สู้ด้วยความตั้งมั่น สมาธิ แปลว่าความตั้งมั่น สมาธิไม่ได้แปลว่าความสงบ อย่าไปแปลผิดนะ ถ้าแปลผิดก็ภาวนาผิดอีก สมาธิคือความตั้งมั่น องค์ธรรมของสมาธิคือความตั้งมั่น ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั้นแหละ ถ้าเป็นสมาธิที่ดีก็ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล ถ้าเป็นสมาธิที่ใช้เจริญวิปัสสนาก็ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์รูปนาม ถ้าเป็นสมาธิของพระอริยะเจ้าในขณะเกิดมรรคเกิดผล ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์นิพพาน มีตลอดนะ สมาธิ กระทั่งก่อกรรมทำชั่วก็มีสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิต้องดูให้ดี

สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิตอยู่ในอารมณ์ อารมณ์อันเดียว และถ้าตั้งเป็นนะ จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา เราจะเห็นอารมณ์นั้นน่ะ กับจิตเป็นคนละอันกันนะ แยกกัน

นิวรณ์เป็นอะไร นิวรณ์ทั้งหมดเลยมี ๕ ตัว กามฉันทนิวรณ์ ความยินดีพอใจ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส พยาบาท ความไม่พอใจ ไม่พออกพอใจ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ความฟุ้งซ่าน อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความลังเลสงสัย วิจิกิจฉา แล้วก็ ถีนมิทธะ ความเซื่องซึม ของจิต ของเจตสิก จิตเซื่องซึม เจตสิกเซื่องซึม ซึมไปด้วยกัน ทำงานไม่ค่อยสะดวก ทำงานไม่ได้ รู้อารมณ์ได้ไม่ดีไม่ชัดเจน

นิวรณ์ทั้งหมดถึงจะมี ๕ ตัว แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว โดยสภาวะของมัน เป็นความฟุ้งของจิตทั้งสิ้นเลย ฟุ้งไปในอารมณ์ที่ดีก็เรียกว่า กามฉันทะ ฟุ้งไปในอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นพยาบาท ฟุ้งจับจด จับอารมณ์ไม่ถูก พวกนี้อุทธัจจะ ฟุ้งไปสงสัย คิดนึกปรุงแต่งใหญ่ เรียกว่า วิจิกิจฉา เห็นมั้ย ฟุ้งไปจับอารมณ์ไม่ได้เลย ไม่รู้เรื่องเลย เป็นถีนมิทธะ เซื่องซึม จับไม่ถูก เป็นเรื่องของจิตฟุ้งซ่านทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะสู้กับจิตฟุ้งซ่าน ก็ต้องจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน คือ จิตที่ตั้งมั่น จิตมีสมาธิ จึงใช้สมาธิสู้กับนิวรณ์ เหมือนใช้ศีล ไปสู้กับ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นกิเลสชั่วหยาบ

เพราะฉะนั้นเราต้องมีนะ ต้องมี มีศีล มีสมาธิ วิธีฝึกให้จิตมีสมาธินะ สมาธิคือความตั้งมั่น ง่ายที่สุดเลย คอยรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น ง่ายสุดๆ เบื้องต้น หาเครื่องอยู่ให้จิตเสียก่อน เราจะรู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเคลื่อนไหว ต้องมีอะไร หยุดนิ่งเอาไว้ เป็นตัวสังเกต จึงจะเห็นชัดว่ามันเคลื่อนไหวมากขนาดไหน

จิตธรรมดาล่องลอย ดูยาก ไม่รู้เคลื่อนไปกี่องศาแล้ว ถ้ามีเครื่องสังเกต สมมุติว่ามีเครื่องสังเกตอันหนึ่ง มันอยู่ตรงนี้ก็รู้ เคลื่อนนิดหนึ่งก็เห็นแล้ว มันเคลื่อนแล้ว เครื่องสังเกตของจิตเนี่ย เรียกว่าเครื่องอยู่ วิหารธรรม

เพราะฉะนั้นเรามีเครื่องอยู่ของจิตไว้อันหนึ่งนะ ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่น พุทโธก็ได้ รู้ลมหายใจก็ได้ อะไรก็ได้ เอาสักอันหนึ่ง ให้จิตตั้งมั่น ให้จิตเนี่ยไปรู้เครื่องอยู่นั้นอย่างสบายๆ รู้พุทโธอย่างสบายๆ รู้ลมหายใจอย่างสบายๆ รู้ท้องพองยุบสบายๆ รู้อิริยาบถ ๔ สบายๆ รู้ร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถ ๔ รู้ร่างกายพอง ร่างกายยุบ รู้อย่างสบายๆ

รู้แล้วทำอะไร รู้แล้วให้จิตนิ่งอยู่กับอารมณ์อันนั้นรึ? ไม่ใช่นะ ไม่ใช่รู้แล้วบังคับให้จิตสงบนิ่งๆอยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่รู้ เพื่อจะรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไปแล้ว ที่เคลื่อนไปแล้ว เช่นเราพุทโธๆ นะ จิตหนีไปจากพุทโธเรารู้ทัน เรารู้ลมหายใจออกหายใจเข้า จิตหนีไปจากลมหายใจเรารู้ทัน ไม่ใช่บังคับจิตให้อยู่ที่ลมหายใจ ถ้าบังคับแล้วจิตจะแน่น

เพราะฉะนั้นเมื่อเราหัดพุทโธ หัดหายใจ หัดดูท้องพองยุบ แล้วรู้ทันจิตไว้บ่อยๆ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดูได้นะ ไหลนิดหนึ่งก็เห็น ไหลนิดหนึ่งก็เห็น หลวงปู่มั่นสอนสมาธิให้กับฆราวาส สอนแบบนี้นะ สอนอย่างนี้นะ สอนให้ดูจิตนะ สอนให้ดูจิต ใครบอกว่า ดูจิต เป็นของใหม่ๆ เขาสอนกันมาแต่ไหนแต่ไร พระพุทธเจ้าก็สอน หลวงปู่มั่นเอามาสอนหลวงปู่ดูลย์ด้วย แล้วสอนฆราวาสด้วย

ฆราวาสเนี่ยท่านบอกให้มีเครื่องอยู่ไว้อันหนึ่ง อยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้ แล้วคอยรู้ทันจิตนะ จิตหนีไปแล้วรู้ จิตหนีไปแล้วรู้ ในที่สุดพอมันขยับหนีไป พอเรารู้ทันมันจะตั้งขึ้นเอง เพราะอะไร จิตที่หลงไป เป็นอกุศล มีโมหะ ทันทีที่สติระลึกได้ว่าจิตหลงไป จิตเป็นอกุศล จิตที่เป็นกุศลก็เกิด จิตไม่หลงแล้ว จิตตั้งขึ้นมาเอง อัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องบังคับนะ เพราะฉะนั้นเราฝึกบ่อยๆ

เนี่ย เราฝึกอย่างนี้ จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ มีเครื่องอยู่ไว้อันหนึ่ง ไม่ได้บังคับจิตให้นิ่งอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ได้บังคับจิตให้นิ่งอยู่กับพุทโธ ไม่บังคับจิตให้นิ่งอยู่กับท้องพองยุบ ไม่บังคับจิตให้นิ่งอยู่กับเท้าเวลาเดิน แต่จิตหนีไปจากอารมณ์ ที่เราใช้เป็นวิหารธรรม ให้รู้ทัน ถ้ารู้ทันอย่างนี้จิตจะกลับมาเอง เข้าบ้าน กลับบ้านได้ เมื่อจิตเข้าบ้านได้ ตั้งมั่น

พอจิตตั้งมั่นแล้วมาถึงขั้นของการเดินปัญญา..

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๔ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๒

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๕
ลำดับที่ ๒๑
File: 530730A.mp3

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาให้เหมือนเป็นคนวงนอก

ภาวนาให้เหมือนเป็นคนวงนอก

ภาวนาให้เหมือนเป็นคนวงนอก

mp 3 (for download) : ภาวนาใหเหมือนเป็นคนวงนอก

mp3 for download:

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: คือเมื่อสองสามวันก่อนมันฟุ้งซ่านมากเลยค่ะ หลวงพ่อ แล้วพอมันรู้สึกว่าแก้ปัญหาจบนี่ หมดหน้าที่นี่ มันกลับมาเบิกบานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นการกดอยู่หรือเปล่าน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ได้กดนะ ไม่ได้กด คือใจของเรานี่มันยังไม่ได้พ้นจากความยึดถือ เพราะฉะนั้นเวลาทำงานมันก็เข้าไปคลุกวงใน อดเข้าไปคลุกไม่ได้หรอก เวลาตะลุมบอนนี่ห้ามมันก็ไม่ได้ แต่พอหมดภาระแล้วใจที่เคยฝึกไว้ดีแล้วก็ถอยออกมา รู้สึกไหมถอยออกมาอยู่วงนอก ไม่เข้าไปคลุกวงใน

โยม: ค่ะ รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์: มันเป็นเรื่องคนอื่น เวลาเราเข้าไปคลุกวงในก็ไปตะลุมบอน ทีนี้ทั้งหมัด ทั้งเท้า ทั้งศอก ทั้งเข่านะ ตะลุมบอนเข้าไป พอไปตีกับเขาเสร็จ ถอยออกมานะ ผ่านไป ไม่รู้ไปตีกับเขาทำไม มันเหมือนเรื่องของคนอื่นทั้งหมดเลย อันนี้กระทั่งความรู้สึกทั่วๆ ไปก็จะรู้สึกนะ เวลาพวกเด็กๆ น่ะ บางคนอกหัก บางคนมีปัญหาชีวิตอะไรอย่างนี้ บางคนกลุ้มใจแฟนเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเหมือนเผชิญอยู่กับปัญหา เหมือนคลุกวงในอยู่ มองปัญหาไม่ออก หาทางออกไม่ได้ พวก advisor เขาเรียกว่าอะไร พวก consultant พวกนี้เลยหากินได้ พวกนี้ไม่ได้คลุกวงใน

แต่พอเราออกห่างจากปัญหามา ปัญหามันผ่านไปแล้วนะ เราจะดูๆ มันเหมือนเรื่องของคนอื่นทั้งหมดเลย พอผ่านไปแล้วก็เหมือนเรื่องของคนอื่น ปัญหาที่เคยยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผ่านไปหมด แต่ถ้าเราเคยฝึกภาวนา ทุกอย่างในชีวิตเราผ่านไปหมดแล้วนะ เราก็เหลือแต่ความสุขความสงบของเราอยู่ แต่คนที่ไม่มีการภาวนาพอหมดเรื่องนี้มันก็จะดิ้นหาเรื่องอื่นไปอีก เขาเรียกว่าแส่หาเรื่อง สังเกตไหม ใครยอมรับไหมว่ามีนิสัยแส่หาเรื่อง ใครไม่เป็นลองยกมือ มีไหมใครไม่เป็น ไม่มี

จิตใจของเรานี่แส่ทั้งวัน มันเลยมีศัพท์คำหนึ่ง คำว่า “ส่ายแส่” รู้สึกมั้ย ส่ายไปแล้วก็แส่หาเรื่อง ส่ายไปแล้วก็แส่หาเรื่อง จิตมีธรรมชาติส่ายแส่ ส่ายไปส่ายมา ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรผลักให้ส่าย ตัณหาผลักให้ส่าย ส่ายไปแล้วก็ไปแส่ หาเรื่องมาใส่ตัวเอง วิ่งไปทางตาก็วิ่งไปเอาความทุกข์มาใส่ตัวเอง วิ่งไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิ่งไปคิดไปนึกนะ ก็วิ่งไปเอาความทุกข์มาใส่ตัวเองล้วนๆเลย

ตอนตะลุมบอนมองไม่ออกนะ คนวงนอกมองออก ทีนี้ทำอย่างไรเราจะสามารถฝึกจนเกิดคนวงนอกอยู่ในนี้ การเจริญสติปัฏฐานจะทำให้เรากลายเป็นคนวงนอกสำหรับกายนี้และใจนี้ เราจะมาอยู่วงนอกนะ เราจะเห็นกายเห็นใจมันทำงานไป เราไม่เกี่ยวหรอก เราเห็นมันทำงานไปเรื่อยๆเลย เพราะฉะนั้นมันจะทำผิด ทำถูก ทำดี ทำไม่ดี มันเห็นได้ชัดเพราะเราไม่ได้คลุกวงใน ถ้าคลุกวงในแล้วมันเกิดอคติขึ้นมา

โยม: หลวงพ่อคะ แล้วในกรณีที่เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ไปคลุก มันเหมือนกับเราละเลยหน้าที่อะไรบางอย่าง

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ กิเลสมันหลอก เราสามารถทำหน้าที่โดยไม่คลุกวงในได้ เพราะฉะนั้นเวลามีปัญหา เราต้องแก้ปัญหาด้วยใจที่ตั้งมั่น เป็นกลาง เราจะมองปัญหาได้ชัด ที่นี้กิเลสมันจะหลอกให้ต้องทุ่มให้สุดเนื้อสุดตัว กระโดดเข้าไปคลุกวงใน แก้ปัญหาได้ไม่ดี เพราะมองอะไรก็ไม่ชัด มองอย่างคนนอก จะมองง่าย แก้ปัญหาง่าย เพราะฉะนั้นพวกที่ปรึกษาเลยหากินง่ายนะ ไม่ได้ฉลาดกว่าเรานะ ที่พวกเราต้องจ้างบริษัทฯที่ปรึกษามาทำโน่นทำนี่ พวกนี้ไม่ได้รู้งานของเรามากกว่าเรา พวกนี้ไม่ได้มีไอเดียหรือฉลาดอะไรมากกว่าเรา แต่พวกนี้ไม่มีผลประโยชน์กับเรา เราจะเจ๊งก็ไม่ว่าอะไร ขอให้จ่ายเงินก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นเขามองอะไรได้ง่ายกว่าเรา

ทำอย่างไรเราจะเป็นคนวงนอกสำหรับตัวเองโดยไม่ต้องจ้างใครมาช่วยมอง เป็นคนวงนอกก็ได้เห็นเลย กายไม่ใช่เรา รู้สึกมั้ย กายอยู่ห่างๆ จะรู้สึกทันทีเลย กายอยู่ห่างๆ เวทนา ความสุข ความทุกข์ อยู่ห่างๆ กุศล อกุศล อยู่ห่างๆ เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน เราไม่เข้าไปคลุกกับเขา ดูอย่างนี้นะ แล้วทุกอย่างจะผ่านมาแล้วก็ผ่านไปให้ดู โอ้..ภาวนาแล้วจะมีแต่ความสุข

โยม: ตอนนี้มันเป็นลักษณะที่ รู้ทฤษฎี แต่พอเวลาถึงจังหวะจริงๆ..

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ นั่นแหละ มันยังเมาหมัดอยู่ เพราะว่ามันชกมานาน มันชกมานับภพนับชาติไม่ถ้วน มันไม่เคยทำตัวเป็นแค่ ผู้รู้ ผู้ดู ผู้สังเกตการณ์ เพราะเราเข้าวงในตลอด

พระพุทธเจ้าสอนเรา ให้ฝึกจิตฝึกใจของเรานะ จนจิตใจของเราตั้งมั่นขึ้นมา เป็นผู้รู้ผู้ดูนะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่คลุกวงใน พอพระพุทธเจ้าสอนเรา จนใจของเราตั้งมั่นขึ้นมา บทเรียนที่ทำให้จิตตั้งมั่นขึ้นมาอย่างนี้เรียกว่า “จิตตสิกขา” จิตตสิกขา เราจะศึกษาไปจนจิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา เป็นแค่คนดู เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ไม่ใช่นักประพันธ์ ไม่ใช่นักวิจารณ์ ไม่ใช่นักแสดง เป็นแ่ค่คนดู พอดูแล้วคราวนี้ล่ะเห็นชัดเลย ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำงานนี้ไม่ใช่เราสักอันหนึ่ง ร่างกายที่ทำงานอยู่ไม่ใช่เรา เวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ ไม่ใช่เรา สังขารที่เป็นกุศล อกุศล ไม่ใช่เรา จิตที่เกิดดับทางทวารทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่เรา ดูอย่างนี้นะ มันถอนเอาความเป็นเราออกมาแล้วมาคอยรู้คอยดูไปเรื่อยๆ ทำตัวเป็นแค่คนดู ถ้าคลุกวงในจะไม่เห็น

เหมือนเขาเตะฟุตบอลกันนะ เราอยากดูให้ชัดนะ กระโดดลงไปยืนกลางสนามนะ เราจะเจอเท้า ๔๔ ข้าง นะ ใช่มั้ย ๔๖ มีกรรมการอีกคน ดีไม่ดีโดนเหยียบ หลบคนนี้ เจออีกคนนี้ อะไรอย่างนี้ ถ้าเรานั่งบนอัฒจรรย์ดู เราเห็นหมดเลย เห็นภาพชัด

หรือเหมือนกับคนชกมวยกับคนดูมวยนะ คนชกมวยนะ มันเก่งแสนเก่ง เวลาชกนะ สังเกตมั้ย พวกที่ยืนข้างเวทีเป็นคนสอน ชกตรงนั้นสิ ชกตรงนี้สิ เพราะมันไม่มีส่วนได้เสีย มันดูง่าย เนี่ย บอก “เอ็งเซ่อ เอาหน้าไปให้เขาชกอยู่เรื่อย หลบสักนิดหนึ่งก็พ้นแล้ว” แต่ตอนเมาหมัดน่ะมันไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าเมาหมัดนะ เวลาภาวนาห้ามเมาหมัด จำไว้นะ อย่าคลุกวงใน อย่าตะลุมบอนกับกิเลส ดูอยู่ห่างๆ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ดูห่างๆไว้นะ

คำว่าดูห่างๆนี้เป็นสภาวะนะ ถ้าภาวนาเป็นถึงจะรู้ัจัก ถ้าภาวนาไม่เป็น ดูห่างๆไม่เป็น ไม่เข้าใจหรอกว่าห่างอย่างไร ได้ยินหลวงพ่อพูดแล้วก็งงๆ แต่ถ้าภาวนาเป็นจะรู้เลย กายกับจิตนี้มีระยะทางนะ มีช่องว่าง มีระยะห่าง จิตกับเวทนาก็มีระยะห่าง จิตกับสังขารก็มีระยะห่าง แถมจิตที่ว่ามีระยะห่างนั้นยังเกิดดับเสียอีก ไปๆมาๆหาตัวเราไม่ได้สักตัวเดียว


แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
ลำดับที่: ๑๑
File: 510323.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๒๒ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไตรสิกขา

ไตรสิกขา

ไตรสิกขา

mp 3 (for download) : ไตรสิกขา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เมื่อเดือนก่อนไปกราบท่านอาจารย์มหาบัว ท่านไม่สบายนะวันที่ไปน่ะ เป็นวันฉัตรมงคลหรือเปล่า ใช่ไหม เป็นวันฉัตรมงคล ตอนเช้าท่านออกมารับโยมนะ ฉันไปนิดหน่อยหรือไง ท่านเป็นลมล่ะ พระต้องเอาท่านกลับกุฏิล่ะ ไปนวด ให้ออกซิเย่นน่ะ นวด ท่านค่อยยังชั่วขึ้นมา บ่าย ๓ โมงกว่า

เข้าไปกราบท่าน ๓ โมงครึ่ง  ทีแรกท่านก็เนือย ๆ เหนื่อย ๆ นะ สังขารเป็นอย่างงั้นนะ สักพักน่ะ ก็ดู ๆ ไปในความชราของท่าน ในความเจ็บไข้ของท่านนะ ท่านมีความสุขจังเลย มีความสุขที่พวกเราไม่มีนะ ไอ้คนแข็งแรงก็ไม่มีความสุขอย่างนี้นะ คนหนุ่มคนสาวเขาก็ไม่มีความสุขอย่างนี้ เราดูแล้วเราเห็นตัวอย่างที่ดีนะ ดูครูบาอาจารย์มาแต่ละองค์ ๆ ท่านมีความสุข ยิ่งอยู่ไปยิ่งมีความสุขนะ พัฒนาไปเรื่อย งั้นเรามาเดินตามแนวของท่านนะ ท่านเดินยังไง ท่านเดินอยู่ในหลักของไตรสิกขานั่นเอง ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้เดินนอกแนวทางนี้ไปได้หรอก ทุกองค์ ๆ ก็เดินอยู่ในแนวทางอันนี้

มีศีลนะ มีความสุข เคยได้ยินไหม เวลาทำบุญพระชอบสวด สีเลน สุคตึ ยนฺติ มีศีลแล้วจะมีความสุข มีสุคติ ไม่ใช่ทุคติ ตอนนี้ในบ้านในเมืองเรา ทุคติ รู้สึกไหม เป็นโซนทุคติแล้วนะ เพราะไม่มีศีล งั้นพวกเราพัฒนาใจของเรานะ ตั้งใจเอาไว้ ทุกวันเลย ตื่นนอนขึ้นมานะ ตั้งใจไว้ วันนี้เราจะไม่ทำผิดศีลห้า ตั้งใจอย่างนี้ทุกวันนะ ส่วนกลางวันศีลจะด่างพรอย กระท่อนกระแท่นก็ช่างมันนะ แต่ตื่นนอนต้องตั้งใจไว้ก่อน ย้ำกับตัวเองเอาไว้ว่าเราจะไม่ผิดศีล และพยายามรักษาให้เต็มที่ ก่อนจะนอนก็ตั้งใจอีก นอนไปวันนี้เราก็จะไม่ทำผิดศีล บางคนสงสัยทำไมจะนอนแล้วยังต้องรักษาศีล เกิดนอนแล้วไม่ได้ฟื้นขึ้นมา เป็นโรคไหลตายน่ะ อย่างน้อยก็ยังตั้งใจว่าจะรักษาศีลอยู่

รักษาศีลเนี่ย คือ เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เบียดเบียนคนอื่นนะ ด้วยกาย ด้วยวาจาเนี่ย เราจะไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ว่ากิเลสจะเกิดขึ้นในกายใจเรารุนแรงแค่ไหน เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นนะ ตั้งใจไว้อย่างนั้น วิธีที่จะรักษาศีลให้ง่ายนะ ให้มีสติ ถ้ากิเลสเกิดขึ้นที่จิตใจของเรานะ เรามีสติรู้ทันไว้ กิเลศจะครอบงำจิตไม่ได้ ถ้ากิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ไม่ผิดศีลหรอก คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสครอบงำจิต เพราะงั้นพวกเราฝึกนะ คอยรู้ทันจิตของตัวเองไว้ กิเลสโผล่ขึ้นมาคอยรู้ไว้ เราจะถือศีลง่าย ถ้าเราไม่มีสติซะอย่างเดียวนะ โอกาสจะถือศีลจะยากมาก ศีลจะด่างพร้อยอย่างรวดเร็วเลย

ศีลข้อไหนด่างพร้อยง่ายที่สุด นึกออกไหม ข้ออะไร อืม รู้ทั้งรู้นะ แต่ก็ด่างนะ เพราะฉะนั้นเราต้องมีสตินะ คอยรู้ทันจิตใจเรา กิเลสอะไรเกิดเราคอยรู้นะ ราคะอะไรเกิดเราคอยรู้นะ เพราะรู้ทัน ราคะจะไม่ครอบงำจิต เราก็ไม่ไปขโมยใคร ไม่เป็นชู้ใคร ไม่ไปโกหกหลอกหลวงเอาสมบัติของใครน่ะ โทสะเกิดขึ้นเรามีสติรู้ทันนะ เราก็ไม่ฆ่าใคร ไม่ตีใคร ไม่ด่าใครนะ เราคอยมีสติรู้ทันไปเรื่อย รักษาศีลง่าย

รักษาศีลเนี่ย ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย แต่เวลารักษา รักษาที่ใจ ถ้ารักษาใจได้นะ กายวาจาเรียบร้อยไปเองแหล่ะ ถ้ากายวาจาไม่เรียบร้อย ก็เพราะใจมันไม่เรียบร้อย เรามีสตินะ รักษาใจของเรา อันนี้หลวงพ่อยังใช้คำว่ารักษาใจอยู่นะ รักษาจิตใจ ยังไม่ใช่ขึ้นวิปัสสนา ถ้าถึงขั้นวิปัสสนา ไม่ใช่ขั้นรักษาแล้ว เป็นขั้นเรียนรู้ความจริง ในขั้นถือศีลนะ มีสติรักษาใจตัวเองไว้

ถัดจากนั้นเรามาฝึกสมาธิ อย่าไปกลัวคำว่าสมาธิ สมาธิเป็นเรื่องธรรมดานะ สมาธิมี ๒ จำพวก สมาธิชนิดที่หนึ่งนะ เป็นสมาธิเพื่อการพักผ่อนนะ ทำสมาธิเพื่อพักผ่อน เช่น เรา พุท โธ พุท โธนะ จิตใจเราสบายอยู่กับพุท โธ สงบ ได้พักผ่อน หายใจออก หายใจเข้า จิตใจสงบ อยู่กับลมหายใจ ได้พักผ่อน ดูท้องพองยุบนะ จิตใจสงบอยู่กับท้อง ได้พักผ่อน ไปเดินจงกรมนะ จิตใจสงบอยู่กับร่างกาย จะอยู่กับเท้า หรืออยู่กับร่างกายทั้งร่างกายก็ได้ แบบนี้ก็ได้พักผ่อน คือจิตได้ไปอยู่สงบ อยู่กับอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง สบายอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง จิตสงบได้พักผ่อน

จิตปกตินั่น ร่อนเร่อยู่ตลอดเวลานะ หยิบฉวยอารมณ์โน้น หยิบฉวยอารมณ์นี่ตลอดเวลานะ สังเกตดู ใจของเราเดี๋ยวก็อยากดู เดี๋ยวก็อยากฟัง เดี๋ยวก็อยากได้กลิ่น เดี๋ยวก็อยากได้รส เดี๋ยวก็อยากสัมผัสโน่นสัมผัสนี่ เดี๋ยวก็อยากทางใจ อยากชิม อยากนึก อยากปรุง อยากแต่ง อยากสงบ อยากได้มรรคผลนิพพานนะอยากดี ไม่อยากชั่ว อยากสุขไม่อยากทุกข์ มีความอยากเกิดขึ้นตลอดเลย

จิตมันหิวอารมณ์ มันก็ดิ้นหาอารมณ์ไปเรื่อย ไม่สงบ เราก็เลือกดู ว่าถ้าเราอยู่กับอารมณ์ชนิดไหนแล้วมีความสุขนะ เราก็อยู่กับอารมณ์ชนิดนั้นนะ พอจิตได้ยินอารมณ์ ได้เสวยอารมณ์ที่มีความสุขแล้ว จิตก็ไม่ร่อนเร่ไปที่อื่น

หลักของการทำสมถะนะ ทำสมาธิให้เป็นสมถกรรมฐานเพื่อพักผ่อนเนี่ย เราเลือกดูว่าเราอยู่กับอารมณ์ชนิดไหนแล้วมีความสุข ต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นกุศลนะ อย่างหลวงพ่อตั้งแต่เด็กนะ อยู่กับลมหายใจนะ แล้วมีความสุข ดังนั้นเวลาต้องการการพักผ่อน หลวงพ่อก็มารู้ลมหายใจ จิตไม่หนีไปที่อื่น จิตอยู่กับลมหายใจ อยู่ในอารมณ์อันเดียว ไม่ร่อนเร่ ไปตะครุบอารมณ์โน่นทีอารมณ์นี่ที จิตใจสงบมีความสุขขึ้นมา ได้พักผ่อน อันนี้เป็นสมาธิแบบหนึ่งนะ

สมาธิแบบที่สองเป็นสมาธิของการเตรียมความพร้อมทางจิตใจ เพื่อจะไปทำการเจริญปัญญา หรือทำวิปัสสนา สมาธิอันที่หนึ่งทำไปเพื่อพักผ่อน ให้มีความสุข มีความสงบ สมาธิอันที่สองเป็นการเตรียมจิตให้พร้อมกับการเจริญปัญญานะ จิตที่จะเจริญปัญญาได้ต้องเป็นจิตที่ตั้งมั่นนะ ไม่ใช่สงบแล้วก็เพลินอยู่กับความสุขความสงบ จิตที่ใช้เดินปัญญาได้เป็นจิตที่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้สึกตัว เป็นจิตที่รู้สึกตัว จิตชนิดนี้จะไม่ไหลตามอารมณ์ แต่ว่าอารมณ์มันจะไหลผ่านมา จิตเป็นแค่คนดู จิตไม่ไหลตามอารมณ์ ไม่เหมือนอารมณ์ชนิดแรกนะ อารมณ์ชนิดแรกน่ะ จิตไปแนบอยู่กับตัวอารมณ์ รู้ลมหายใจ จิตไปอยู่กับลมหายใจ รู้ท้องจิตไปอยู่ที่ท้อง รู้มือจิตอยู่ที่มือ แล้วไม่หนีไปที่อื่น สงบอยู่อย่างนั้น

สมาธิอย่างที่สองที่จะใช้เดินปัญญาเนี่ยนะ จิตตั้งมั่นเป็นแค่คนดู เห็นอารมณ์ทั้งหลายผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จิตตั้งมั่นเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ไม่ไหลตามอารมณ์ไป คล้ายๆ เราอยู่บนฝั่งริมแม่น้ำ ริมคลอง เรายืนอยู่บนฝั่งเห็นสิ่งต่าง ๆ ลอยน้ำมา ท่อนไม้ลอยน้ำมาบ้างนะ หมาเน่าลอยมาบ้าง ดอกไม้ลอยมาบ้างนะ เห็นเรือผ่านมาบ้าง เห็นคนว่ายน้ำผ่านมาบ้าง เราอยู่บนบก เราไม่โดดลงในน้ำ เราเห็นทุกอย่างไหลผ่านหน้าเราไปเฉยๆ

สมาธิชนิดนี้นะ จิตจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู เห็นปรากฎการณ์ทั้งหลาย ไหลผ่านหน้าไป เช่น เห็นความสุขไหลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เห็นความทุกข์ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เห็นความสงบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เห็นความฟุ้งซ่านผ่านมาแล้วก็ผ่านไปนะ เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เห็นความดีใจ ความเสียใจ ความกลัว ความเกลียด ความพยาบาทนะ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหล่ะ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จิตเป็นคนดู ดูอยู่ห่าง ๆ นะ

เราต้องค่อย ๆ ฝึกนะ ให้มีจิตชนิดนี้ จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ย เป็นจิตที่หลุดออกจากโลกของความคิด เป็นจิตที่หลุดออกจากโลกของความคิดนะ จิตที่ไหลไปแช่ไปนิ่งอยู่ในอารมณ์ มักจะเพลินไปในโลกของความคิด ยิ่งคิดถึงพุทโธ คิดถึงลมหายใจ คิดถึงท้องพองยุบนะ แล้วก็เพลินไป ส่วนจิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ มันจะหลุดออกจากโลกของความคิดได้

วิธีที่จะฝึกไม่ยากเท่าไรนะ ฝึกสังเกตจิตที่ไหลไปคิด จิตที่หลงไปคิด วิธีฝึกนะ เบื้องต้นทำกรรมฐานสักอันหนึ่งก่อน กรรมฐานอันที่เคยทำนั่นแหล่ะ เคยพุทโธ ก็พุทโธ เคยรู้ลมหายใจก็ลมหายใจ เคยดูท้องพองยุบก็ดูท้องพองยุบไปนะ เคยทำกรรมฐานอะไรก็ทำไป แต่ไม่ได้ทำเพื่อให้จิตเข้าไปแนบ เข้าไปนิ่ง อยู่กับตัวกรรมฐาน ปรับ ปรับการทำนิดหนึ่งนะ ปรับการทำนิดหนึ่ง เช่น เราอยู่กับพุทโธ พุทโธไป แล้วรู้อะไร รู้ทันจิต รู้ทันจิตเลยนะ พุทโธ พุทโธไป จิตสงบอยู่ รู้ว่าสงบอยู่ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตหนีไปคิด รู้ว่าจิตหนีไปคิด หรือบางคนอยู่กับลมหายใจนะ แต่เดิมรู้ว่าลมหายใจ จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ ที่นี่เป็นแบบแรก สงบ ถ้าสมาธิแบบที่สองนะ เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ หายใจไปด้วยความรู้สึกตัวนะ หายใจไปด้วยความรู้สึกตัว จิตไม่ไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ แล้วต่อมาจิตหนีไปคิด จิตไหลไปคิดปึ้บ มีสติรู้ทันว่าจิตไหลไปคิด เมื่อไรรู้ทันว่าจิตหนีไปคิดนะ เมื่อนั่นจิตจะตื่นขึ้นมา

ที่หลวงพ่อบอกว่า ตื่น  ๆ บางคนไปโม้นะ บอกว่าตัวเองได้พระโสดา เพราะหลวงพ่อบอกว่าตื่นแล้ว ตื่นนี่แค่เบื้องต้นมีสมาธิเท่านั้นเอง เบื้องต้นเพื่อเจริญปัญญาต่อไป หลวงพ่อเทียนจึงบอกว่า ถ้ารู้ว่าจิต คิดจะได้ต้นทาง ต้นทางของการปฏิบัตินะ ไม่ใช่ได้โสดา เพราะงั้นเรารู้สึกตัวขึ้นมานะ จิตไหลไปคิดเรารู้ พุทโธ พุทโธ จิตหนีไปคิดเรารู้ หายใจไปหายใจออกหายใจเข้า จิตหนีไปคิดเรารู้ ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิด เราคอยรู้ เพราะงั้นจิตไหลไปอยู่ที่ท้องก็คอยรู้นะ จิตไปเพ่งก็รู้ จิตคอยคิดจิตก็รู้

สรุปแล้วก็คือ ทำกรรมฐานขึ้นสักอันหนึ่ง แล้วจิตไปเพ่งก็รู้ จิตเผลอไปก็รู้ เมื่อก่อนหลวงพ่อพูดเรื่อยๆ เผลอกับเพ่ง จำได้ไหม ถ้าไม่เผลอ ไม่เพ่งจิตก็ตื่นขึ้นมา เป็นผู้รู้ผู้ตื่น จิตมีสมาธินั่นเอง เพราะงั้นเราทำกรรมฐานขึ้นสักอันหนึ่ง แล้วจิตไปเพ่งอารมณ์ ไปเพ่งลมหายใจเข้าออกก็รู้ ไปดูท้องพองยุบแล้วจิตไปอยู่ที่ท้องก็รู้ เดินจงกรมแล้วจิตไปอยู่ที่เท้าก็รู้ รู้ทันนะ พอรู้ทันแล้วจิตมันจะถอนตัวขึ้นมาเป็นผู้รู้ได้ทันได้เอง

หรือจิตหลงไปคิด หายใจอยู่ พุทโธอยู่ ดูท้องพองยุบอยู่ จิตหลงไปคิดแล้ว รู้ทัน พอรู้ทันแล้วจิตจะถอนตัวขึ้นมา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ จิตตัวนี้จะโปร่ง โล่ง เบา อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่ซึม ไม่ทื่อนะ จิตชนิดนี้แหล่ะ พร้อมที่จะเจริญปัญญาแล้ว

เพราะฉะนั้นสมาธินั่นก็มี ๒ ส่วน สมาธิที่ทำไปเพื่อความสุข ความสงบ อันหนึ่ง สมาธิเพื่อเตรียมจิตให้พร้อมกับการเดินปัญญาเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ พอจิตพร้อมกันการเดินปัญญา รู้ตัวแล้วเนี่ย ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ต้องมาเดินปัญญานะ

การมาเดินปัญญานั่นเบื้องต้น ต้องหัดแยกธาตุ แยกขันฑ์ให้ได้ อย่างน้อยต้องแยกเรื่องรูปธรรม นามธรรมออกจากกันให้ได้นะ พอใจเราตั้งมั่นให้เป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว เราคอยรู้สึกลงไป เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู เห็นร่างกายพองยุบ ใจเป็นคนดู เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ใจเป็นคนดู เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง จิตใจเป็นคนดูนะ ทำตัวเป็นคนดูนะ ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง ใจเป็นคนดู หัดอย่างนี่บ่อย ๆ นะ นั่งสมาธิไปก็ได้ นั่งไปแล้วก็เห็นร่างกายหายใจ สังเกตไหม ใจเราอยู่ต่างหาก ใจเราตั้งมั่นอยู่ เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ ร่างกายมันหายใจ ร่างกายไม่ใช่จิตใจ

นี่หัดอย่างนี้นะ หัดแยกขันธ์ พอเราแยกได้ เราจะเห็นว่าร่างกายกับจิตใจเป็นคนละอย่างกัน ร่างกายกับจิตใจอยู่ห่าง ๆ นะ ไม่ได้อยู่เป็นเนื้อเดียวกันอย่างแต่เดิม ตลอดชีวิตที่รู้สึกมาแล้ว ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่งนะ นั่งต่อไปด้วยความอดทนนะ นั่งต่อไปสักพักใหญ่  ๆ มันเมื่อย เราจะเห็นเลยความปวดความเมื่อยมันแทรกเข้ามา เนี่ยแทรกเข้ามาในร่างกาย ร่างกายตั้งมั่นอยู่ก่อน ตั้งอยู่ก่อน ความเมื่อยมาทีหลัง เพราะฉะนั้นความเมื่อยไม่ใช่ร่างกายหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เป็นคนดูอยู่อย่างเดิมนะ เราก็จะเห็นได้ว่าร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งนะ นี่คือรูปขันธ์นะ ความปวดความเมื่อยเรียกว่า เวทนาขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์

แยกได้ ๓ ขันธ์นะ พอมันปวดมันเมื่อยมาก ๆ นะ จิตใจมันทุรนทุราย ชักทุรนทุรายแล้ว โอ๊ย นั่งนาน ๆ เดี๋ยวเป็นอัมพาตนะ อย่างโน่นอย่างนี่ ชักกังวลล่ะ ความกังวลไม่ได้เกิดที่ร่างกาย รู้สึกไหม ความกังวลเกิดที่ใจ แต่เดิมใจไม่ได้กังวล แต่ตอนนี้ใจมันกังวล ความกังวลเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ เพราะฉะนั้นความกังวลไม่ใช่ใจหรอก มันเป็นขันธ์อีกขันธ์หนึ่ง เรียกว่า สังฆารขันธ์ นะ หัดอย่างนี่นะ หัดซ้อมไปเรื่อย ต่อไปเราจะแยกขันธ์ได้หมดเลย รูปก็ส่วนรูปนะ ร่างกายมันก็ยืน เดิน นั่ง นอน หายใจไป กินอาหารไป ขับถ่ายไป ทำงานของมันไป เวทนาเป็นความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ที่เกิดในร่างกายบ้าง ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉย ๆ ที่เกิดในจิตใจบ้าง สังขารนั่นเป็นความปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงไม่ดี ปรุงไม่ชั่วที่เกิดขึ้นทางใจ ไม่เกิดทางกายนะ จิตก็เป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่

นี่ฝึกอย่างนี่เรื่อย ๆ ขันธ์แต่ละขันธ์นั่นจะแยกตัวออกไป พอขันธ์แยกตัวออกไป เรียกว่า พวกเรามีปัญญาขั้นต้นล่ะ ถัดจากนั้น ขันธ์แต่ละขันธ์จะแสดงไตรลักษณ์ ร่างกายแสดงความไม่เที่ยง แสดงความทุกข์ แสดงการบังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเรา เวทนา สังญา สังขาร วิญญาณไรเนี่ย ก็ล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ อนิจจัง อนัตตา เสมอกันหมดเลยนะ

แต่ถ้าจิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด จิตเองก็ไม่เที่ยงนะ เดี๋ยวก็เป็นผู้สุข เดี๋ยวก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวก็เป็นผู้ดี เดี๋ยวก็เป็นผู้ร้าย จิตก็มีความไม่เที่ยง เนี่ยเราเรียนรู้ลงในขันธ์ห้า นะ ในสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ในขันธ์ห้า เนี่ย เรียนรู้ลงไป เห็นแต่ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ในตัวเรา เนี่ยแหล่ะคือการเดินวิปัสสนากรรมฐาน ดูลงไปในความเป็นจริงของกายของใจนะ ไม่ใช่แค่คิดเอา ต้องดูของกายจริง ๆ ของใจจริง ๆ ดูของจริง

เมื่อเดินปัญญาแก่รอบแล้วเนี่ย ต่อไปวิมุตติจะเกิดขึ้น จิตมันรู้ความจริงแล้วเนี่ยว่า ขันธ์ห้า มันเป็นตัวทุกข์นะ จิตจะวางขันธ์ จิตปล่อยวางขันธ์นะ จิตจะไปรู้พระนิพพานนะ ถ้าจิตไม่ได้หลงไปในโลกของความคิด คือ ไม่ได้หลงไปในบัญญัติ ไม่ได้หลงไปเพ่งกายเพ่งใจ หลงอยู่ในรูปธรรมนามธรรม จิตก็ไปรู้นิพพานนะ จิตไปรู้นิพพาน ไม่ได้ไปรู้บัญญัติ ไม่ได้ไปรู้รูปนาม ก็ต้องไปรู้นิพพาน จิตต้องรู้อารมณ์นะ นี่เราฝึกนะ วันหนึ่งเรานิพพาน นิพพานยังไม่ต้องตาย นิพพานยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งอยู่ยิ่งแก่นะ ยิ่งมีความสุขมากขึ้นๆ นะ สดชื่น นึกถึงทีไรสดชื่น จิตใจคึกคักห้าวหาญเหมือนอย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นนะ


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๓
File: 530516A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภพ มี ๒ อย่าง

mp 3 (for download) : ภพ มี ๒ อย่าง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ภพมี ๒ อย่างนะ อย่างหนึ่งเรียก ‘อุปปัตติภพ’ คือ ภพโดยการเกิด อย่างพวกเรานี้มีอุปปัตติภพเป็นมนุษย์ และมี ‘กรรมภพ’ คือการทำงานของใจ ที่ทำอยู่เป็นขณะๆ พวกเรามีกรรมภพ วันหนึ่งมีกรรมภพนับไม่ถ้วน เดี๋ยวก็เป็นภพที่ดี เดี๋ยวก็เป็นภพที่เลว

บางขณะกิเลสครอบงำใจ อย่างโทสะครอบงำใจ ในขณะนั้นเราอยู่ในภพของสัตว์นรก ร่างกายเราเป็นมนุษย์ แต่กายเราเป็นสัตว์นรกในขณะนั้น ขณะใดความโลภครอบงำใจนะ  ร่างกายเราเป็นมนุษย์แต่ใจเราเป็นเปรต มีภพย่อยๆ ที่เป็นเปรต อันนี้เป็นภพย่อยๆ ภพที่เกิดจากจิตมันทำงานขึ้นมา

หรือในขณะใดจิตเรามีศีลมีธรรมขึ้นมา เราอยู่ในภพของมนุษย์ ขณะจิตเรามีหิริโอตตัปปะ ละอายที่จะทำบาป เกรงกลัวผลของการทำบาป เราเป็นเทวดา ขณะใดจิตใจเราสงบ มีความสงบนะ สุขสงบว่าง อุเบกขา แล้วก็สงบบ้าง จิตใจเราเป็นพรหม

เพราะฉะนั้นเราจะมีภพเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ภพใหญ่ๆ นี่ได้มาโดยการเกิด เกิดมาชาติหนึ่ง อุปปัตติภพเป็นมนุษย์ ก็มีภพย่อยๆ มากมายนับไม่ถ้วนในแต่ละวัน


ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๗
File: 530815.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนทำผิดศีลเพราะกิเลสครอบงำจิต

คนทำผิดศีลเพราะกิเลสครอบงำจิต

คนทำผิดศีลเพราะกิเลสครอบงำจิต

mp3 (for download) : ผิดศีลเพราะกิเลสครอบงำจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เวลาเรารู้ทันจิตใจตนเองนะ กิเลสราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น สติรู้ทัน ราคะ โทสะ โมหะ จะครอบงำจิตไม่ได้ ราคะ โทสะ โมหะครอบงำจิตไม่ได้ คนจะไม่ผิดศีล เราทำผิดศีลเพราะราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำ เราฆ่าเค้าได้เพราะโทสะครอบงำ หรือเพราะโลภะครอบงำก็ได้ อยากให้มันตายเพราะอยากได้สมบัติมัน หรืออยากฆ่าผัวมันเสียแล้วเอาเมียมันมา สมัยโบราณมีหนังชนิดนี้ด้วยนะ ชื่อยาวมากเรื่องฆ่าผัวมันเสียแล้วเอาเมียมันมา ทำด้วยโลภะก็ได้ ทำด้วยโทสะก็ได้ คนเราทำผิดศีลก็เพราะกิเลส หรือแย่งสมบัติกันก็ได้นะ ซ้อเจ็ดตีกับซ้อแป็ด เสี่ยแปดตีกับเสี่ยเก้าอะไรอย่างนี้ เพราะโลภะ ผลักดันให้ล้างผลาญกัน ทำให้มีโทสะซ้อนขึ้นมา ถ้าเรามีสตินะ กิเลสพวกนี้ครอบงำจิตไม่ได้ ไม่ผิดศีลหรอก

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่  ๓๓
File: 521227
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๐๘ ถึงนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรารักใจมากกว่ารักกาย

เรารักใจมากกว่ารักกาย

เรารักใจมากกว่ารักกาย

mp 3 (for download) : เรารักใจมากกว่ากาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ที่ว่าเรารักคนอื่นนั้นน่ะ ความจริงไม่จริงหรอก สิ่งที่รักที่สุดนะ คือกายกับใจของเราเอง แล้วก็ดูต่อไปให้ถึงที่สุดนะ ที่ว่าเรารักกายก็รักไม่จริงเท่าไหร่ สุดท้ายนะรักที่ใจตัวเอง เวลาเจ็บหนัก รู้สึกมั้ย เคยเห็นคนเจ็บหนัก แต่เดิมหวงร่างกายนะ คนเจ็บหนัก ไม่ค่อยรักกายแล้ว ไม่ค่อยจะรักกายแล้ว เมื่อไหร่มันจะตายเสียได้ก็ดีนะ พ้นทุกข์ พ้นร้อน ตายๆไปพ้นทุกข์พ้นร้อนไป ไม่รักกาย คิดว่าถ้าไม่มีร่างกายแล้วจิตใจจะได้มีความสุขเสียที ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน

หรือคนบางคนมีปัญหาชีวิตมาก จิตใจไม่มีความสุขเลย แต่จิตใจไม่มีความสุขแทนที่จะฆ่าจิตใจไม่ฆ่าใช่มั้ย ไปฆ่าร่างกายให้ตาย เพราะฉะนั้นเนี่ย ในกายกับใจนะ ก็ยังรักใจมากกว่ากาย ระหว่างกายกับใจของเรา กายกับใจคนอื่น รักของตัวเองมากกว่า นี่ธรรมชาติเลยนะ สัตว์ทั้งหลายรักตัวเอง

ทีนี้พอรักใจ แต่ว่า รักไปอย่างนั้นแหละ ปฏิบัติต่อจิตใจอย่างไม่ถูกต้อง รักใจแต่่ว่าชอบตามใจกิเลส ชอบตอบสนองกิเลส กิเลสนั้นน่ะเป็นยาพิษของใจ กิเลสนั้นทำลายความสงบสุขของจิตใจ เรารักจิตใจที่สุดเลย รักมากกว่าร่างกายอีก ร่างกายยอมแตกสลายได้ ยอมตายได้ ฆ่าตัวตายก็ได้ ขอให้จิตใจมันมีความสุขเถอะ หลายคนอกหัก ใช่มั้ย เห็นมีข่าวเรื่อยๆ อกหัก จิตใจเสียอกเสียใจ ฆ่าตัวตาย กะว่าจิตใจจะมีความสุข เฉลยให้เลยนะว่าไม่พ้นหรอกนะ พอร่างกายตายไป ไม่ใช่จิตใจพ้นนะ

เคยมีนักปฏิบัติคนหนึ่ง วันหนึ่งแกนอนอยู่ที่บ้าน กลางดึกแล้ว นอนอยู่นะ จิตมันไว ไหวแวบออกไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าบ้านไป เดินผ่านถนนหน้าบ้าน เป็นหมู่บ้าน ในหมู่บ้าน เดินผ่านไป ผู้หญิงคนนี้เดินลอยเหนือพื้นอยู่คืบหนึ่ง เดินร้องไห้ไปเรื่อยๆเลย เศร้าโศกเสียใจมากเลย ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรนะ แต่เดินร้องห่มร้องไห้ไป ไม่ยอมหันหลังกลับไปมองบ้านตัวเองเลย

พอตอนเช้า ชาวบ้านแตกตื่นในหมู่บ้าน วิ่งไปมุงบ้านนี้นะ มีผู้หญิงคนนี้แหละ ผูกคอตายไปแล้ว ที่ผูกคอตายก็เพราะว่า ไปส่งบ้าน สามีห้ามแล้ว บ้านอย่างนี้ ซื้อไม่ไหวหรอก ไม่เอาจะเอา อยากได้ อยากได้เพื่อว่าจะได้มีความสุข อยากเกินฐานะ ส่งไม่ได้ ธนาคารจะยึดแล้ว สามีก็โมโหนะ เอาเงินไปดาวน์บ้านหมดแล้ว สามีเลยทิ้งไปเลย สามีก็ทิ้ง บ้านก็ถูกยึดเลยนะ ไม่รู้จะทำยังไง ผูกคอตาย กะว่าจะพ้นทุกข์ ไม่พ้นหรอก จะต้องเดินร้องไห้อย่างนั้นไปอีกนานแสนนาน

นรก มันไม่ใช่นรกที่ต้องอยู่กับที่เสมอไปนะ นรกเคลื่อนที่ก็มี พวกนี้เหมือนนรกเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆนะ ไม่มีที่หมาย ไม่มีที่พักพิง น่ากลัวนะ เพราะชีวิตของพวกนี้ยืนยาวกว่าคนธรรมดามาก นี่ถ้าแกอดทนนะ ลำบากลำบนไป ลำบากลำบนไปไม่กี่ปี ชีวิตมันก็เปลี่ยน

เนี่ย รักจิตใจ อยากให้จิตใจพ้นทุกข์ แล้วโง่ ไม่พ้นหรอก หรือเรารักจิตใจนะ อยากให้มันมีความสุขแต่เราตามใจกิเลส ซึ่งเป็นศ้ัตรูของจิตใจ รักคนโน้น เกลียดคนนี้ อยากอันโน้น อยากอันนี้ จิตใจหาความสุขไม่ได้ที่แท้จริง จิตใจก็ดิ้นรนอยู่อย่างนั้น หาความสุขไม่ได้


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
Track: ๑๑
File: 500527.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่มีสัมมาทิฏฐิมีแนวโน้มไปสู่นิพพาน เว้นแต่จะไปติดขัดอยู่กลางทาง เปรียบเหมือนท่อนไม้ลอยน้ำ

เปรียบเหมือนท่อนไม้ลอยน้ำ

เปรียบเหมือนท่อนไม้ลอยน้ำ

mp 3 (for download) : จิตที่มีสัมมาทิฏฐิมีแนวโน้มไปสู่นิพพาน เว้นแต่จะไปติดขัดอยู่กลางทาง เปรียบเหมือนท่อนไม้ลอยน้ำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: พระพุทธเจ้าท่านเคยเทียบ บอกว่าจิตของเราเนี่ย ที่แสวงหาความหลุดพ้นเนี่ยนะ เหมือนท่อนไม้ลอยอยู่ในแม่น้ำคงคา ท่านไม่ยกว่าเป็นแม่น้ำเจ้าพระยานะ ท่านยกแม่น้ำคงคา บอกว่า ท่านชี้ให้พระดูท่อนไม้ลอยน้ำ ท่านบอกว่าไม้ท่อนนี้นะ ถ้ามันลอยไปเรื่อยๆ มันไม่ไปติดฝั่งซ้าย ไม่ไปติดฝั่งขวา ไม่ไปเกยตื้น ไม่ไปติดเกาะอะไรอย่างนี้นะ ไม่ไปถูกมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกอมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกเกลียวน้ำวน ไม่เน่าใน ไม่ผุพังเสียเอง ถึงวันหนึ่งมันจะไปสู่ทะเล

จิตซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ สิ่งที่พวกเราเรียนจากหลวงพ่อคือตัวสัมมาทิฎฐินั่นเอง จิตซึ่งมีสัมมาทิฎฐิรู้ทิศทางว่าเราจะทำอะไรเพื่ออะไรจะทำอย่างไร ระหว่างทำไม่หลงไม่เผลอ จิตมันมีสัมมาทิฎฐิอยู่อย่างนี้ ระดับเบื้องต้นซึ่งเรียกว่า “สัมปชัญญะ” รู้ทิศทาง รู้แนวทาง จิตที่มีสัมมาทิฎฐินั้นนะ มีแนวโน้ม น้อมโน้ม โน้มเอียง ลาดลุ่ม ไปสู่นิพพาน เหมือนท่อนไม้นี้ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ไปติดฝั่งซ้ายฝั่งขวา เกยตื้น ไม่ถูกมนุษย์ อมนุษย์ จับไว้ ไม่เน่าใน ไม่ถูกน้ำวนดูดไปนะ ไม้ท่อนนี้ต้องไปถึงทะเล

จิตซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ จิตของเรานี้ไม่ต้องไปทำอะไรมัน อย่าไปเกยอยู่ที่ไหนก็แล้วกัน มันจะไหลไปสู่นิพพานเอง จะไหลไปสู่มรรคผลนิพพานเอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ต้องทำอะไร แต่อย่ามัวไปเกยตื้นอยู่ที่ไหนซะล่ะ

คำว่าติดฝั่งซ้าย ติดฝั่งขวา ก็คือไปหลงในสิ่งที่เป็นคู่ๆ เช่นอายตนะภายในภายนอกนี่คู่หนึ่ง ตัวอย่างนะ ไปติดในความสุข หรือไปติดในความทุกข์ ติดในความทุกข์ก็คือเกลียดทุกข์ รักสุขเกลียดทุกข์อะไรอย่างนี้ ใจก็ยังดิ้นอีก เนี่ยติดในสิ่งที่เป็นคู่ๆ ติดความดี ความเลว เจออะไรเลวๆแล้วทนไม่ได้ ทุรนทุราย อยากจะให้โลกนี้ดี สวยงามอย่างเดียว อะไรอย่างนี้ จิตก็วุ่นวายติดในสิ่งที่เป็นคู่ๆ

ไปเกยตื้น ก็คือไปติดในผลประโยชน์ทั้งหลาย ถ้าเป็นพระก็เรียกว่าไปติดลาภสักการะ ติดครอบครัวโน้น ตระกูลนี้ อะไรอย่างนี้ ไปถูกมนุษย์จับไว้ อย่างพวกเรา คุณสุเมธ ถูกมนุษย์จับไว้ ถูกมนุษย์เป็นร้อยๆเลยนะ คุณสุเมธก็ห่วง มาหรือยัง มาหรือยัง กลัวเขาไม่ดี นี่เรียกว่าถูกมนุษย์จับไว้ ถูกอมนุษย์จับไว้ เช่น อยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากเด่น นี่ถูกอมนุษย์จับไว้ หรือติดใน อยากขึ้นสวรรค์นะ ไปเป็นเทวดาเป็นพรหมอะไรอย่างนี้ นี่เรียกว่าถูกอมนุษย์จับไว้

ไปหลงลาภสักการะ นี่ก็ไปเกยตื้นไว้ ถูกอมนุษย์จับก็หลงชื่อเสียง เป็นอาจารย์กรรมฐานดัง หลงอย่างนี้เสร็จเลยนะ ไปนิพพานไม่ได้ ถูกน้ำวนก็คือหลงอยู่ในกาม วันๆคิดแต่จะหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความเพลิดเพลินทางใจ นี่เรียกว่ากามทั้งหมดเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่ากามคุณ ทางใจเรียกว่ากามธรรม เช่นเราคิดเพลิดเพลินไปในกาม นี่คิดเอาเอง ก็เป็นกามเหมือนกัน บางคนก็ชอบคิดใช่มั้ย ฝันๆ แหมมีความสุข คิดไปในอดีต แก่หน่อยก็คิดไปในอดีตใช่มั้ย เด็กๆก็ฝันไปในอนาคต อะไรอย่างนี้ นี่ก็หลงๆไปนะ

พวกเน่าในคือพวกทุศีล พวกไม่มีศีล ๕ ศีล ๕ จำเป็น อย่าดูถูกเด็ดขาดนะ ศีล ๕ จำเป็นที่สุดเลย ขาดศีล ๕ อย่าพูดเรื่องมรรคผลนิพพานเลย ศีล ๕ จำเป็นมาก แต่ถ้าทำผิดศีลไปแล้วอย่ากังวล ตั้งใจระวังรักษาเอาใหม่ อย่าให้การทำบาปอกุศลที่ทำไปแล้ว มากดถ่วง ทำให้เราพัฒนาตัวเองต่อไปไม่ได้ เพราะเรา สมมุติว่าเราทำผิดศีลอะไรมาอย่างนี้ ยังไงก็ไม่มากเท่าที่พระองคุลีมาลเคยทำใช่มั้ย เราฆ่าคนไม่ได้พันคนหรอก ทำไมท่านไปได้ ใช่มั้ย เพราะฉะนั้นถ้าเราผิดศีลแล้วเรา ก็อย่าทำอีก นะ อย่าให้กังวลใจ

ถ้าหากจิตใจเราไม่ได้ติดในสิ่งเหล่านี้ ที่กล่าวมานี้นะ ๗ ประการ ไปนับเอาเองก็แล้วกัน เจ็ดประการนี้ถ้าเราไม่ติดนะ แล้วเรามีสัมมาทิฎฐิ เรารู้แล้วว่าการปฏิบัตินี่เราต้องรู้กายรู้ใจตัวเอง ด้วยจิตที่เป็นกลาง รู้ลงปัจจุบัน รู้แล้วไม่ไปแทรกแซง รู้จนเห็นความจริงของเขา ว่าเขาไม่เที่ยง เขาเป็นทุกข์ เขาเป็นอนัตตา รู้จนไม่ยึดถืออะไร นี่ถ้าเรารู้ มีสัมมาทิฎฐิอย่างนี้นะ แล้วเราไม่ไปติด ๗ ข้อนั้นนะ ยังไงก็นิพพาน

นี่ไม่ใช่หลวงพ่อพูดเองนะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ เราก็สำรวจตัวเองนะ เราไปติดอะไรบ้าง ติดฝั่งซ้าย ติดฝั่งขวามั้ย ไปเกยตื้นมั้ย ไปเกยตื้นยกตัวอย่าง บางคนภาวนา พวกที่ติดสมถะนั้นแหละ พวกเกยตื้น วันๆก็ไปสร้างภพที่ละเอียด ปราณีต ว่างๆ ทำให้ดูก็ได้… เนี่ย แล้วก็ไปอยู่ในความว่าง เหมือนอยู่คนละโลกกัน นะ เห็นมั้ย เสียงยังเปลี่ยนเลย…

อย่างนี้เกยตื้น กี่ปีกี่ชาติก็อยู่ตรงนี้แหละ นะ ใ้ช้ไม่ได้ ไปดูเอานะ แล้วสำรวจตัวเอง ที่พวกเราได้จากหลวงพ่อกับได้จากพรรคพวกรุ่นพี่ ต้องเรียกว่ารุ่นพี่นะ เขาเป็นซือเฮีย ซือเจ๊ ใช่มั้ย ถึงเราอายุ ๕๙ แล้ว เด็กๆพวกนี้ก็ยังเป็นซือเฮีย ซือเจ๊

เนี่ย อาศัยการได้ฟังธรรมนะ เรารู้ว่าเราจะทำอะไร ทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไรแล้ว แล้วก็รู้ไปเรื่อย ปฏิบัติไปเรื่อย นะ อย่าไปเกยตื้น อย่าไปติดอะไรอยู่ที่ไหนซะ สำรวจตัวเองเป็นระยะๆ การสำรวจตัวเองว่าไปติดไปข้องอะไรใน ๗ ประการนั้นไว้ ก็เรียกว่าโยนิโสมนสิการ สำรวจตัวเองไปเรื่อย เรื่อย เรื่อย ในที่สุดใจนี้ก็จะไหลไปถึงมหาสมุทร ใจนี้แหละจะบรรลุพระนิพพานโดยตัวของเขาเอง ไม่ใช่เราไปเสือกไสไม้นี้ไปสู่มหาสมุทรนะ มันไหลไปเอง

จิตนี้เหมือนกัน ถ้ามีสัมมาทิำฎฐิแล้วไหลไปสู่นิพพานเอง สิ่งที่เราทำขึ้นมาไม่ใช่ช่วยใ้ห้มันไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราทำก็คือ ๗ อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเลิกซะ แล้วก็รู้กายอย่างที่เขาเป็น รู้กายอย่างที่เขาเป็น ไปเรื่อยๆ


สวนสันติธรรม
CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๘
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เดินจงกรมอย่างไรจึงจะถูกต้อง?

mp 3 (for download) : เดินจงกรมอย่างไรจึงจะถูกต้อง?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: การปฏิบัตินี่ถ้าเราแยกส่วนการปฏิบัติออกจากการดำเนินชีวิตปกติของเรา อย่ามาพูดเรื่องมรรค ผล นิพพานเลย ชาตินี้ไม่ได้ ถ้ายังรู้สึกนะ เวลานี้เป็นเวลาปฏิบัติ เวลานี้ไม่ใช่เวลาปฏิบัติ ถ้ารู้สึกอย่างนี้อย่าพูดเรื่องมรรค ผล นิพพาน เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถหลอมรวมการปฏิบัติเข้าในชีวิตจริงของเราได้ ก็ไม่ต้องพูดเรื่องมรรค ผล นิพพานนะ อย่างไรก็ต้องได้ เพราะฉะนั้นต้องหลอมรวมการปฏิบัติเข้าในชีวิตจริงของเราให้ได้

เมื่อสักเดือนสองเดือนนะ มีคนไปเรียนกับหลวงพ่อที่ศรีราชา ศาลาหลวงพ่อใหญ่กว่านี้ตั้งเกือบเท่า วันนั้นคนเต็ม ยาว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า ผมอยากเดินจงกรม จะเดินอย่างไร อยากเดินจงกรม หลวงพ่อบอกว่า กล้าออกมาเดินโชว์ไหม เดินตรงนี้ กล้าไหม เด็กคนนี้กล้า ค่อยๆ แหวกคนออกมานะ แหวกเดินออกมา หลวงพ่อบอกว่าหยุดก่อน ใช้ไม่ได้แล้ว ทำไม ขาดสติ ที่ขาดสติก็ตอนที่แหวกคนออกมา จะมาเข้าทางจงกรม คิดว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาปฏิบัติ คิดว่าตอนนี้ไม่ต้องปฏิบัติ เดี๋ยวเอาไว้เข้าทางจงกรมก่อนค่อยปฏิบัติ นี่เข้าใจผิดแล้ว แท้จริงแล้วทุกก้าวที่เดินถ้ามีความรู้สึกตัว เรียกว่าเดินจงกรมทั้งหมดเลย เดินอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมานะ ก็เรียกว่าเดินจงกรมทั้งหมด ถ้าเดินกลับไปกลับมาแล้วขาดสติ ก็เรียกเดินเรื่อยเปื่อย ถ้าเดินแล้วก็เพ่งเอาเพ่งเอา บังคับกาย บังคับใจ ก็เรียกเดินทรมาน ทรมานกายทรมานใจ ถ้าเดินแบบมีสติก็เรียกว่าเดินจงกรม

หลวงพ่อก็ให้เดินต่อ คราวนี้เขาก็ไม่เดินใจลอยแล้ว เขาเดินค่อยๆ รู้สึกตัวมานะ กำลังพอดีเลย พอเริ่มเข้าทางจงกรมปุ๊บ เริ่มวางฟอร์มแบบนักปฏิบัติ วางฟอร์ม ทำขรึม บอกนี่ผิดไปอีกข้างหนึ่งแล้ว สิ่งที่ผิดหลวงพ่อพูดบ่อยๆ สุดโต่งมีสองอัน อันหนึ่งเผลอไป ตอนเดินออกมาทีแรก เผลอไป เรื่อยเปื่อย พอเริ่มลงมือปฏิบัติ บังคับกาย บังคับใจ สุดโต่ง

พอเราบังคับกายบังคับใจนะ กายก็นิ่งผิดความเป็นจริง จิตก็นิ่งผิดความเป็นจริง เราต้องการดูให้เห็นความจริงต่างหาก ไปทำจนมันผิดความจริง แล้วจะเอาความจริงที่ไหนไปดู เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ตามที่เขาเป็นจริงๆ นะ อย่าไปดัดแปลอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์กรรมฐานไม่ได้เอาไว้ฝึกดัดแปลง แต่เอาไว้ดูเพื่อให้เห็นความจริง ว่ากายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา พอรู้ความจริงแล้วมันจะปล่อยวาง แต่ถ้าไปบังคับไปทำขรึม ทื่อๆ ไว้นะ ยิ่งแก่ยิ่งเก่งนะ ยิ่งแก่ยิ่งเพ่งเก่ง ใครด่าก็เฉย ใครชมก็เฉยนะ ฝึกจนกระทั่งมีรู้สึกเหมือนตนเองเป็นต้นไม้และก้อนหิน ไร้ความรู้สึก ฝึกอย่างนั้นน่าสงสาร เหนื่อย บางคนเพ่งมากๆๆ เพ่งไปกันจนพิกลพิการนะ ต้องหอบหิ้วกันมาให้เราแก้ให้ มันก็แก้ยากนะ

เพราะฉะนั้นอย่ารีบร้อน อย่าใจร้อนรีบปฏิบัติมากนัก ฟังให้รู้เรื่องหน่อย แล้วค่อยลงมือทำ เรียนก่อนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓
File:
490716.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนา ถ้าถูกต้องจะต้องง่าย ถ้ารู้สึกยากแสดงว่าผิด

การภาวนา ถ้าถูกต้องจะต้องง่าย ถ้ารู้สึกยากแสดงว่าผิด

การภาวนา ถ้าถูกต้องจะต้องง่าย ถ้ารู้สึกยากแสดงว่าผิด

mp 3 (for download) : การภาวนา ถ้าถูกต้องจะต้องง่าย ถ้ารู้สึกยากแสดงว่าผิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เคยมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านหลงป่าเข้าพม่าไป แล้วก็เปียกฝนสามวันสามคืน เดินหลงทาง ข้าวก็ไม่มีจะฉัน ปอดบวม เข้าไปหลบฝนอยู่ในถ้ำ ก็ยังภาวนา แล้วรู้สึกว่าคราวนี้ต้องตายแน่ๆเลย ถึงแข็งแรงนะ จะรอดออกจากป่าหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะหลงทาง

ท่านก็ภาวนาของท่านไปเรื่อย กะว่าถ้าตายแล้วจิตใจจะห่วงอะไรมั้ย ร่างกายนี้ไม่ห่วงแล้ว ดูจิตดูใจก็ไม่ห่วงแล้ว ใจไม่ยึดอะไรสักอย่าง พร้อมจะตายแล้ว จิตใจไม่ยึดอะไรสักอย่าง ท่านก็ดูไปเรื่อยๆ เอ๊ะ! ไม่ยึดอะไรเลย ทำไมมันมีอะไรก็ไม่รู้ แปลกๆ สังเกตไปเรื่อยๆ ยึดความไม่ยึดอะไร ท่านเห็นว่าท่านยึดความไม่ยึดอะไร ยึดความว่างไว้ ตรงนี้ขาดปั๊บลงไป จิตท่านสว่างจ้าขึ้นมา

ท่านก็นึกว่า ในถ้ำ อยู่ในถ้ำมืดๆนะ กลางคืนนะ นึกว่าสว่างแล้ว ดูนาฬิกา ก็ยังไม่สว่างนะ ยังกลางคืนอยู่ มองข้างนอกก็มืดตึ๊ดตื๋อเลย ในถ้ำทั้งถ้ำนี่สว่าง แล้วท่านก็หายป่วย เสร็จแล้วตอนเช้า ฝนหยุดแล้ว ออกไปจากถ้ำ หิวนะ หิว ไม่มีอะไรฉันหลายวัน เจอลิงมันถือมะละกอ แล้วมันทำมะละกอตกลงมาที่พื้น แล้วมันก็มองหน้าท่านนะ มองมะละกอ มองหน้า

ท่านก็นึกว่า เอ๊… มันไม่กล้าหยิบกระมัง คงกลัวท่านว่า พอก้มลงหยิบเดี๋ยวท่านเล่นงาน ท่านเลยกลับเข้าถ้ำ เป็นเรา เราจะแย่งลิงกินใช่มั้ย เราก็จะมีเหตุผลเราต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน จะได้มีแรงภาวนาต่อไปอีก ใช่มั้ย ท่านไม่เอา ท่านกลับเข้าถ้ำไป ลิงถึงได้มาเก็บมะละกอคืนไป

เข้าไปพักหนึ่งถึงได้ออกมา ปรากฎว่าลิงมาอยู่ที่พื้นดินละ ถือมะละกอ คราวนี้มันกลิ้งมาให้ท่านแล้วก็หนีขึ้นต้นไม้ไปเลย ลองดูมะละกอลูกนี้นะ มีรอยนกเจาะๆไว้ด้วย อุตส่าห์ไปเก็บมาให้นะ ท่านบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยฉันอะไรอร่อยเท่านั้นเลย ฉันเสร็จแล้วเลยเดินกลับมาเมืองไทยได้ หลงเข้าป่าพม่าไป

ที่หลงเพราะท่านไปเดินตามลำห้วยไป นึกว่าลำห้วยนี้จะไหลเข้าฝั่งไทย กลายเป็นลำห้วยนี้ไหลไปพม่า ตามไป ตามไป ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เลยรู้ว่าไม่ใช่เมืองไทยแน่ เมืองไทยเข้ามาต้องเหลือแต่ต้นมันสำปะหลัง

ภาวนานะ ภาวนา ต้องทำ ฝึกไปเรื่อยๆ มีความสุขมากขึ้น มากขึ้น ไม่ใช่ภาวนาแล้วเคร่งเครียดนะ ถ้าภาวนาแล้วเคร่งเครียดแสดงว่าทำิผิด ถ้าภาวนาถูกจะมีแต่ความสุข มีความสุขมากขึ้น มากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน นั่งอยู่เฉยๆก็มีความสุขโชยแผ่วๆขึ้นมา คุณมนเคยเป็นใช่มั้ย มันมีความสุข

ความสุขมันเกิดจากการมีสติ รู้ลงในกาย รู้ลงในใจ เห็นกายเห็นใจเป็นทุกข์ล้วนๆนะ ยิ่งมีความสุขมากขึ้น มากขึ้น เป็นเรื่องประหลาดนะ รู้ทุกข์แล้วมีความสุข รู้ทุกข์แล้วพ้นทุกข์ มีแต่ความสุขล้วนๆ

ใครๆก็อยากละทุกข์ทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้ากลับสอนให้รู้ทุกข์ ทุกข์อยู่ที่กายรู้ลงในกาย ทุกข์อยู่้ที่จิตใจรู้ลงในใจ รู้ไปเรื่อย จนวันหนึ่งไม่ยึดถือในกายในใจ ไม่ยึดถืออะไรเลย รวมทั้งไม่ยึดถือความไม่ยึดถือด้วยนะ เหมือนอย่างที่ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเล่า เสร็จแล้วท่านไปยึดความไม่มีอะไร พอท่านผ่านตรงนี้นะ จิตใจของท่านก็เปลี่ยนไปเยอะแยะ

ท่านกลับเข้ามาในเมืองนะ พอดีมีโยมคนหนึ่งรู้จักท่าน นิมนต์ท่านไปฉัน ก็มีคนรู้จักกับหลวงพ่อบอกว่าเนี่ย ท่านมาจากป่าละ เลยไปหาท่าน ไปที่บ้านเขานั่นแหละ เป็นตึกแถวนะ ไม่เจอหลายปี นานๆเจอทีหนึ่ง

ท่านก็เล่า การภาวนานะ เวลานักปฏิบัติเจอกัน สนทนาธรรมด้วยเรื่องการปฏิบัติล้วนๆ น่าฟังมากเลย น่าฟัง มันเป็นเรื่องของการต่อสู้กับกิเลสของตัวเองนั้นแหละ ไม่ใช่สู้คนอื่นนะ สู้กิเลสของเราเอง ล้มลุกคลุกคลาน ตอนสู้นะ ปางตาย

แต่ตอนสู้ขาดมาแล้ว มันขำนะ มันขำว่า แต่ก่อนทำไมมันโง่นะ ของง่ายๆเท่านี้เอง ไม่เข้าใจ สอบผ่านได้แล้วมันจะขำตัวเอง บางทีรู้สึกสมเพชตัวเองนะ ทำไมมันโง่หลายนะ โง่หลาย ของง่ายเท่านี้ไม่เห็น เห็นแล้วรู้ เห็นแล้วนะ ยังไม่เข้าใจ ง่ายกว่าที่นึกนะ

การภาวนา ถ้าเมื่อไรภาวนาแล้วรู้สึกยาก สังวรไว้เลยว่าผิดแน่นอน การภาวนาถ้าถูกต้อง จะต้องง่าย จิตใจมีสติ จิตใจมีสัมมาสมาธิ รู้ตื่น เบิกบาน เห็นกายตามความเป็นจริง เห็นใจตามความเป็นจริง มีแต่ความสุขล้วนๆเลย ค่อยๆภาวนา มันไม่ได้ยากเย็นเหมือนที่เราวาดภาพไว้ เราไปวาดภาพธรรมะเอาไว้ผิดธรรมดา ธรรมะคือธรรมดานั่นเอง

เราเรียนธรรมดาของกาย ธรรมดาของใจ ธรรมดาของกาย ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ธรรมดาของใจก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน เรียนจนเห็นธรรมดา เรียนไปเรื่อย เห็นไปเรื่อย จนใจยอมรับความเป็นธรรมดาของกายของใจ ยอมรับแล้วมันไม่เที่ยงนี่ จะไปยินดียินร้ายอะไรกับมัน มันเป็นทุกข์นะ มันไม่ใช่เป็นสุข มันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่บังคับได้

หลายคนภาวนาแทนที่จะมุ่งมาให้เห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกือบทั้งหมดที่ภาวนาแล้วล้มลุกคลุกคลานนะ ภาวนาเื่พื่อจะให้มันเที่ยง เพื่อจะให้มันสุข เพื่อจะบังคับมันให้ได้

ยกตัวอย่างภาวนาแล้วอยากให้จิตใจสงบถาวร ให้สุขถาวร ให้ดีถาวร อะไรอย่างนี้ ภาวนาแล้วจะเอา อยากได้ อยากได้ความสุข อยากได้ความสงบ อยากได้ความดี สุข สงบ ดี ธรรมดาก็ไม่ได้นะ อยากถาวรด้วย ลืมไปว่าถาวรไม่มี มีแต่อนิจจัง ไม่ถาวร มีแต่ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่มีความสุขที่แท้จริงในกายในใจนี้

ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์ภาวนาไปแล้ว ร่างกายมีความสุขนะ ไม่ใช่นะ จิตใจก็ยังทำหน้าที่รู้สึกนึกคิด ธรรมดานั่นเอง ความสุขมันอยู่ตรงที่ ไม่ได้ยึดถือขันธ์ต่างหาก ไม่ยึดถือในกาย ไม่ยึดถือในใจ เป็นอิสระ อิสระจากกายจากใจ ความสุขมันอยู่ที่พ้นขันธ์ ไม่ใช่ความสุขอยู่ที่ดัดแปลงขันธ์สำเร็จแล้ว

พวกเราภาวนา รู้สึกมั้ย อยากดี อยากสุข อยากสงบ อยากได้มรรคผลนิพพาน มีแต่คำว่าอยากนะ มีแต่คำว่าอยาก ลืมไปว่าความอยากเกิดทีไร ความทุกข์ก็เกิดทีนั้น พอความอยากเกิดขึ้นจิตก็ดิ้น จิตก็ดิ้น จิตก็มีความทุกข์ขึ้นมา ถ้าจิตไม่มีความอยากจิตก็ไม่ดิ้น จิตไม่ดิ้นจิตก็ไม่ทุกข์

แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้แจ้งในกายในใจนี้ว่าเป็นทุกข์ล้วนๆ มันยังรักกายรักใจ มันคิดว่ากายเป็นเรา ใจเป็นเรา คิดอย่างนี้ มันอยากให้เรามีความสุข อยากให้เรามีความสงบ อยากให้เราดี อยากให้เราบรรลุมรรคผลนิพพาน พอมีความอยากแล้วใจก็ดิ้น ใจก็ดิ้นแล้วใจก็ทุกข์ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังละอวิชาไม่ได้นะ ตัณหาคือความอยากก็จะไม่หมดไป

จะหมดเป็นคราวๆพอมีสติรู้ทันนะ ก็ดับไป พอขาดสตินะ ก็กลับมาอีก เพราะฉะนั้นเลยต้องมีสติรักษาจิตอยู่ตลอดเวลา แต่พอภาวนาจนถึงที่สุดแ้ล้วนี่ มีปัญญา มีวิชาเกิดแล้ว มันไม่ไปหยิบฉวยจิตขึ้นมา ไม่ต้องรักษาจิตน่ะ แล้วถามว่ามีสติมั้ย มีก็มีไปอย่างนั้นล่ะ ไม่ได้มีเพื่อรักษาจิต เพราะจิตนั้นไม่ต้องรักษา เพราะคืนโลกคืนธรรมชาติเขาไปแล้ว

เนี่ยธรรมะนะ เป็นสิ่งที่เราึนึกไม่ถึง นึกไม่ถึง เราภาวนา เราก็หวังว่าวันหนึ่งจิตของเราจะดี จะสุข จะสงบ ถาวร วาดภาพพระอรหันต์ไว้อย่างนั้น จริงๆไม่ได้เป็นอย่างที่นึกหรอก คนที่วางขันธ์ไปแล้ว กับคนที่มีขันธ์อยู่ ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน ของเราคิดแต่ว่าทำอย่างไรจะดี ของท่านรู้ว่าวางแล้วก็หมดเรื่องแล้ว วางแล้วก็หมดเรื่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องสงวนรักษาอะไรต่อไป

ถามว่ากิเลสเกิดขึ้นมาครอบงำจิตใจได้มั้ย ไม่ได้นะ จิตใจเข้าถึงภาวะที่อะไรก็ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะว่ามีปัญญารู้ทุกข์นี่แหละ สำคัญ ใช่รู้อย่างอื่นนะ ในขณะที่เราต่อสู้ ตะลุมบอนไป จิตใจเกิดปัญญา เกิดสติ เกิดสมาธินะ เกิดคุณงามความดีแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แต่ละครั้ง แต่ละครั้ง มันอิ่มอกอิ่มใจ แต่สักพักหนึ่งมันก็พบว่าไม่ใช่นะ มันเสื่อมไปอีก

มีสติก็ขาดสติได้นะ มีสมาธิก็ขาดสมาธิได้ มีปัญญาก็โง่ได้อีก เนี่ยยังของกลับกลอก ยังของแปรปรวนอยู่ จิตใจก็ถูกกิเลสย้อมได้อีก แ้ล้วมันยังรู้สึกลึกๆว่ายังขาดอะไรอย่างหนึ่งที่ยังไม่ีรู้แจ้ง ตราบใดที่ยังขาดอันนี้อยู่เนี่ย จิตยังไม่เลิกดิ้นรนค้นคว้า จนวันหนึ่งจิตรู้แจ้งอริยสัจจ์ พอจิตรู้แจ้งอริยสัจจ์แล้ว จิตคืนกายคืนจิตให้โลก มันคืนกายไปก่อนนะ สุดท้ายมันหวงอยู่ที่จิตอันเดียวนี่แหละ พอคืนจิตให้โลกไปแล้ว ไม่ียึดถืออะไรในโลกอีก งานตรงนั้นก็หมดลงตรงนั้นเอง เข้าถึงความสุขที่นึกไม่ถึง

สวนสันติธรรม
CD: 19
File: 500310A.mp3
Time: 4.02 – 14.47

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

mp3 (for download) : ฝึกให้จิตตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตมีนิวรณ์ จิตที่ฟุ้งไปในกาม เรียกว่ามีกามฉันทะ ฟุ้งไปในกาม จิตฟุ้งไปในความพยาบาทขัดเคือง เวลาเกลียดใครก็คิดถึงคนนั้นบ่อยๆ จิตมีพยาบาท จนฟุ้งไปในพยาบาท บางทีฟุ้งสะเปะสะปะ เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน ฟุ้งไป ฟุ้งไป แล้วก็หงุดหงิด รำคาญใจ

บางทีฟุ้งไป แล้วก็คิดไป แล้วเกิดลังเลสงสัย ฟุ้งไป ฟุ้งไป แล้วก็หดหู่ มีมั้ยไปฟุ้งซ่านแล้วไปหดหู่ เนี่ยใจมันฟุ้งไปนะ ถ้าเรามีสติรู้ทันใจที่ไหลไป ใจที่ฟุ้งไป หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก ใจฟุ้งไปนะ กระทั่งฟุ้งในธรรมะก็ฟุ้งซ่านนะ ยกตัวอย่าง มีสังโยชน์ตัวหนึ่งเรียกว่าอุทธัจจะสังโยชน์ พระอรหันต์ถึงจะละได้ ตรงนี้ใจฟุ้งในธรรมะ ไม่ใช่ฟุ้งในอธรรมนะ ฟุ้งในธรรมะก็ฟุ้งนั่นแหละ ใจมันไหลไป ใจมันส่งออก

ถ้าเรามีสติรู้ทันใจที่ไหลไป ไหลไปในกาม ไหลไปในพยาบาท ไหลไปในเรื่องราวที่คิด ไหลสะเปะสะปะ ไหลไปจมแช่อยู่ในความซึมเซาหดหู่ อะไรอย่างนี้ รู้ทันลงไปนะ ใจตั้งมั่นขึ้นมา ใจตั้งมั่นขึ้นมานะนิวรณ์เหล่านี้ดับหมดเลย เกิดสมาธิ ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจตั้งมั่นอยู่ทั้งวันทั้งคืน

เพราะฉะนั้นเราดูจิตดูใจไปนะ ดูจิตไปเรื่อย กิเลสหยาบมาเรารู้ทันปุ๊บ กิเลสหยาบดับ เราไม่ผิดศีลละ กิเลสอย่างกลางๆคือนิวรณ์เกิดขึ้น เรามีสติรู้ทันปั๊บ นิวรณ์ก็ดับไปเลย ใจก็ตั้งมั่น ใจไม่ฟุ้งนะ ไม่ฟุ้งไปในกาม ไม่ฟุ้งไปในพยาบาท ไม่ฟุ้งซ่านสะเปะสะปะ ไม่หดหู่ ไม่สงสัย ใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว รู้เนื้อรู้ตัวอยู่

นี่อาศัยมีสติรู้ทันจิตไปนะ ได้ทั้งศีล ได้ทั้งสมาธิ


แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่  ๓๓
ลำดับที่ ๑๒
File: 521227
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๒ ถึงนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นิโรธมีห้าระดับ

นิโรธมีห้าระดับ

นิโรธมีห้าระดับ

mp 3 (for download) : นิโรธมีห้าระดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ใจของเราบางครั้ง ก็เข้าถึงนิโรธเหมือนกัน เช่น เรารู้สึกตัวขึ้นมา กิเลสดับวับลงไป ใจโล่ง ว่าง สว่าง ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีอะไร ชั่วแว่บหนึ่งนั้น มันก็เป็นนิโรธเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ถึงขนาดนิพพาน นิโรธมี ๕ ระดับ

ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีสติ ระลึกรู้สภาวะปั๊บ ใจเข้าถึงนิโรธ กิเลสดับลงไปตรงนั้น ความทุกข์ดับลงไปนะ มันเป็นนิโรธชนิดที่สอง มีห้าอัน นิพพานเป็นนิโรธอันที่ห้า ชนิดที่สามก็คือ นิพพานในขณะที่เกิดมรรค คือนิโรธในขณะที่เกิดอริยมรรค หรือบางทีก็วิมุติ ใช้คำเดียวกัน วิมุติมีห้าอัน นิโรธมีห้าอัน

อีกอัน อันที่สี่ก็คือ การเห็นนิโรธหรือนิพพานในขณะที่เกิดอริยผล อันที่ห้าก็คือนิพพาน อันที่หนึ่งก็คือ การสงบจากกิเลสเพราะการทำสมถะ ก็ถือว่าเป็นนิโรธเหมือนกัน เป็นวิมุติเหมือนกัน เป็นวิมุติขั้นต้นที่สุดเลย ข่มลงไปด้วยสมถะ

อันที่สอง รู้ด้วยสติ แล้วมันไม่ปรุงแต่งชั่วแว้บหนึ่ง แว้บเดียว ทีนี้เราไม่สามารถทรงอยู่กับแว้บเดียวนี้ได้ เพราะความปรุงแต่งอันใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเลย เพราะฉะนั้นก็สู้กันได้ทีละขณะ ทีละขณะ เป็นคราวๆไป

ตอนเกิดอริยมรรค อริยผล เวลาเกิด เกิดคู่กัน ต่อเนื่องกันเลย เกิดอริยมรรค อริยผล จิตไปเห็นนิพพาน คราวนี้เห็นนานหน่อย เห็นสองสามแว้บ นี่ขนาดนานนะ สองสามแว้บ เห็นแค่นั้น ไม่เห็นเยอะหรอก แล้วความปรุงแต่งก็กลับเข้ามาห่อหุ้มจิตใหม่ ได้สกิทาคาฯก็หลุดออกมาอีก เห็นนิพพานอีกสองสามแว้บนะ

ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่า เอ๊ะ เคยเห็นนะ แต่ไม่เข้าใจน่ะ บางครั้ง พอได้โสดาฯ สกิทาคาฯ ได้อนาคาฯแล้วเนี่ย บางครั้งใจก็เข้าไปรู้นิพพานได้ แต่ปุถุชนเข้าไปรู้นิพพานไม่ได้นะ เข้าไปรู้ได้แค่ช่องว่าง ที่พวกเราชอบบอกว่าไปอยู่กับสุญญตา สุญญตา น่ะ นั่นสุญญาตาตัวปลอม มันแค่ช่องว่าง ที่จริงไม่ใช่สุญญตา มันคืออากาสาฯ อากาสานัญจายตนะ

แต่ว่าพระอริยะบุคคลเนี่ย ถ้ามนสิการถึงนิพพานแล้วเห็นได้ เห็นได้เป็นคราวๆ บางครั้งก็ภาวนา รู้กายรู้ใจ แล้วก็เพิกถอน วางกายวางใจลงไป ใจก็ไปเห็นนิพพาน พอเห็นนิพานแล้วก็ถอยออกมานะ ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไร ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไร ท่านถึงบอกว่าท่านด่าตัวเองว่า “โง่แท้น้อ” เห็นอยู่นะแต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจมัน ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นภาวนามากๆเข้า ในที่สุด เกิดความเข้าใจ เข้าใจในนิพพาน เรียกว่ามีวิมุติญาณทัสนะแจ่มแจ้ง ก็พบว่า อ้อ ไม่เคยหายไปไหนเลย เราต่างหากละเลยไม่สนใจ ไม่เห็นประโยชน์

หลวงปู่ดูลย์เคยบอก เรื่องประหลาดนะ หลวงปู่ดูลย์เนี่ย อยู่บ้านนอก อยู่ป่า อยู่เขามาตลอดชีวิตนะ ไม่ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์อะไร ท่านวิจารณ์ไอน์สไตน์ได้นะ ท่านคงพิจารณาของท่านเอง บอกว่า ไอน์สไตน์นั้นเก่งนะ เก่ง สามารถพิจารณาพิจารณาไปถึงนิพพานได้ แต่เขาไม่เห็นประโยชน์ เขาไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไร เขาเลยไม่เอา ท่านวิจารณ์อย่างนี้

สิ่งที่ปิดบังนิพพานไว้นะ ก็มี รูปนาม ขันธ์ ๕ กับสมมุติบัญญัติ ไอน์สไตน์เก่งนะ ถึงขนาดมองว่า ตัวเราที่แท้จริงเป็นแค่เศษธุลีในจักรวาล เล็กนิดเดียวไม่มีนัยะอะไร เป็นแค่เศษธุลีในจักรวาล แต่ความสำคัญตัว สำคัญมั่นหมายขึ้นมา ว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ มนุษย์ก็เลยแยกตัวเองออกจากสิ่งที่แวดล้อม เกิดเรา เกิดเขา เกิดสิ่งแวดล้อมขึ้นมา

ไอน์สไตน์มองไปเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงไม่มีหรอก เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในจักรวาลชั่วขณะ สัมพัทธ์ชั่วขณะแล้วก็ดับสลาย นี่หลวงปู่ดูลย์ท่านวิจารณ์นะ ประหลาด เรายังไม่เคยอ่านเลย

อีกองค์นะ วิจารณ์เรื่องเบอร์มิวด้า ประหลาดนะ พระอยู่ในป่า ไม่เคยรู้หนังสือไม่เคยอะไร ทีนี้หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ไอน์สไตน์ ไม่รู้มรรค แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไร เขารู้จักแต่ประโยชน์ที่จะเอาออกมาทำงานทางโลกนี่


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๘
Track: ๑
File: 500114A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 5 of 8« First...34567...Last »