Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

หลักการดูจิตที่ถูกต้องใน ๓ กาล

mp3 (for download): หลักการดูจิตที่ถูกต้อง ใน ๓ กาล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลักการดูจิตที่ถูกต้อง จำไว้ง่าย ๆ นะ มันต้องดูถูกต้องใน ๓ กาล กาละนะ กาละ กาล ต้องดูถูกต้องใน ๓ กาลนะ ซึ่งยากมากเหมือนกันนะ ที่เราจะดูให้ถูกต้องทั้ง ๓ กาล

กาลที่ ๑ หมายถึงก่อนจะดู ก่อนจะดูเนี่ย อย่าไปดักไว้ อย่าไปเฝ้าดู อย่าไปจ้องเอาไว้ก่อน อย่าไปรอดูนะ ให้สภาวะธรรมใด ๆ เกิดขึ้นกับจิตก่อน แล้วค่อยมีสติรู้ไป เรียกว่าตามรู้นะ ให้มันโกรธขึ้นมาก่อน แล้วรู้ว่าโกรธ ให้มันโลภขึ้นมาก่อน แล้วรู้ว่าโลภ ให้ใจลอยไปก่อน แล้วรู้ว่าใจลอย นี่คือกฎข้อที่ ๑ ถ้าเราไปดักดูแล้วมันจะนิ่ง ทำไมเราต้องไปดักดู หลายคนพอคิดถึงการดูจิต ก็จ้องปึกเลย แล้วทุกอย่างก็นิ่งหมดเลยนะ มันเกิดจากความอยากดู ตัณหามันเกิดก่อน อยากปฏิบัติ อยากดูจิต พออยากดูจิตก็เข้าไปจ้อง ไปรอดู พอเข้าไปจ้องไปรอดู มันคือการเพ่งนะ เมื่อไรเพ่ง เมื่อนั้นจิตก็นิ่ง ไม่แสดงไตรลักษณ์ ไม่แสดงความจริงให้ดู ฉะนั้น กฎข้อที่ ๑ นะให้สภาวะธรรมเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยมีสติตามรู้ไป ตามรู้อย่างกระชั้นชิด อย่าไปดักรอดูด้วยความโลภที่อยากปฏิบัตินะ นี่ข้อที่ ๑ อย่าดักดู พวกเรามีคนไหนดักดูไหม เวลาดูจิต เอ้าช่วยยกมือ โชว์ตัวหน่อย พวกดักดู ดักทุกคนแหล่ะ พวกที่ไม่ยกเพราะดูไม่ออก หรือไม่ก็ขี้เกียจยกนะ ส่วนใหญ่พอคิดถึงการปฏิบัติก็เริ่มควาน ๆ ก่อนใช่ไหม เริ่มนึกจะดูอะไรดี ควาน ๆ ๆ อย่างนั้น เจออันนี้แหล่ะว้า จ้องไปอย่างนั้น จ้อง… ใจก็จะนิ่ง ๆ กลายเป็นเพ่งจิต ไม่ใช่ดูจิตล่ะ ฉะนั้นจะไม่เพ่งจิตนะ อันแรกเลยอย่าไปดักดู ให้สภาวะเกิดขึ้นก่อน แล้วค่อยรู้

กาลที่ ๒ หรือลำดับที่ ๒ คือ ขณะที่ดู ก่อนดูไม่ไปดักดู ขณะดูอย่าถลำลงไปจ้องนะ ดูแบบคนวงนอก นี่เป็นกฏข้อสำคัญอีกข้อหนึ่ง ดูแบบคนวงนอกนะ ส่วนใหญ่พอเราเห็นสภาวะธรรมเกิดขึ้นแล้ว มันจะมีตัณหา ตัณหาก็คืออยากรู้ให้ชัด พออยากรู้ให้ชัดแล้วมันจะถลำลงไปจ้องนะ คล้าย ๆ เราดู ก่อนนี้ใครเคยดูหนังจีนไหม หนังจีนสมัยก่อนนะ กำลังภายใน จ้าวยุทธภพอะไรแบบเนี่ย มันชอบมีบ่อน้ำกลม ๆ เนี่ย ใครเคยเห็นไหม ที่มีขอบปูนนะ แล้วผู้ร้ายชอบจับเอานางเอกไปโยนลงบ่อเนี่ย บางทีก็เอาคัมภีร์ไปโยนลงบ่อ คล้าย ๆ กันนะ เวลาเราจะดูของที่อยู่ก้นบ่อเนี่ย เราชะโงกลงไปดูจนหัวทิ่มลงบ่อไป อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เราต้องดูอยู่ห่างๆ ดูอยู่ปากบ่อ อย่าถลำลงไปจนตกบ่อ พวกเราเวลาที่ดูจิตดูใจเนี่ย เราอยากดูให้ชัด ชะโงกลงไป ชะโงกลงไป ในที่สุดจิตมันถลำลงไปเพ่ง กลายเป็นเพ่งอีกล่ะ ใช่ไหม อยากดูไปดักดูนะ ก็กลายเป็นการเพ่ง พอกำลังดูอยู่ อยากดูให้ชัด ถลำลงไปจ้องอีกนะ ก็กลายเป็นการเพ่งนะ กลายเป็นเพ่งทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นกฎข้อที่ ๑ ก่อนจะรู้เนี่ย อย่าไปดักรู้ ให้สภาวะเกิดแล้ว ค่อยรู้เอา ให้มันโกรธขึ้นมาแล้วรู้ว่าโกรธ โลภขึ้นมาแล้วรู้ว่าโลภ ใจลอยแล้วรู้ว่าใจลอย สภาวะที่ ๒ ขณะที่เห็นสภาวะเกิดขึ้น ขณะที่เห็นสภาวะเกิดขึ้น เช่น เห็นความโกรธเกิดขึ้น ดูอยู่ห่าง ๆ อย่าถลำตามความโกรธไป อย่าไปจ้องใส่มัน หลวงพ่อเคยทำผิดนะ เห็นกิเลสโผล่ขึ้นมา แล้วเราจ้อง พอเราจ้องแล้วมันหดลงไป หดลึก ๆ ลงไปอยู่ข้างในนะ เราก็ตามลงไป กะว่าวันเนี่ยจะตามถึงไหนถึงกันนะ ตามลึกลงไป ควานหามันใหญ่เลย บุญนักหนานะ ไปเจอหลวงปู่สิมเข้า หลวงปู่สิมท่านเตือน ผู้รู้ ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ ที่แท้ตกบ่อไปแล้ว ไม่เห็น ตกบ่อนะ พอรู้ทัน อ้อ…ใจมันถอนขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ เห็นสภาวะผ่านไปผ่านมา คล้าย  ๆ เราเห็นคนเดินผ่านหน้าบ้าน ใจเราอยู่ต่างหาก ใจเราอยู่ในบ้าน ใจเราไม่วิ่งตามเขาไปนะ ถ้าใจเราหลงตามอารมณ์ไป หลงตามสภาวะไป มันจะรู้ได้ไม่ชัดหรอก

ข้อที่ ๓ นะ ข้อที่ ๓ คือ เมื่อรู้แล้ว อันแรกอะ ก่อนจะรู้อย่าไปดักไว้ อันที่ ๒ ระหว่างรู้อย่าถลำลงไปจ้อง อันที่ ๓ เมื่อรู้แล้วนะ รู้ด้วยความเป็นกลาง อย่าไปหลงยินดียินร้ายกับมัน ถ้าหลงยินดีหลงยินร้ายเนี่ย จิตจะเข้าไปแทรกแซง เช่น เห็นความสุขเกิดขึ้นแล้วก็ยินดีนะ ก็จะเผลอเพลินไป หรืออยากให้ความสุขอยู่นาน ๆ พอความทุกข์เกิดขึ้นก็เกลียดมัน อยากให้มันหายเร็ว ๆ นะ เนี่ยใจที่มันไม่เป็นกลาง มันจะทำให้จิตเกิดการดิ้นรน เพราะฉะนั้นถ้าใจไม่เป็นกลางนะ ให้มีสติรู้ทัน มีสติรู้ไป มันยินดีขึ้นมาก็รู้ทัน มันยินร้ายขึ้นมาก็รู้ทัน ในที่สุดใจจะเป็นกลาง รู้สภาวะทั้งหลายด้วยจิตที่เป็นกลางนะ นี่คือกฎข้อที่ ๓ คือ รู้แล้วไม่แทรกแซง มันสุขก็ได้ มันทุกข์ก็ได้ มันดีก็ได้ มันชั่วก็ได้ มันสว่างก็ได้ มันมืดก็ได้ มันหยาบก็ได้ มันละเอียดก็ได้ สภาวะทั้งหลายนั้นเสมอภาคกันในการทำวิปัสสนา เพราะสภาวะทั้งหลายนั้นไม่ว่าจะสุข ทุกข์ ดี ชั่ว หยาบ ละเอียดนะ ก็ล้วนแสดงไตรลักษณ์ เกิด-ดับเหมือน ๆ กันทั้งสิ้น ไม่ใช่จะเอาอันหนึ่ง จะเกลียดอีกอันหนึ่งนะ ใจของเราเนี่ย พอเห็นอะไรก็แล้วนะ มันจะรักอันหนึ่ง จะเกลียดอันหนึ่งอยู่เสมอแหล่ะ เช่น รักสุข เกลียดทุกข์ รักดี เกลียดชั่วนะ รักความสงบ เกลียดความฟุ้งซ่าน เนี่ยใจเราไม่เป็นกลาง เนี่ยอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ นะ ท่านก็สอนมา ท่านบอก หลวงพ่อชาสอนมาว่า เวลาดูจิตเนี่ย ให้ดูด้วยความไม่ยินดี ไม่ยินร้ายเนี่ยหลวงพ่อชาสอนมาอย่างนี้นะ หลักอันเดียวกันนะ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ ที่ท่านภาวนาเก่ง ๆ นะ ท่านสอนเหมือนกันหมดเลย หลวงปู่ดุลย์ก็สอนอย่างเดียวกันนะ องค์ไหนๆ ก็สอนอย่างเดียวกันนะ รู้ด้วยความเป็นกลาง หลวงปู่เทสก์ใช้สำนวนบอกรู้ด้วยความเป็นกลาง หลวงพ่อชาบอกรู้ด้วยความไม่ยินดีไม่ยินร้ายนะ บางองค์ก็ว่ารู้แล้วสักว่ารู้นะ รู้แล้วไม่แทรกแซง ก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง มันเป็นยังไง รู้แล้วเป็นอย่างนั้น นี่สำนวนอาจารย์สุรวัฒน์ จิตเป็นยังไง รู้ว่าเป็นอย่างนั้น กายเป็นยังไง รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ใครไม่รู้จักอาจารย์สุรวัฒน์  พยายามรู้จักไว้นะ เพราะแกเป็นกัลยาณมิตร แกต้องน่วมแน่ ๆ เลยรอบเนี่ย… ใครฟุ้งซ่านยกมือหน่อย เห็นไหม เออ…มีผู้ร้ายปากแข็งหลายคนนะ… ฟุ้งทั้งนั้นแหล่ะนะ

จำได้ไหมข้อที่ ๑… ข้อที่ ๑ เนี่ยมันผิดพลาดตรงที่อยากปฏิบัติ..อยากปฏิบัติ ก็ไปจ้องรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันก็เลยไม่มีอะไร นอกจากความนิ่งความว่าง ข้อที่ ๒ นะ อยากรู้ให้ชัด ก็เลยถลำลงไปจ้อง ไปเพ่งเอาไว้ ไม่ให้คลาดสายตา มันก็นิ่งเหมือนกัน กลายเป็นการเพ่ง ข้อที่ ๓ นะ อยากดี อยากให้พ้นทุกข์ อยากดีนะ อยากให้สุข อยากให้สงบ อยากให้พ้นจากความฟุ้งซ่าน ก็เข้าไปแทรกแซงนะ แล้วก็เลยไม่เป็นกลาง แล้วสรุปง่าย ๆ นะ ต่อไปนี้ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็รู้มันอย่างที่เป็นมันเป็น รู้แล้วก็อย่าเข้าไปแทรกแซงนะ รู้สบาย ๆ รู้อยู่ห่าง ๆ รู้แบบคนวงนอก รู้ด้วยความเป็นกลาง หัดรู้อย่างนี้เรื่อย ๆ พวกเรานะสำรวจใจตัวเองให้ดี ใน ๓  ข้อเนี่ย พวกเราผิดตัวไหนบ้างนะ หลวงพ่อถามที่วัดมาแล้วนะ คำถามนี่ ใครยกมือถามหลวงพ่อ หลวงพ่อถามเลย ใน ๓ ข้อเนี่ย ผิดข้อไหน พอตอบได้นะ ไม่ต้องมาถามหลวงพ่อ รู้แล้วนี่ ถ้ารู้ว่าผิดนะ มันก็ถูกของมันเองแหล่ะนะ พอเข้าใจไหม ไม่ยากนะ ง่าย

ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๓  (วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒)

นาทีที่ ๑๖ – ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สรุปแนวทางการภาวนาทั้ง3แบบ

MP3: สรุปแนวทางการภาวนาทั้ง3แบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

การฝึกปฏิบัติมีหลายแบบ โดยสรุป

(๑) ใช้สมาธินำปัญญา   สมาธินั้นต้องเป็นสัมมาสมาธิไม่ขาดสติ พอจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว ตามรู้ตามดู ตามดูกายตามดูใจไปเลย ด้วยจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดู ห้ามรักษาผู้รู้ผู้ดูไว้ ปล่อยให้ผู้รู้ผู้ดูทำงานอย่างอิสระมีก็มี หายไปก็หายไปไม่เป็นไร

(๒) ทำสมาธิอยู่แล้วจิตเคลื่อนขึ้นนิดนึงก็ดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตภายในสมาธิ ดูไปได้เลย   เห็นองค์ของสมาธิ องค์ธรรมของสมาธิก็เกิดดับเช่นกัน เช่น อยู่ในฌานที่ลึกนะ พอถอนออกมาเห็นเลยความสงบหายไปแล้ว อุเบกขาหายไปกลายเป็นความสุขขึ้นมาแทน เดินปัญญาอยู่ในฌาน

(๓) ถอยออกมาอยู่โลกข้างนอกเลย ใช้ปัญญานำสมาธิ   ไม่ต้องเข้าฌาน หัดรู้กายหัดรู้ใจ ดูไปเรื่อยๆ โดนเฉพาะดูใจ ดูง่าย ใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมีสติตามรู้ตามดูไปเรื่อยๆ จิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิชั่วขณะเรียกขณิกะสมาธิ รวมแว้บๆรวมเป็นครั้งเป็นคราวไปเรื่อยๆ คล้ายๆเป็นจุดหยุดพัก เป็นช่วงๆๆของจิตไป ตรงนี้ฝึกแค่นี้ก็พอสำหรับคนที่ทำสมาธิไม่ได้   การที่หัดดูจิตหัดดูใจแล้วจิตรวมเป็นช่วงๆๆ ถึงเวลาที่จะเกิดอริยะมรรค อริยะผล จิตจะเข้าอัปปนาสมาธิเองไม่ต้องกลัวว่าเข้าไม่ได้ เข้าได้แน่นอน

พอได้เป็นพระโสดาบันนะ อย่างน้อยปฐมฌานเป็นของเล่นของแถมติดเนื้อติดตัวไว้ มีขึ้นมาเองแหละ เวลาต้องการพักผ่อนก็อยู่กับสมาธิไป ถ้าชำนิชำนาญในพระนิพพานก็อยู่กับพระนิพพานไป แล้วแต่ว่าจะอยู่กับอะไร แต่ถ้าไม่ชำนาญพระนิพพานก็มาอยู่กับลมหายใจก็ได้ อยู่กับความว่างก็ได้ เรียกว่าอยู่กับนาม ก็แล้วแต่ความชำนิชำนาญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   เพราะฉะนั้นทางปฏิบัติมีหลายทางนะ อย่าหัวดื้อนัก พวกที่ทำสมาธิส่วนใหญ่เป็นมิจฉาสมาธิ ฟังไว้นะ พวกที่ติดสมาธิงอมแงมหัวดื้อหัวรั้นสุดๆ แก้ยากที่สุด มาถึงวันนี้คนไหนแก้ยาก หลวงพ่อก็ปล่อยทิ้งไว้แล้วนะไม่แก้ให้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าดื้อมาก

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนไม่มีฌานทำให้จิตตั้งมั่น(มีสมาธิ)ได้อย่างไร?

MP3: คนไม่มีฌานทำให้จิตตั้งมั่น(มีสมาธิ)ได้อย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อ: ให้เราสังเกตจิตของเราไป   ทำฌานไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ให้มีสติรู้ทัว่าตอนนี้กำลังหลงไปหาแล้วว่าจะดูอะไรดี ตอนนี้ถลำลงไปเพ่งแล้ว ตอนนี้เข้าไปแทรกแทรงด้วยความยินดียินร้ายแล้ว

ถ้ารู้ทันอย่างนี้นะจิตจะตั้งมั่นขึ้นมาได้ นี่เป็นวิธีที่สำหรับคนที่ทำฌานไม่ได้นะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา

รู้ว่ามันไหลไปมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเริ่มต้นไหลอยากเห็นอยากปฏิบัติ   จิตไหลไปค้นคว้าแสวงหาว่าจะดูอะไรดี จิตไม่ตั้งมั่น พอไปเจออะไรจิตก็ไปถลำลงไปจ้อง จิตไม่ตั้งมั่น

ถ้าเรามีสติรู้ทันว่ากำลังหาอยู่ จิตก็จะตั้งมั่น

รู้ว่ากำลังถลำไปแช่ไปจ้องอยู่ รู้ทันจิตก็จะตั้งมั่น

รู้ว่ากำลังหลงไปแทรกแทรงอยู่ จิตก็จะตั้งมั่น

ถ้าเรามี ที่หลวงพ่อบอก หลวงพ่อสอนสองอัน (๑)รู้สภาวะ (๒)รู้สภาวะให้เป็น

การรู้สภาวะ คือ มีสติ   การรู้สภาวะเป็น คือ มีสัมมาสมาธิ มีความจิตตั้งมั่น

ที่รู้ผิดคือจิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไป บางคนดูพองยุบจิตก็ไหลไปอยู่ที่ท้อง เดินจงกรมจิตก็ไหลไปอยู่ที่เท้า รู้ลมหายใจจิตไหลไปอยู่ที่ลมจิตไม่ตั้งมั่น

อันนี้เป็นวิธีสำหรับคนทำฌานไม่ได้นะ

พวกเรายุคนี้หาคนที่ทำฌานได้จริงมีน้อย มีแต่ชานที่แปลว่าพื้น ลงไปแล้วลงไปเลี้อยไปคานนั่งแล้วขาดสติ

ฌานจริงๆไม่ค่อยมี ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ทำฌานได้มีอยู่คนสองคนเอง นอกนั้นก็โม้ไปอย่างนั้นเอง ผมทำฌานได้ ไม่ได้เรื่อง!

ทำฌานไม่ได้ไม่เป็นไรนะ ให้รู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเอง

เรามีสองตัวแล้วเราจะได้สติ หัดรู้หัดดูสภาวะไปเรื่อยแล้วสติจะเกิดนะ รู้จิตที่ไม่ตั้งมั่น รู้ให้เป็น ถ้ารู้ไม่เป็นจิตไม่ตั้งมั่น ถ้ารู้เป็นจิตจะตั้งมั่นขึ้น ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วจะตั้งมั่นยิ่งกว่า

คราวนี้รู้แล้วจะเกิดปัญญาถ้าจิตตั้งมั่น จะเห็นเลยร่างกายที่กำลังปรากฏอยู่ไม่ใช่เรา รูปที่ปรากฎอยู่ไม่ใช่เรา นามธรรมทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ไม่ใช่เรา ไม่ยากอะไรหรอก

ง่ายๆ หลวงพ่อไม่เห็นว่ามันจะยากเลย

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรื่องของจริต: ดูกายหรือจิต?

mp3: จริต: ดูกายหรือจิต?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตอนเริ่มต้นปฏิบัติไม่ใช่ต้องดูกายก่อนนะ รู้อะไรแล้วสติเกิดก็เอาอันนั้นแหละ   รู้กายก็ได้ รู้เวทนาก็ได้ รู้จิตก็ได้

ไม่ใช่รู้อันใดอันหนึ่ง ไม่ใช่มีขั้นมีตอนว่าทุกคนต้องเริ่มเหมือนกันหมด จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเริ่มดูกายเหมือนกันหมด หรือมาเรียนกับหลวงพ่อก็ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อสอนให้ทุกคนต้องดูจิตเหมือนกันหมด กรรมฐานต้องเลือกให้ถูกกับจริตถูกกับนิสัยของเรา

ถ้าเรามีจริตนิสัยรักสุขรักสบายรักสวยรักงามรักความสงบอะไรพวกนี้   ทำความสงบขึ้นมาก่อน ทำสมาธิมา ทำความสงบ พอใจตั้งมั่นแล้วก็ดูกายไป   เห็นกายที่ยืนเดินนั่งนอนไม่ใช่เรา   เห็นกายที่หายออกเข้าหายใจเข้าไม่ใช่เรา   ดูไปกายไม่มีตัวเรา  จะเห็นว่าจิตเป็นแค่คนดูจิตจะแยกออกมา  จิตจะแยกออกมาเป็นคนดู   นี่ก็ได้

หรือคนไหนเป็นพวกคิดมากเป็นพวกทิฐิจริต   คิดมากให้ดูจิตไปเลย   ทำสมาธิไม่ลงหรอก    เพราะว่าคิดมากฟุ้งซ่าน   ให้ดูจิตไป   จิตเป็นสุขก็รู้   จิตเป็นทุกข์ก็รู้ จิตเฉยๆก็รู้ จิตดีก็รู้ จิตร้ายก็รู้ จิตโกรธ จิตโลภ จิตหลงก็รู้ รู้ไปเรื่อย ดูไป

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 41234