Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๔) เมื่อจิตตั้งมั่นถึงฐานแล้วจึงเจริญวิปัสสนาได้

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๔) เมื่อจิตตั้งมั่นถึงฐานแล้วจึงเจริญวิปัสสนาได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเราต้องมาฝึกนะ ให้จิตตั้งมั่นถึงฐานให้ได้ แล้วเราก็มาเจริญปัญญา มาทำวิปัสสนา

พอจิตตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้ร่างกายที่เคลื่อนไหว มันจะเห็น ว่าร่างกายกับจิตเนี่ย เป็นคนละอันกัน เวลานี้คนที่ทำแบบนี้ได้ นับไม่ถ้วนแล้วนะ มีเยอะมากเลยนะ ที่ใจมันตั้งมั่นขึ้นมา มันเห็นร่างกาย ไม่ใช่ตัวเรา เป็นวัตถุธาตุที่เคลื่อนไหว

แต่มันยังเห็นได้เป็นขณะๆนะ บางทีก็เห็น บางทีก็ไปไหลไปรวมเป็นก้อนเดียวกัน ถ้าจิตกับกายไปรวมกัน จิตบวกกายจะได้อะไรรู้ไหม ได้กู จิตบวกกายจะกลายเป็นกู มันรวมกับขันธ์ มันรวมขึ้นเมื่อไหร่ มันจะเป็นตัวเราขึ้นมา ถ้าขันธ์มันแยกขึ้นมานะ ขันธ์ก็จะเป็นขันธ์เท่านั้นเอง กายก็ส่วนกาย แค่รูปธรรม เวทนา ความสุขทุกข์ กับกาย ก็คนละอันกัน เวทนากับจิต เวทนาคือความสุขความทุกข์ทั้งหลายเนี่ย กับกายก็เป็นคนละอัน กับจิตก็เป็นคนละอัน สัญญาคือความจำได้ ความหมายรู้ ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่จิตด้วย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่จิตด้วย “สภาวะธรรมแต่ละอันๆจะกระจายตัวออกไปนะ ถ้าจิตเราตั้งมั่นจริงๆ”

บางคนซึ่งเคยเจริญสติเจริญปัญญา มาดีแล้วในชาติก่อนนะ ทันทีที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเนี่ย ขันธ์แตกตัวออกเลย จะเห็นว่ากายกับใจเป็นคนละอันเลย เห็นทันทีเลย แต่ถ้าบางคนถนัดดูจิต ก็จะเห็นว่า ความสุขความทุกข์กับจิต เป็นคนละอันกัน คนบางคนถนัดดูจิต เห็นว่ากุศลอกุศล เช่น ความโลภความโกรธความหลง กับจิต เป็นคนละอันกัน มันจะแยกกันนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๑) ทันทีที่รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๑) ทันทีที่รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะงั้นเรามาฝึกนะ พุทโธไป หายใจไป ดูท้องพองยุบไปตามถนัด แล้วคอยรู้ทันจิต จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตลงมาเพ่งอยู่ที่อารมณ์อันนั้นนะ มาอยู่กับพุทโธ มาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับท้อง จิตเคลื่อนไปอยู่(กับ)สิ่งเหล่านี้ รู้ทัน

การที่เราคอยรู้ทันจิต ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมาเนืองๆเนี่ย ทันทีที่รู้ทัน จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ เพราะจิตที่เคลื่อนเนี่ยนะ คือจิตที่มีโมหะ จิตที่เคลื่อนเป็นจิตที่มีโมหะ โมหะชนิดที่เรียกว่า “อุทธัจจะ” ความฟุ้งซ่าน จิตมันฟุ้งไปในความคิดบ้าง ฟุ้งไปที่ลมหายใจบ้าง ฟุ้งไปที่ท้องบ้าง ฟุ้งไปที่เท้าบ้าง

ถ้าเมื่อไหร่เรามีสติ รู้ทันนะ ว่าจิตมันเคลื่อนไปนะ จิตจะไม่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้บังคับ ถ้าเราบังคับ จิตจะตึงเครียด ถ้าจิตตึงเครียด จิตเป็นอกุศล ไม่ใช่จิตที่ดีเลย เพราะงั้นอย่าไปข่ม อย่าไปกด อย่าไปบังคับ อย่าไปกดขี่ข่มเหงจิตใจ แล้วให้คอยรู้ทันเท่านั้น ว่าจิตมันเคลื่อนไป เคลื่อนไปคิด รู้ทัน เคลื่อนไปเพ่ง รู้ทัน ให้รู้ทันเฉยๆ

ทันทีที่รู้ทันนะ เราจะเริ่มเก็บคะแนนของความรู้สึกตัวไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจิตไหลไปคิด เคลื่อนไปคิด เรารู้ว่าจิตเคลื่อนไปคิด จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติเลย แต่ถ้าเคลื่อนไปเพ่งนะ เวลาไปดูเนี่ย บางทีถลำตามไปอีก เลยไม่ขึ้นมาเลยก็มี แต่ถ้ารู้ว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ที่ท้อง จิตจะขึ้นมาได้นะ ขึ้นมาเอง แต่ส่วนใหญ่พอไปดูซ้ำนะ มันก็ซ้ำลงไปอีก ไปอยู่ที่ท้องหนักขึ้น ไปอยู่ที่ลมหนักขึ้น

เพราะงั้นบางทีบอก ดูแล้วทำไมก็ไม่หายเพ่ง ก็(เพราะว่า)ดูแบบเพ่งๆ ยิ่งดูยิ่งเพ่ง แต่เวลาเผลอไปคิดเนี่ย ทันทีที่รู้ ว่าจิตเผลอไปคิด จิตจะดีดตัวผางขึ้นมา เป็นผู้รู้ทันทีเลย ทันทีที่จิตเป็นผู้รู้แล้ว มันจะรู้สึกกายได้ มันจะรู้สึกใจได้ มันจะกลับมาอยู่กับตัวเอง เรียกว่า จิตใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตถึงฐานคืออะไร​ ?

mp 3 (for download) : จิตถึงฐานคืออะไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : จิตถึงฐานนี่คืออะไรหรือคะ หนูไม่เข้าใจเลยค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : รู้จักจิตที่หลงไปทางตาหูจมูกลิ้น กายใจมั้ย จิตหลงไปคิดรู้จักมั้ย

โยม : ทราบค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เมื่อไรที่เราทราบ ว่าจิตเราไหลไปคิดเนี่ย เมื่อนั้นจิตรู้ก็จะเกิดขึ้น จิตจะถึงฐานอัตโนมัติเลย เพราะจิตถึงฐาน ก็ตรงข้ามกับจิตที่ฟุ้งซ่านนั่นแหล่ะ จิตที่ไหลไป แต่ว่าการถึงฐานเนี่ย ถึงโดยที่ “เรารู้ทันว่ามันไหลไป”นะ แล้วมันถึงของมันเอง ห้ามไปประคองไว้ ถ้าประคองเนี่ย ใจจะแน่น ใจจะแน่นๆหนักๆนะ ไม่ใช่ของจริง ของจริงนะ ใจจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตใจจะเบา นุ่มนวลอ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไวนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิชนิดลืมเนื้อลืมตัวไม่ใช่ทาง พ้นทุกข์ไม่ได้จริง

mp 3 (for download) :  สมาธิชนิดลืมเนื้อลืมตัวไม่ใช่ทาง พ้นทุกข์ไม่ได้จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมัยพุทธกาลนะ เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังมา สิ่งแรกที่ท่านไปทำ ก็ไปเรียนกับฤาษี ทำสมาธิให้จิตนิ่งๆว่างๆนี้แหล่ะ แล้วท่านก็พบว่ามันไม่ใช่ทาง ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จริง วันนี้สงบ อีกวันก็ฟุ้งซ่านอีกแล้วนะ วันนี้ไม่มีกิเลส อีกวันนึงก็กิเลสมาอีกแล้ว ท่านก็พบว่ามันไม่ใช่ทาง ท่านก็ไปทรมานร่างกาย แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทางอีก

สุดท้ายท่านก็พบทางสายกลางนะ เป็นสมาธิธรรมชาติที่ท่านมีมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนท่านอายุ ๓ ขวบ มีพิธีแรกนาขวัญ พี่เลี้ยงเอาท่านไปไว้ใต้ต้นหว้า แล้วพี่เลี้ยงก็ไปดูพระเจ้าสุทโธทนะไถนา ขณะนั้นท่านอยู่คนเดียว ไม่มีใครกวนท่าน ท่านก็ลุกขึ้นนั่งสมาธิ หายใจไปด้วยความรู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ไม่ได้หายใจแล้วให้จิตไปอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ได้หายใจแล้วก็จิตเคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัว หายใจแล้วรู้สึกตัว จิตท่านตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมานะ ได้ปฐมฌานขึ้นมา

เนี่ยท่านระลึกถึงสมาธิชนิดนี้ขึ้นมาได้ ตอนท้ายๆของการปฏิบัติของท่าน ท่านก็มานั่งหายใจนะ หายใจด้วยความรู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เห็นร่างกายมันหายใจ ใจเป็นคนดู ร่างกายมันหายใจ ใจเป็นคนดู ใจค่อยสงบนะ แล้วก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัว รู้สึกตัวอยู่ตลอดเลย สมาธิชนิดที่รู้สึกตัวเนี่ย กระทั่งบางทีภาวนาไปจนร่างกายหายนะ โลกธาตุดับนะ พายุกำลังตึงตังๆเนี่ย จิตเข้าสมาธิ รู้สึกตัวอยู่เนี่ย โลกดับไปเลย ไม่มีเลยพายุฟ้าผ่าอะไรเนี่ย ไม่มีรู้สึกเลยนะ แต่ความรู้สึกตัวไม่หายไป ยังรู้สึกตัวอยู่ตลอดสายของการปฏิบัติเลย ต้องมีสมาธิอย่างนี้ ถึงจะใช้ได้

ถ้าสมาธิที่ทำไป แล้วก็ลืมกายลืมใจ เคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัว มันจะไปเจริญปัญญาได้ไง เพราะเจริญปัญญา คือการเรียนรู้ความจริงของกายของใจ

งั้นพวกเราต้องมาฝึกนะ ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถ้าพูดถึงคำว่าสมาธินะ ที่จะใช้สมาธิที่ดีๆ พูดภาษาไทยง่ายๆ ก็คือฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว จะยืนเดินนั่งนอน ก็รู้สึกตัว จะหายใจออก จะหายใจเข้า ก็รู้สึกตัว มีความสุข ก็รู้สึกตัว มีความทุกข์ ก็รู้สึกตัว ใจมันโลภ ใจมันโกธรธ ใจมันหลง ก็รู้สึกอยู่ เห็นใจมันโกรธนะ เราเป็นคนดูเอง จิตใจเป็นคนรู้ ว่าความโกรธมันเกิดขึ้น จิตใจเป็นคนรู้ ว่าความโลภมันเกิดขึ้น ความหลงมันเกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านความหดหู่ มันเกิดขึ้น ใจเราเป็นแค่คนดูเอง ใจเราเป็นคนดู เห็นความสุขเกิดขึั้น เห็นความทุกข์เกิดขึ้น เห็นความสุขหายไป (เห็น)ความทุกข์หายไป

ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ คอยรู้สึกตัว แล้วก็ดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ของกายของใจเรื่อยไป นี่แหล่ะวิธีที่เราจะเรียนรู้ ความจริงของกายของใจได้นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๙ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตั้งมั่นสำคัญมาก จิตไม่ตั้งมั่นเจริญปัญญาไม่ได้จริง

mp 3 (for download) : สมาธิแบบจิตตั้งมั่นสำคัญมาก จิตไม่ตั้งมั่นเจริญปัญญาไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิมี ๒ อย่าง สมาธิอย่างที่ ๑ จิตไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่น เราไปพุทโธๆ จิตไปอยู่กับพุทโธ ไม่ไปไหนเลย จิตก็สงบ มีความสุขมีความสงบ จะไม่เกิดปัญญาหรอก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะจิตใจไปอยู่กับพุทโธ หรือเรารู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้านี้ จิตใจเราวิ่งไปอยู่กับลมหายใจ หรือวิ่งไปคิด”ตอนนี้หายใจออก…ตอนนี้หายใจเข้า” วิ่งไปคิดบ้างนะ วิ่งไปเพ่งอยู่กับลมหายใจบ้าง อย่างนั้นก็ไม่ใช่จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจมันไหลไปอยู่ที่ลมต่างหาก ไปดูท้องพองยุบนะ จิตก็ไหลไปอยู่ที่ท้อง หรือไม่ก็หนีไปคิด “ตอนนี้ท้องพอง…ตอนนี้ท้องยุบ” จิตใจก็ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว สมาธิแบบนี้ทำได้ ก็จะได้แต่ความสุขความสงบชั่วครั้งชั่วคราว หรือบางคนก็น้อมจิตไปอยู่ในความว่าง บอกว่าจะไม่ยึดอะไรเลยนะ นึกๆเอาเอง ว่าจะไม่ยึดอะไรเลย น้อมใจให้ว่าง ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง ความจริงก็คือแต่งความว่างๆขึ้นมา แล้วไปจับอยู่ที่ความว่าง อันนี้ใจมันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะ มันไปอยู่ที่ความว่าง

เพราะงั้นสมาธิที่จะใช้ในการเจริญปัญญา มาเรียนรู้ความจริงของกายของใจ เป็นสมาธิอีกชนิดนึง เป็นสมาธิที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นสมาธิที่วิเศษที่สุดเลย แต่อาภัพที่สุดเลย ไม่มีใครเรียนเท่าไหร่หรอก ส่วนมากก็คิดแต่ทำสมาธิแบบฤาษีชีไพรไป ทำใจให้สงบนิ่งๆว่างๆไป ไม่เกิดปัญญาหรอก คนละเรื่องกันเลย

งั้นสมาธิมันมีหลายแบบ เราต้องเข้าใจ อย่างสมาธิเราเป็นจักษุแพทย์ใช่มั้ย เวลาทำงานต้องมีสมาธิ สมาธิอย่างนั้นเอาไว้ทำงาน จดจ่ออยู่กับงาน จดจ่อกับลูกตาของคนไข้ เราลืมกายลืมใจของตัวเองใช่มั้ย ไม่สามารถมารู้กายรู้ใจตัวเองได้ มัวแต่รู้ลูกตาของคนไข้ สมาธิอย่างนั้นไม่ใช่จิตที่ตั้งมั่น สมาธิอย่างนั้นมีเอาไว้ทำงานทางโลก หรือไม่ก็เอาไว้ทำสมถะ ทำความสงบจิตเฉยๆ

ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากเลย ถ้าเราไม่รู้จักสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นนะ จิตไม่สามารถหลุดออกจากโลกของความคิด มาอยู่ในโลกของความรู้สึกตัวได้ เราจะไม่สามารถเรียนรู้ความจริง ของกายของใจได้เลย เพราะใจเราจะหลงไปอยู่ในความคิด ความคิดไม่ใช่ความจริง ความจริงกับความคิดมันคนละเรื่องกัน ถ้าเมื่อไหร่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด เราไม่สามารถรู้สึกกายรู้สึกใจได้ พวกเรารู้จักใจลอยมั้ย รู้จักมั้ยใจลอย เหม่อๆ ในขณะที่เหม่อ เราก็คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป สังเกตมั้ย ว่าเราลืมตัวเราเอง เรามีร่างกาย เราก็ลืมร่างกายของเรานะ เรามีจิตใจ เราก็ลืมจิตใจของตัวเราเอง อย่างนั้นแหล่ะเรียกว่าไม่มีสมาธิ ถึงจะไหลไปอยู่กับพุทโธ ไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ ไปอยู่กับท้องพองยุบ ไปเดินจงกรมอยู่ที่เท้า อยู่ที่ตรงโน้นตรงนี้ จิตก็เคลื่อนไปหมดเลย จิตไม่ได้ตั้งมั่น จิตไม่ได้มีสมาธิ ที่จะใช้เจริญปัญญาจริง มันจะลืมตัวเอง ยิ่งโดยเฉพาะการหลงไปคิด เวลาที่เราหลงไปคิด เราจะลืมร่างกายของเรา มีร่างกายแต่ลืมมัน เวลาเราหลงไปคิดนะ เรามีจิตใจนะ จิตใจเราสุข จิตใจเราทุกข์ จิตใจเราเป็นกุศล จิตใจเราโลภโกรธหลงอะไรเนี่ย มันมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็น เพราะเราลืมร่างกาย ลืมจิตใจของตัวเอง

งั้นการที่เราจะมาเรียนรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตก็คือกายกับใจของเรานี้เอง ถ้าเราจะมาเรียนรู้ความจริง ของร่างกายของจิตใจได้ เราก็ต้องไม่ลืมตัวเอง ต้องรู้สึกตัว งั้นความรู้สึกตัว การที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวเนี่ย เป็นจุดตั้งต้น ที่ทำให้เราเรียนรู้ความจริง ของกายของใจได้

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๐๙ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๑) จิตตั้งมั่นแล้วมาเจริญปัญญา

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๑) จิตตั้งมั่นแล้วมาเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือ พูดภาษาไทยง่ายๆ นะ คือ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา

พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมนะ จะเห็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้ลงในเวทนา จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่ตัวเรา ในขณะที่ใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ เรียกว่ามีสมาธิล่ะ แล้วก็สติเกิดระลึกรู้ เห็นเวทนาทางใจ ก็จะเห็นว่าเวทนาทางใจไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เห็นกุศลเห็นอกุศล จะเห็นว่ากุศลและอกุศลไม่ใช่เรา

ทีนี้ตัวผู้รู้เนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนกับทรงอยู่ แต่ถ้าทำแค่ขณิกสมาธิเนี่ย ตัวผู้รู้จะไม่อยู่นาน ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้คิด ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเลย ไม่รู้คิดเรื่องอะไร ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ตัวผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตนี้เองเกิดดับ ไม่เที่ยงด้วย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เท่าๆกับขันธ์อื่นๆนั่นเอง เนี่ยการเดินปัญญาทำอย่างนี้นะ รู้ลงไปในกาย  มีสติระลึกรู้กายที่กำลังปรากฏอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เนี่ยคือจิตที่มีสมาธิได้มาด้วยการทำฌาณก็ได้นะ ได้มาด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ แล้วรู้บ่อยๆ เนี่ย มันจะตั้งมั่นขึ้นเอง พวกเราใจไหลไปแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย ใจมันจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

mp 3 (for download) : ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพ่งมากๆนะ ไม่ได้กินหรอก เครียด ปฏิบัติธรรมแล้วเครียด ผิดแน่นอน จิตที่เครียดเป็นอกุศลนะ เป็นโทสะมูลจิต ผิดแน่นอน จิตที่แข็งๆเป็นอกุศลนะ จิตที่เป็นกุศลนะ จะต้องเบา ถ้าหนักๆแน่นๆ ไม่ใช่ จิตที่เป็นกุศลมีลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความอ่อนโยนนุ่มนวล มีปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว ถ้าทื่อ…ทื่อทั้งวันนะ ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลมีกัมมัญญัตตา ควรแก่การงาน มีสภาวะอะไรที่ต้องรู้ต้องเห็น ก็รู้ก็เห็น ไม่ใช่แกล้งไม่รู้ไม่เห็น จิตที่เป็นกุศลนะ มีอุชุตา ซื่อตรงในการรู้สภาวธรรมนะ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป จิตที่เป็นกุศลไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เนี่ยสำรวจกายใจเรานะ

นักปฏิบัติจำนวนมากเลย ที่ลงมือปฏิบัติแล้วเกิดอกุศลจิต เริ่มตั้งแต่อยากปฏิบัติ เนี่ยจิตมีโลภะ ก็ลงมือปฏิบัตินะ บังคับตัวเองไปเรื่อยเลย ด้วยอำนาจของโลภะ บังคับเดินจงกรมตั้งนาน นั่งสมาธิตั้งนาน จิตไม่สงบสักที มันสงบไม่ได้นะ เพราะจิตยังมีกิเลสรุนแรงย้อมอยู่ผลักดันอยู่ พอไม่สำเร็จนะโทสะก็เกิด หรือมีโลภะอยากปฏิบัติก็ลงมือบังคับตัวเอง บังคับตัวเองแล้วเครียดขึ้นมา โทสะก็เกิด เพราะฉะนั้นลงมือปฏิบัติแล้วพัฒนาโลภะโทสะอุตลุดไปหมดเลยนะ หรือนั่งสมาธิแล้วเคลิ้มขาดสติลืมเนื้อลืมตัวไป นั่นพัฒนาโมหะนะ หรือว่านั่งสมาธิแล้วก็ออกนอก เห็นโน่นเห็นนี่นะ จิตฟุ้งซ่าน นั่นก็เป็นโมหะอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาลงมือปฎิบัติต้องระวังนะ เพราะจะปฏิบัติจนไปอบายภูมิก็ได้นะ ถ้าปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ถูก

เพราะฉะนั้นต้องรู้ทางสายกลางให้แม่น แล้วการปฏิบัติจะง่าย ถ้าจิตเผลอไป รู้ทัน ถ้าบังคับตัวเองอยู่ เพ่งกายเพ่งใจอยู่ คอยรู้ทัน จิตจะตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นเนี่ยจะไม่ไหลไปทางเผลอจะไม่ไหลไปทางเพ่ง จิตกลายเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นจะมีความเบา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน มีความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่อตรงในการรู้อารมณ์ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ ไม่มีราคะไม่มีโทสะนะ เนี่ยค่อยๆสังเกตไปเรื่อย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๙
File: 550722
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความจริงของความทุกข์

mp 3 (for download) : ความจริงของความทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อยู่ไหน) อยู่นี่ค่ะ ไม่ได้ส่งการบ้านมาประมาณ ๙ เดือนแล้วค่ะ ช่วงที่ผ่านมา ใหญ่ๆก็มีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจอยู่มากน่ะค่ะ แล้วทีนี้ เผลอไปทีไรใจก็จะเข้าไปอยู่ในโลกของการปรุงแต่งเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ ซึ่ง..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันห้ามไม่ได้นะ (โยม : ค่ะ) เราไปห้ามมัน มันก็ไม่ฟังหรอก แต่มันไม่ได้ทุกข์ตลอดไปหรอก หนูอย่าไปกังวลเลย ไม่มีหรอกความทุกข์ถาวรนะ ความทุกข์มันก็อยู่ชั่วคราว ถึงวันหนึ่งมันก็ผ่านไป ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ไป

โยม : ค่ะ แล้วก็พอดีมีอยู่วันหนึ่ง หนูสังเกตว่าจริงๆแล้วมันเหมือนกับว่าใจมันมีความอยากที่จะเข้าไปยึดการปรุงแต่งอย่างนี้อยู่ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) แล้วหนูไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าทำไม ทั้งๆที่มันเห็นว่า ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์แล้วทำไมมันยังถึงเข้าไปยึดอยู่ล่ะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อ้าว.. มันยังไม่รู้จริงนะ มันยังคิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆนะ แล้วก็มันคิดว่าถ้าเรายึดเราก็จะทุกข์นะ เพราะฉะนั้นเราอยากจะไม่ยึด อะไรอย่างนี้ ยังภาวนาไม่พอหรอก ถ้าเราภาวนาพอนะ ใจไม่ยึดถือในสิ่งแรกเลยที่จะไม่ยึดนะ ไม่ยึดจิตนะ พอไม่ยึดจิตอันเดียวก็ไม่ยึดกาย แล้วก็ไม่ยึดอะไรในโลกอีก ถ้ายังยึดอยู่ที่จิตจะยังมี(การหมายว่าเป็น-ผู้ถอด)ตัวเราอยู่นะ ยึดอยู่ อยากให้มันมีความสุข รู้สึกมั้ยว่าหนูยังอยากได้ความสุข รู้สึกมั้ย (โยม : ค่ะ) เพราะฉะนั้นยังยึดอยู่นะ ถึงอยากได้ความสุข เพราะมันมีตัวเรา เราอยากมีความสุข ใจเรายังยึดอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่ยึดหรอก ทั้งๆที่ทุกข์นั่นแหละ ก็ยังอยากให้หายทุกข์ เพราะเราไม่รู้ความจริงของชีวิต ว่าชีวิตนี้คือตัวทุกข์นะ เพราะเราจะไม่รู้ความจริงของชีวิต เราอยากให้มันหาย เราไปอยากในสิ่งซึ่งไม่มีวันมี คือเราอยากได้ความสุขในโลก มันไม่มีหรอก มันมีสำหรับคนหลง คนซึ่งมีสติปัญญาแก่รอบจริงๆ จะรู้ว่าโลกนี้ทุกข์ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่แสวงหาความสุขในโลกนี้ เพราะไม่มี ส่วนใจหนูยังหาอยู่ รู้สึกมั้ย หนูท่องคาถาของหลวงพ่อไว้นะ “ไม่นานมันก็ผ่านไป” ท่องไว้ (โยม : ค่ะ) ใจเราสงบลงมาแล้วค่อยมาเจริญสติเจริญปัญญาใหม่ ตอนนี้ใจเราไม่มีสมาธิพอ เจริญปัญญาไม่ได้จริงหรอก เพราะมันทุกข์มาก

โยม : แล้วเวลาที่มันทุกข์ขึ้นมาค่ะหลวงพ่อ มันไม่ค่อยยอมดู แต่มันจะหนีทุกข์ (หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นล่ะ มันหนี) คือ มันก็รู้แล้วเหมือนกันน่ะค่ะว่า ถ้ามันวิ่งไปหาสิ่งอื่นภายนอกมาเพื่อจะดับทุกข์ มันจะไม่หายทุกข์จริงๆ แต่ว่า.. (หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทนไม่ได้) ขา..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทนดูต่อไปไม่ได้ มันก็หนีไป แล้วคนในโลกก็หนีอย่างนั้นแหละ เขาไม่กล้าหันมาเผชิญกับความทุกข์ พระพุทธเจ้านะอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทุกข์ เป็นนักปราชญ์คนเดียวล่ะมั้งที่สอนให้รู้ทุกข์ นอกนั้นมีแต่พาหนีทุกข์ทั้งนั้นเลย

โยม : คือมันรู้อยู่เหมือนกันแหละค่ะ รู้ว่าทางดับทุกข์ก็ไม่ได้อยู่เกินกายใจนี้ออกไปน่ะค่ะ แต่มันดูเหมือนมันอ่อนกำลัง…

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันทำไม่ได้หรอก มันทำไม่ได้นะ เพราะว่าสมาธิของเราไม่มีละ ตอนนี้ ใจเราเศร้าหมอง ใจเราฟุ้งซ่าน หนูสังเกตมั้ยเรื่องที่ทำให้เราทุกข์นะ เรายิ่งคิดถึงบ่อย เราอยากลืมแต่เรายิ่งคิด รู้สึกมั้ย เพราะในความเป็นจริงจิตเป็นอนัตตา เราสั่งจิตไม่ได้ว่าอย่าไปคิดเลย จิตจะคิด

โยม : แล้วก็หนูทำในรูปแบบสม่ำเสมอค่ะหลวงพ่อ แต่ก็คล้ายๆว่าจิตไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่มีแรงนะ หนูท่องคาถาไปก่อน “ไม่นานมันก็ผ่านไป” ไปท่องคาถาบริกรรมไว้อย่างนี้แหละ (โยม : ค่ะ) พอมันมีแรงแล้วค่อยมาทำต่อ เพราะฉะนั้นเวลาที่ปฏิบัติเนี่ย เราต้องปฏิบัติตั้งแต่ก่อนจะทุกข์นะ ถ้าทุกข์หนักอยู่แล้วเนี่ยจะภาวนาไม่ไหว มันเหมือนเวลาที่เราหัดว่ายน้ำ เราต้องหัดว่ายน้ำก่อนที่จะตกน้ำ ต้องว่ายน้ำให้เป็นก่อน เดี๋ยวเรือล่มเราจะว่ายได้ เพราะถ้าเรือล่มแล้วมาหัดว่ายน้ำจะไม่ทัน ยกตัวอย่างตอนนี้ความทุกข์เข้าถึงตัวเราแล้ว เราจะมาฝึกกรรมฐานให้พ้นทุกข์ เราไม่มีแรงพอแล้ว แต่ว่าความทุกข์ก็ไม่ใช่ของถาวร ไม่นานเขาก็ผ่านไป ไม่มีหรอกคนที่ทุกข์ตลอดกาลน่ะไม่มีหรอก

โยม : ขอบพระคุณค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ :
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๐ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 541210B
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่  ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ว่าจิตคิด จิตจะตื่น จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

Mp3 for download: รู้ว่าจิตคิด จิตจะตื่น จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปคิดไว้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ มันจะเกิดจิตที่รู้ขึ้นมา เพราะจิตที่หลงไปคิดนั้นคือจิตที่ฟุ้งซ่าน ทันทีที่รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตจะสงบโดยอัตโนมัติ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่ฟุ้งซ่าน จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั้นแหละ เฉพาะหน้านะ เห็นความฟุ้งซ่านไหลมา ขาดปั๊บไป จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อยู่คนเดียว จิตจะตั้งทีละขณะๆนะ

เพราะฉะนั้นเราหัดไปนะ วันนี้ลองไปดูก็ได้นะจิตแพทย์ จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ คอยดูเรื่อยๆ บางทีจิตก็ไหลไปดู บางทีจิตก็ไหลไปฟัง บางทีจิตก็ไหลไปคิด ส่วนใหญ่ไหลไปคิด เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทัน ถ้ารู้ทันจิตไหลไปคิดนะ จิตจะตื่นขึ้นมา ตรงทีจิตตื่นขึ้นมานี่แหละ เป็นต้นทางของการที่จะเดินปัญญาล่ะ หลวงพ่อเทียนถึงบอกว่า ตรงที่รู้ว่าจิตคิดนั้นจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันจิตที่ไหลไปคิด เราจะได้สมาธิชนิดที่สอง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน จิตจะตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้แหละ จะสามารถเห็นลักษณะ คือไตรลักษณ์ ของรูปธรรม นามธรรม ทั้งปวงได้ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นล่ะก็ ไม่เห็นลักษณะ คือความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถึงได้ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เห็นลักษณะ นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
File: 531211
ระหว่างนาทีที่ ๒๙วินาทีที่
๕๕ ถึงวินาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเป็นใหม่ๆจะมีความสุขเรื่อยๆ พอชำนาญมากเข้าจะเห็นแต่ทุกข์

mp 3 (for download) : ภาวนาเป็นใหม่ๆจะมีความสุขเรื่อยๆ พอชำนาญมากเข้าจะเห็นแต่ทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณ ภาพจากชมรมกัลยาณธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฝ้ารู้ลงไปนะ ดูลงไป ถ้าเราไม่หลงโลก ธรรมะมันแสดงตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราหลงโลกก็เฮๆฮาๆ เพลินๆนะ หมดเวลาไปวันนึงๆ เวลาภาวนาก็อย่าไปเครียด เครียดมากก็ภาวนายาก ภาวนาให้มันสบาย แต่ไม่ใช่กระดี๊กระด๊า ภาวนาให้มันมีความสุข ไม่ใช่เพลินไป กระดี๊กระด๊าเฮๆฮาๆ สนุกนะ เอาพอดีๆ มีสติ มีใจตั้งมั่นก็มีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ใครเคยภาวนาแล้วมีความสุขผุดเป็นระยะบ้าง มีมั้ยยกมือซิ ใหม่ๆจะเป็นอย่างนั้นแหล่ะ ต่อไปจะเห็นแต่ทุกข์นะ

งั้นหัดใหม่ๆจะมีความสุขเยอะเลย ทำไมมีความสุข เพราะมันมีสมาธิ มีจิตที่ตั่งมั่นขึ้นมา แต่เดิมมันไม่มีสมาธิ มีแต่จิตที่หลง หัดทีแรกนะ เราจะเห็นเลย จิตมันจะมีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ มันเป็นความสุขของสมาธิ แต่เดิมจิตของเราไม่มีสมาธิ จิตเราฟุ้งอย่างเดียว พอมาหัดรู้สึกตัว รู้สึกตัวนะ พอรู้สึกตัวได้ความสุขจะโชยขึ้นมา เพราะงั้นหัดใหม่ๆ จะมีความสุขมากเลย เมื่อเทียบกับคนในโลก ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ มีความเครียดผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ แต่เราพอรู้สึกตัวปุ๊บ ความสุขก็ผุดขึ้นเป็นระยะ

แต่พอเราหัดภาวนามากเข้าๆนะ มันจะเปลี่ยน มันจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์นะ ตอนนี้ใครเห็นทุกข์เยอะขึ้นแล้ว ยกมือซิ ไหนทางนี้มีมั้ย ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะแก่เพราะเจ็บเพราะตาย หรือทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะอยากได้มรรคผลเร็วๆ แล้วไม่ได้ ทุกข์เพราะมีปัญญา หรือทุกข์เพราะมีตัณหา ถ้าทุกข์เพราะมีปัญญา แล้วเราเห็นกายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ นี่ไง มีปัญญานะ เห็นทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

แต่ถ้าทุกข์เพราะตัณหานะ จะอีกแบบนึง กิ๊กก๊อกหน่อย อยากแล้วไม่ได้ อยากแล้วไม่ได้อย่างอยาก ก็ทุกข์ ถ้าอยากแล้วไม่ได้อย่างอยากแล้วทุกข์ ทุกข์ธรรมดา ทุกข์เพลนๆใครก็เป็น แมวจะไปจับนกจับไม่ได้ แมวมันก็ทุกข์แล้ว

เราภาวนานะ เราก็จะเห็นทุกข์เต็มไปหมดเลย มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ความทุกข์ ใจก็จะคลายออกจากโลก ถ้าเราไม่เห็นทุกข์ เราจะหลงกับโลก เพลิน มีชีวิตหมดไปปีนึงๆนะ แป๊บเดียว ว่างเปล่าไม่ได้อะไรมาเลย ถ้าเรามีสติ มีใจที่ตั้งมั่น ดูกายดูใจทำงาน เราจะเห็นทุกข์มากขึ้นๆ เพราะเห็นทุกข์นะ จะเบื่อ แล้วคลายความยึดถือ แล้วก็หลุดพ้นไป


CD: บ้านเนินแสนสุข จ.ชลบุรี วันพุธที่ ๘ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550808.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

mp 3 (for download) : ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมาแล้วสติระลึกรู้กาย จะเห็นทันทีว่ากายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีว่าเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีนะ ว่าสังขารทั้งหลายที่เป็นกุศลหรืออกุศลทั้งหลาย ก็ไม่ใช่ตัวเรา

ความโลภ ความโกรธ ความหลงเนี่ย มันเดินมาเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่เข้าบ้านนะเดินผ่านหน้าบ้าน ส่วนพวกเราเนี่ยพอเห็นมันเดินผ่านหน้าบ้าน เราจะกระโดดเข้าไป ไปไล่มัน มันเดินผ่านหน้าบ้าน เค้าไม่ยอม เนี่ยพวกคนรักดี ส่วนพวกคนรักชั่วรีบเปิดประตูเชิญเข้าบ้าน นี่พวกรักชั่ว ส่วนพวกที่ภาวนาเป็นนะ ดูเฉยๆ ไม่เปิดประตูให้เค้าเข้ามา แล้วก็ไม่วิ่งตามเค้าไป เห็นกิเลสมาแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป พวกรักชั่วนะจะเปิดประตูให้กิเลสเข้าบ้าน ให้มันครอบครองหัวใจเรา พวกรักดีเห็นกิเลสนะวิ่งออกไปไล่ตีมัน เสร็จแล้วก็จะซมซานกลับมา ไม่มีใครสู้มันไหวหรอก

เพราะกิเลสน่ะเป็นเจ้าโลกที่แท้จริง ไม่ใช่ประธานาธิบดีอเมริกันหรอก ตัวเจ้าโลกที่แท้จริงก็คือกิเลสนั่นแหล่ะ มันสั่งประธานาธิบดีก็ได้นะ

เนี่ยเราคอยรู้สึกนะ รู้ไปๆนะ ด้วยใจที่เป็นกลาง ใจที่ไม่ไปต่อต้าน ใจที่ไม่ได้คล้อยตามกิเลส ไม่ต่อต้านด้วยและก็ไม่คล้อยตาม รู้เฉยๆ หรือรู้กายก็รู้เฉยๆนะ อย่าถลำไปเพ่งกาย อะไรเกิดขึ้นในกายคอยรู้สึก อะไรเกิดขึ้นในจิตใจคอยรู้สึก รู้สึกด้วยจิตที่ตั้งมั่น สบายๆ จิตที่ไม่คล้อยตาม จิตที่ไม่ต่อต้าน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติเหมือนชาวนาปลูกข้าว ถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง

mp 3 (for download) : การปฏิบัติเหมือนชาวนาปลูกข้าว ถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ รู้สึกแล้วก็รู้กาย รู้สึกแล้วก็รู้จิตใจ รู้สึกไปเรื่อยๆ มันจะสะสมแต้มไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งมันอิ่ม มันเต็ม มันพอนะ มันจะตัดสินความรู้ของมันเอง เราไม่ต้องทำอะไร เราไม่ต้องดิ้นรน เราไม่ต้องพยายามที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตเขาจะบรรลุของเขาเอง

แต่เดิมหลวงพ่อก็พูดอย่างนี้นะ ว่าไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตมันเป็นเอง มันจะบรรลุเอง เราพูดแบบเซ่อๆไป พูดมาจากประสบการณ์ภาวนา ไม่เห็นมีใครจะสั่งจิตได้สักคนหนึ่ง ตอนหลังครูบาอ๊าไปเจอในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าสอนเหมือนกัน

ท่านสอนบอกว่า ผู้ปฏิบัติน่ะที่ต้องการมรรคผลนิพพานเนี่ยนะ ไม่มีใครทำมรรคผลนิพพานให้เกิดได้หรอก แต่ว่ามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา เจริญจิตตสิกขา เจริญปัญญาสิกขา เรื่อยๆไป เมื่ออินทรีย์แก่กล้าเพียงพอแล้วนะ มรรคผลนิพพาน จะเกิดขึ้นเอง จิตจะบรรลุมรรคผลนิพพานเอง

งั้นพวกเราเจริญไปนะ รักษาศีลไว้ มีสติขึ้นมาก็มีศีล มีสติขึ้นมาก็มีสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นขึ้นมา มีสติก็มีปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ เพราะฉะนั้นรู้สึกตัวนะ มีสติรู้กายรู้ใจเรื่อยๆไป ถึงวันหนึ่งจะเกิดมรรคผลเอง

ท่านเปรียบเทียบเหมือนชาวนา ชาวนาไม่สามารถสั่งต้นข้าวให้ออกรวงข้าว ไม่สามารถทำให้รวงข้าวมีเมล็ดเต็มได้ ชาวนาสั่งต้นข้าวไม่ได้ แต่ชาวนาทำเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ต้นข้าวออกรวงได้ ชาวนาไปไถนา ไปหว่านข้าว เอาน้ำเข้านา น้ำมากไปเอา(น้ำ)ออกจากนา คอยดูแลรักษาต้นข้าว ต้นข้าวก็ออกรวงเอง

พวกเรามีสติ มีสัมมาสมาธิ มีปัญญานะ อบรมดูแลจิตของเรา วันหนึ่งจิตออกมรรคออกผลเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤษภายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๑๓
File: 510519
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๘ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางสายกลางของจิต

mp 3 (for download) : ทางสายกลางของจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิที่จิตตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ที่จิตนั้นแหละ เป็นสมาธิที่สำคัญ แต่เราต้องไม่บังคับมัน ไม่บังคับให้มันตั้งอยู่ที่จิตนะ เอาแค่ว่ารู้ทันว่ามันไหล แล้วมันจะกลับมาพอดีๆ ถ้าเราจงใจให้มันไปตั้งอยู่ที่จิต มันจะตึงเครียดเกินไป

พระโพธิสัตว์ได้ยินพระอินทร์ดีดพิณ ๓ สายนะ ในตำราว่าอย่างนั้น สายที่ ๑ ตึงเกินไป สายพิณก็ขาด สายที่ ๒ นั้นหย่อนไป หย่อนเกินไป ไม่ไพเราะ สายที่ ๓ นี่พอดี ดีดแล้วไพเราะ มันก็คือการดำเนินของจิตนั่นแหละ

จิตที่หย่อนเกินไป ก็คือจิตที่ไหลไปหาอารมณ์ ไปเพลินอยู่กับอารมณ์ ยกตัวอย่างกระทั่งเรานั่งสมาธินะ แล้วจิตเคลิ้มเพลินกับอารมณ์ อันนั้นย่อหย่อนเกินไป ตามใจกิเลสแล้ว เวลาจิตไหลไปเพลินอยู่กับอารมณ์อันเดียวนะ มันมีความสุข มีความเพลินดเพลิน มีความพอใจ มีราคะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เห็นอะไรจะติดอยู่กับสมาธิอย่างนั้นน่ะ เมื่อไรที่สมาธิเสื่อมนะจะอารมณ์ร้ายกว่าคนปกติ เพราะว่ามันสงบมันสบายมานาน พอมันเคลื่อนออกมากระทบโลกข้างนอก มันทนไม่ไหวเลย มันร้อนแทบจะระเบิดเลย นี่อย่างนี้เรียกว่าหย่อนไปนะ มันไหลออกนอกไป เพลิดเพลินไป ตามใจกิเลสไป

ส่วนสายพิณที่ว่าตึงเกินไป ก็คือบังคับกายบังคับใจตัวเอง ยกตัวอย่างพวกเราจะนั่งสมาธิเนี่ย ส่วนมากชอบนั่งบังคับตัวเอง บังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน จะรักษาจิตให้นิ่งให้ว่างอยู่ตลอดเวลา อันนั้นตึงเกินไปนะ

เราต้องพอดีๆเอาแค่ว่าจิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน จิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน มันจะเกิดสมาธิที่พอดีๆ สมาธิที่พอดีเนี่ยนะ สภาวะของจิตเนี่ยมันจะตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว จิตจะเบา จิตจะอ่อนโยน นุ่มนวล จิตจะคล่องแคล่วว่องไวในการเจริญปัญญา ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ จิตจะรู้สภาวธรรมทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมนามธรรมอย่างที่มันเป็นโดยไม่เข้าไปแทรกแซง นั่นแหละคือสภาวะที่มันเป็นทางสายกลางจริงๆของจิต

คำว่าทางสายกลาง ทางสายกลาง ไม่ใช่ทางข้างนอกที่ร่างกายดำเนินไป แต่มันคือทางที่จิตดำเนินไป
จิตต้องไม่หย่อนเกินไป ถ้าจิตหย่อนเกินไป จิตก็ไหลตามกิเลส หลงไปหาอารมณ์ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ จิตต้องไม่ตึงเกินไป ถ้าจิตตึงเกินไปก็บังคับกายบังคับใจ เช่นบังคับจะต้องนั่งไม่กระดุกกระดิกเลยนะ บังคับมากๆอะไรอย่างนี้นะ หวังว่าไม่กระดุกกระดิกได้แล้วจะดี ไม่กินได้แล้วจะดี ไม่นอนได้แล้วจะดี อันนี้บังคับกายมากไป บังคับจิตมากไปก็จะบังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน ถ้าคิดจะห้ามไม่ให้จิตเคลื่อนไปเลย ตึงเกินไป เพราะฉะนั้นเราไม่ห้ามนะ จิตจะเคลื่อนก็ได้ แต่เคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน

ห็นมั้ยว่าถ้าเราไม่รู้ทันก็หย่อนไป ถ้าเราบังคับไม่ให้เคลื่อนก็ตึงไป แต่ถ้ามันเคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน ตรงนี้แหละกลางๆ พอดีๆ จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมานะ รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อจิตตั้งมั่นเด่นดวงรู้เนื้อรู้ตัวได้แล้วเนี่ย มันจะตั้งอยู่กับจิต จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น สภาวะมันจะคล้ายๆอย่างนี้นะ สมมุตินิ้วนี้ นิ้วชี้อันนี้ เหมือนเป็นจิตนะ เนี่ยจิตมันจ่อนะ พอมันเคลื่อนนะ เคลื่อนนิดเดียว สติมันเห็น มันเหมือนตั้งบนปลายเข็มนิดเดียว จิตขยับตัวกริ๊กเดียวนะ หลุดออกจากความรู้สึกตัว หลุดออกจากฐานนะ จะเห็นละ มันจะกลับมาตั้งของมันเอง แต่ถ้าบังคับนะ ไม่ให้ไปไหนเลย จับไว้ให้แน่นนะ ตึงเกินไป ถ้าหนีไปแล้วไม่รู้ หย่อนเกินไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๕๓
File: 550916
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีทำให้จิตตั้งมั่น

mp 3 (for download) : วิธีทำให้จิตตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หัดดูจิตไปเรื่อยๆนะ แล้วก็สังเกตไป กิเลสอะไรเกิดขึ้นคอยรู้ทัน นิวรณ์ใดๆเกิดขึ้นคอยรู้ทัน

นิวรณ์มี ๕ ตัวนะ
-กามฉันทะนิวรณ์ คือความรักใคร่พอใจ ในอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ติดอกติดใจในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสนั่นเอง
-พยาบาท ใจที่ขัดเคืองขุ่นข้อง
-ความลังเลสงสัย
-ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ แล้วอะไรอีกอันนึง อะไรนะความง่วง 
-ถีนมิทธะ ถีนมิทธะไม่ได้แปลว่าง่วง ถีนมิทธะเป็นความที่จิตมันอ่อนกำลัง ไม่ใช่ง่วงหงาวหาวนอน คนไทยมาแปลมั่วนะถีนมิทธะ จริงๆถีนมิทธะนะเป็นกิเลส ถีน(คือ)จิตมันซึมเซา (มิทธะ)เจตสิกมันซึมเซา ไม่ปราดเปรียว ถีนมิทธะจะเกิดร่วมกับอกุศลจิต ๕ ดวง อกุศลจิตชนิดที่เรียกว่าสสังขาริกัง อย่าไปสนใจมัน ชักตาบ้องแบ๊วขึ้นมาแล้ว รวมความแล้วถีนมิทธะไม่ได้แปลว่าง่วงนอน ใจมันเฉื่อยชา มันซึมเซา มันไม่ยอมรู้สภาวะ กระทั่งจะทำชั่วนะยังเฉื่อยเลย ต้องถูกยั่วแรงๆนะ ใจถึงจะชั่วเต็มๆขึ้นมาได้นะ เนี่ยนิวรณ์นะ

ถ้าเรามีสติ นิวรณ์ใดเกิดขึ้นในใจเรารู้ทัน ใจมันซึมเราก็รู้นะ ใจฟุ้งซ่าน ใจรำคาญใจ ใจสงสัย ใจมีพยาบาท ใจติดอกติดใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และคอยรู้ทัน ทันทีที่รู้ทันเนี่ย สติเกิดนะตัวนี้จะดับหมด นิวรณ์ดับหมด ทันทีที่นิวรณ์ดับหมดนะ สมาธิจะเกิดเอง ใจจะตั้งมั่นเอง เพราะว่าศตรูของสมาธิไม่มีแล้ว นี่เป็นวิธีสำหรับพวกดูจิตนะ ที่จะให้ใจตั้งมั่น

มีอีกวิธีนึงที่ง่ายๆ นี่วิธีนี้ต้องคิดค่าโนฮาว วิธีที่ง่ายๆเลยคือรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น อย่างจิตเราไปว่างอยู่ข้้างนอก เรารู้ทันว่าจิตไปว่างอยู่ข้างนอก มันจะทวนเข้ามาตั้งมั่นเอง รู้ทันมันมันจะกลับมาตั้งมั่นเอง ไม่ต้องดึง ถ้าพวกเรารู้สึกจิตอยู่นอกๆ แล้วเราพยายามไปดึง มันจะแข็งๆแน่นๆขึ้นมา ใช้ไม่ได้ ให้เรารู้ทันว่าจิตไม่ตั้งมั่นแล้วมันจะตั้งเอง

อีกพวกนึงถ้าคนไหนทำฌานได้ก็ทำฌาน ตอนนิวรณ์ดับฌานเกิด ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา ค่อยฝึกเอานะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๖/๖) : หากทิ้งสมถะ จะดูไม่ถึงจิต

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๖/๖) : หากทิ้งสมถะ จะดูไม่ถึงจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ช่วงแรกๆพลาดไปเรื่องนึงนะ คือทิ้งสมถะไป อาศัยว่าทำสมถะมาตั้งแต่เด็ก สะสมพลังของจิตใจมา ๒๒ ปี มาดูจิตพรวดๆๆไป มันไปได้รวดเร็ว พอผ่านมาสองสามปีนะ ทิ้งสมถะไปนานๆจิตไม่มีแรงแล้ว พอไม่มีกำลังแล้วจะเหมือนที่พวกเราหลายคนดู จิตมันจะไปอยู่ข้างนอก มันจะไปนิ่งๆ สว่างอยู่ข้างนอก นิ่งๆไปพักอยู่เฉยๆอยู่ เรานึกว่าเราดูจิตอยู่ แต่ดูไม่ถึงจิตหรอกงั้นที่หลวงพ่อบอกดูไม่ถึงฐาน ดูไม่ถึงฐาน จิตไม่ตั้งมั่น จิตไปอยู่ข้างนอก สำนวนเดียวกันนะ หลายๆสำนวนแต่ว่าเนื้อหาอันเดียวกัน ใจไม่ตั้งมั่น หลวงพ่อเคยเป็นมาแล้ว

ตอนนั้นไปติดอยู่ตรงนี้ตั้งนาน ครูบาอาจารย์ก็ไม่ค่อยอยู่แล้ว มรณภาพไปมากแล้ว เอ๊ ทำไมเราภาวนาหลายปี จิตมันคงที่อยู่แค่นี้เอง จิตมันไม่พัฒนา ครูบาอาจารย์ก็บอกมาทุกองค์ๆนะ ว่าไม่มีวิธีปฏิบัติที่ยิ่งกว่านี้แล้ว ถ้าภาวนาพอเข้าถึงจิตถึงใจตนเองแล้ว ไม่มีวิธีที่ยิ่งกว่านี้แล้ว ทุกองค์เลยพูดอย่างนี้เหมือนกันหมดเลย บางองค์ท่านก็ปลอบใจว่า อย่าใจร้อนนะ เหมือนผลไม้ต้องรอเวลาสุกงอม เอ๊ะ เราก็รอมานานแล้วนะ มันไม่งอมซักที

ตอนนั้นมีโอกาสขึ้นไปกราบอาจารย์มหาบัวที่บ้านตาด ขึ้นไปท่านยังเทศน์อยู่บนศาลา ยังแข็งแรงหนุ่มกว่านี้เยอะ ไปกราบท่านบอกว่า ท่านอาจารย์ครับ ทำไมผมภาวนาแล้วมันไม่พัฒนาเลย ครูบาอาจารย์ให้ดูจิตดูใจอยู่ ก็ดูมาตลอดนะ ทำไมมันไม่พัฒนา ท่านหันมามองหน้าวับท่านก็บอกเลย จิตท่านเร็ว (ท่าน)บอก ที่ว่าดูจิตนั้นดูไม่ถึงจิตแล้ว ดูไม่ถึงจิต ตอนนั้นยังไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมดูไม่ถึงจิต เหมือนที่หลวงพ่อบอกพวกเรานี่ จิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐาน มันไม่ถึงจิต มันไม่ย้อนเข้ามาดูกายดูใจ ท่านบอกที่ว่าดูจิตนั้นดูไม่ถึงจิตแล้ว ต้องเชื่อเรานะตรงนี้สำคัญนะ เราผ่านมาด้วยตัวของเราเอง อะไรๆก็สู้บริกรรมไม่ได้ ท่านบอกงี้

พอท่านสอนอย่างนี้นะเราก็กราบท่านเลย มาบริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อย โอ๊ยพุทโธไปเหมือนโลกจะแตกเลย มันทุกข์มันทุรนทุรายนะ จิตมันกระสับกระส่ายไปหมดเลย จิตมันไปติดความว่างๆมานาน ไปอยู่ในความว่าง เนี่ยนักดูจิตต้องระวังนะ สิ่งที่อันตรายมากเลย คือไปติดความว่าง ดูไปๆแล้วก็ว่างอยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ ว่างอยู่อย่างนั้น เสียเวลา พอท่านให้พุทโธๆนะ จิตมันต้องทำงาน จิตมันเคยว่างงานมานานนะ พอจิตมันทำงานนะ มันมีทุกข์ทุรนทุรายไปหมดเลย ทุรนทุรายจนเอาไม่อยู่เลย ฟุ้งซ่านแบบดูไม่ไหวเลย

ในที่สุดก็มานึก เอ๊ ทำไมครูบาอาจารย์ว่าเราดูไม่ถึงจิต ค่อยๆสังเกตนะ ทำไมท่านว่าเราดูไม่ถึงจิต ค่อยๆสังเกตลองทวนจะมาดูจิต ปรากฎทวนเข้ามาไม่ได้ มันไม่ทวนเข้ามา ทวนเข้ามาก็ไม่ถึงที่ อ๋อจิตไม่ตั้งมั่น อ๋อขึ้นมาเลย ไปเห็นสภาวะที่มันทวนเข้ามาไม่ได้ นึกว่าจิตไม่ตั้งมั่น เราไม่ถนัดบริกรรม เราถนัดลมหายใจ เรารู้ลมหายใจ หายใจๆ หายใจไปจิตมันก็ตั้งขึ้นมานะ มันก็เดินต่อได้

เพราะนั้นจิตที่ตั้งมั่นก็สำคัญนะ ไม่ใช่ไม่สำคัญ งั้นดูจิตไป บางคนที่หลวงพ่อบอกว่าอย่าเพิ่งทำสมถะ อันนั้นติดสมถะมาติดมางอมแงมเลย ต้องเลิกซะก่อน ทิ้งไปซะก่อนของที่ติด มาเริ่มต้นเอาใหม่ มาหัดเจริญสติ พอมีสติแล้วนะยังไงก็ทิ้งสมถะไม่ได้หรอก ก็ต้องทำอยู่ดีแหล่ะ แต่จะทำง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๔/๖) : เจริญปัญญาได้ต้องเรียนเรื่องจิตมาก่อน

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๔/๖) : เจริญปัญญาได้ต้องเรียนเรื่องจิตมาก่อน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: บางคนบอก แอนตี้การดูจิต นี้โง่ที่สุดเลย เพราะบทเรียนของพระพุทธเจ้านะ บทเรียนที่ ๑ ชื่อ สีลสิกขา บทเรียนที่ ๒ ชื่อ จิตตสิกขา ถ้าเรียนเรื่องจิตแล้วเราจะได้จิตที่ตั้งมั่น เพื่อจะเอาไปใช้ในบทเรียนที่ ๓ คือปัญญาสิกขา

บางทีพูดมักง่ายว่า ศีล สมาธิ ปัญญา (ความจริงแล้ว)ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นผล เหตุของศีลคือ สีลสิกขา เหตุของสมาธิคือ จิตตสิกขา เรียนเรื่องจิต เหตุของปัญญาก็มี ปัญญาสิกขา เจริญปัญญา รู้วิธีเจริญปัญญาแล้วลงมือเจริญปัญญา ก็จะได้ปัญญามา

บางทีไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล พูดแล้วก็มั่วๆ ไปคิดว่าต้องไปนั่งสมาธิ เพื่อจะได้มี ศีล สมาธิ ปัญญา หารู้ไม่ว่า สมาธิได้มาจากการเรียนเรื่องจิต จิตตสิกขานั่นแหละทำให้เราได้สมาธิสองชนิด เรารู้เลยว่าถ้าจิตเราสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เราได้สมาธิชนิดพักผ่อน เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน ถ้าจิตของเราตั้งมั่น รู้ตื่นเบิกบานอันเนื่องมาจากเรารู้ทันจิตที่ไหลไป เราจะได้สมาธิอีกชนิดหนึ่งที่เอาไว้เดินปัญญาชื่อ ลักขณูปนิชฌาน

เพราะฉะนั้นการเรียนเรื่องจิตนี่แหละ จะทำให้เราได้สมาธิ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่  ๓๕ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๐๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๓/๖) : วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๓/๖) : วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เบื้องต้น ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นกรรมฐานอย่างเดิมที่เคยทำเพื่อให้เกิดความสงบก็ได้

ยกตัวอย่างหลวงพ่อ หายใจนะ หายใจแล้วจิตมีความสุขอยู่กับลมหายใจ จิตเป็นหนึ่งอารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งก็คือลมหายใจ รู้ลมหายใจอันเดียวจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง นี่คือทำสมถะ ทีนี้ต่อมาเรามาฝึก หายใจแล้วจิตเคลื่อนไป เรารู้ทัน เราไม่ได้รู้ที่ลมหายใจ แต่หายใจแล้วรู้จิต นี่มันต่างกันตรงนี้ ถ้าเราทำกรรมฐานแล้วเรารู้อยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานนั้นๆนะ จะได้สมถะ จะได้ความสงบ ถ้าเราทำกรรมฐานแล้วเรารู้ทันจิต จะได้จิตที่ตั้งมั่น

เพราะฉะนั้น พุทโธเหมือนเดิม ใครเคยพุทโธแล้วสงบนะ จิตอยู่กับพุทโธ ก็ปรับนิดเดียว พุทโธต่อไป แต่พุทโธไม่ใช่เพื่อให้จิตไปอยู่กับพุทโธ ไม่ใช่พุทโธให้จิตสงบ แต่พุทโธแล้วรู้ทันว่าจิตไหลไป จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตไปเพ่งพุทโธไปเพ่งจิตเอาไว้ ก็รู้ทัน

คนไหนเคยฝึกอานาปานสติ จิตไปรวมกับลมหายใจแล้วมีความสงบขึ้นมา ก็ปรับนิดนึง ก็หายใจเหมือนเดิมแหละ แต่แทนที่จะรู้ลมหายใจ ก็รู้ทันจิต หายใจไปจิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจก็รู้ทัน อย่างนี้จะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา เพราะจิตผู้รู้ กับจิตผู้ไหลไปผู้หลงไปผู้ส่งออกไป จะตรงข้ามกัน จิตผู้รู้นั้นไม่ส่งไป ตั้งมั่น เด่นดวง อยู่

ใครเคยดูท้องพองยุบก็ดูไป จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งอยู่ที่ท้องก็รู้ทัน ใช้หลักเดียวกัน แต่ถ้าจิตเราไหลไปเกาะนิ่งอยู่ที่ท้อง สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เป็นสมถะ เอาไว้พักผ่อน

เพราะฉะนั้นปรับนิดเดียวเท่านั้นเอง คือเปลี่ยนการรู้อารมณ์มาเป็นการรู้จิต


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่  ๒๗ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๒/๖) : สมาธิชนิดที่ ๒: สมาธิเพื่อความตั้งมั่นของจิต

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๒/๖) : สมาธิชนิดที่ ๒: สมาธิเพื่อความตั้งมั่นของจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิชนิดที่ ๒ คือความตั้งมั่นของจิต อันนี้แหล่ะเอาไว้เดินปัญญา เคล็ดลับมีนิดเดียว ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ง่ายๆแค่นี้เอง

เห็นมั้ยหลักปฏิบัติแต่ละข้อๆนะ หลวงพ่อสรุปออกมาให้เหลือนิดเดียวแหล่ะ ง่ายๆ ถ้าเรารู้จิตที่เคลื่อนไป จิตที่ไหลไป จิตที่ส่งออก หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตส่งออกนอก ถ้าเรารู้ทันจิตที่ส่งออกไป จิตที่เคลื่อนไป จิตที่ไหลไป จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้บังคับ

งั้นความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่ตั้งอยู่โดยการบังคับเอาไว้ ถ้าเราบังคับจิตไม่ให้ไหล จิตจะเครียด จิตไม่มีความสุข จิตก็ไม่สงบหรอก (ถ้า)ตั้งไว้แข็งๆ สมถะก็ไม่ได้ เดินปัญญาก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสมถะ ไม่ได้ทั้งวิปัสสนา

ให้เรารู้ทันจิตที่ไหลไป อย่าบังคับว่าห้ามไหล ถ้าห้ามมันไปบังคับมัน สมถะก็ไม่ได้เพราะไม่มีความสุข วิปัสสนาก็ไม่ได้(เพราะ)จิตมันเครียด จิตไม่ใช่ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ง่ายมากนะ แค่รู้ทันว่าจิตเคลื่อนไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่  ๔๑ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตั้งมั่น: รู้ทันจิตคิด จะได้จิตรู้

mp 3 (for download) : รู้ทันจิตคิด จะได้จิตรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: หลวงพ่อเทียนท่านก็สอนดีนะ ท่านบอกว่า ถ้ารู้ว่าจิตคิด จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ รู้ว่าจิตคิดนะ ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด ต้องแยกให้ออก พวกเรามาวันแรกๆ บางคนแยกตรงนี้ไม่ออก ระหว่างการรู้เรื่องที่คิดกับการรู้ว่าจิตคิด ไม่เหมือนกัน

การรู้เรื่องที่คิด หมาคิด หมาก็รู้นะ ไม่ใช่อัศจรรย์อะไร หมามันจะคิดอะไร หมามันก็รู้ว่ายังคิดเรื่องอะไรอยู่ เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ แต่การที่รู้ว่าจิตกำลังอยู่ในอาการคิดน่ะ เป็นการรู้อารมณ์ปรมัตถ์ละ ให้เรารู้ว่าจิตคิด

ทีนี้คนไหนไม่ถนัดรู้ลมหายใจจนกระทั่งจิตมาหยุดแล้วก็จิตเคลื่อนไป รู้ทัน จิตเคลื่อนไป รู้ทัน เอาอย่างอื่นก็ได้ ขยับมือไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ใช้หลักอันเดียวกัน คือ รู้ทันจิตที่หนีไปคิด

ถ้าเรารู้ทันจิตที่หนีไปคิด จิตคิดจะดับ จะเกิดจิตรู้ขึ้นมาแทน จิตตัวนี้แหละจะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คนที่ภาวนาได้นะ มีลักษณะร่วมกัน มีจิตที่ตั้งมั่น

หลังเนี่ย คำว่า “พุทโธ” คำว่า “จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” อะไรเหล่านี้ เริ่มหายไปจากวงกรรมฐาน มีแต่เรื่องทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ เคลิบเคลิ้ม เห็นโน่นเห็นนี่ นึกว่าดี ดีอะไร เรื่องของกิเลสนะ ต้องฝึกให้จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่  ๔๘ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การทำตามรูปแบบ ทำได้ ๓ อย่าง

mp 3 (for download) : การทำตามรูปแบบ ทำได้ ๓ อย่าง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การที่เราปฏิบัติในรูปแบบนั้น ยังทำได้ ๓ อย่าง

  • อันที่ ๑ ถ้าจิตฟุ้งซ่านมาก ทำความสงบ ให้จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว
  • อันที่ ๒ เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้ว รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป ไหลไปคิด เราจะได้สมาธิชนิดที่ ๒ คือจิตตั้งมั่น
  • เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วเวลาที่เราทำในรูปแบบเนี่ย หัดรู้สภาวะไป

สภาวะของร่างกาย สภาวะของเวทนาคือความสุขทุกข์ สภาวะของสังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว เช่นความโลภความโกรธความหลง ความวิตกกังวลต่างๆนะ ให้รู้ทัน แล้วก็รู้สภาวะของจิต จิตเดี๋ยวก็วิ่งไปดู เดี๋ยวก็วิ่งไปฟัง วิ่งไปคิด

แต่ตอนที่ทำในรูปแบบเนี่ย มันจะปิดทวารไปบางส่วน ถ้าเรานั่งสมาธิอยู่นะ มันก็ไม่วิ่งทางตา ไม่วิ่งทางหู เหลือแต่ทางใจ ก็เห็นจิตไหลไปทางใจ เคลื่อนไปเคลื่อนมา ก็รู้ทันอาการของจิต เป็นการหัดรู้สภาวะ การทำในรูปแบบนี้แหล่ะ ฝึกไว้ให้ชำนาญนะ ต่อไปเราจะขึ้นสู่การเจริญปัญญา เจริญปัญญาได้

เมื่อมีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู มีสติรู้เท่าทันสภาวะที่เกิดขึ้น การที่หัดรู้สภาวะนั่นแหล่ะ จะทำให้เกิดสติ การที่รู้ทันว่าจิตไหลไป จิตหลงไป จะทำให้เกิดสมาธิชนิดตั้งมั่น อาศัยสติและความตั้งมั่นของจิต ๒ อย่างนี้เป็นตัวช่วยกัน จะทำให้เกิดปัญญา คือการเห็นความจริงของกายของใจ

เพราะฉะนั้นต้องมี ๒ สิ่งนี้ อาศัยการทำในรูปแบบนี้มาช่วย เพราะฉะนั้นทำในรูปแบบนะ ถ้าฟุ้งซ่าน ก็ทำความสงบ พุทโธๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้จิตสงบ ถ้าจิตสงบแล้ว ก็ทำกรรมฐานเดิมนั้นแหล่ะ แต่รู้ทันเวลาจิตมันเคลื่อนไป จิตมันไหลไป ถ้ารู้ทันจิตที่เคลื่อนไปไหลไป จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู พอจิตตั้งมั่นเนี่ย เราได้สมาธิแล้ว

ต่อไปเราก็มาพัฒนาให้เกิดสติ โดยรู้สภาวะนะ เห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู เห็นร่างกายเดิน จิตเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์ เกิดขึ้นในกาย จิตเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์ความเฉยๆ เกิดขึ้นในจิต จิตเป็นคนดู เห็นกุศลอกุศลเกิดขึ้นในจิต จิตเป็นคนดู เห็นจิตเคลื่อนไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ จิตเป็นคนดู

ถ้าดูได้อย่างนี้ชำนิชำนาญนะ พอร่างกายขยับกริ๊กเดียวนะ สติเกิดเอง จะรู้สึกตัวขึ้นเองเลย ความรู้สึกแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายนิดเดียว สติเกิดเองเลย ความรู้สึกหรือกุศลอกุศลแปลกปลอมเข้ามาในจิตนิดเดียวนะ สติระลึกได้เลย จิตเคลื่อนทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนิดเดียวนะ สติระลึกได้เลย เมื่อเราได้ทั้งสติ ได้ทั้งสมาธิคือความตั้งมั่นแล้วเนี่ย เราเจริญปัญญาได้แล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๒
File: 550421.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔


เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 712345...Last »