Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๕) วิปัสสนาเบื้องต้นต้องหัดแยกธาตุแยกขันธ์

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๕) วิปัสสนาเบื้องต้นต้องหัดแยกธาตุแยกขันธ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราแยกสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เรียกว่า เราแยกธาตุแยกขันธ์เป็น ถ้าเต็มยศนะ แยกธาตุก็คือหมายถึง กายกับใจเนี่ยเป็นคนละอัน นี่แยกขันธ์นะ กายนี่มันก็ขันธ์นึงนะ ใจก็ขันธ์นึงต่างหาก

กายนี้แยกออกไปได้อีก เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ส่วนจิตใจนะ ก็แยกได้เป็นขันธ์อีก ๔ ขันธ์ เป็นเวทนาขันธ์ คือความรู้สึกสุขทุกข์ สัญญาขันธ์ (คือ) ความจำได้หมายรู้ สังขารขันธ์ (คือ) ความปรุงดีปรุงชั่ว วิญญาณขันธ์ (คือ) ความรับรู้อารมณ์ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เนี่ยมันจะแยกออกมา

ถ้าแยกได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าแยกได้แล้วจะเห็นไตรลักษณ์ ของแต่ละธาตุแต่ละขันธ์นั้น จะทำลายล้างความเห็นผิด ว่ามีตัวมีตนได้ จะเห็นเลย ว่ารูปไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา

ถ้าใครเห็นความสุขความทุกข์ เป็นตัวเรานะ แสดงว่าขันธ์มันยังไม่แยก แต่ถ้าขันธ์แยกแล้ว มันไม่ใช่เราสุขเราทุกข์แล้วนะ ความสุขความทุกข์ เป็นสิ่งหนึ่ง จิตอยู่ต่างหากนะ ไม่เกี่ยวกัน ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ความโลภความโกรธความหลง ไม่ใช่ตัวเรา เป็นอีกสิ่งหนึ่ง

ที่จิตไปรู้เข้า จิตปรุงขึ้นมานะ แล้วก็จิตไปรู้เข้า ถ้าจิตไม่รู้ทัน สิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา คือ ความโลภความโกรธความหลงนั่นแหล่ะ จะกลับเข้ามาปรุงแต่งจิตอีกทีนึง จิตปรุงแต่งกิเลสขึ้นมาก่อนนะ แล้วสุดท้ายกิเลส กลับมาปรุงแต่งจิตได้อีก พอกิเลสมาปรุงแต่งจิตนะ ก็คือ ขันธ์มันกลับมารวมกันนะ มันมีกูขึ้นมาอีกแล้ว มีตัวเรา ของเรา ขึ้นมาอีก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

mp 3 (for download) : แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เริ่มจาก มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนจำนวนมากเลยที่สามารถแยกธาตุแยกขันธ์ได้ เห็นเลยว่าความสุขความทุกข์กับจิตใจเนี่ย เป็นคนละอันกัน ร่างกายกับจิตใจก็เป็นคนละอันกันนะ กุศลอกุศลกับจิตใจก็เป็นคนละอันกัน เขาแยกอย่างนี้ได้

เพราะฉะนั้นอย่างความสุขเกิดขึ้นก็รู้เลย ความสุขเกิดขึ้นก็เป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่งผ่านเข้ามา จิตเป็นคนไปรู้มันเข้า นี่เขาดูเก่งนะ

เบื้องต้นเราแยกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เบื้องต้นแค่ว่าตอนนี้มีความสุขขึ้นมาก็รู้ ตอนนี้มีความทุกข์ขึ้นมาก็รู้ เบื้องต้นเอาให้ได้แค่นี้ก่อน มีความสุขขึ้นมาก็รู้มีความทุกข์ขึ้นมาก็รู้

พอชำนิชำนาญขึ้นเราจะค่อยๆสังเกตเห็นนะ ความสุขไม่ใช่จิตหรอก ความสุขเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ความทุกข์ก็ไม่ใช่จิตนะ จิตเป็นคนไปรู้ความทุกข์เข้า อย่างนี้ค่อยแยกออกไปอีก ฝึกไปๆจะเห็นว่า ความสุขความทุกข์มันไม่ย้อมจิต มันมาแล้วมันก็ไป มันมาแล้วก็ไป จิตไม่หลงยินดีไม่หลงยินร้ายกับมัน

จิตที่หลงยินดียินร้ายมันไหลเข้าไปเกาะไหลเข้าไปรวมกับอารมณ์ มีความสุขก็เข้าไปเกาะในความสุขนะ มีความทุกข์ก็เข้าไปเกาะในความทุกข์ ความสุขกับความทุกข์อันไหนเกาะเร็วกว่ากัน ความทุกข์เกาะเร็ว อะไรปล่อยได้ยากกว่ากัน ความสุข ความสุขปล่อยยากนะ ยากกว่าความทุกข์ ความทุกข์อยากปล่อย แต่ความสุขไม่อยากปล่อย อยากเอาไว้

เนี่ยเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยเลยนะ จิตมันไหลไปเกาะกับความสุข ก็รู้ ไหลไปเกาะกับความทุกข์ ก็รู้ มันแยกออกมา ก็รู้ ต่างคนต่างอยู่ไป ต่อไปมันก็จะเห็นเลย ความสุขความทุกข์เป็นแค่สภาวะอันหนึ่งเท่านั้นเอง มีเหตุก็เกิดขึ้น

เหตุของความสุขก็คือ จิตไปกระทบอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ พอจิตกระทบอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ ก็ได้ความสุข จิตไปกระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ ก็มีความทุกข์

อย่างบางคนภรรยาด่าทุกวันเลยตั้งแต่แต่งงาน ด่าทุกวันๆเลยนะ ทีแรกก็ไม่พอใจนะ อยู่ๆไปก็ชินนะ คล้ายอยู่กับน้ำนานน่ะ ชิน วันไหนภรรยาเงียบๆไปนะ ใจคอไม่สบาย ไม่รู้มันจะมาไม้ไหน เนี่ยใจมันก็แปลกๆนะ

ให้เราก็เฝ้ารู้ลงไปนะ เฝ้ารู้ลงไปที่ใจ เห็นเลยความสุขความทุกข์ทั้งหลาย มาแล้วก็ไป ความสุขความทุกข์ทั้งหลายไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า มีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันก็ไม่ได้ ดูอย่างนี้แหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๔๖
File: 541218
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๐๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่มีจิตที่เที่ยง เป็นตัวตนถาวร

mp3 for download: จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่มีจิตที่เที่ยง เป็นตัวตนถาวร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่มีจิตที่เที่ยง เป็นตัวตนถาวร

จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นไม่มีจิตที่เที่ยง เป็นตัวตนถาวร

หลวงพ่อปราโมทย์: ตัวจิตเองเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ลองสังเกตง่ายๆ อย่างความรับรู้ทางตา เอ้า..ทุกคนช่วยกันมอง มองพัด มองมาแล้วรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆที่ตา มีมั้ย ความรู้สึกที่ตาเป็นความรู้สึกแบบไหน ไม่มีเลย.. น่าสงสาร ความรับรู้ทางตาเนี่ยนะ มีเวทนาเหมือนกัน แต่เป็นเวทนาเฉยๆ ความรับรู้ทางหูล่ะ จิตที่รู้เสียงน่ะ มีสุข มีทุกข์ หรือเฉยๆ ก็คือเฉยๆนะ ก็ค่อยๆสังเกตเอานะ อย่านึกเอา ค่อยๆไปดูเอา

จิตที่ได้กลิ่นน่ะ มีสุขหรือมีทุกข์ หรือเฉยๆ สมมุติว่าเดินๆไป อยู่ๆได้กลิ่น ขณะแรกที่ได้กลิ่นใช่มั้ย จิตเฉยๆใช่มั้ย ต่อมาจิตจำได้ สัญญามันทำงานแล้ว อู๊ว์นี่กลิ่นหมาเน่า ความนี้ใจไม่เฉยๆแล้วใช่มั้ย ใจเป็นทุกข์แล้ว ใช่มั้ย จมูกได้กลิ่นจมูกไม่ทุกข์นะ หรือจิตที่ไปรู้กลิ่น จิตตัวนั้นไม่ทุกข์ แต่พอจิตคิดนะ มันเกิดทุกข์ทางใจ มันเป็นจิตอีกดวงหนึ่งนะที่ทุกข์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นการรับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นเนี่ย จิตเหล่านี้เป็นอุเบกขาทั้งหมดเลย ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์หรอก เฉยๆ แล้วมันค่อยมาสุขมาทุกข์ตอนให้ค่าที่ใจ

จิตที่รู้สัมผัสทางกาย มีสุขมีทุกข์มั้ย.. มี ไม่เหมือนกับทางตานะ ตามองเห็นรูป เป็นอุเบกขา แต่การกระทบทางกายมีสุขมีทุกข์ได้ จิตที่รับรู้อารมณ์สดๆร้อนๆเนี่ย จิตตัวนี้รู้ไม่ทุกข์ รู้นะ

เนี่ยจิตก็ทำหน้าที่ของจิตนะ คือทำหน้าที่รู้อารมณ์ไป บางทีรู้อารมณ์อย่างนี้ รู้ทางทวารนี้มันเฉยๆ รู้ทางทวารนี้มันสุขมันทุกข์ได้ รู้ทางทวารนี้มันสุขมันทุกข์มันเฉยๆได้ นี่ มีหลายแบบแน่ะ รู้ทางใจ มีสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เฉยๆก็ได้ ใช่มั้ย

เพราะฉะนั้นจิตก็ทำหน้าที่ของจิตนะ ทำหน้าที่รู้ไป บางทีก็ประกอบด้วยความสุข บางทีก็ประกอบด้วยความทุกข์ บางทีก็ประกอบด้วยความเฉยๆ

จิตที่ประกอบด้วยความสุข ก็เป็นจิตคนละดวงกับจิตที่ประกอบด้วยความทุกข์ ไม่เกิดร่วมกัน จิตที่มีความทุกข์กับจิตเฉยๆ ก็คนละแบบคนละดวงกัน จิตเองก็เกิดดับไปเรื่อยๆนะ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ จิตบางดวงสุข บางดวงทุกข์ บางดวงเฉยๆ จิตบางดวงก็เป็นกุศล จิตบางดวงก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นตัวจิตเองแปรปรวนตลอดนะ จิตนี้มีเยอะแยะมากเลย

ในทางตำรานะ จำแนกจิตเอาไว้ตั้ง ๘๙ ดวง แต่ของเราไม่มี ๘๙ ดวงนะ ของเรามีไม่มากเท่าไหร่ เราตัดโลกุตระจิตออกไป ไม่มีนะ มี ๘๑ ดวง ทั้ง ๘๑ ดวงเนี่ย ของคนทำฌานได้อีกส่วนหนึ่ง คนทำฌานไม่เป็นอีกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตที่เรามีจริง มีไม่ถึง ๘๑ หรอกนะ เราดูจิตที่เรามีจริงๆนะ ไม่ต้องไปดูจิตที่ไม่มีนะ

จิตโลภเรามีมั้ย จิตโกรธมีมั้ย จิตหลงมีมั้ย จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ พวกนี้มี จิตสุข จิตทุกข์ มีมั้ย จิตมีสติมีมั้ย จิตมีสติและปัญญามีมั้ย เนี่ยไม่ค่อยมีแล้ว ทำมาพยักหน้านะ ไม่ค่อยมีแล้วอันนี้

แล้วดูของมัน ดูของจริงนะ จิตทุกชนิดมันเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตทุกชนิดเกิดแล้วดับนะ ไม่มีจิตที่เที่ยง เป็นตัวตนถาวร เนี่ยเราดูความจริงลงในรูปในนาม ในขันธ์ ๕ ในกายในใจ ดูลงไปเรื่อย เพื่อถอนความเห็นผิดว่ามีเรา

เพราะฉะนั้นงานหลักในทางพระพุทธศาสนา งานหลักในการปฏิบัติธรรมเนี่ย ไม่ได้ทำเพื่ออันอื่นหรอก ทำเพื่อล้างความเห็นผิด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 530103.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๗ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่