Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

เราทำทุกอย่างเพื่อสนองอัตตา

mp 3 (for download) : เราทำทุกอย่างเพื่อสนองอัตตา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : ก็ลองไปดูเรื่องเมื่อวานพระอาจารย์ให้ไป ก็คือไปพบว่าอย่างเรื่องกวนใจเวลามันมีเข้ามาเป็นผัสสะนี้ ก็เกิดความไม่ชอบ แล้วก็พอไม่อยากได้ยินก็จากเวทนาเป็นตัณหา แต่พอทันปั๊บมันก็จบเลย เลยสงสัย แต่ว่าพอไม่ทัน เหมือนกับเราคิดต่อแล้ว เริ่มวางแผนต่อ ตรงนั้นนี่ถือเป็นภพใช่ไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ ไปสร้างภพขึ้นมาแล้วนะ

โยม : อย่างไปหยิบทิชชูมา มาเช็ดมือนี่ก็รู้สึกเป็นอยากแล้ว ก็ถือเป็นนับ…

หลวงพ่อปราโมทย์ : ก็ให้รู้ทัน ได้คะแนน อย่าว่าแต่หยิบทิชชูมาเช็ดเลยนะ ครูบาอ๊าเนี่ยมีอยู่วันนึง ใช้ทิชชูเสร็จแล้วขว้างทิชชูทิ้ง ในขณะที่ขว้างทิชชู เห็นเลยว่านี่มัน serve อัตตา นี่แหล่ะกูล่ะ

โยม : รู้สึกคล้ายๆเมื่อเช้าปิดประตูรถปัง ดังไปนิดนึงก็รู้สึกว่าตัวตนมันเกิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ มันสนองอัตตาเนี่ย กูยิ่งใหญ่

โยม : อันนี้ถ้าถอยไปเป็นตัณหานี่เป็นภวตัณหาหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่เป็นภวตัณหา 

โยม : อ๋อ แล้วก็ ถ้านั้นว่าอะไรก็ตามที่ดูเป็นตัวตนใหญ่ ก็คือตัวนี้ทั้งสิ้นใช่ไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ เมื่อไม่กี่วันนี้วันสองวันนี้ หลวงพ่อตอนเช้าๆเดินมาที่ศาลา แต่ไม่ได้ให้โยมรู้นะ เพราะโยมยังอยู่ทางโน้น เดินมาเล่นๆ เห็น เอ๊ะ ใครมาจอดรถ รถวัดเนี่ยจอดแล้วเปิดไฟทิ้งไว้ พิจารณาดูอ๋อเด็กที่ขับรถนี้แหล่ะ มันเปิดไฟทิ้งไว้ เป็นการประกาศอัตตานะ ซึ่งแหมมันละเอียดมากเลย แค่ชั้นได้บริโภคเหนือกว่าชาวบ้านเค้า บริโภคแบบโง่ๆด้วยนะบริโภคของวัด แบบเปิดไฟทิ้งไว้นี่พระบอกหลายทีแล้วก็ไม่ปิด ทุกครั้งที่จอดรถต้องเปิดไฟทิ้งไว้ เราสงสัยมันเกิดอะไรนะ พิจารณาลงไปนี่มันคือการ serve อัตตาว่าชั้นได้บริโภค เพราะฉะนั้นแค่การได้บริโภคนะก็ serve อัตตา ทำอะไรต่ออะไรอัตตาทั้งนั้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อ วันอังคารที่ ๑๕ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๒
File: 510415B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๑๐ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะเอาอะไร เราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า

mp 3 (for download) : เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะเอาอะไร เราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนานะ เราถือว่าเราปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กระทั่งมรรคผลนิพพาน ก็อย่าไปอยากได้มัน คนไหนอยากได้มรรคผลนิพพาน จะไม่ได้ จำไว้นะ จะไม่ได้

ตอนได้น่ะไม่ทันตั้งหลัก อยากอยู่ไม่ได้นะ หมดอยากแล้วได้ เพราะนั้นเราอย่าไปอยากปฏิบัติ เราแค่ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าไป ดีแล้วที่ได้รู้สึกตัว ดีแล้วที่ใจตั้งมั่น สักว่ารู้ สักว่าเห็น ดีแล้วเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ ตามรู้อย่างนี้ไปเรื่อย ดีแล้วที่ได้ปฏิบัติน่ะ ไม่จำเป็นว่าดีแล้วที่ได้ผลนะ ดีแล้วที่ได้ทำเหตุ ต้องตั้งใจไว้อย่างนี้

ส่วนผลมันเป็นผลพลอยได้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน ชาตินี้ยังไม่ได้ ชาติหน้ามันก็ได้จนได้แหล่ะ ต้องตั้งใจอย่างนั้นนะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ถือว่าเราได้ปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ดีที่สุดแล้ว

ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไร ถ้าเราปฏิบัติเพื่อจะเอาเนี่ย เราจะเพิ่มอัตตาตัวตนไปใช่ไหม เพื่อให้กูดีกูสุขกูสงบกูวิเศษ เพราะกูได้เป็นพระอริยฯ กูตัวเบ้อเร่อเลย แต่ถ้าเราภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าไป ฝึกอย่างนี้นะ ได้ผลเร็ว

นี่เป็นลูกเล่นนะ กิเลสหลอกเรามากแล้ว เราก็หลอกมันบ้าง แต่ส่วนมากก็มีแต่ถูกมันหลอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๘
File: 510427B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑๗ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาแล้วมีความสุข

Mp3 for download:ภาวนาแล้วมีความสุข

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หัดเจริญสตินะ รู้กายรู้ใจไปเรื่อย เมื่อไหร่มีสติเมื่อนั้นมีศีล เมื่อไหร่มีสติเมื่อนั้นมีสัมมาสมาธิ เมื่อไหร่มีสติเมื่อนั้นจะมีปัญญา ใจตั้งมั่นขึ้นมาสักว่ารู้สักว่าเห็น ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมา ค่อยๆหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เติบโต วันหนึ่ง เหมือนต้นไม้ที่โตเต็มที่แล้ว ออกดอก ออกผล นะ ให้ความชื่นอกชื่นใจแก่เรา

ค่อยๆฝึก แล้วเราจะมีความสุขเป็นคนที่หนึ่งเลย คนตามลำดับต่อไปคือคนแวดล้อมเรา คนในบ้านเรา ถัดไปก็คนที่ทำงานหรือคนที่รู้จักเรา ต่อไปก็จะมีคนมาคอยมาขอคำปรึกษาเรานะ พวกเราท่าทางมีความสุข พวกมีความทุกข์ทั้งหลายก็จะวิ่งมาถามโน่นถามนี่ เราก็ต้องคอยดูใจเรานะ ในเวลาที่ตอบคำถาม ตอบไปตอบมา มานะอัตตาเกิด “กูเก่ง”เกิดขึ้นมาอีกแล้ว มึงไม่เก่งกูเก่งนะ เห็นมั้ยกิเลสคอยหาช่องอยู่ตลอดเวลา ต้องระมัดระวัง ต้องมีสติ ต้องรู้ทันตัวเองไปเรื่อยๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑

CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File:
510518
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีความเห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราหรอก ความทุกข์จะหายไป ความทุกข์จะหายไปเยอะเลย เราทุกข์เพราะอะไร ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเรารักกาย เราทุกข์เพราะเรารักจิตใจของเรา อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ อยากโน้นอยากนี่ ทุกคราวที่ความอยากเกิด ความทุกข์จะเกิดเสมอ ความอยากใดๆเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที อยากขึ้นมาได้เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก มันคิดว่าเป็นเราจริงๆ ไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ก็ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย คิดว่าจิตใจนี้เป็นตัวเราจริงๆ ก็ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่อยากประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราอยากโน้นอยากนี้ ก็อยากจะสมหวังอย่างเดียว ไม่สมหวังก็กลุ้มใจทุกข์ใจ หนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ เส้นทางที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงเนี่ย ก็คือเส้นทางที่จะพัฒนาสติปัญญาของเราให้แก่กล้า ให้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา” ถ้าเห็นได้ก็จะหมดความยึดถือในสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา”ได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนนะ ถ้าเรามีปัญญา เราเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร สังขารก็คือกายกับใจเรานี่เอง คือ ขันธ์ ๕ นี่เอง ถ้ามีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่าย นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าเห็นความเป็นทุกข์ของสังขาร คือของกายของใจ จิตจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายมันก็จะไม่ยึดถือกายยึดถือใจ นี่คือเส้นทางของความบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นสังขารคือกายนี้ใจนี้นะ เป็นอนัตตา คือสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ก็คือการที่เราสามารถเห็นกายนี้ใจนี้ หรือเห็นขันธ์ ๕ นี้ รูปนามนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วก็หมดความยึดถือ

550409.32m06-33m57

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีใครสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพานได้

mp 3 (for download) : ไม่มีใครสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพานได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่มีใครสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพานได้

ไม่มีใครสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพานได้

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีแม้แต่พระพุทธเจ้าสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่มีใครทำได้ จิตเค้าบรรลุมรรคผลนิพพานของเค้าเองเมื่อปัญญาของเค้าแก่รอบพอ หน้าที่ของเราก็คือเกื้อกูลให้จิตได้เรียนรู้ความจริง

เรามาฝึกพัฒนาสติมาฝึกพัฒนาสมาธิให้จิตตั้งมั่นขึ้นมา มีสติรู้รูปรู้นาม รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นด้วยจิตที่เป็นกลางเรื่อยไป ปัญญามันจะเกิด เมื่อปัญญามันแก่รอบแล้ว จิตเค้าจะบรรลุมรรคผลนิพพานของเค้าเอง เค้าเป็นเอง ไม่ใช่กูเก่งกูสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ ไม่มีใครทำได้ หน้าที่ก็คือเปิดโอกาสให้จิตได้เรียนรู้ความจริงของรูปนาม ด้วยการมีสติ รู้กายรู้ใจ รู้รูปรู้นาม ตามความเป็นจริง เราจะรู้ตามความเป็นจริงได้ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นรู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง จับหลักให้แม่นนะแล้วจะได้ไม่พลาด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๖
File: 541008B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความเป็นตัวเป็นตน

mp3 (for download) : เราทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความเป็นตัวเป็นตน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


โยม : แล้วก็ จะเห็นว่าจิตนี้ครับ เค้าคอยจะย้ำถึงความมีอยู่ของความเป็นตัวเป็นตนอยู่ตลอด

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ จิตนั้นนะกลัวมากเลยว่าตัวเราจะหายไป มันจะย้ำตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนะ มันจะซ่อนการย้ำความเป็นตัวเป็นตน ย้ำไปเรื่อยๆนั้นโดยไม่รู้ตัวเลย อย่างทำไมบางคนต้องมีเพื่อนเยอะๆนะ ย้ำของตัวเองไม่พอ ให้คนอื่นเค้าช่วยย้ำด้วย มีเฟซ อะไร เค้าเรียกอะไร เฟซบุค เอ้อ เฟซที่แปลว่าหน้าหรือเปล่าตัวนี้ เนี่ย อวดหน้าอยู่นะ (โยมหัวเราะ) อวดว่าฉันยังอยู่ ฉันยังอยู่ ให้คนอื่นช่วยกันรับรองว่าเรามีตัวตนจริงๆ เราทำทุกสิ่งทุกอย่างนะ เพื่อย้ำว่าฉันยังอยู่ ฉันยังอยู่ ดังนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่บอก ฉันไม่มี ฉันไม่มีเนี่ย มันฝืนมากเลยฝืนมาก คนส่วนน้อยหรอกที่จะรับกระแสธรรมได้ ว่าจะคิดแต่ว่ายังอยู่ กระทั่งนิพพานแล้วยังจะมีฉันอยู่เลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องมีฉันอยู่งั้นแหล่ะ ไปภาวนาต่อไปนะ แล้วจะเห็นว่าไม่มีหรอก ไม่มีตัวมีตนอะไร

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๔๕ ถึงนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

mp3 for download : เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

เพราะมีตัวกู จึงมีกิเลสอีกนานาชนิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่เทสก์บางทีท่านก็เล่านิทานก็มีเหมือนกันนะ เคยฟังท่านเล่าเรื่องลิงติดตัง บอกว่าคนโบราณเวลาจะจับลิง เขาจะเอามะพร้าวมาลูกหนึ่งแล้วเฉาะให้มันมีรู เฉาะแล้วก็ตั้งไว้โคนต้นไม้ เจาะรู แล้วลิงนี่นะ พอมาเจอมะพร้าวมันจะเอามือแหย่เข้าไปในลูกมะพร้าว แล้วก็ไปควักเนื้อมะพร้าว จะเอามากิน มันควักเนื้อมะพร้าวปุ๊บ มือมันก็จะกำใช่มั้ย มือมันโต ตอนมันเอามือใส่เข้าไปในรู มือมันอย่างนี้ไง เสร็จแล้วมือมันโตอย่างนี้ ท่านบอกว่ามันจะสะบัด มันไปไหนไม่ได้แล้ว มันจะต้องถูกเขาจับไปฆ่ากิน ท่านบอกว่าเนี่ยเรียกว่าลิงติดตัง ที่จริงง่ายนิดเดียวนะ แค่ปล่อยมือซะ ก็หลุดแล้ว

การภาวนาก็เหมือนกันนะ ที่เราดิ้นขล่อกแขล่กๆ ดิ้นไม่หลุดเนี่ยเพราะเราไม่ปล่อยต่างหาก รู้สึกมั้ยว่ารากเหง้าของมันจริงๆคือตัวกู ตัวกู ตัวกูนี่แหละ มีตัวกูอันเดียวนี่นะ จิตจะพลิกแพลงออกไปสารพัดเลย เป็นกิเลสนานาชนิดเลย ยกตัวอย่างบางคนมีตัวกูแล้วก็มีมานะอัตตา กูเก่งๆ มีตัวกูแล้วก็กูเก่ง บางคนมีตัวกูแล้วก็มีตัวมึงด้วย กูดีมึงมันเลว กูถูกมึงมันผิด อีกพวกหนึ่งดูเหมือนดีนะ มีตัวกูเหมือนกันนะแต่ทำยังไงกูจะดี ไม่ชอบเลยนะถ้าตัวเองคิดไม่ดีซักนิดเดียวก็ไม่ได้นะ รู้สึกทนไม่ได้เลยที่ตัวเองชั่ว นี่ก็ตัวกูอีกนั่นแหละ รักดีเพราะว่ากูจะได้ดี เพราะฉะนั้นรากเหง้าของกิเลสนานาชนิดนะ เจาะลึกลงไปถึงที่สุดก็คือ มันรู้สึกว่ามีตัวกูอยู่ มีตัวเราอยู่ อาจารย์พุทธทาสเก่งนะ เจาะลงมาตรงนี้เลย

อยู่ที่เราต้องรู้สึกขึ้นมา รู้ลงมาๆ รู้ลงมาในกายในใจ วันหนึ่งเห็นเลยกายใจไม่ใช่ตัวเราหรอก กายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ เป็นเครื่องอาศัยอยู่ในโลกเท่านั้นเอง เป็นการยืมของโลกมาใช้ จิตใจก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งนะ เรียกว่าธาตุรู้ เกิดดับเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ของยืมเขามาใช้ทั้งหมดเลย ตัวเราไม่มีหรอกในกายในใจนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๐๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐

CD: ๑๗
File: 500115
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๖ ถึงนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

mp3 for download : ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

ภาวนากิเลสหนังไม่ถลอก เพราะภาวนาสนองกิเลส

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราภาวนาหรือทำอะไรก็ตามนะ มันเป็นการประกาศว่า “ฉันยังอยู่” อยู่ที่รู้ทันนะจึงจะหมด “ฉัน” ลงไปได้ แม้กระทั่งตั้งอกตั้งใจเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ บางทีก็ทำไปเพื่อประกาศ “อัตตา” นะ ไปดูให้ดีเถอะ ทำอะไรก็มีอัตตาแทรกอยู่ทั้งหมดเลย

ยกตัวอย่างครูบาอ๊า มีอยู่คราวหนึ่ง ตามหลวงพ่อไป ตอนนั้นจะไปศาลาลุงชินมั้ง ไปแวะฉันที่มอเตอร์เวย์ พอฉันเสร็จแล้วมีทิชชูนะ ทิชชู ทำทิชชูปั้นกลมๆอย่างนี้ โยนหลงถุงขยะปุ๊บ โยนปุ๊บไปเห็นเลย ตรงที่ปั้นทิชชูนะ นี่ก็กูเก่งนะ โยนนี่ก็กูเก่งนะ นี่แค่ทิ้งทิชชูนะ ทิ้งขยะนะ อัตตาตัวตนยังแทรกเข้ามาเลยนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราเนี่ยไม่ต้องกลัวหรอก ทำอะไรก็จะมีอัตตาตัวตนแทรกทั้งนั้น ความสำคัญอยู่ที่รู้ทันหรือรู้ไม่ทัน ถ้ารู้ไม่ทันนะ ทุกสิ่งที่ทำแม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมก็ทำเพื่อสนองกิเลสทั้งสิ้น จะเป็นอย่างที่อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ภาวนาแล้วกิเลสหนังไม่ถลอกเลย” เพราะว่าจริงๆทำเพื่อ Serve มัน (หมายถึง ทำเพื่อสนองกิเลส สนองการมีอัตตาตัวตน – ผู้ถอด)

แต่ถ้ารู้ทันใจตัวเองนะ แจ่มแจ้งไปเรื่อย เห็นมั้ยจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งนะ ไม่ได้สนองกิเลส กิเลสแทรกเข้ามารู้ทัน แทรกเข้ามารู้ทัน ความเป็นตัวตนไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา ดูออกกันแล้วใช่มั้ย ความเป็นตัวตนเกิดขึ้นเป็นคราวๆ เกิดเมื่อไร เกิดเมื่อหลงคิด ต้องหลงคิดนะ หลงดูอยู่ยังไม่คิดเนี่ย ตัวตนยังไม่เกิดนะ

เพราะฉะนั้นมันจะผูดขึ้นมาๆแล้วเราไม่รู้ พอมันผุดขึ้นมาก็ภูมิอกภูมิใจนะ บางคนเคยเห็นม้้ยขี้โมโห แล้วมาเล่าด้วยความภูมิใจว่า ดิฉันเวลาโมโห เห็นช้างเท่าหมู ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่างนี้ มัน serve อัตตาตัวตนทั้งสิ้นเลย กระทั่งมีกิเลสใช่มั้ย ก็กูเก่งอีกล่ะเนี่ย

หรือบางคน พวกเด็กสาวๆชอบเป็นมากเลยนะ สวมวิญญาณนางเอก สวมวิญญาณนางเอกชอบคิดจิตนาการอะไรให้มันเศร้าๆ แล้วแสบๆเจ็บๆอยู่ในใจนี่ ชอบมากเลย มันเพื่ออะไร เพื่อประกาศว่าฉันยังอยู่นะ ฉันยังอยู่นะ ฉันยังอยู่นะ ทำแล้วน่าทุเรศนะ ทำสนองกิเลสน่ะ อย่าทำนะ ทำอย่างนั้นเป็นการฝึกตกนรกนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๑ ถึงนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาแล้วยังดิ้นรน เพราะยังมีตัวกู

mp3 (for download): ภาวนาแล้วยังดิ้นรน เพราะยังมีตัวกู

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาแล้วยังดิ้นรน เพราะมีตัวกู[/caption]

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่เทสก์บางทีท่านก็เล่านิทานก็มีเหมือนกันนะ เคยฟังท่าน ท่านเล่าเรื่องลิงติดตัง บอกคนโบราณเวลาจะจับลิง เขาจะเอามะพร้าวลูกนึงมาเฉาะให้มันมีรู เฉาะแล้วก็ตั้งไว้โคนต้นไม้  ไอ้ลิงพอมันเจอมะพร้าวเนี่ยนะ มันจะเอามือแหย่เข้าไปในลูกมะพร้าว แล้วก็ไปควักเนื้อมะพร้าว จะเอามากิน มันควักเนื้อมะพร้าวปุ๊บ มือมันก็จะกำใช่มั้ย มือมันโต ตอนมันใส่เข้าไปในรูมือมันอย่างนี้ เสร็จแล้วมือมันโตอย่างเนี้ย ท่านบอกมันจะสะบัดอย่างนี้ มันจะไปไหนไม่ได้แล้ว มันจะต้องถูกจับไปฆ่ากิน ท่านบอกว่าเนี่ย เรียกว่าลิงติดตัง จริงๆแล้วง่ายนิดเดียว แค่ปล่อยมือเท่านั้นเองก็หลุดแล้ว

การภาวนาก็เหมือนกันนะ ที่เราดิ้นข่อกแข็กๆ ดิ้นไม่หลุดเนี่ย เพราะเราไม่ปล่อยต่างหาก รู้สึกมั้ยรากเหง้าของมันจริงๆ คือตัวกูๆ ตัวกูนี่แหละ มีตัวกูอันเดียวนี่นะ จิตจะพลิกแพลงออกไปสารพัดเลย เป็นกิเลสนานาชนิดเลย ยกตัวอย่าง บางคนมีตัวกูแล้วก็มีมานะอัตตา กูเก่งๆ มีตัวกูแล้วก็กูเก่ง บางคนมีตัวกูแล้วก็มีตัวมึงด้วย กูดีมึงมันเลว กูถูก มึงมันผิด อีกพวกนึงดูเหมือนดีนะ มีตัวกูเหมือนกันนะ แต่ทำยังไงกูจะดี ไม่ชอบเลยนะ ถ้าตัวเองคิดไม่ดีสักนิดเดียวก็ไม่ได้นะ รู้สึกทนไม่ได้เลยที่ตัวเองชั่ว นี่ก็ตัวกูอีกแหละ รักดี รักดีเพราะว่ากูจะได้ดี

เพราะงั้นรากเหง้าของกิเลสนานาชนิดนะ เจาะลึกลงไปถึงที่สุด มันรู้สึกว่ามีตัวกูอยู่ มีตัวเราอยู่ อาจารย์พุทธทาสเก่งนะ เจาะลงมาตรงนี้เลย เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราต้องรู้สึกขึ้นมา เรารู้ลงมาๆ ในกายในใจ วันนึงเห็นเลยกายใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก กายใจนี้ก็เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ เป็นเครื่องอาศัยอยู่ในโลกเท่านั้นเอง แต่ยืมของโลกมาใช้ จิตใจก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งนะ เรียกว่าธาตุรู้ เกิดดับเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ของยืมเขามาใช้ทั้งหมดเลย ตัวเราไม่มีหรอกในกายในใจนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๗
File: 500105
ระหว่างนาทีที่  ๑๙ วินาทีที่  ๕๖ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตดวงเดิมไปเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ

mp3 for download : จิตดวงเดิมไปเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตดวงเดิมไปเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ

จิตดวงเดิมไปเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตายแล้วเกิดนะ ตายแล้วไม่ใช่สูญ แต่ไม่ใช่ตายแล้วจิตดวงนี้ไปเกิดใหม่ พวกเราภาวนากับหลวงพ่อ ถ้าใครเขาถามว่าตายแล้วเกิดมั้ย ก็บอกว่าตายแล้วเกิด แต่ไม่ใช่จิตดวงนี้ไปเกิด ถ้าเห็นว่าจิตดวงเดิมไปเกิดเนี่ยแสดงว่าภาวนาไม่เป็น เราต้องเห็นนะ จิตมันเกิดแล้วดับ ใช่มั้ย จิตเกิดตรงนี้ดับตรงนี้ เกิดตรงนี้ดับตรงนี้แหละ อยู่ในปัจจุบันนี้แหละ ในที่สุดเราเห็นเลย จิตทุกดวงเกิดแล้วดับ

มันก็ไม่มีหรอก จิตที่ข้ามภพข้ามชาติไป มีแต่จิตดวงสุดท้ายในชีวิตนี้ เรียกว่าจุติจิต จุติจิตนี้นะจะเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิสนธิจิต จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นในภพใหม่นะ ในชีวิตใหม่ ไม่ใช่ดวงเดิมไปเกิด จิตดวงเดิมไปเกิดเป็นมิจฉาทิฎฐินะ เห็นว่าจิตเที่ยง

เห็นว่าจิตเที่ยง ก็เห็นว่าจิตเป็นอัตตา เป็นอาตมัน เป็นตัวเป็นตน อันนั้นเป็นมิจฉาทิฎฐิ พวกเราหัดภาวนา เราเห็นจิต เกิดดับๆ อยู่เรื่อย เราเห็นแล้วเป็นสัมมาทิฎฐิ ไม่มีตัวตนถาวร แต่ว่ามันมีพลังงาน มันเหนี่ยวนำไป ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกระแสของพลังงานนี้ มันก็เหนี่ยวนำให้เกิดจิตดวงใหม่ขึ้นมาอีก ทำงานต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ

จิตดวงใหม่ก็เหมือนลูกของจิตดวงเก่า มันรับมรดกไปก็ได้นะ รับหนี้สินของพ่อของแม่ไปก็ได้นะ คือรับวิบากที่ดีก็ได้ ที่เลวก็ได้ ที่จิตดวงก่อนๆมันทำเอาไว้ แต่ว่าไม่ใช่ดวงเดียวกัน ค่อยๆฝึกไปนะ ไม่ยากเท่าที่คิดหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520426B.mp3
ลำดับที่ ๕
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พอขันธ์กระจายตัวออกไปเนี่ย ปัญญามันจะเกิดได้

mp3 for download : พอขันธ์กระจายตัวออกไปเนี่ย ปัญญามันจะเกิดได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

พอขันธ์กระจายตัวออกไปเนี่ย ปัญญามันจะเกิดได้

พอขันธ์กระจายตัวออกไปเนี่ย ปัญญามันจะเกิดได้

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจทั้งสิ้น มิใช่จิตหรอก ราคะไม่ใช่จิตนะ เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต โทสะก็ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต โมหะก็ไม่ใช่จิตอีก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา ปัญญา เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จิตทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต เรียกว่า “สังขาร”

สิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิตมีสองอัน มีเวทนากับสังขาร สัญญานี้เป็นตัวแปลความหมาย ไม่ต้องเรียนเยอะ เรียนเยอะแล้วเดี๋ยวเวียนหัว ถึงสัญญานี้พร้อมจะเพี้ยนแล้ว เพราะจริงๆขณะนี้ พูดตรงๆนะ พวกเรามีสัญญาวิปลาส ไม่ได้แปลว่าบ้านะ สัญญาวิปลาสคือการหมายรู้ผิดๆ จิตวิปลาสคิดผิดๆ สัญญาวิปลาสหมายรู้ผิดๆ ทิฏฐิวิปลาสมีความเห็นผิดๆ พวกเรามีวิปลาสเยอะแยะเลย หลายอย่าง ตอนนี้ยังดูยาก เพราะฉะนั้นค่อยๆหัดดูของจริง หัดเจริญสติ หัดภาวนาไปนะ วันหนึ่งหายวิปลาสได้ หายบ้าได้ ความเห็นก็เห็นถูก ความคิดก็คิดถูก การหมายรู้ ก็หมายรู้ถูกๆ จะถูกขึ้นมา ค่อยฝึกเอา

เพราะฉะนั้นตอนนี้ สิ่งที่เราต้องหัดรู้อันแรกเลย ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนา ความสุขความทุกข์ในกาย ความสุขความทุกข์ ความเฉยๆในใจ อันนี้อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า “เวทนา” ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ความปรุงกลางๆไม่ดีไม่ชั่ว อันนี้เกิดขึ้นที่ใจเรียกว่า “สังขาร” เป็นสามอันแล้วนะ มีรูป มีเวทนา มีสังขาร มีจิตเป็นคนรู้คนดู ฝึกให้ได้อย่างนี้นะ

พอขันธ์กระจายตัวออกไป ปัญญามันจะเกิดได้ ถ้าขันธ์มันมารวมตัวกัน มันรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน มันจะรู้สึกว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ แต่ถ้าขันธ์นี้แยกตัวออกไป กระจายออกไป มันจะเห็นรูปที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นี้ไม่มีเรา ตัวที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นี้ไม่ใช่เราแล้ว เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่งเคลื่อนไหว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เห็นทันทีเลย

เห็นได้เพราะอะไร? อันที่หนึ่ง สติระลึกรู้รูปที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ มีสติระลึกรู้รูปนี้ ถ้าใจลอยจะเห็นไม่ได้ ใจลอยก็ลืมกายลืมใจ เพราะฉะนั้นอันที่หนึ่ง มีสติรู้รูปที่กำลังเคลื่อนไหว อันที่สอง ใจนั้นมีสัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู ใจมันอยู่ต่างหาก มันแยกออกมาอยู่ต่างหาก เป็นแค่คนดู มันจะเห็นว่าตัวที่เคลื่อนไหวอยู่นี้ ไม่ใช่เราเลย เป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้นเอง สิ่งใดถูกรู้ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา

พวกเราเห็นไหม พัดนี้ถูกพวกเรารู้อยู่ รู้สึกไหม? มีใครเห็นพัดเป็นตัวเรา มีไหม? ไม่มีนะ ยกเว้นคนชื่อพัชนะ ถามว่าพัดเป็นเราไหม พัชเป็นเราค่ะ

ดูลงไปเรื่อยๆนะ ในที่สุดจะเห็นเลย รูปที่เคลื่อนไหวอยู่ รูปที่หยุดนิ่งอยู่ รูปที่หายใจ รูปที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่ ไม่ใช่ตัวเราหรอก ไม่ใช่คนด้วย เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ดูอย่างนี้

ดูความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์เกิดขึ้น ความสุขเกิดขึ้นมา ใครเห็นความสุขเป็นเราก็เพี้ยนแล้ว ความปวดขาเกิดขึ้น ใครเห็นความปวดเป็นเราก็เพี้ยนแล้ว ไม่เป็นหรอก ดูง่ายนะ จะเห็นว่าไม่ใช่เรา

ตัวที่เหนียวแน่นที่สุดว่าเป็นเราคือจิตนะ เหนียวแน่นอันดับสองที่ว่าเป็นเราคือกาย คือตัวรูป ส่วนตัวที่เหลือนี่เป็นตัวที่ดูง่ายว่าไม่ใช่เรา แต่ว่าดูตัวมันยากนะ มันละเอียด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

mp3 for download : ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูลงไปนะ เวทนาไม่ใช่เรา ความสุขไม่ใช่เรา ความทุกข์ไม่ใช่เรา โทมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา โสมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา อุเบกขาเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา ดูลงไปอีก ความโลภไม่ใช่เรา ใครเห็นความโลภเป็นเรา ไม่มีใครเห็นความโลภเป็นเราเลยแต่ชอบคิดว่าเราโลภ

เราโลภยังดูยากเลย ชอบคิดว่าคนอื่นโลภ ดูง่ายไหม โอ๊ย.. ไอ้นี่โลภมากนี่ รวยสี่หมื่นเก้าพันล้านแล้วยังไม่พอ จะเอาห้าหมื่นล้าน อะไรอย่างนี้นะ ดูคนอื่นโลภดูง่ายนะ ดูเราโลภดูยากขึ้นละ พอเราโลภนะ เราก็บอกว่า นี่ขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักเก็บออม เป็นคุณธรรม พอเราโลภก็เป็นอย่างนี้ ดูคนอื่นโลภง่ายที่สุดนะ ดูเราโลภก็ยากขึ้นมาหน่อย ดูความโลภที่มันไม่ใช่เราเนี่ยนะ อัศจรรย์แล้วคราวนี้ ความโลภไม่ใช่เราหรอก ความโลภเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ ไม่ใช่เรา จะเห็นเลย ความโลภไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เราดูไปจนถึงตัวสภาวะแท้ๆ รูปธรรมนามธรรมแท้ๆ ดูไปถึงตัวรูปแท้ๆ รูปจะไม่มีเรา ดูไปถึงตัวเวทนาแท้ๆ เช่น ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ความรู้สึกสุขทุกข์จะไม่ใช่เรา ดูไปถึงตัวสังขารแท้ๆ เช่น ความโกรธ ใครเห็นความโกรธเป็นเรา ไม่มีนะ ถ้าเห็นตัวความโกรธแล้วจะรู้ว่าตัวความโกรธไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีปัญญาเห็นตัวความโกรธ ความโกรธครอบงำจิต จะรู้สึกว่าเราโกรธ

เราโกรธก็ไม่ค่อยเห็นอีก จะเห็นคนที่ทำให้เราโกรธ รู้สึกไหม ส่วนใหญ่ได้แค่นี้ เห็นไอ้นี่มันขับรถปาดหน้าเรา เห็นไอ้คนที่ขับรถปาดหน้า ไม่เห็นความโกรธในใจของตัวเอง ถ้าสามารถย้อนมาเห็นความโกรธในใจของตัวเองได้นะ จะเห็นอีก ความโกรธไม่ใช่เราหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา

เราภาวนานะ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป หรือแยกรูป แยกเวทนา แยกสังขาร แยกจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูออกมา เพื่ออะไร? เพื่อจะได้จะได้ถอนความเห็นผิด ว่าขันธ์ทั้งหลายนี้เป็นตัวเรา ขันธ์มันเป็นตัวเราขึ้นมาเพราะสัญญามันหลอก สัญญาที่วิปลาสมันหลอก แล้วก็ความคิดมันเกิดขึ้นมา สัญญามันเข้าไปหลอก มันหลอกว่ามีเรา สัญญามันเพี้ยนอยู่

เพราะฉะนั้นดูลงมา รูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ดูไปเรื่อย.. ทีแรกจะเห็นก่อนนะ พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่เรา กุศล-อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา แต่ยังรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่

ปุถุชนจะรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่ แต่ว่าถ้าฝึกไปมากเข้าๆ จิตหลุดออกจาก “โลกของความคิด” ได้อย่างแท้จริง อยู่ใน “โลกแห่งความรับรู้” ได้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ในโลกของความว่างเปล่านะ อยู่ในโลกของความรู้สึก โลกของความรับรู้ จะรู้สึกเลย ถ้าไม่มีความคิดอยู่นะ ถ้าจิตไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด ความเป็นตัวตนจะไม่เกิดขึ้น ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง คิดไปตามสัญญาที่เพี้ยนๆของเราเอง ความเคยชินมันไปหมายว่า นี่เราๆ ร่างกายเป็นเรา ไอ้โน่นเรา ไอ้นี่เรา คิดอย่างนี้ หมายรู้ผิดๆอย่างนี้นะ ก็คิดไปตามความเคยชิน ก็คิดไปตามการหมายรู้ว่ามีเราขึ้นมาจริงๆ

ค่อยฝึกนะ เบื้องต้นจะเห็นรูป เห็นร่างกาย เห็นเวทนา เห็นสังขาร ไม่ใช่เรา ฝึกกับหลวงพ่อสักเดือน สองเดือน จะเห็นตรงนี้แล้ว มันไปยากอยู่ตรงที่ยังเห็นว่าจิตยังเป็นเราอยู่


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

mp3 for download : ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอย่างไรจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ต้องดูให้เห็นว่าจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตเองก็เกิดดับได้นะ

วิธีดูจิตที่เกิดดับนี้  จิตไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ดูมันตรงๆจะไม่เห็นอะไร เราต้องดูอ้อมๆ ดูผ่านสิ่งอื่นเข้ามา จิตไม่ได้เกิดลอยๆ จิตไม่ได้เกิดคนเดียว จิตต้องเกิดร่วมกับสิ่งอื่น จิตเกิดร่วมกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับเจตสิก ความรู้สึกที่ประกอบจิต จิตเกิดร่วมกับกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับอายตนะได้ เกิดที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจได้

เพราะฉะนั้นเราสังเกตความมีอยู่ ความเกิดดับของจิต ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไปของจิต สังเกตผ่านเจตสิก และสังเกตผ่านอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไปดูจิตตรงๆจะไม่มีให้เห็นเลย ไม่มีอะไรเลย ถ้าอยู่ๆเรานึกอยากดูจิต แล้วก็ดูปุ๊บลงไป เราจะเอาจิตไปดู เราไม่ได้ดูจิต ดูไม่ถึงจิตหรอก

หรือดูไปๆ ก็จะเห็นว่า ว่างๆ ยกตัวอย่างไปนั่งจ้องไว้อย่างนี้นะ นั่งจ้องไว้ ก็จะว่างๆ คิดว่าว่างๆเป็นจิต ว่างๆไม่ใช่จิต ว่างเป็นเจตสิก เป็นสังขารชนิดหนึ่ง ชื่อ “อากาสานัญจายตนะ” ไม่ใช่จิตหรอก

เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นจิตจริงๆ อย่าเที่ยวหาจิต หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อว่า “อย่าใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ” สอนอย่างนี้นะ หาอีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ ไม่ต้องหามันนะ ให้เรียนรู้จากเจตสิก

ตอนที่หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์นะ ก็สอนอย่างนี้นะ หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์บอกว่า สัพเพ สังขารา เห็นไหมให้เรียนที่สังขารนะ “สัพเพ สังขารา สัพพะ สัญญา อนัตตา* สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ท่านสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหลวงปู่ดูลย์มาดูจิต เริ่มจากอะไร ดูสังขารนะ ไม่ใช่ดูจิต

จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ ความสุขเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้น ทีแรกยังไม่รู้สึกว่าความสุขความทุกข์เกิดขึ้น แต่จะรู้สึกว่ามีเราสุขเราทุกข์นะ ต่อมาค่อยๆสังเกต อ๋อ จิตมันมีความสุขขึ้นมา จิตมันมีความทุกข์ขึ้นมา จิตมันโลภ จิตมันโกรธ จิตมันหลงขึ้นมา ถ้ายังดูไม่เป็นก็จะรู้สึกว่า จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตสุข จิตทุกข์

ถ้าค่อยๆดูนะ สติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะเห็นว่า จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตสิกออกจากจิตได้นะ เห็นไหม เราเรียนรู้จิต ผ่านการดูเจตสิกนะ แล้วสามารถแยกมันออกไปได้ ในที่สุดจะรู้ ว่าธรรมชาติรู้นี้ เป็นอย่างไร

ธรรมชาติรู้นี้ ไม่มีอะไร แต่เป็นแต่ธรรมชาติรู้ นี่ค่อยแยก แต่ว่าไม่ใช่เอาตัวนี้นะ ยังต้องเห็นว่าตัวนี้เองตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง ถ้ายังเห็นว่าตัวรู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิเลย มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งชื่อ หลวงปู่หล้า อยู่ภูจ้อก้อ ที่มุกดาหาร บอกว่าใครเห็นตัวผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฎฐิ จิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ สอนขนาดนี้นะ สอนตรงพระอภิธรรมเปี๊ยบเลย จิตก็เกิดดับ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นตัวผู้รู้แล้ว แยกเอาเจตสิกออกไปแล้ว จะเจอตัวผู้รู้นะ บางทีก็อาศัยการรู้ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ แล้วเห็นการเกิดดับของจิตได้นะ ค่อยๆฝึกไป หมดเวลาซะแล้ว เทศน์ยังไม่จบเลย วันนี้ เอ้า… พวกเรา ไปทานข้าว…

*หมายเหตุ เคยเห็นปรากฎในที่บางแห่งว่า “สัพเพสังขารา อนิจจา สัพพะสัญญา อนัตตา” – ผู้ถอดคลิปส์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๖ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ต้องละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

mp3 for download : ไม่ต้องละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่ต้องละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ไม่ต้องละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

หลวงพ่อปราโมทย์ : สังขารที่ปรุงดีปรุงชั่วก็ไม่ใช่เรานะ ยกตัวอย่าง โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่เรา ปีติ ฉันทะ วิริยะ สมาธิ อะไรเหล่านี้ พวกนี้ไม่มีตัวเราสักอย่าง จิตที่รู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่ใช่ตัวเรา ก็ดูของจริงบ่อยๆนะ ในที่สุดมันรู้เลยว่า โอ้..ที่คิดว่าเป็นเรา มันสมมุติขึ้นมา สมมุติปิดบังสภาวะ

เพราะฉะนั้น พอเราเห็นสภาวะอย่างแท้จริงนะ ไม่หลงสมมุติละ ก็หายโง่ ไม่เข้าใจผิดละ จริงๆตัวตนไม่มี ไม่ต้องละอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว กระทั่งในขันธ์ ๕ ยังไม่มีอัตตาตัวตนเลย

บางคนเตลิดไปเรื่องนิพพานมีอัตตาตัวตน หนักเข้าไปอีก ขันธ์ ๕ ยังไม่ใช่อัตตาตัวตนเลย นิพพานอะไรเป็นอัตตาตัวตน ไปไกลใหญ่แล้ว ไปหลงสมมุติเรื่องนิพพานขึ้นมา แล้วก็เลยมีความเห็นว่านิพพานเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาอีก

เราหัดภาวนานะ ทะลุสมมุติเข้าไปเห็นสภาวะจริงๆ สภาวะจริงๆไม่มีตัวมีตน เห็นแล้วเห็นอีก วันหนึ่งก็รู้เลยว่า สมมุติมันหลอกเรา มันหลอกเอาแท้ๆเลย แต่ก็อย่าไปเกลียดสมมุติ พระอรหันต์ก็รู้สมมุตินะ ก็คล้อยตามสมมุติ สมมุติมันเป็นมติร่วมกันของชาวโลกเขาน่ะ เพราะฉะนั้นจะไปฝืนชาวโลกเขาได้อย่างไร

เคยมีนักปราชญ์คนหนึ่งนะ คือท่านจะเป็นปราชญ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ละ แต่แกคิดว่าแกก็เป็นปราชญ์ล่ะ ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยัง เคยคุยกับแกสมัยที่เรายังเป็นนักศึกษา ดูแกฉลาด แกบอกว่าแกไม่ติดหรอก ระเบียบวินัยทั้งหลายเป็นของสมมุติ เนี่ยเห็นไฟแดงนะ ขับฝ่ามันไปเลย ไม่หลงสมมุติ เขาสมมุติว่าไฟแดงให้หยุด เราฟังแล้ว หา.. ท่านนักปราชญ์ ท่านไม่น่าจะมีชีวิตยืนยาวหรอก…

สมมุติไม่ได้เอาไว้ปฏิเสธนะ เอาไว้เข้าใจมัน เข้าใจมันโดยฐานะที่มันเป็นสมมุติ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 530103.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธี ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต

mp3 for download : วิธี ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธี ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต

วิธี ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต

หลวงพ่อปราโมทย์ : ค่อยสังเกตไป ร่างกายที่เคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า หัดอย่างนี้เรื่อยๆ ดูเหมือนดูคนอื่น ถ้าดูตัวเองยังไม่ออก ลองดูคนอื่นก่อน ดูคนที่นั่งข้างๆเรา เราเห็นไหม คนที่นั่งข้างๆเรานี้ เป็นสิ่งที่จิตของเราไปรู้เข้า เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ดูคนข้างๆแล้วลองย้อนมาดูร่างกายตัวเอง ดูเหมือนดูเป็นคนอื่นน่ะ ดูเหมือนมันเป็นคนอื่น เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนเป็นคนอื่น ใจเราเป็นคนดู ค่อยๆหัดอย่างนี้เรื่อยๆ

ต่อไปมันจะเห็นเลยนะ ร่างกายที่หายใจอยู่ ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่ ร่างกายที่เคลื่อนไหวร่างกายที่หยุดนิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายไม่ใช่จิตหรอก ค่อยๆฝึกอย่างนี้นะ

พอเราแยกจิตจากกายได้แล้ว ต่อไปก็แยกต่อไปอีก นั่งไปนานๆความปวดความเมื่อยมันเกิดขึ้น อย่างคุณแต๋มนั่งแล้วเมื่อย แล้วต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนอิริยาบถนั้นหนีอะไร? หนีความทุกข์นะ ทีนี้ก่อนเปลี่ยนอิริยาบถให้เรารู้ทันนิดหนึ่งก่อน เปลี่ยนได้ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนไม่ได้หรอก

นั่งไปนานๆ มันปวดมันเมื่อยขึ้นมา ค่อยๆสังเกตเอา สังเกตไหม? ความปวดความเมื่อยนี้ไม่ใช่ขาของเราหรอก ขานี้ตั้งอยู่ก่อนแล้วนะ ความปวดความเมื่อยแอบเข้ามาอยู่ทีหลัง ตามเข้ามาทีหลัง เพราะฉะนั้นมันเป็นคนละอันกัน ดูอย่างนี้นะ มันก็จะแยกขันธ์ได้อีกขันธ์หนึ่ง

ตัวร่างกายที่เรารู้สึกอยู่นี่ มันเป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ ตัวนี้เรียกว่า “รูปตัวความเจ็บความปวดที่มันแอบเข้ามาอยู่ในรูปนี้ เรียกว่า “เวทนา“  บางทีเวทนาก็เกิดที่ใจนะ แอบเข้าไปอยู่ในใจก็ได้ เช่น มีความสุขแอบเข้าไปอยู่ในใจ มีความทุกข์แอบเข้าไปอยู่ในใจ มีความรู้สึกเฉยๆแอบเข้าไปอยู่ในใจ ทำไมใช้คำว่า “แอบ” เพราะเราไม่ค่อยเห็น ถ้าเราเห็นมันก็ไม่ได้แอบนะ มันเข้ามาเราก็มองเห็น เพราะฉะนั้นตัวเวทนา ตัวสุขตัวทุกข์นี้ อยู่ในกายก็ได้ อยู่ในใจก็ได้ เราค่อยๆหัดแยกไป

ความสุขความทุกข์ อย่างความปวดความเมื่อย ไม่ใช่ขานะ แล้วก็ไม่ใช่จิตด้วย มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ใครเห็นว่าความปวดเป็นจิตบ้าง มีไหม? ใครรู้สึกว่าความปวดเป็นตัวเรา มีไหม? สังเกตไหมเรารู้สึกว่าร่างกายเป็นตัวเรานะ แต่พอความเจ็บความปวดรู้สึกว่าไม่ใช่เราแล้ว เป็นสิ่งแปลกปลอมอยากไล่มันไป เพราะฉะนั้นเวทนาก็ดูไม่ยากนักนะ

ดูให้ดี เราจะเห็นเลย ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง ความปวดความเมื่อยอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ หัดแยกอย่างนี้เราได้ ๓ ขันธ์แล้ว ได้รูป ได้เวทนา ได้วิญญาณขันธ์ คือตัวจิต

พอแยกได้อย่างนี้เราก็ดูต่อไป อย่าเพิ่งเปลี่ยนอิริยาบถ ให้มันปวดมากๆหน่อย พอมันปวดมากๆนะ มันเกิดความทุรนทุรายขึ้นที่ใจ จริงไหม หรือว่าพอปวดมากๆแล้วความทุรนทุรายเกิดขึ้นที่ขา? ขาไม่ได้ปวดนะ ขาเป็นวัตถุ วัตถุปวดไม่เป็น เวทนามันแทรกเข้าไปอยู่ในขา มันเลยรู้สึกว่าปวด ถ้าเราดูให้ดีเราจะเห็นว่า ความปวดกับขาเป็นคนละอันกัน

อันนี้หลวงพ่อเคยสอนผู้หญิงบางคน บอกว่าถึงเวลามีรอบเดือน ปวดท้องอย่างรุนแรงเลย ต้องกินยาเลยนะ ต้องเจ็บมากปวดมาก บอกให้ค่อยๆสังเกตนะ ท้องไม่ได้ปวดหรอก ความปวดมันแทรกเข้ามาอยู่ที่ท้อง เขาไปดูๆนะ เขาเห็นว่าร่างกายไม่ได้ปวดนะ ความปวดแทรกเข้ามาอยู่ในร่างกาย ดูอย่างนี้ไม่ต้องกินยาแล้ว รู้สึกร่างกายสบายดี ร่างกายไม่เห็นเป็นไร ค่อยๆแยกขันธ์ไป

ทีนี้พอความปวดเกิดขึ้นมากๆ ความกระสับกระส่าย ความทุรนทุราย ความร้อนอกร้อนใจ ความกลัว ความกังวล ความหงุดหงิดรำคาญ อันนี้เกิดขึ้นที่ใจ ปวดมากๆอยากเปลี่ยนอิริยาบถ ความอยากเปลี่ยนอิริยาบถเกิดขึ้นที่ใจ ไม่ได้เกิดที่ขา ใจเราเป็นคนอยากเปลี่ยนอิริยาบถ นั่งนานๆมันปวดใช่ไหม? ใจมันอยากเปลี่ยนอิริยาบถ มันปวดอยู่ที่ขา แต่ใจมันอยาก

หัดดูให้ดีเราจะเห็นเลย ความอยากที่เกิดขึ้นที่ใจ ไม่ใช่จิตหรอก จิตมันเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ ความอยากเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ เช่นเดียวกับความปวดที่แปลกปลอมเข้ามาในขา แบบเดียวกันเปี๊ยบเลย มันแปลกปลอมเข้ามาเพราะฉะนั้น เราหัดดูนะ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทางใจ ไม่ใช่จิตหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขันธ์ ๕ นั้นไม่มีตัวเราอยู่แล้ว ไม่ต้องหาทางละอัตตาตัวตน ตัวตนไม่มี

mp3 for download: ขันธ์ ๕ นั้นไม่มีตัวเราอยู่แล้ว ไม่ต้องหาทางละอัตตาตัวตน ตัวตนไม่มี

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขันธ์ ๕ นั้นไม่มีตัวเราอยู่แล้ว ไม่ต้องหาทางละอัตตาตัวตน ตัวตนไม่มี

ขันธ์ ๕ นั้นไม่มีตัวเราอยู่แล้ว ไม่ต้องหาทางละอัตตาตัวตน ตัวตนไม่มี

หลวงพ่อปราโมทย์ เราค่อยๆเรียนนะ ค่อยๆดูไป ความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น รู้ทัน เห็นมั้ยความโกรธไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ต้องคิดเอานะ ความรู้สึกโกรธก็รู้.. ความรู้สึกโลภเกิดขึ้นก็รู้.. ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ หัดรู้ไปเรื่อยๆ ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ หัดรู้ไปเรื่อย รู้สบายๆ ไม่ต้องกลัวโง่

ทีแรกมีสติก่อน มีสติรู้ไปเรื่อย.. ตามรู้ตามดูไป อะไรเกิดขึ้นตามรู้ตามดูไปเรื่อยๆ ถ้าใจเราตั้งมั่นจริง ใจจะทำตัวเป็นแค่คนรู้คนดูใช่มั้ย จิตทำหน้าที่รู้ เห็นมั้ยจิตไม่เข้าไปแทรกแซง จิตทำหน้าที่ของจิตเท่านั้น คือ รู้ จิตเข้าไปแทรกแซงได้ เพราะจิตถูกกิเลสมันปรุงแต่งแล้ว ไม่ pure pure แล้ว ไม่ใช่จิตที่ทำหน้าที่รู้แล้ว แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยโลภะ อยาก ถ้าจิตทำหน้าที่รู้เฉยๆนะ จิตจะเห็นความจริง

ความโกรธเกิดขึ้น จิตทำหน้าที่รู้ ก็จะเห็นเลย ความโกรธไม่ใช่ตัวเรา จิตที่ไปรู้ความโกรธก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ยจะเห็นอย่างนี้ เห็นของจริง ขันธ์ ๕ นั้นไม่มีตัวเราอยู่แล้ว ไม่ต้องหาทางละอัตตาตัวตนนะ ตัวตนไม่มี

เราภาวนาไปเรื่อยนะ ถึงวันหนึ่งเราก็ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวตน ล้างความหลงสมมุตินั่นเอง เพราะหลงสมมุตินั่นแหละ เลยสำคัญผิดว่ามีตัวมีตนขึ้นมา มีเรามีเขาขึ้นมา ดูของจริงนะ ดูทะลุสมมุติลงไป เห็นสภาวะแท้ๆ สภาวะแท้ๆไม่เคยเป็นเราเลย

รูปนี้ที่เคลื่อนไหว รูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน รูปหายใจออก รูปหายใจเข้า รูปพอง รูปยุบ ไม่เคยเห็นเคยบอกเลยว่ามันเป็นเรา

เวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเฉยๆ ทางกายทางใจ อะไรอย่างนี้ ไม่เคยเห็นมันบอกว่าเป็นเราเลย

สัญญาก็ทำหน้าที่จำได้หมายรู้ แต่สัญญานี้ตัวเหลวไหลนะ มันจำสมมุติน่ะ ส่วนมากมันจำสมมุติเอา แล้วก็โดนหลอก ว่ามีตัวตน มีเรา มีเขา เพราะฉะนั้นสัญญาเว้นไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งไปยุ่งกับมัน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 530103.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่