Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ปฏิบัติเพื่ออะไร? (๑) เราจะปฏิบัติอะไรและเพื่ออะไร

mp 3 (for download) : ปฏิบัติเพื่ออะไร? (๑) เราจะปฏิบัติอะไรและเพื่ออะไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของการปฏิบัติเราก็ต้องรู้ ว่าเราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นยังไง ต้องตอบได้ชัดเจน เราจะปฏิบัติอะไร มีสองอย่างที่จะต้องปฏิบัติคือ “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” ปฏิบัติเพื่ออะไร สมถะ ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะเดินวิปัสสนา ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะได้เห็นนู่นเห็นนี่มีตาทิพย์มีหูทิพย์ บางคนอยากได้เจโตอยากได้ทิพจักษุ  หลวงพ่อเคยเจอนะ มีไอ้หนุ่มคนนึง มันภาวนาอยากได้ทิพจักษุ ถามว่าอยากได้ทำไม มันจะได้มองทะลุผ้าของคนอื่น มันเห็นธรรมะเป็นเรื่องอะไร จะทะลุฝาห้องของเค้าอะไรอย่างนี้ ได้เรื่องเลย มีจริงๆนะ สมถะนะ เราทำไปเพื่อให้ใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดปัญญา รู้ความจริงของกายของใจนี้ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ ดังนั้นทำเราทำวิปัสสนาเพื่อให้รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๓
File: 520809A
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เดินจงกรมแล้วเพ่ง

mp 3 (for download) : เดินจงกรมแล้วเพ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

โยม : กระผมพยายามเดินจงกรม มาได้สักพักหนึ่งนะครับ (หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..) พอคิดว่าเราจะเดินจงกรมปุ๊บ มันก็ปวดต้นคอ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. งั้นไม่เอานะ อย่าไปทำอย่างนั้นเลย

โยม : ผมเลยอยากมากราบเรียนถามหลวงพ่อ ขออุบายหรือวิธี (หลวงพ่อปราโมทย์ : ไปเดินเล่น) ไปเดินเล่น???

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. เดินเล่นนะ เดินชมนกชมไม้ แต่ระวังอย่าไปเดินข้างถนน เดี๋ยวรถเหยียบเอา เดินชมนกชมไม้ไปนะ แล้วใจเราสบาย เราก็รู้ ใจเรากลุ้มใจ เราก็รู้ เดินไปแล้วใจเราใจลอยไปคิดเรื่องอื่น เราก็รู้ (โยม : ครับ) ไปฝึกเล่นๆ

โยม : ไปเดินเล่นนะครับ

(เสียงฮา..)

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออนะ แต่ไม่ใช่เดินเรื่อยเปื่อยนะ ไม่ใช่เดินใจลอยไปเรื่อย คือพอเราคิดเรื่องปฏิบัติแล้วเรามาเดินจงกรมเนี่ย พอเริ่มเข้าทางจงกรม เราก็เริ่มเพ่งแล้ว การบังคับตัวเองแล้วมันเครียด มันเครียดแล้วปวดหัว ปวดไหล่ ปวดคอ อะไรอย่างนี้ ปวดลูกตา นะ (โยม : ครับ) ก็ไม่ดี (โยม : ครับ) การภาวนาจริงๆ คำว่าการเดินจงกรมน่ะ คำว่าจงกรมแปลว่าเดิน เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดินนะ เดินไปแล้วเห็นร่างกายมันเดิน พอใจลอยรู้ว่าใจลอย แค่นั้นเราก็เรียกว่าเดินจงกรมแล้ว ส่วนการเดินกลับไปกลับมานี้เป็นการเดินในรูปแบบนะ อาจจะเดินเรื่อยเปื่อยก็ได้ ใจลอยไปที่อื่น หรือเดินทรมานตัวเองก็ได้ ไม่ได้เดินจงกรมที่แท้จริง ไม่ได้มีสติ นะ เพราะฉะนั้นไปทำเล่นๆนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๕
File: 520426B
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธัมมุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านในธรรม เหตุแห่งวิปัสนูปกิเลส

mp 3 (for download) : ธัมมุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านในธรรม เหตุแห่งวิปัสนูปกิเลส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในการปฏิบัติมีตั้งหลายแบบ พระอานนท์สอนเอาไว้มี ๔ แบบ สมาธินำปัญญา ปัญญานำสมาธิ สมาธิและปัญญาควบกัน จริงๆแล้วมี ๓ แบบ แบบที่ ๔ เนี่ย เป็นพวกที่ภาวนาแล้วไปติดความว่าง แบบที่ ๔ ท่านเลยสอนบอกว่า พวกที่มีธัมมุทธัจจะ หมายถึงมีอุทธัจจะในธรรมะ พวกฟุ้งซ่านในธรรมะ

ฟุ้งซ่านในธรรมะนั้นมี ๑๐ แบบ คือ วิปัสนูฯนั่นเอง (วิปัสสนูปกิเลส – ผู้ถอด) วิปัสนูฯพวกหนึ่งที่พวกเราเริ่มเป็นเยอะขึ้นนะ คือไปติดในว่างๆ ติดในความสว่าง ความว่าง ตัวนี้ท่านเรียก โอภาส ติดโอภาส สว่าง ว่าง สบาย มีแต่ความสุขนะ

ท่านบอกว่าเบื้องหลังของมันก็คือ ความฟุ้งของจิต ฟุ้งซ่านแบบไหน เวลาภาวนาไปแล้วว่าง เหมือนจิตสงบนะ ฟุ้งตรงที่จิตไม่อยู่ที่ฐาน จิตส่งออกไปนั่นเอง เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าจิตออกนอก เพราะฉะนั้นพวกเราภาวนาแล้วว่างอยู่อย่างนี้ ใจไปเกาะแล้วว่าง พวกนี้เสร็จเลย

หรือบางคนนะ ไปสอนดูจิต สอนให้ดูแล้วน้อมเข้าหาความว่างเนี่ย เยอะมากนะ ช่วงหลังๆเนี่ย พวกเราเรียนๆไปแล้วเที่ยวไปเรียนที่โน่นที่นี่ เลอะเทอะนะ ไปติดสมถะ ไปติดอยู่ในภพว่างๆ ตัวนี้จริงๆแล้วเป็นวิปัสนูฯอันหนึ่ง เป็น ๑ ใน ๑๐ ของวิปัสนูฯ คือเห็นสภาวะเกิดดับแล้ว แต่เห็นแล้วจิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐานนี้ หลวงพ่อเรียกว่าจิตไม่ถึงฐาน ในพระไตรปิฎกเรียกว่า อุทธัจจะ หลวงปู่ดูลย์ท่านว่าจิตออกนอก จิตมันเคลื่อนไป เคลื่อนไปจับความโล่ง ความว่าง ความโปร่ง ความสบาย แล้วก็ไปสบายอยู่อย่างนั้น หลายวันก็ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น ตอนนี้ชักเยอะนะ พวกที่สอนดูจิตน่ะ สอนมาสู่ตรงนี้เยอะมากเลย เพราะตัวเองผ่านไม่เป็น หัดดูเห็นสภาวะเกิดดับได้นิดๆหน่อยๆ แล้วเกิดวิปัสนูฯนะ แล้วมันอยากสอน

นี่ยังค่อยยังชั่ว บางคนเขาก็แก้ผ่านมาได้ บางคนเป็นหนักนะ ถึงขนาดคิดว่าเป็นพระอรหันต์ วันก่อนมาท่านหนึ่ง ก็ใช้ได้แล้ว มาสารภาพกับหลวงพ่อเลยว่า ไม่ใช่แล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า หลวงพ่อก็ห่วงอยู่นะ หลวงพ่อก็บอกไปหลายทีแล้วว่าไม่ใช่แล้ว ไปติดอยู่ในว่าง เกาะอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่มีกิเลสเลย

ไม่มีกิเลสเพราะอะไร เพราะว่ามองไม่เห็นกิเลส ทำไมมองไม่เห็นกิเลส จิตขณะนั้นมีอุทธัจจะ จิตมันฟุ้งไปในธรรมะ ฟุ้งไปในหลายอย่างนะ ฟุ้งไปในปีติก็ได้ ปีติมาก วุ้ย..เจอแล้วดื่มด่ำ จิตมันไหลไปเคลิ้มในปีติ นั่นก็เป็นวิปัสนูฯ ๑ ใน ๑๐ นะ

น้อมไปอยู่ในความสว่าง คือโอภาส โล่ง สบาย ก็เป็นแบบหนึ่ง น้อมไปเดินปัญญานะ ฟุ้งไปในปัญญา นี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง มีหลายแบบนะ พวกหนึ่งน้อมไปในทางทำความเพียร เดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ กิเลสไม่เกิดเลย หรือนั่งสมาธิหามรุ่งหามค่ำ นี่ก็เป็นวิป้สนูฯอย่างหนึ่ง

วิปัสนูฯมี ๑๐ อย่าง ไปหาอ่านเอา หลักมีอันเดียวคือจิตไม่ตั้งมั่น เรียกว่า ธัมมุทธัจจะ ธรรมะ-อุทธัจจะ สนธิกันเรียกว่า ธัมมุทธัจจะ ฟุ้งไปในธรรมะ ๑๐ ประการ จิตไม่ตั้งมั่น

พระอานนท์ท่านบอกว่า ถ้ารู้ทันว่าจิตไม่ตั้งมั่น ตรงนี้บอกเป๊ะเลย แต่เดิมหลวงพ่อพูดปาวๆนะ เราพูดจากประสบการณ์ พอไปเจอตำรา เหมือนกันเปี๊ยบ ท่านบอกว่า ถ้ารู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่น แล้วอริยมรรคจะเกิด จะเดินไปสู่อริยมรรคต่อได้ แต่ถ้าลงไปนอนแช่ ฟุ้งไปอยู่ข้างนอกแล้ว จิตไม่ถึงฐาน อริยมรรคไม่เกิดหรอก เนี่ยปริยัติปฏิบัตินะ ตรงกันเด๊ะๆ เป๊ะเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๗
File: 520611
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญาต้องพร้อม บารมีทั้งหลายต้องสร้าง

mp 3 (for download) : การภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญาต้องพร้อม บารมีทั้งหลายต้องสร้าง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนบอกว่าหลวงพ่อไม่ค่อยสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องทาน เรื่องอะไร ก็สอนอยู่เป็นระยะๆ เพราะพวกเราเรียนมาเยอะแล้ว ก็เลยเน้นหนักสอนเจริญสติฯ แต่ว่าเจริญสติรวดๆไปไม่ได้นะ ต้องละชั่ว ต้องทำดีด้วย จิตมันถึงจะผ่องแผ้ว ศีล สมาธิ ปัญญา สำคัญทั้งหมด บารมีทั้งหลายต้องสร้าง ไม่ใช่ฉันจะเจริญปัญญาอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอาเลย มันทำยากนะ ปัญญาอย่างเดียวมันกลายเป็นปัญญาสนองอัตตาตัวตน สนองกิเลสขึ้นมาอีก สู้ไม่ไหวหรอก ต้องเด็ดเดี่ยวจริงๆ

เพราะฉะนั้นคอยสำรวจใจของเรา อะไรที่ไม่ดี ก็คอยละเสีย เลิกเสีย อะไรที่ดีๆยังไม่เกิดขึ้น ก็ให้มันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างบางอย่างนะ เกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย เช่น ความเมตตากรุณาอะไรอย่างนี้ ไม่เสียสตางค์นะ ไม่เสียสตางค์ มีความเมตตากรุณา มีมุฑิตา มุฑิตาก็สำคัญนะ เห็นคนอื่นเขาได้ดี ต้องดีใจกับเขาได้นะ

แม่ชีเนี่ยมีมุฑิตาสูงมากเลย ตั้งแต่อยู่สวนโพธิ์แล้ว อยู่ที่สวนโพธิ์เนี่ย ตอนแรกบวชกัน อยู่กับอ๊าอีกคน ๓ คน อยู่ที่นั้น ๓ คน ญาติโยมาเยอะขึ้นทุกทีนะ แม่ชีกับอ๊า ๒ คนเนี่ย พอญาติโยมกินข้าวเสร็จแล้ว ๒ คนนี้ล้างจาน ๒ คนนี้ไม่ได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อเลย ไม่ได้ฟังธรรมะ ล้างจานๆไป ๑๑ โมง โยมกลับไปหมดแล้ว ล้างส้วมต่อ นี่ มีแต่เรื่องทำงานนะ พอเสร็จแล้ว หลวงพ่อมาเล่าให้ฟัง ตอนเย็นๆ ตอนฉันน้ำปานะ หลวงพ่อก็มาเล่าให้ฟัง เออ..วันนี้คนนี้เขาภาวนาดีนะ แม่ชีจะปลื้มใจ โห..ดีใจนะ เขาภาวนาได้ดี ตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ฟังนะ ยังมีความปลื้มใจขึ้นมา มีมุฑิตานะ ถ้าอิจฉาริษยาใช่มั้ย โอ๊ย..มันดีกว่าเรา “เรา”มันจะเข้มขึ้นมา เออ..เขาดี ก็ดีใจกับเขา “เรา”มันจะตัวเล็กลง

เนี่ยเห็นมั้ย กระทั่งบารมีเล็กๆน้อยๆอะไรนี่นะ สำคัญทั้งสิ้นนะ อย่างอ๊านี้โดดเด่นเรื่องอธิษฐานบารมี เด็ดเดี่ยวนะ เริ่มต้นมาจากติดลบ ไม่ใช่เริ่มต้นจากศูนย์ เริ่มต้นมาจากจิตซึ่งมีโมหะมาก โมหะครอบงำมืดตึ๊ดตื๋อเลย หลวงพ่อเห็นหน้าทีแรกนะ หมดปัญญาสอน ไปหาหลวงพ่อที่ศาลาลุงชินฯตั้งแต่แรกๆเลย พอหลวงพ่อเห็นหน้า หลวงพ่อถามว่า ไปกินยาแก้หวัดมาหรือเปล่า? ทำไมมันงัวเงียมืดทึบมาขนาดนั้น เนี่ยเขาก็พยายามมาเรื่อยๆนะ หลวงพ่อก็ไม่ได้สอนสักทีเพราะจิตไม่มีความพร้อมเลย วันหนึ่งดังตฤณ ไปเจอดังตฤณ ดังตฤณก็บอก อ๊า ถ้าจิตเป็นแบบนี้ ตายไป อ๊าจะเป็นอสุรกาย พอได้ยินว่าจะเป็นอสุรกาย ก็ลาออกจากงานนะ ไปอาศัยอยู่ตามวัด ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้บวช ยังไม่มีวัดอยู่ นี่ออกไปก่อนหลวงพ่ออีก ออกไปเตรียมตัว เดี๋ยวหลวงพ่อบวชแล้วจะมาอยู่กับหลวงพ่อ คล้ายๆกับเรื่องที่พวกพราหมณ์ที่พยากรณ์พระพุทธเจ้า นึกออกมั้ย พอท่านโกณฑัญญะพยากรณ์เสร็จแล้ว รีบออกบวชเลย เตรียมไปรอไว้ก่อน เตรียมไว้ก่อน นี่ไม่ใช่เทียบอ๊าเป็นท่านโกณฑัญญะนะ ไม่ใช่เทียบหลวงพ่อเป็นพระพุทธเจ้านะ หมายถึงใจของบัณฑิตน่ะคิดคล้ายๆกัน แล้วเด็ดเดี่ยวนะ ภาวนาอย่างยากลำบาก เดินจงกรม อดกิน ทำไมต้องอดกิน มีข้าวกินทุกวัน ธรรมดากินจุมากเลย กินจนคนตกใจนะ กินมากก็เหลือกินนิดๆ เพราะไม่มีมาก อยู่ตามวัด อด อดกินอดนอนนะ ภาวนา เดินจงกรม เดินจงกรมตอนนั้นมีช่วงหนึ่งไปอยู่บุญญวาส บุญญวาสท่านอาจารย์ตั๋นนะ ดึกๆท่านไปธุระกลับมา เอ๊ะ กุฎินี้ยังจุดเทียนอยู่ กุฏิอ๊าจุดเทียนอยู่ สงสัยหลับไปแล้วมั้ง ท่านก็ไปดู ยังภาวนา ยังเดินจงกรม

เนี่ย อาศัยบารมี เห็นมั้ย ยอมสู้ความลำบากใช่มั้ย ความเห็นแก่ตัว ความรักตัวเอง มันจะถ่วงเรา เพราะฉะนั้นต้องฝึกนะ สำรวจใจของเรา คุณงามความดีอะไรยังไม่พอ ต้องสร้างขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
Track: ๔
File: 510223
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๔๘ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจริญสติอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำดี ละชั่วด้วย

mp 3 (for download) : เจริญสติอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำดี ละชั่วด้วย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะทั้งหลายเนี่ย มีประโยชน์ทั้งสิ้น อย่าละเลย ธรรมะทั้งหมด ถ้าย่อลงมา ท่านบอกว่า ให้ละชั่วใช่มั้ย ให้ทำดี ให้ทำจิตผ่องแผ้ว นี่ สอนอย่างนี้ หรือย่อๆลงมาก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา อะไรอย่างนี้ ย่อๆลงมา

เวลาภาวนา อย่าคิดนะ ว่าจะเจริญสติลูกเดียว เจริญสติอย่างเดียว แล้วจะบรรลุน่ะ หลายคนละเลยไม่ถือศีล ไม่ถือศีลไม่มีทางหรอก หลายคนไม่ศึกษาเรื่องจิตให้แจ่มแจ้ง จนจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะกำหนดรูปกำหนดนามอย่างเดียว ไม่ได้กินหรอกนะ

เพราะฉะนั้นเวลาปฏิบัตินะ ต้องเอาให้ครบนะ อะไรชั่วๆไม่เอา มีศีลกั้นตัวเองไว้ก่อน อะไรดีๆต้องทำ การที่เราละความชั่วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นนะ ก็คือ การลดละความยึดถือเหนียวแน่นในอัตตาตัวตนนั่นเอง คนเราทำชั่วได้เพราะยึดอัตตาตตัวตนนั้นแหละ ใช่มั้ย ไปปล้นเขา ไปฆ่าเขา ไปกีดกันเขา ไปอิจฉาเขา อะไรอย่างนี้ ก็เพื่อ Serve อัตตาตัวตนทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นการที่ท่านสอนบอกว่า ไม่ทำชั่ว ถือศีลไว้นะ อะไรต่ออะไรไว้เนี่ย ไม่ทำความชั่ว ก็เพื่อลดกำลังความรุนแรงของอัตตาตัวตนลง การที่ท่านสอนให้ทำความดี คุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ก็เพื่อลดทอนอัตตาตัวตนนั่นเอง ลดทอนกำลังของมัน

ยกตัวอย่าง เราต้องมีสัจจะ มีสัจจะ คนเราทำไมต้องไม่มีสัจจะ เพื่อปกป้องตัวเอง รู้สึกมั้ย บางคนต้องโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง นะ เพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อรักษาตัวเองไว้ แล้วเมื่อไหร่จะพ้นจากตัวเองได้ ทำไมต้องมีขันติ ขันติอดทนอดกลั้นนะ ในการพากเพียรไป พากเพียรนี่ต้องสู้กับความขี้เกียจขี้คร้านนะ ขี้เกียจขี้คร้านก็เพราะรักตัวเองอีกแหละ ทำไมต้องมีทาน ทานคือการเสียสละ ทำไมต้องมีเมตตา ใช่มั้ย เมตตา ไม่ได้เห็นแก่ตัวไม่ได้รักแต่ตัวเอง มีเมตตากับผู้อื่น ก็เพื่อลดอัตตาตัวตนอีก รู้จักรักคนอื่นเสียบ้าง ไม่ใช่รู้จักรักแต่ตัวเอง รู้จักให้คนอื่นเสียบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะครอบครอง ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้นะ เพื่อลดอัตตาตัวตน ลดความรุนแรงของอัตตาตัวตนทั้งสิ้น

มีสติ มีปัญญา ล่ะ มีปัญญาบารมี ปัญญาก็เป็นการเห็นความจริงของกายของใจ ว่าไม่ใช่อัตตาตตัวตน เพราะฉะนั้นการจะละชั่ว การจะทำดีเนี่ย ก็เพื่อลดความรุนแรงของอัตตาตัวตนลง จิตมันจะค่อยๆผ่องแผ้วขึ้น ที่ผ่องแผ้วขึ้นเพราะเจริญวิปัสสนา จนบรรลุมรรคผลนิพพาน

ทีนี้อย่าเอาแต่จิตผ่องแผ้วนะ ต้องละชั่ว ต้องทำดีด้วย การละชั่ว การทำดี จะช่วยส่งเสริมให้จิตผ่องแผ้ว อยู่ๆจิตไม่ผ่องแผ้วหรอก หลวงพ่อเคยทุ่มเท แก้คนหนึ่ง ไม่ถือศีล ทุ่มแรงลงไปนะ ๖ เดือน ๗ เดือน ไม่ถือศีล อยากได้มรรคผลนิพพาน จะภาวนาอย่างเดียว ไม่ได้กินหรอก ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไม่ไหว ต่างคนต่างไปนะ ช่วยตัวเองไปเถอะ

เพราะฉะนั้นคุณงามความดีทั้งหลายนะ ต้องทำ อกุศลทั้งหลาย ความชั่วทั้งหลาย ต้องลดละ มันจะทำให้การภาวนาของเรานี่ง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
Track: ๔
File: 510223
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๒ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พวกเรามีหน้าที่เจริญสติไป ถึงเวลามันพอของมันเอง

mp 3 (for download) : พวกเรามีหน้าที่เจริญสติไป ถึงเวลามันพอของมันเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่ดูลย์เองก็ไปเรียนกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นสมัยโน้นท่านก็ยังไม่ถึงขั้นสุดขีดอะไรหรอก ท่านภาวนาได้..ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยนะคือจบปี ๓ แล้ว กำลังเรียนปี ๔ ยังไม่จบ ทีนี้หลวงปู่ดูลย์ไปเรียนด้วย หลวงปู่มั่นก็สอนหลวงปู่ดูลย์ให้ทำความสงบแล้วก็พิจารณากายนี้แหละ เบื้องต้นนะ พอท่านทำสอบปี ๑ ผ่านเนี่ยนะ ไปเรียนต่อ หลวงปู่มั่นสอนให้ดูจิตแล้ว

หลวงปู่มั่นท่านสอนเลย สพฺเพ สงฺขารา สพฺพ สญฺญา อนิจฺจา (สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนิจจา) สพฺเพ สงฺขารา สพฺพ สญฺญา อนตฺตา (สัพเพสังขารา สัพพะสัญญา อนัตตา) สอนอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็มาดูๆนะ ดูอยู่ไม่กี่เดือนหรอก ท่านก็แจ้งอริยสัจจ์ขึ้นมา รู้เลยว่า ถ้าไม่มีความเป็นตัวเป็นตนนะ ถ้าไม่มีความปรุงแต่งความเป็นตัวตนก็ไม่มี ถ้าไม่มีความเป็นตัวตนนะ ความทุกข์มันก็ไม่มีที่อยู่ที่ตั้ง ก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น ทีนี้ท่านก็เลยรู้แจ้งอริยสัจจ์แห่งจิตขึ้นมา

ลีลาแห่งการรู้แจ้งของท่านก็ประหลาดนะ ท่านก็คงเจริญสติธรรมดานี่แหละ ถึงเวลาก็ทำความสงบบ้าง เดินจงกรมอะไรของท่าน ก็ทำอย่างนั้นแหละ เหมือนที่เราปฏิบัติเนี่ย แต่อินทรีย์ท่านแก่กล้าแล้ว ท่านใช้เวลาไม่มาก วันหนึ่งบิณฑบาตมา ฉันเสร็จแล้ว ท่านเอาบาตรไปล้าง ระหว่างนั่งล้างบาตรอยู่ เวลาท่านพูดถึงเนี่ย ท่านไม่ได้บอกว่าท่านนั่งล้างบาตร แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้เห็นว่าพระรุ่นโบราณยืนล้างบาตรนะ แต่ว่าพระรุ่นใหม่นี้ยืนล้างบาตรนะที่ล้างมันสูง ท่านอยู่ตามห้วยตามเขาตามอะไร ต้องนั่งล้างเอา

ระหว่างที่ล้างบาตรเนี่ย มีแมวตัวหนึ่งวิ่งมา มีหมา ๓ – ๔ ตัว ไล่มา หมาไล่กัดแมว หลวงปู่ก็หันไปดู แมวนี่วิ่งจ๊กๆๆ ไปเจอต้นมะละกอ กระโดดขึ้นต้นมะละกอไป ไปเกาะอยู่ข้างบน หมาเข้ามาล้อมต้นไม้ไว้ เห่าใหญ่ หมาเนี่ยจะขึ้นต้นไม้ไม่ได้ สัตว์ตระกูลหมามันไม่ขึ้นต้นไม้หรอกพวกหมา ยกเว้นหมาชนิดเดียว ชื่อหมาไม้ หมาไม้ขึ้นต้นไม้ได้ แต่หมาไม้ไม่ใช่หมา เรียกเป็นหมาไปอย่างนั้นแหละ

แมวนี่นะ พอเห็นหมาอยู่ข้างล่างนะ แมวก็หัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะหมาด้วยใจ แหมแมวคงไม่ร้องเฮ่อๆออกมานะ ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่คงไม่ได้อะไร คงตกใจ พอแมวมันหัวเราะเยาะหมานะว่าเอ็งทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว ท่านบอกว่าตอนนั้นท่านปิ๊งเลย ท่านเข้าใจเลยว่า ถ้าจิตพ้นจากความปรุงแต่งแล้วความทุกข์ก็มีไม่ได้

ทำไมต้องไปเกิดตอนนั้น คล้ายๆเรื่องพระเซ็นเลยนะ พระเซ็น อิคคิวซังนะ ซาโตริตอนได้ยินอีการ้อง พวกเราไปหาเทปอีกามาฟังนะ ฟังมันก็ไม่ซาโตริหรอก เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรามีอันเดียวแหละ ภาวนาไป เจริญสติไป เหมือนเรามีหน้าที่กินข้าวก็กินไปนะ หน้าที่อิ่มมันเป็นหน้าที่ของท้อง ไม่ใช่หน้าที่ของเราหรอก หน้าที่กินก็เคี้ยวไป กินไป ถึงเวลาใจมันพอแล้ว มันก็พอของมันเองแหละนะ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะพอตอนไหน กลางวันหรือกลางคืน เราไม่รู้หรอกว่ามันจะพอตอนไหน เราไม่รู้ว่าจะพอตอนยืน ตอนเดิน ตอนนั่ง หรือตอนนอน นะ ไม่แน่นอนนะ เราไม่รู้ว่าจะพอตอนหายใจออกหรือว่าหายใจเข้านะ แต่ว่ามันพอตอนมีสติ ถ้าเมื่อไรเราทิ้งขาดสตินะ เอ้อระเหยลอยชายไปนะ ไม่พอหรอกในขณะนั้น

เพราะฉะนั้นเราฝึกมีสติ รู้กายรู้ใจบ่อยๆนะ รู้ไปเรื่อยๆ วันไหนมันพอ มันก็พอของมันเอง ใจเราจะเปลี่ยนแปลงไปนะ ความทุกข์มันจะตกหายไปจากใจเรา มีความสุขล้วนๆเลย คราวนี้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๘
File: 520612.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

mp 3 (for download) : ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพ่งมากๆนะ ไม่ได้กินหรอก เครียด ปฏิบัติธรรมแล้วเครียด ผิดแน่นอน จิตที่เครียดเป็นอกุศลนะ เป็นโทสะมูลจิต ผิดแน่นอน จิตที่แข็งๆเป็นอกุศลนะ จิตที่เป็นกุศลนะ จะต้องเบา ถ้าหนักๆแน่นๆ ไม่ใช่ จิตที่เป็นกุศลมีลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความอ่อนโยนนุ่มนวล มีปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว ถ้าทื่อ…ทื่อทั้งวันนะ ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลมีกัมมัญญัตตา ควรแก่การงาน มีสภาวะอะไรที่ต้องรู้ต้องเห็น ก็รู้ก็เห็น ไม่ใช่แกล้งไม่รู้ไม่เห็น จิตที่เป็นกุศลนะ มีอุชุตา ซื่อตรงในการรู้สภาวธรรมนะ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป จิตที่เป็นกุศลไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เนี่ยสำรวจกายใจเรานะ

นักปฏิบัติจำนวนมากเลย ที่ลงมือปฏิบัติแล้วเกิดอกุศลจิต เริ่มตั้งแต่อยากปฏิบัติ เนี่ยจิตมีโลภะ ก็ลงมือปฏิบัตินะ บังคับตัวเองไปเรื่อยเลย ด้วยอำนาจของโลภะ บังคับเดินจงกรมตั้งนาน นั่งสมาธิตั้งนาน จิตไม่สงบสักที มันสงบไม่ได้นะ เพราะจิตยังมีกิเลสรุนแรงย้อมอยู่ผลักดันอยู่ พอไม่สำเร็จนะโทสะก็เกิด หรือมีโลภะอยากปฏิบัติก็ลงมือบังคับตัวเอง บังคับตัวเองแล้วเครียดขึ้นมา โทสะก็เกิด เพราะฉะนั้นลงมือปฏิบัติแล้วพัฒนาโลภะโทสะอุตลุดไปหมดเลยนะ หรือนั่งสมาธิแล้วเคลิ้มขาดสติลืมเนื้อลืมตัวไป นั่นพัฒนาโมหะนะ หรือว่านั่งสมาธิแล้วก็ออกนอก เห็นโน่นเห็นนี่นะ จิตฟุ้งซ่าน นั่นก็เป็นโมหะอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาลงมือปฎิบัติต้องระวังนะ เพราะจะปฏิบัติจนไปอบายภูมิก็ได้นะ ถ้าปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ถูก

เพราะฉะนั้นต้องรู้ทางสายกลางให้แม่น แล้วการปฏิบัติจะง่าย ถ้าจิตเผลอไป รู้ทัน ถ้าบังคับตัวเองอยู่ เพ่งกายเพ่งใจอยู่ คอยรู้ทัน จิตจะตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นเนี่ยจะไม่ไหลไปทางเผลอจะไม่ไหลไปทางเพ่ง จิตกลายเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นจะมีความเบา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน มีความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่อตรงในการรู้อารมณ์ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ ไม่มีราคะไม่มีโทสะนะ เนี่ยค่อยๆสังเกตไปเรื่อย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๙
File: 550722
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระพุทธเจ้าตัวจริงอยู่ไหน?

mp 3 (for download) : พระพุทธเจ้าตัวจริงอยู่ไหน?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นยังไง ใครเคยเห็นมั้ย พระพุทธเจ้าจริงๆคือตัวธรรมะนั้นแหละ ร่างกายของเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุเช่นเดียวกันกับร่างกายของพวกเรานี่แหละ อันนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวจริงหรอกนะ ตัวธรรมะแท้ๆนั้นแหละคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยนิพพานไปไหนหายไปไหนเลยนะ ยังอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ใช่สูญไปแล้วหรอก วันใดที่เราเข้าถึงธรรมะเราจะรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงๆ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาเลย

ฝึกเอานะ ฟังแล้วเหมือนยาก ฟังแล้วเหมือนลึกลับ มันลึกลับเพราะมองไม่เห็น ของอยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละนะ ไม่ได้ไกลตัวอะไรเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๘
File: 520612.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ยอมจำนนต่อทุกข์ จึงพ้นทุกข์

mp 3 (for download) : ยอมจำนนต่อทุกข์ จึงพ้นทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เห็นร่างกายมันเต็มไปด้วยความทุกข์ ตัวจิตเอง พอมีสติถี่ๆขึ้นมานะ เห็นทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ใช่สุขบ้างทุกข์บ้างแล้วนะ มันจะกลายเป็นทุกข์ล้วนๆเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นมาแล้วก็บีบคั้นทั้งนั้นเลย เป็นความบีบคั้นทั้งสิ้น เป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย เนี่ยเห็นอย่างนี้นะ เห็นมาก มากๆเข้า ถึงจุดหนึ่งนะ มันไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว จนมุมเลย

จะไปอยู่ตามวัดภาวนา หวังว่าจะมีความสุข ก็ไม่มี เพราะว่าไปที่ไหนนะ ก็เอากายเอาใจไปด้วย กายกับใจมันตัวทุกข์น่ะ ไปไหนก็เอาทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีที่หนีเลย เข้าสมาธินะ เข้าไปลึกเลย สบายๆ เผลอๆ เพลินๆ นะ เข้าไม่นานนะ สติปัญญาทำงานขึ้นมา มันถอนออกมา เห็นเลย สมาธิก็เป็นภพอีกอันหนึ่ง ไปเข้าฌานอยู่ เป็นภพอีกอันหนึ่ง ก็ทุกข์อีกนะ อยู่ได้ชั่วคราวก็ถอนออกมาอีกแล้ว

เนี่ยฝึกจนกระทั่ง ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำบอกว่า สามแดนโลกธาตุเนี่ย หาที่จะหยั่งเท้าลงไปด้วยความสุขไม่ได้เลย แล้วทำอย่างไร ทำอย่างไรดี จึงจะพ้นจากความทุกข์ ไม่มีทางทำเลย ขอเลิกไม่ดูได้มั้ย เลิกก็ไม่ได้อีก สติปัญญามันอัตโนมัตินะ หมุนจี๋อยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืนนะ เห็นจิตหมุนติ้วๆๆ จับอารมณ์โน้น จับอารมณ์นี้ ตลอดเวลาเลยนะ เดี๋ยวเหวี่ยงไปที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นะ หมุนจี๋ๆๆอยู่ ข้างในก็หมุนอยู่ตลอด มีแต่ทุกข์ล้วนๆเกิดขึ้นเลย นี่เห็นอย่างนี้จนถึงจุดหนึ่งที่จิตมันพอนะ จิตมันจนมุมแล้ว มันไม่รู้จะหาทางออกยังไงอีกต่อไปแล้ว เพราะว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ทุกข์หมดเลย ไม่มีทางหนีจากความทุกข์ได้เลย

พอจิตยอมจำนนกับความทุกข์ จิตยอมรับความจริง เรียกว่าคล้อยตามความจริงแล้วว่า กายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ นี่เรียกว่าจิตคล้อยตามอริยสัจจ์แล้วล่ะ คล้อยตามความจริงนะ จิตก็หมดความดิ้นรนเลย เพราะจิตมันหมดความดิ้นรนนะ มันยอมรับความจริงแล้ว มีแต่ทุกข์ล้วนๆ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป มีแต่ทุกข์ล้วนๆ จิตยอมรับความจริงแล้วจิตจะสลัดตัวเองออกจากกองทุกข์ ตรงนี้มันสลัดของมันเอง มันจะพ้นออกไปเอง

เป็นเรื่องที่แปลกเป็นเรื่องที่อัศจรรย์นะ เราดิ้นรนหาทางพ้นทุกข์แทบตายก็ไม่พ้นหรอก แต่ว่าพอจิตมันเอียนทุกข์เต็มที่นะ มันรู้เต็มที่แล้ว จนกระทั่งมันรู้ว่าไม่มีทางหนีแล้ว มันยอมจำนนกับความทุกข์แล้ว หมดดสติหมดปัญญาที่จะแก้ไขให้พ้นจากความทุกข์แล้ว แบบหลังชนกำแพง ถูกผู้ร้าย ๕ ตัว ถือมีดมาไล่จิ้มเอาๆ ๕ ตัวคือมารทั้ง ๕ ตัว ไล่จิ้มเอาๆ หลังชนกำแพง รอบนี้ตายแน่ อย่างนี้จิตถึงจะยอมปล่อยวาง โอ้… กายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา เอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ หนีมันก็ไม่ได้ เห็นมั้ยเอาไว้ก็ไม่ดีใช่มั้ย หนีไปก็ไม่ได้ เนี่ยจิตยอมรับตรงนี้ จิตเป็นกลางเลย ยอมรับความจริง จิตจะเป็นกลางแล้วยอมรับความเป็นจริง กายนี้ใจนี้ทุกข์นะ ยอมรับมัน ความจริง รู้เลย หนีก็ไม่ได้นะ สู้ก็ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่พ้น ตรงนี้แหละที่จิตจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลกไป เป็นภาวะที่พวกเรานึกไม่ถึงน่ะ คิดด้วยคำพูดไม่ได้ นึกเอาไม่ได้ ต้องฝึกเอา เราจะรู้เลยความพ้นทุกข์มีจริงๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑
File: 520704A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๓ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่เราไม่เห็นเอง

mp 3 (for download) : นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่เราไม่เห็นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราได้ฟังธรรมะนะ มีบุญแล้วล่ะ หัดเจริญสติ หัดรู้กายหัดรู้ใจไป อย่าท้อถอย บางคนจะได้ในชีวิตนี้ หลายคนจะได้ในชีวิตนี้ แต่อีกหลายคนจะยังไม่ได้ในชีวิตนี้ ต้องสะสมไปอีกนะ อย่าท้อถอย ถ้าท้อถอยก็คือไม่ได้ตลอดไป เดินไปเรื่อยๆนะ วันละก้าวสองก้าว ก็มีสติรู้กายรู้ใจเรื่อยๆไป วันหนึ่งมันต้องได้

เส้นทางนี้นะ มันเป็นเส้นทางที่ไม่ได้ยาวไกลเท่าที่คิดหรอก เส้นทางนี้ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ คล้ายๆจากที่นี่ไปศรีราชาเอง เพราะจริงๆนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี่ล่ะ ศรีราชายังไกลไปนะ ศรีราชาไกลเกินไป นี่เป็นการเทียบให้ฟัง สมมุติว่าอยู่ศรีราชา สมมุติว่านิพพานอยู่ศรีราชา เดินทุกวัน วันละก้าว แต่ต้องเดินให้ถูกทาง เดินไปทางนี้ก็ไม่เจอ ใช่มั้ย เดินไปทางนี้ก็ไม่เจอ เดินไปทางนี้ก็ไม่เจอ ต้องเดินไปทางนี้ ข้ามเขาไปข้ามห้วยไป เดี๋ยวก็เจอ

ถ้าเดินผิดทางจะไม่เจอ ถ้าเดินถูกทางคือมีสติรู้กายรู้ใจไปเรื่อย วันหนึ่งก็เจอ ไม่ยาวไกลเท่าที่คิดหรอก เพราะนิพพานอยู่ใกล้ตัวนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานอยู่กระทั่งในใจเราตอนนี้ แต่เราไม่เห็นเองน่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนทรงนิพพานอยู่แล้วนะ คนละเรื่องกันนะ ไม่เห็นนิพพาน ไม่อาจทรงนิพพานอยู่ได้หรอก มันไม่ได้ยากเท่าที่คิดเลย

อะไรมันปิดบังนิพพานไว้ล่ะ สมมติบัญญัติปิดบังรูปนามไว้ รูปนามก็ยังปิดบังนิพพานไว้อีกทีหนึ่ง สมมติบัญญัติก็เลยปิดบังนิพพานไว้อีกทีหนึ่ง มันถูกซ้อนปิดบังไว้หลายหน

เพราะฉะนั้นเรามีสตินะ ขั้นแรกรู้ตัวขึ้นมา เราหลุดออกจากสมมติบัญญัติก่อน มารู้กายมารู้ใจ เมื่อไรเห็นความจริงของกายของใจนะ จิตวางกายวางใจปั๊บลงไปนะ ก็จะเห็นนิพพานเลย ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นเลยนะ เพราะเวลาเราภาวนาเรามารู้อยู่ที่กายที่ใจนี้ เวลาปล่อยวางกายปล่อยวางใจก็ปล่อยวางอยู่ตรงนี้เอง นิพพานก็ปรากฎอยู่ตรงนี้เอง ไปเทียบกับศรีราชานี้ไกลมาก จริงๆจะว่าปลายจมูกก็ยังไกลเกินไป อยู่ที่ใจเรา พ้นความดิ้นรน พ้นความปรุงแต่ง พ้นความอยากขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะเห็น อยู่ตรงนั้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๑๘
File: 520612
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่ได้ฝึกห้ามคิด ไม่ได้ฝึกข่มจิต แต่ฝึกให้รู้ตามความเป็นจริง

mp3 for download: ไม่ได้ฝึกห้ามคิด ไม่ได้ฝึกข่มจิต แต่ฝึกให้รู้ตามความเป็นจริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราไม่ได้นั่งสมาธิให้ไม่คิดหรอก นั่งสมาธิแล้วคอยรู้ทันจิตที่มันฟุ้งไป จิตแอบไปคิดแล้วรู้ จิตแอบไปคิดแล้วรู้

ไม่ได้ฝึกห้ามมันนะ จิตเป็นอนัตตา ห้ามไม่ได้จริงหรอก ไปข่มไว้มันมีแต่ยิ่งเครียดนะ เพราะฉะนั้นเราไม่ข่มมัน เหมือนอย่างความกลัวเกิดขึ้น ความกลัวก็เป็นอนัตตา จิตที่กลัวก็เป็นอนัตตา ให้เรารู้เฉยๆนะ ไปข่มมันยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก

ของคุณที่เครียดง่าย เพราะชอบ่ข่มจิตมากไป คอยรู้นะไม่ใช่ให้ไปข่มนะ ไปฝึกตัวนี้ให้ดีเลย แล้วจะมีความสุขกว่านี้อีกเยอะเลย ไปฟังซีดีนะ จะรู้ว่า ให้รู้ ไม่ใช่ให้ไปข่มมัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๗

File: 531204B
ระหว่างนาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๔๔
ถึงนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาจนสติปัญญาอัตโนมัติ จะเห็นแต่ทุกข์

mp 3 (for download) : ภาวนาจนสติปัญญาอัตโนมัติ จะเห็นแต่ทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หัดเบื้องต้นนะ มีสติก็มีความสุข มีสมาธิก็มีความสุข มีปัญญาก็มีความสุข จนสติมันทำงานบ่อย อัตโนมัติขึ้นมา แต่เดิมเห็นความสุขโผล่ขึ้นมาแล้วหายไป โผล่แล้วหายไป ต่อไปไม่ใช่อย่างนั้น ภาวนาไปถึงจุดหนึ่งนะ พอสติปัญญามันอัตโนมัติเนี่ย มันจะเห็นเลย โผล่มาทีไร ทุกข์ทุกทีเลย กระทั่งความสุขก็เป็นความทุกข์

ความสุขก็เป็นความทุกข์นะ เป็นสิ่งที่เสียดแทงใจเหมือนกัน ความสุขก็ทำให้จิตใจเสียสมดุลย์ ความทุกข์ก็ทำให้ใจเสียสมดุลย์ ฝึกไปๆเห็นมีแต่ทุกข์ กายนี้ทุกข์ ใจนี้ทุกข์ นะ จะทำอะไรๆก็ทุกข์นะ ตรงไหนก็ทุกข์หมดเลย ทุกๆหน ทุกๆแห่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งหมดเลย ทุกข์จนเบื่อหน่าย ขอไม่ดู ขอไม่ดูดีกว่า กลับไปเป็นคนบ้าๆแบบเดิมดีกว่า สบายดี จิตก็ไม่ยอม อย่านึกนะว่าจะสุข ไม่ใช่เวลาที่จะมีความสุข ตอนนี้น่ะ เป็นเวลาที่จะต้องเรียนรู้ความจริง ของกายของใจ

เราพัฒนามีสติ มีใจที่ตั้งมั่นขึ้นมานะ จะเห็นเลยว่ามันมีแต่ทุกข์ ทุกข์ทั้งวัน ทุกข์ทั้งคืน หลับก็ทุกข์ ตื่นก็ทุกข์ สมัยภาวนาไม่เป็นนะ ไปนอนหลับก็ว่ามีความสุข ตอนนี้ภาวนาเป็น จำนวนมากแล้ว รู้สึกมั้ยว่าหลับก็ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อนแล้ว แล้วสุขอยู่ที่ไหน สุขหายไปแล้ว

ในความเป็นจริง ความสุขเป็นภาพลวงตา ในความเป็นจริง โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ คนหลงหรอกมันมองไม่เห็นความทุกข์ กิเลสตัวหนึ่งนะมันหลอกลวง กิเลสมันหลอกลวง ตัณหาพาให้เราไปเห็นว่า อย่างโน้นสิแล้วจะสุข อย่างนี้สิแล้วจะสุข มันหลอกให้เราอยากไปเรื่อยๆ หลอกให้เราดิ้นไปเรื่อยๆ พอดิ้นๆไปนะ ตัณหามันหลอก มีแฟนสิแล้วจะสุข มีแล้วไม่สุขน่ะ มันสอนต่อ ต้องมีเมียถึงจะสุข มีเมียแล้วไม่สุขน่ะ ต้องมีใหม่แล้วสุข มันสอนเราไปเรื่อยๆนะ ผลักดันเราไปเรื่อยๆเลย โอ้..มันขับ มันผลักดันนะ เป็นแรงผลัก บีบคั้นอยู่ตลอดวันตลอดคืนเลย

กิเลสตัณหานะ ศัตรูร้ายของความสงบสุขในชีวิต ทีนี้จิตใจของเรายังไม่มีสติปัญญาพอจะทำลายรากแก้วของมัน กิเลสตัณหาเกิดทั้งวันเลย แต่ก่อนมันเกิดขึ้นมานะ เราสนองกิเลสไปเรื่อย เราไม่รู้หรอกว่า กิเลสตัณหาทำความทุกข์ให้ ตอนนี้เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราแค่เห็นเลย แค่ใจอยากขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ใจมีความอยากขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว รู้สึกมั้ย ใจถูกบีบคั้นตลอดเวลาเลย ทั้งวันทั้งคืนมีแต่บีบคั้นนะ ไม่รู้จะสุขตรงไหน

ไปนอนหลับมันยังไม่หลับดีเลย ร่างกายหลับนะ กรนคร่อกๆเลย จิตดันตื่นขึ้นมา มองเห็นกายนอน น่าอเน็จอนาถ เห็นร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ตัวจิตเอง พอมีสติถี่ๆขึ้นมานะ เห็นทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ใช่สุขบ้างทุกข์บ้างนะ มันจะกลายเป็นทุกข์ล้วนๆเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่บีบคั้นทั้งนั้นเลย เป็นความบีบคั้นทั้งสิ้น เป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑
File: 520704A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สงสัยก็ให้รู้ว่าสงสัย

mp 3 (for download) : สงสัยก็ให้รู้ว่าสงสัย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ศัตรูเบอร์หนึ่งของการปฏิบัตินะ ก็คือการที่เราไปหลงอยู่กับการคิดนั่นเอง พยายามจะคิดให้เข้าใจ ถ้าคิดให้เข้าใจธรรมะได้นะ พวกนักคิดก็จะบรรลุพระอรหันต์แล้ว ทำไมนักคิดบรรลุพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะไม่เห็นสภาวะ ทำไมไม่เห็นสภาวะ เพราะมัวแต่คิด

เพราะฉะนั้นศัตรูเบอร์หนึ่งเลยนะของนักปฏิบัติน่ะ ก็คือการหลงไปอยู่ในความคิด กระทั่งการคิดว่าทำอย่างไรถึงจะปฏิบัติถูก ทำอย่างไรน้า…หลวงพ่อนี้สอนน่ะ มันแปลว่าอะไรน้า.. คิด วิเคราะห์ใหญ่นะ แปลว่าอย่างไร จะทำยังไง มีแต่ความสงสัยเกิดขึ้นแล้วเราไม่ดูสภาวะ ถ้าความสงสัยเกิดขึ้นเราเห็นเลย สภาวะของความสงสัยกำลังปรากฎอยู่ เนี่ยคือความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความสงสัย เรารู้ว่าความสงสัยกำลงปรากฎอยู่ เราก็จะเห็นเลย ความสงสัยมันเกิดได้เองนะ เราไม่ได้สั่งให้เกิดเลย จิตมันสงสัยขึ้นได้เอง เนี่ยอันนี้ก็แสดงอนัตตาแล้ว ความสงสัยมีอยู่แล้วก็หายไป พอเรามีสติไปรู้ทัน ไม่ได้ไปคิดต่อ ความสงสัยก็ดับ โอ้..นี่แสดงไตรลักษณ์แล้ว แสดงความไม่เที่ยง

เนี่ยการปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อชอบสอน สงสัยให้รู้ว่าสงสัย ไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ใช่สำนวนเลย แต่เป็นการบอกอย่างซื่อๆ บอกอย่างตรงๆเลย สงสัยก็รู้ไปว่ากำลังสงสัยอยู่ เราก็จะเห็นเลย ความสงสัยเกิดแล้วก็ดับ ต่อไปความโกรธเกิดก็รู้ว่ากำลังโกรธอยู่ เราก็จะเห็นว่าความโกรธเกิดแล้วก็ดับ ความสุขเกิดแล้วดับ ความทุกข์เกิดแล้วดับ สุดท้ายปัญญามันพอมันก็จะเห็นว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ ถ้าปัญญามันแจ้งนะ จิตใจมันแจ่มแจ้งนะว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ นั่นแหละคือภูมิธรรมของพระโสดาบัน พระโสดาบันไม่ใช่คนคิดเก่งนะ

หลวงปู่ดูลย์สอนเลย “คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิด” คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คือในขณะที่คิดอยู่นั้นน่ะ ไม่สามารถจะรู้ได้ ในขณะที่รู้ก็ไม่คิด คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ลงท้ายท่านบอกว่า ก็อาศัยคิด แต่ก็ต้องอาศัยคิด คือเราปล่อยให้จิตมันคิดนั่นแหละ แต่พอจิตมันคิดไปแล้ว เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ให้รู้ เกิดกุศลให้รู้ เกิดอกุศลให้รู้ ให้รู้สภาวะที่เกิดขึ้นตามหลังความคิดมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๙
File: 550722
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จุดสุดท้ายที่ภาวนาได้ คือ จิตเป็นกลางด้วยปัญญา

mp 3 (for download) : จุดสุดท้ายที่ภาวนาได้ คือ จิตเป็นกลางด้วยปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ อันที่หนึ่งเกิดจากการเพ่งเอาไว้ ถ้าเพ่งใจทื่อๆแล้วเป็นกลางเนี่ย ไม่ดี เป็นกลางเพราะมีปัญญา มีปัญญาเห็นทุกอย่างมันชั่วคราว ในที่สุดจิตจะเป็นกลางเอง อันนี้ดีที่สุดเลย

ความจริงมีอีกอันหนึ่ง เป็นกลางด้วยสติ คือทีแรกเป็นกลางด้วยการเพ่ง อันที่สองเป็นกลางเพราะมีสติรู้ทันจิตที่ไม่เป็นกลาง ความไม่เป็นกลางดับนั้น ก็เป็นกลางขึ้นมาชั่วคราว อันนี้ก็ยังดีอยู่ อย่างที่ดีที่สุดคือเป็นกลางด้วยปัญญา เวลาที่เรามีสติตามดูไปเรื่อย เห็นสภาวะทั้งหลายเกิดดับไปเรื่อย เห็นจิตเป็นกลางบ้างไม่เป็นกลางบ้าง ยินดีบ้าง(พอใจบ้าง – ผู้ถอด) ยินร้ายบ้าง(ไม่ชอบใจบ้าง – ผู้ถอด) ทั้งเป็นกลาง ทั้งยินดี ทั้งยินร้าย ก็มีแต่เกิดดับอีก

ในที่สุดปัญญามันเกิด มันจะเห็นว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับ พอปัญญาเกิดเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับเนี่ย จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา ความทุกข์มาก็ไม่ทุรนทุราย รู้ว่าไม่นานก็ดับ ความสุขมา ก็ไม่ติดใจรักใคร่พัวพัน เพราะรู้ว่าอยู่ไม่นานก็ดับ (โยม : ค่ะ) เนี่ย เป็นกลางอย่างนี้ ใช้ได้เลย (โยม : ค่ะ)

พวกเราที่ภาวนานะ วันหนึ่งเราจะต้องมาสู่จุดนี้ให้ได้ คือความเป็นกลางด้วยปัญญา เพราะถัดจากความเป็นกลางด้วยปัญญาแล้ว ถัดจากนั้นขึ้นไป อริยมรรคจะเกิดแล้ว จุดสุดท้ายที่พวกเราจะภาวนาได้นะ ก็คือภาวนาจนกระทั่งจิดเป็นกลางด้วยปัญญา เป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างเลย ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ดูไปวันหนึ่งจิตมีปัญญา เห็นทุกอย่างเกิดแล้วดับ จิตจะเป็นกลาง จิตเป็นกลางตัวนี้เรียกว่า จิตมีสังขารุเบกขาญาณ ญาณแปลว่าปัญญา สังขารุเบกขาก็คือ มีอุเบกขาต่อความปรุงแต่ง ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์

จิตที่เดินมาถึงสังขารุเบกขาญาณเนี่ย จะมีรอยแยก ๒ ทาง มีทางแยก ทางที่ ๑ นะ พวกเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ พวกนี้จะพลิกไปสู่การเกิดมรรคผล พวกที่สองนะ เกิดความกรุณาสงสารสัตว์โลก จิตจะพลิกไปสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ มีพลิกไปได้สองทาง แล้วพวกที่เป็นโพธิสัตว์ที่เข้ามาถึงตรงนี้ได้ ถ้าไปเจอพระพุทธเจ้า อาจจะได้รับการพยากรณ์ ว่าอีก ๑๖ อสงไขย แสนมหากัปป์ข้างหน้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อีกนาน โลกแตกหลายรอบ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๒
File: 520808B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามโอฆะได้ด้วยการไม่พักไม่เพียร

mp 3 (for download) : ข้ามโอฆะได้ด้วยการไม่พักไม่เพียร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ครั้งหนึ่งมีเทวดา ไปทูลถามพระพุทธเจ้า เทวดานี้ท่านนึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้า คล้ายๆจะไปแลกเปลี่ยนความรู้กัน มาที่วัดนะ กลางคืน ยังราตรีให้สว่างไสวไปหมดเลย ด้วยรัศมีของเทวดา พระที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ก็จะเห็น ถ้าไม่มีก็ไม่เห็น สว่างไสวด้วยรัศมีของเทวดานี้

เทวดาไปถึงก็ยืนพนมมือนะ แล้วทูลถามพระพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะ โอฆะแปลว่าห้วงน้ำ ห้วงกิเลสนั่นเองแหละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะได้อย่างไร คล้ายๆชวนแลกเปลี่ยนทัศนะกันนะ เดี๋ยวท่านตอบแล้วเราจะตอบบ้าง ว่าชั้นข้ามมาด้วยวิธีนี้นะ ท่านข้ามมาได้ด้วยวิธีไหน กะจะมาชวนคุยธรรมะนะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าท่านก็ตอบ ดูกรท่านนิรทุกข์ นิรทุกข์แปลว่าผู้ไม่มีความทุกข์ อันนี้เป็นคำยกย่องนะ จริงๆเทวดานี้ยังทุกข์แต่ยังไม่เห็นหรอก ดูก่อนท่านนิรทุกข์ เราข้ามโอฆะได้นะ เพราะเราไม่พักและเราไม่เพียร เทวดาเจอหมัดเด็ดเข้า ไม่พักไม่เพียร หา..ข้ามโอฆะได้ด้วยการไม่พักและไม่เพียรเหรอ ไม่พักเนี่ยพอเข้าใจใช่มั้ย ขยันปฏิบัติไป ไม่เพียรด้วยเหรอ เออ..

เทวดาผู้(คิดว่าตนเอง – ผู้ถอด)เป็นพระอรหันต์งงแล้ว เอ๊ะ พระพุทธเจ้าข้ามโอฆะด้วยการไม่พักและไม่เพียร เป็นไปได้อย่างไร มีแต่บอกให้เพียรเยอะๆไปเลย ใช่มั้ย เนี่ยท่านแกล้งน็อคนะ น็อค ทำให้งง เทวดาก็หมดความถือตัวนะ ทูลถามท่าน เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า ไม่พักไม่เพียร ให้ช่วยขยายความหน่อย ไม่เข้าใจ ยอมรับแล้วนะว่าไม่เข้าใจ

พระพุทธเจ้าท่านขยายความ ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าเราพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเราเพียรอยู่เราจะลอยขึ้น เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆะได้ด้วยวิธีนี้ เทวดาได้พระโสดาบันเลย ได้มั้ย พวกเราฟังเหมือนเทวดา ใครได้ยกมือสิ เห็นมั้ย บารมีสู้เขาไม่ได้นะ เทวดาแจ้งแล้วเทวดาก็ไป แต่พอพระพุทธเจ้ามาเล่าให้พระอานนท์ฟังใช่มั้ย มนุษย์ทั้งหลายที่ฟังตามหลังเนี่ย ไม่แจ้ง อรรถกถาก็เลยต้องมาขยายความให้อีกนะ พระพุทธเจ้าขยายความให้เทวดามา ๑ ชั้นแล้ว ทีแรกท่านบอกว่าท่านไม่พักไม่เพียร พอขยายความท่านบอกว่า ถ้าพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเพียรอยู่เราจะลอยขึ้น เราไม่พักไม่เพียร เราข้ามโอฆะได้ด้วยวิธีนี้ อรรถกถาต้องมาแปลต่ออีกทีเพื่อให้คนรุ่นเรารู้เรื่อง

คำว่าพักอยู่เนี่ย ก็คือการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส คือกามสุขัลลิกานุโยคนั่นเอง การที่เราวิ่งพล่านไปทางตา วิ่งพล่านไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิ่งคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่านไป นั่นแหละคือการหลงโลก เราติดต่อโลกภายนอกผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง เรียกว่าอายตนะที่เชื่อมต่อสัมผัสโลกข้างนอก ถ้าจิตวิ่งพล่านออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนี้เรียกว่าหย่อนเกินไป แล้วทำไมท่านบอกว่า ถ้าเราพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเราปล่อยจิตใจของเรานะ ร่อนเร่ไปเรื่อย ตามกิเลสไปเรื่อย จะจมลง นึกออกหรือยังว่าจะจมลงอย่างไร จะลงอบาย(ภูมิ)นะ ใจจะลงอบาย ลงที่ต่ำไปเรื่อย

คำว่าเพียรอยู่เนี่ย ก็คือการฝึกหัดตัวเอง บังคับควบคุมตัวเอง คือ อัตตกิลมถานุโยค ยกตัวอย่างเวลาที่พวกเราคิดถึงการเดินจงกรม เราก็เริ่มบังคับกาย เริ่มบังคับใจ เวลาเราคิดถึงเรื่องการนั่งสมาธิ เราก็บังคับกาย บังคับใจ มีแต่บังคับจนมันนิ่งๆแข็งๆทื่อๆ ไม่แสดงไตรลักษณ์ แล้วท่านก็บอกว่า ถ้าเราเพียรอยู่คือบังคับตัวเองอยู่เนี่ย เราจะลอยขึ้น ลอยขึ้นไปอย่างไร ก็ไปสุคติใช่มั้ย สุคติมีตั้งแต่เป็นมนุษย์นะ เป็นเทวดา เป็นพรหม ลอยขึ้น

ถ้าพักอยู่ คือปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลสจะจมลง สู่อบาย อบายภูมิทั้ง ๔ นะ ตั้งแต่สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต ขึ้นมาใกล้มนุษย์แล้ว ถ้าเพียรอยู่ พยายามควบคุมตัวเองบังคับตัวเอง ไม่ให้ตามใจกิเลส ก็จะได้เป็นมนุษย์ ได้เป็นเทวดา ได้เป็นพรหม ไม่นิพพาน ทั้งสองฝั่ง เห็นมั้ยว่าไม่มีช่องของพระนิพพาน ช่องของพระนิพพานนั้น ไม่พักและไม่เพียร ไม่พักคือไม่หลงไปไม่เผลอไป ไม่เพียรคือไม่ควบคุมกดข่มบังคับตัวเอง

ช่องตรงกลางก็คือ การรู้รูปนามตามความเป็นจริง รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องคิดเอาเอง และไม่ใช่เรื่องบังคับกายบังคับใจให้นิ่งนะ เพราะฉะนั้นทางสายกลางอยู่ตรงที่เราไม่พักไม่เพียร ไม่หย่อนไม่ตึงนั่นเอง ให้รู้รูปนามตามความเป็นจริง ที่หลวงพ่อย่อลงมาบอกว่า “ให้มีสติ รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”

ถ้าเราไม่รู้กายรู้ใจเราก็ย่อหย่อนไป ลืมกายลืมใจเมื่อไหร่ นึกเลยนะ ถ้าเมื่อไหร่เผลอ ขาดสติ ลืมกายลืมใจ ต้องรู้นะ ขณะนั้นย่อหย่อนแล้ว โอกาสที่จะไปอบายภูมิเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ถ้าขณะไหนลงมือปฏิบัติแล้วก็แน่นไปหมดเลย ควบคุมตัวเองแน่นไปหมดเลย ขณะนั้นตึงเกินไป ไปสุคติได้แต่ไปนิพพานไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่เห็นไตรลักษณ์ กายก็จะนิ่ง ใจก็จะนิ่ง เมื่อไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม เรียกว่าไม่เห็นความจริง เมื่อไม่เห็นความจริงย่อมไม่เบื่อหน่ายไม่คลายความยึดถือ ไม่หลุดพ้นนะ

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา เดินจิตเข้าสู่ทางสายกลางให้ได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๙
File: 550722
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตัวผู้รู้เหมือนเรือ ถึงฝั่งแล้วต้องทิ้งเรือ

mp 3 (for download) : ตัวผู้รู้เหมือนเรือ ถึงฝั่งแล้วต้องทิ้งเรือ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่ดูลย์เคยบอกหลวงพ่อนะ ผู้ปฏิบัติที่มีชื่อเสียงมากมายนะ ท่านบอกว่าส่วนใหญ่ก็มาตายอยู่ตรงนี้แหละ มาติดอยู่ที่ตัวผู้รู้นี้ มาติดอยู่ที่ตัวจิต รักษาจิตไปนิรันดรนะ ไม่สามารถปล่อยวางจิตได้ เราก็ต้องเห็นว่าตัวผู้รู้เองตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มันถึงจะปล่อยตัวผู้รู้ได้ ปล่อยตัวผู้รู้ได้คราวนี้ก็ไม่มีอะไรให้จับแล้ว ค่อยๆฝึกไป

แต่ตอนนี้ต้องมีผู้รู้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ตัวผู้รู้เหมือนเรือ ขึ้นบกแล้วก็ทิ้งเรือ ขณะที่ขึ้นบกกับขณะที่ทิ้งเรือเนี่ย สมมุติว่าเรือมาจอดใกล้ๆตลิ่ง เรากระโดดข้ามไปนะ มันต่อเนื่องกันไป แล้วก็ทิ้งตอนที่มันถึงฝั่งแล้ว ตอนนี้ยังต้องอาศัยตัวผู้รู้ เหมือนเรือ เรากำลังเดินทางในทะเลอยู่ ในวัฏฏะ มีตัวผู้รู้เหมือนเรือ อาศัยมันไป เดินปัญญาแก่รอบก็ถึงฝั่ง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๕
File: 550817B
ระหว่างนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนชาวนาปลูกข้าว

mp 3 (for download) : ผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนชาวนาปลูกข้าว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ครูบาอ๊า.. ไปอ่านเจอพระไตรปิฎกอันหนึ่ง พระสูตร พระพุทธเจ้าสอนบอกว่า คน ผู้ปฏิบัตินี่นะเหมือนคนทำนา ชาวนาเนี่ย เขาต้องคอยไถนา มีงานหลักคืองานไถนา งานหว่านข้าว ข้าวงอกก็มีเรื่องการไขน้ำเข้า-ไขน้ำออก ตอนนี้น้ำน้อยไปเอาน้ำเข้ามา ตอนนี้น้ำมากไปเอาน้ำออกไปอะไรอย่างนี้ บอกว่างานหลักก็มีเท่านี้แหละ เสร็จแล้วพอถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง ข้าวออกรวงเอง ชาวนาไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวออกรวงเอง ชาวนาแค่ไปไถนา ไปหว่านข้าว ไปเอาน้ำให้ต้นข้าวพอเหมาะพอควร ท่านบอกว่างานของชาวนานมี ๓ อย่างนี้ ถ้าชาวนารุ่นนี้ต้องมีใส่ปุ๋ย ใช่มั้ย ใส่ยา ใส่อะไรเข้าไปอีก มันห่างธรรมชาติมากขึ้นๆ

ทีนี้ชาวนาเขามีงาน ๓ อย่าง เขาทำงานของเขาแล้วเนี่ย ถึงเวลาต้นข้าวก็จะออกรวง ศีลอันยิ่ง สมาธิอันยิ่ง อันยิ่งๆคืออะไร อันยิ่งๆก็คือสัมมานั่นเอง ตัวสัมมาสติ, สัมมาสมาธิ, สัมมาทิฎฐิ อะไรอย่างนี้นะ ถ้าเป็นศีลธรรมดา(คือ ศีลทั่วๆไปศีลที่ต้องตั้งใจรักษา – ผู้ถอด) สมาธิธรรมดา(คือ สมาธิทั่วๆไปสมาธิชนิดจิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว – ผู้ถอด) ปัญญาธรรมดา(คือ ปัญญาจากการ อ่าน-ฟัง-คิด-ถาม ผู้ถอด) ไม่ได้รู้กายไม่ได้รู้ใจ ไม่ลดละกิเลสได้ ก็ไม่เรียกว่า “อันยิ่ง” หรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
Track: ๖
File: 510307
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องอดทน การปฏิบัติเหมือนพายเรือทวนน้ำ

mp 3 (for download) : ต้องอดทน การปฏิบัติเหมือนพายเรือทวนน้ำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไมหลวงพ่อชอบพูดว่า ไม่แยกการใช้ชีวิตกับการปฏิบัติออกจากกัน อันนั้นไม่แยกเวลา เวลาของเราต้องถือเลยว่า ชีวิตของเราเนี่ย เรามีเป้าหมายของชีวิตที่จะต้องไปให้ถึง เราเกิดมาไม่ใช่หมูหมาวัวควาย เรามีเป้าหมายในชีวิต เราเป็นมนุษย์ทั้งที เป้าหมายในชีวิตของเราคือ ต้องยกระดับจิตใจของเรา ไปสู่ความพ้นทุกข์ให้ได้ เรื่องอะไรที่เราต้องจมความทุกข์ตลอดกาล

เนี่ยเรามีเป้าหมายนะ แล้วก็ต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายนี้ให้ได้ ต้องอดทน ต้องอดกลั้น ต้องพากเพียร ปฏิบัติเอา ตื่นนอนมา คิดเลย ไม่ใช่คิดเอา หมายถึงว่า พอตื่นนอนมา คอยรู้สึกกายรู้สึกใจเลย ที่หลวงพ่อบอกว่าการปฏิบัติไม่แยกนะ หมายถึงเวลาของชีวิตเราเนี่ยเป็นเวลาเพื่อการปฏิบัติ ส่วนการไปนอนการไปทำมาหากินที่ต้องใช้ความคิด ในเวลานอนไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ เวลาทำมาหากินที่ต้องใช้ความคิดเนี่ย ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ เวลานั้นเป็นข้อยกเว้นตามความจำเป็น ไม่นอนก็ไม่ได้ ต้องนอน ถ้าไม่นอนเลย จิตใจฟุ้งซ่าน ร่างกายไม่แข็งแรง จิตใจไม่แข็งแรง ภาวนายาก อันนั้นเป็นข้อยกเว้นนะ

เพราะฉะนั้นชีวิตที่เหลือ ชีวิตของเราทั้งหมดนั่นแหละ เป็นชีวิตเพื่อการยกระดับจิตใจของเราขึ้นสู่ที่สูง ถ้าเราบอกว่าตอนนี้ปฏิบัติ ตอนนี้ไม่ต้องปฏิบัติ ไปเที่ยวเล่น เฮๆฮาๆ หลงโลกไปนะ ชีวิตมันพัฒนายาก พัฒนาได้นะ แต่ช้า มันเหมือนพายเรือทวนน้ำเลยนะ การปฏิบัติเนี่ย

พายเรือทวนน้ำเนี่ยจะหยุดไม่ได้ ต้องพายไปเรื่อยๆ หยุดเมื่อไหร่ถอยหลังเมื่อนั้นเลยนะ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ย หลวงพ่อบอกว่า ให้ทำตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ กับเวลาทำงานที่ต้องคิด อันนั้นมันจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตนะ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตนี้เฉพาะหน้า ส่วนการยกระดับจิตใจนั้นน่ะ เป็นงานหลักของเราในวัฏฏสงสารนี้ ต้องยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ

พายเรือทวนน้ำเหนื่อยนะ แต่อดทน อดทนไป มันมีแก่ง พายแล้วทวนน้ำขึ้นไปนะ ถึงจุดหนึ่งแล้วจะมีที่พักเป็นช่วงๆไป มีที่พักอยู่ ๓ ช่วงนะ อึดๆไปนะ ช่วงแรกต้องอึดให้มากเลย เอาให้ได้โสดาฯให้ได้ก่อน พอได้โสดาฯแล้วนะ คล้ายๆ เออ..อยากพักก็พักไปเหอะ พักได้ไม่เกิน ๗ ชาติ ยังไงก็ต้องไปต่อแล้ว ทนอยู่ต่อไปที่เดียวนี้ไม่ได้แล้ว น่าเบื่อ พอได้โสดาฯแล้ว ที่เดิมนี้มันน่าเบื่อแล้ว ต้องไปข้างหน้าอีก ทนอยู่ไม่ได้จริง แล้วก็จะไม่เกิน ๗ ชาติ

เพราะฉะนั้นพวกเราที่ยังไม่ได้โสดาฯ อดทนไว้นะ ถ้าได้โสดาฯแล้ว หลวงพ่อไม่จ้ำจี้จ้ำไชแล้วล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๐
File: 550804A
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้

mp 3 (for download) : จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คำสอนของพระพุทธเจ้านะให้ประโยชน์ให้ความสุข ทั้งปัจจุบันนะ อนาคต อนาคตพวกเรายังไปไม่ถึง เราดูครูบาอาจารย์ หลวงพ่อแต่ก่อนก็เหมือนพวกเราอย่างนี้แหละ เป็นฆราวาส ทำงานหัวปักหัวปำ แต่ว่าภาวนานะ มีเวลามีโอกาสก็ไปกราบครูบาอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลาย แต่ละองค์ๆทำไมดูท่านงดงาม ท่านผ่องใส ท่านงดงาม ท่านร่มเย็น เหมือนต้นโพธิ์ต้นไทรนะ พอเข้าใกล้ก็เย็นฉ่ำ

บางองค์พิการ เข้าไปกราบ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบท่านเป็นอัมพาต ลุกไม่ได้ นอนอยู่ คนก็เยอะนะ พระก็เยอะนะ เข้าไปก็มุดๆๆเข้าไป ไปเห็นองค์ท่านนอนอยู่ เขาเอาผ้าคลุมไว้นะ โผล่หน้าออกมา นึกกราบท่าน ขอกราบพระอรหันต์ ท่านลืมตาขึ้นมา พยักหน้า ดูท่านแล้วผ่องใสจังเลย สดใสจังเลย

ยกตัวอย่างเราเห็นคนเฒ่าคนแก่นะ เจ็บไข้ได้ป่วยดูไม่ได้เลยนะ เฉา เข้าใกล้ก็เฉาไปด้วยแล้ว หรืออย่างหลวงปู่สุวัจน์ก็เป็นอัมพาตนั่งอยู่บนรถเข็นไปอยู่ริมน้ำ ท่านก็พูด “โอ้ สุขแท้น้อ สุขแท้น้อ” อะไรอย่างนี้ มีความสุข ไปเจอท่านตอนที่ท่านเป็นอัมพาตแล้วท่านกลับมาจากอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกที่เจอหลังจากท่านเป็นอัมพาต ไปที่ใกล้ๆวัดกู้ เขาเรียกว่าอะไรนะ สวนทิพย์ ก็ไปนั่งรอนะ เขาเข็นรถท่านออกมาจากห้อง โห..ดูหลวงปู่ผ่องใสจังเลย เรายังอยู่กว่าตั้งเยอะนะ แข็งแรงด้วย ยังดูมอมแมม

เนี่ย ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นนะว่า อนาคตเราจะมีประโยชน์อย่างไร แต่ว่าเราไปเห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านศึกมาโชกโชนแล้วเนี่ย โอ้..งามจริงๆเลย ท่านมีชีวิตอยู่อย่างที่โปร่ง เบา ผ่องใส ร่มเย็น เป็นที่พึ่งของลูกเล็กเด็กแดง นกกาทั้งหลาย มาพึ่งกัน ทำไมมีความสุขได้มากขนาดนั้น ทั้งๆที่แก่ ทั้งๆที่เจ็บ เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ เรารู้เลย โอ้..ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆนะ วันหนึ่งเราก็ได้ความสุขอย่างนี้มา แก่ก็สุข เจ็บก็สุข ตายก็สุขนะ

ในตำราชอบพูดถึงพระอรหันต์ ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า ว่าเวลาที่ท่านจะปรินิพพานท่านจะผ่องใสเป็นพิเศษเลย อันนี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาดีก็เป็นอย่างนั้นนะ วันที่จะมรณภาพเนี่ย จะผ่องมากเลย งามมากเลย กระทั่งหลวงปู่ดูลย์ งามจนคนรู้สึก โอ้โห..ท่านแข็งแรงอย่างนี้นะ เนี่ย ท่านจะตายท่านก็ตายอย่างมีความสุข ไมได้ตายอย่างทุรนทุราย จมความทุกข์ตายไป

เนี่ยมีประโยชน์นะ มีความสุข ตั้งแต่ปัจจุบันที่เราเริ่มลงมือปฏิบัติ แค่รักษาศีลก็มีความสุข แค่ฝึกจิตให้สงบก็มีความสุข ฝึกจิตให้ตั้งมั่นก็มีความสุข หัดแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย ตรงนี้เห็นทุกข์แล้ว เห็นทุกข์ไปเรื่อย ใจยิ่งโปร่งโล่งเบา มีความสุข ยิ่งเห็นทุกข์ยิ่งมีความสุข พอผ่านวางขันธ์ไปแล้ว โอ้.. ยิ่งมีความสุข สุขมาก กลางวันก็สุข กลางคืนก็สุข หลับอยู่ก็สุข ตื่นอยู่ก็สุข อยู่จนแก่จนเฒ่า แต่ละองค์ๆ ดูมีความสุขมาก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๕
File: 550817B
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เป็นพระโสดาบันไม่เหลือวิสัยที่พวกเราจะทำได้

mp 3 (for download) : เป็นพระโสดาบันไม่เหลือวิสัยที่พวกเราจะทำได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องยาก เป็นวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาๆอย่างพวกเราจะเป็นได้ ความสามารถของพวกเรานี้ ไม่น้อยกว่าคนในสมัยพุทธกาลหรอก แต่คนสมัยพุทธกาลเขาหิวโหยธรรมะนะ ของเราเนี่ยมันเอียนธรรมะ ในสมัยพุทธกาลนะก่อนนั้นไม่มีพระพุทธเจ้านะ พอมีพระพุทธเจ้าขึ้นมานะ ธรรมะของท่านเป็นของสดใหม่ ไม่เคยได้ยินไม่เคยได้ฟัง สังคมยุคนั้นมีแต่เรื่องอาตมัน มีเรื่องอัตตาตัวตน ท่านบอกว่าไม่มีตัวตน เป็นเรื่องแปลกใหม่แหวกแนวออกมา มันกระทบใจคนนะ แล้วตั้งใจศึกษา แปลกดีนะ ตั้งใจศึกษา ค้นคว้าเข้าไป ในที่สุดก็พ้นๆไป

พวกเราพอเกิดมาก็อยู่ในแวดวงชาวพุทธแล้วนะ ตื่นนอนมา เปิดวิทยุบางทีก็ได้ยินธรรมะ หมุนหนีไม่ทันก็เพราะมีธรรมะอยู่ วนเวียนออกมาจากบ้านก็เห็นพระมาเดินอะไรอย่างนี้ มันซ้ำซาก ใจมันดื้อด้าน คล้ายเรามีเชื้อโรคมากนะ เชื้อนี้ดื้อยาแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะจะเอาชนะเชื้อโรคที่ดื้อยานะ ก็ต้องสู้กันหนักหน่อยนะ พวกเราไม่ได้โง่กว่าสมัยพุทธกาลหรอก แต่สิ่งเร้า สิ่งยั่วยวนของเรานี้เยอะกว่าเขา นี่ส่วนหนึ่งนะ อีกส่วนหนึ่งใจของเราชินกับธรรมะนะ ฟังมาจนเพลินๆ

คนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลากินเหล้านะ ผู้ชายไทยทั้งหลายเนี่ย เวลากินเหล้านะแก้วแรกยังสุภาพเรียบร้อยนะ แก้วหนึ่งน้องนุช แก้วสองพุทธวาจา กินเหล้าเข้าไปนะแล้วคุยธรรมะกันนะ แก้วสามแกล้วกล้าพูดจาองอาจ อย่างนี้นะ ชักดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คือมันชินกับธรรมะนะ เหล้ายังคาปากอยู่เลย พูดว่าจะไปนิพพาน เนี่ย แบบนี้ ใจมันจะเฉื่อยชาไม่สนใจจริง ถ้าเราสนใจให้จริง ตั้งอกตั้งใจภาวนาให้จริงจังนะ ฮึดๆไป สักพักเดียวแหละ ไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาๆอย่างพวกเราจะทำได้หรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๐
File: 550804A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 20 of 67« First...10...1819202122...304050...Last »