Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ทีนี้พอได้โสดาบันแล้ว การภาวนาก็ยังทำอย่างเก่านั้นแหละ นะ การทำภาวนาอย่างเก่า รู้กายไปรู้ใจไป มีสติ รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน ทีละขณะ ทีละขณะ คำว่าปัจจุบันก็คือ ๑ ขณะจิตต่อหน้าเรานี่แหละ รู้ลงทีละขณะ ทีละขณะ นิดเดียว เล็กนิดเดียว ๑ ขณะ สำคัญนะ ในทางศาสนาพุทธ อะไรหนึ่ง หนึ่ง เนี่ย สำคัญทั้งนั้นเลย นะ เราภาวนาไปจนถึงจุดสุดท้ายนะ จิตเป็นหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์ก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ครูบาอาจารย์บางองค์เรียกว่า เอกจิต เอกธรรม หรือจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง บางองค์เรียก ฐีติจิต ฐีติธรรม แล้วแต่จะเรียก เป็นหนึ่งทั้งหมดเลย หนึ่งเดียวรวด

เพราะฉะนั้นภาวนาอยู่กับหนึ่งขณะจิตต่อหน้านี้ ไม่มีตัวมีตน คอยรู้ไปๆนะ ถึงจุดหนึ่ง จิตของเราก็จะเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้น หมายถึง ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นสองได้อีกแล้ว จิตที่มันเป็นสองได้ เป็นสามได้ เพราะว่ามันถูกปรุงแต่ง

เหมือนอย่างน้ำที่บริสุทธิ์นี้มีอยู่หนึ่งเดียว ใช่มั้ย น้ำเขียว น้ำแดง น้ำซ่าๆ น้ำเน่า น้ำเหม็น น้ำหอมอะไรนี่ เพราะมันมีของอื่นไปปรุงแต่งเอา พอมันกลั่นตัวของมันจนบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็เป็นสภาวะอันเดียวล้วนๆเลย ก็เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ของจิตของใจ เวลามีจิตใจเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว มาดูโลก ดูสรรพสัตว์ ดูตัวเอง ดูอะไรต่ออะไรทั้งหมดเนี่ย ก็จะเห็นเป็นหนึ่งเหมือนกัน คือว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเสมอกันหมดเลย

ภาวนานะ ถึงจุดสุดท้าย เข้าถึงจิตก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง อยู่กับความเป็นหนึ่งนั้นแหละยู่กับความไม่มี อยู่กับความไม่เป็นอะไร นี่ ฟังของหลวงพ่อคำเขียนท่านพูด ท่านอยู่กับความไม่มีไม่เป็นแล้วสะใจ ถ้าคนมาเล่าว่าเนี่ย จิตเป็นอย่างนี้ แล้วไปอยู่ตรงนี้นะ ฟังแล้วไม่สะใจ ฟังแล้วเอียนๆ นะ

ฝึกเอานะ ศาสนายังไม่ใช่สูญหายไป แต่เรียนให้ดี เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี อย่าเชื่ออาจารย์มากเกินไป สติปัฏฐานสำคัญนะ ต้องเรียน อริยสัจจ์ ๔ ต้องเรียน เรียนปริยัติไปก่อน ถ้าเราไม่รู้จักสติปัฏฐาน ไม่รู้จักอริยสัจจ์ ไม่รู้จักไตรลักษณ์ อะไรอย่างนี้นะ ไม่ไหว ภาวนาไม่ไหว พวกนี้เป็นความรู้พื้นฐาน เพราะฉะนั้นจะเรียนพวกนี้นะ หลวงพ่อเขียนไว้ให้อ่านแล้วนะ เยอะแยะเลย นะ ไปอ่านเอาเอง ช่วยตัวเอง หลวงพ่อช่วยไม่ไหวแล้ว นะ เรือหลวงพ่อลำเล็กนะ หลวงพ่อเป็นเรือบด ลำเล็กๆเอาตัวรอดเท่านั้นแหละ พายตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ข้ามทะเลของหลวงพ่อเอาเอง พวกเราก็ต้องหาเรือของเราเองนะ สิ่งที่จะเป็นเรือให้กับพวกเราคือธรรมนั่นแหละ ทำอะไรบ้างล่ะ สติ สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ  สติ สัมมาสมาธิ ปัญญา หรือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฎฐิ สิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ  สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง

เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา

เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา  พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี

หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง

เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง

ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด

ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ

มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ

เพราะฉะนั้นเวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๗ ถึง นาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๕) มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริง

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๕) มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: อันแรก ต่อสู้กับมิจฉาทิฎฐิของตัวเองก่อน ทะเลอันที่หนึ่ง มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ วิธีจะดูให้เห็นว่าตัวเราไม่มีนะ ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอาว่าตัวเราไม่มี คิดยังไงมันก็เชื่อว่า “ฉันมี” แต่ฉันแกล้งไม่มี นะ มันจะแกล้งทำ

ให้เรารู้ลงในกาย รู้ลงในใจ อะไรก็ได้ เริ่มจากกายก็ได้ ถ้าเริ่มจากกายถูกต้องก็จะรู้ใจ หรือจะเริ่มจากใจก่อนก็ได้ ถ้าเริ่มรู้ใจถูกต้องก็จะรู้กายด้วย นะ จะรู้สองอัน ไม่รู้อันเดียว ถ้าคนไหนภาวนาแล้วรู้อันเดียว ทำผิดแน่นอนนะ เพราะจริงๆมันมีสองอัน จะมารู้อันเดียว เลือกรู้อันเดียว ทำผิดแล้ว

เช่นบางคนจะดูแต่ลมหายใจอย่างเดียว ให้ลืมโลกไปเลย โลกนี้เหลือแต่ลมหายใจ เนี่ยสะสมมิจฉาทิฎฐินะ แทนที่จะละมิจฉาทิฎฐิ จะรู้สึก “กูเก่งๆ” “กูบังคับจิตให้อยู่กับลมได้” หรือ “กูบังคับจิตให้อยู่กับท้องพองยุบได้” จิตไม่หนีไปที่อื่นเลย “กูเก่งๆ”

ความจริงต้องรู้ ตามที่เขาเป็น ตามความเป็นจริง ของเราก็คือมันมีทั้งกายมีทั้งใจนะ เดี๋ยวก็รู้กาย เดี๋ยวก็รู้ใจไป ถ้าจะรู้กาย เราก็เห็นร่างกายนี้ มันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอนไป ใจเป็นแค่คนรู้มัน ถ้าจะรู้จิตใจเราก็เห็นจิตใจเคลื่อนไหว ทำงานไป พอมีการเคลื่อนไหวทางกาย เช่น ตามองเห็น จิตใจก็เคลื่อนไหวตาม หู ได้ยินเสียง เช่น เขาด่ามา ใจก็เคลื่อนไหว คือ โทสะเกิดขึ้น นะ มันเนื่องกัน ทั้งกายทั้งใจ ไม่ใช่รู้อันเดียวนะ ถ้าจงใจไปรู้อันเดียวเป็นสมถะ เป็นสมถกรรมฐาน ถ้ารู้ถูกต้อง มันรู้ทั้งกายรู้ทั้งใจ เห็นกายนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน ใจเป็นคนดูไป ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะเห็นเลย กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่ใจไปรู้เข้าเท่านั้นเอง เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ มันไม่บรรยายอย่างที่หลวงพ่อพูดนะ มันจะรู้สึกแค่ว่ามันไม่ใช่เราหรอก

ไม่ใช่ว่าต้องมาพร่ำรำพัน เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นธาตุ เป็นขันธ์ มันไม่พูดนะ เป็นความรู้สึกเท่านั้นแหละ รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวเรา ดูลงมาในเวทนา ในความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ เราจะเห็นเลย ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ก็ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า จะเห็นอย่างนี้ นะ กุศล อกุศลทั้งหลาย นะ ที่เรียกว่าสังขาร กุศล อกุศลทั้งหลาย โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ไม่ใช่เราอีก ดูไปอย่างนี้

ตัวจิตเองล่ะ จิตเดี๋ยวก็เกิดที่ตา ดับที่ตา เกิดที่หู ดับที่หู เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น นะ ไม่ใช่มีจิตดวงเดียววิ่งไปวิ่งมา ถ้าเห็นว่าจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมาเป็นมิจฉาทิฏฐินะ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ ท่านสอนดี ท่านบอกว่า ถ้าใครเห็นว่า จิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ ตัวผู้รู้เองก็ไม่เที่ยง เป็นผู้รู้แล้วก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็หลงไปทางตา หลงไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เนี่ยดูลงมาในกายในใจบ่อยๆ ดูจนเห็นความจริงเลย มันไม่ใช่ตัวเราสักอันเดียวเลยนะ ร่างกายมันก็เป็นแค่วัตถุ

พวกเราลองทดสอบนะ เอ้า แก้ง่วงไปด้วย เอามือของตัวเองมา แล้วลองลูบดู ลองสัมผัสดูไปรู้สึกมั้ย มันเป็นท่อนๆแข็งๆรู้สึกมั้ย เนี่ย รู้สึกนะ รู้สึกไว้ แล้วลองตั้งใจฟังมันบอกมั้ยว่ามันเป็นตัวเรา มันเงียบๆ รู้สึกมั้ย มันไม่พูดหรอก จริงๆเราไปขี้ตู่ว่ามันเป็นตัวเรานะ จริงๆ เนี่ย ลองจับลงไปสิ เป็นก้อนแข็งๆอะไรก้อนหนึ่ง

ถ้าเราจับไปนะเราจะรู้สึก มันไม่มีตัวเราในก้อนนี้แล้ว เวลาความสุขความทุกข์เกิดขึ้นเราก็รู้ไปตรงๆ เหมือนที่เรารู้สัมผัสมืออย่างนี้ กุศล อกุศล เกิดขึ้นก็รู้มันเข้าไปตรงๆนั้นแหละ แล้วมันจะบอกเรามั้ยว่าเป็นตัวเรา ไม่มีพูดสักคำหนึ่ง ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้ ทีนี้ตัณหาเกิดจากอะไร ตัณหาเกิดจากอวิชา นี้ ทะเลตัวสุดท้ายนี้ ข้ามยากที่สุด ถ้าข้ามตัวนี้ได้นะ จะหลุดจากน้ำเชี่ยวนี้ได้ด้วย อวิชาเหมือนทะเลหมอก น้ำสงบนะ ไม่มีคลื่น ไม่มีลม สบายๆ แต่เหมือนมีหมอกปกคลุมจนไม่รู้อะไรเลย บางทีเราอยู่ห่างฝั่งใช่มั้ย ถูกคลื่นซัดตูมตาม ตูมตาม กระเสือกกระสนเข้ามา จนจะถึงฝั่งอยู่แล้ว เกือบถึงฝั่งแล้วนะ มันมีหมอกลง มันมองไม่เห็น ว่ายไปว่ายมา ว่ายออกทะเลลึกไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้ามอวิชานี้ยากที่สุดเลย ทะเลตัวนี้จะข้ามได้ต้องเห็นอริยสัจจ์ เห็นไม่เหมือนกันนะ เห็นมั้ย เห็นอริยสัจจ์ เห็นแจ้งอริยสัจจ์

อริยสัจจ์ที่ตัวลึกซึ้งที่สุดเลย คือการเห็นว่าจิตเป็นทุกข์นี่เอง นะ เราภาวนาไปนาน เราเห็นแต่จิตเป็นสุข เพราะจิตเริ่มสงบแล้ว ใช่มั้ย ข้ามทะเลโน้นทะเลนี้มาถึงภพที่สงบ ภพที่ไม่มีคลื่นมีลมแล้ว จิตใจก็พอใจ รักใคร่พอใจอยู่แค่นี้แหละ สบายใจแล้ว เสร็จแล้วก็ว่ายกลับไปกลับมาแล้ว ถูกคลื่นซัดออกไปอีกแล้ว

ถ้าเป็นปุถุชนเนี่ย ซัดไปหาทิฎฐิเลย เกิดมิจฉาทิฎฐิได้เรื่อยๆนะ ถ้าไม่ใช่พระอนาคาฯ ก็หลงไปในกามได้อีก เพราะฉะนั้นมันพร้อมจะถอยหลังได้ ทีนี้จะละอวิชาได้นะ ต้องรู้อริยสัจจ์ รู้ลงมานะ กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆเลย พวกเรามีแต่อวิชา เราเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง นี่อวิชานะ อวิชาพาให้เห็น

ไหน สารภาพมา มีใครรู้สึกมั้ย กายนี้ เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง มีมั้ย สารภาพ มีผู้ร้ายปากแข็งครึ่งห้อง นะ ไม่ยอมสารภาพ นะ พวกเรารู้สึกมั้ย จิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เห็นอย่างนี้แหละ อวิชา

ถ้าเห็นอย่างมีวิชา ก็จะเห็นว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง เห็นยากนะ ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ไม่แก่กล้าพอ มันไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ โดยเฉพาะจิตเนี่ย จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สงบ สะอาด สว่าง แหมฟังแล้วดีทั้งนั้นเลย ใช่มั้ย จะให้เห็นว่าเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ปฎิบัติกันปางตายเลยล่ะ เหมือนเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะ ถึงจะเห็น เพราะฉะนั้นทะเลตัวนี้ ทะเลอวิชา เป็นทะเลที่เรียบๆนะ แต่ยากสุดๆเลย ยากมากเลย จับต้นจับปลายไม่ถูก นะ มีแต่เรียนรู้นะ มาตามลำดับๆ รู้กาย รู้ใจมาตามลำดับ

พอรู้กายถูกต้อง แจ่มแจ้งได้พระอนาคาฯ จิตใจก็จะสบายขึ้นเยอะเลย จะไม่แส่ส่ายไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเหลือแต่ความสงบสุขอยู่ภายใน เพลิดเพลินอยู่กับความสงบสุขภายในจิตในใจของเราเอง นี่เอง

ต่อมาสติปัญญาแก่รอบลงมาอีก เห็นเลย ตัวจิตตัวใจที่ว่าสุขว่าสงบเนี่ย เอาเข้าจริงก็เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ ตัวนี้ไม่รู้ว่าจะพูดภาษามนุษย์ยังไงนะ ฟังเอาไว้ก็แล้วกัน มันเห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ มันจะทิ้งแล้ว จะวาง แต่ถ้ายังเห็นทุกข์บ้างสุขบ้าง มันไม่วางหรอก มันทุกข์ล้วนๆ โอ้ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ตัณหาจะดับทันทีเลย เมื่อมันเป็นทุกข์ล้วนๆแล้วจะอยากให้มันสุขได้อย่างไร นะ ของเรามีตัณหาขึ้นมาเพราะอยากให้ขันธ์ ๕ มีความสุข รู้สึกมั้ย อยากให้ขันธ์ ๕ พ้นทุกข์

แต่วันหนึ่งเรียน จนกระทั่งรู้ชัดเลย ขันธ์ ๕ นี่ทุกข์ล้วนๆน่ะ ไม่มีทางอยากให้มันมีความสุข ไม่มีทางอยากให้มันพ้นทุกข์อีกต่อไปแล้ว มันไม่สมหวัง มันทุกข์ล้วนๆ เนี่ย ใจเข้าถึงตรงนี้ ใจยอมรับตรงนี้จริงๆแล้วจะสลัดคืนเลย จะหมดตัณหาแล้วก็สลัดคืนความยึดถือกายความยึดถือใจให้โลก คืนเจ้าของเดิมนั้นเอง จิตใจก็จะเข้าถึงความสงบ สันติ ที่แท้จริง คือ นิโรธ หรือ นิพพาน บางทีก็มีหลายชื่อนะ อุปสมะ ก็ได้ นะ มีหลายชื่อเยอะแยะเลย ชื่อ ความจริงก็คือ ความสงบ สันติ ซึ่งมันพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นความยึดถือในธาตุในขันธ์ ในกาย ในใจ นี้เอง

พอพ้นปั๊บเราจะเห็นโลกนี้ มี แต่ไม่มีอะไร โลกนี้มีอยู่ แต่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า ว่างเปล่าไม่ใช่แปลว่า ไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน ว่างเปล่าจากกิเลส ว่างเปล่าจากขันธ์ ว่างเปล่าจากทุกข์ มันมีอยู่ของมันตามสภาพของมัน มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมัน แต่จิตใจที่ฝึกฝนอบรมจนกระทั่งไม่ยึดถือในจิตแล้วเนี่ย จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีก เห็นโลกนี้มีแต่ไม่มี ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นเอง จิตใจมีแต่ความสุขล้วนๆ สุขแบบนึกไม่ถึงนะ สุข สุขที่สุดเลย มีความสุขมาก ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร พระพุทธเจ้าท่านก็เลยใช้เอาง่ายๆ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย ไม่รู้จะใช้คำอะไรแล้ว ท่านใช้คำว่า “ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย

ความสุขของโลกๆที่พวกเรารู้สึกน่ะนะ รู้จักกันนะ ความสุขลุ่มๆดอนๆ สุกๆดิบๆ เป็นความสุขร้อนๆ สุกๆ เผ็ดๆ นะ เผ็ดร้อนรุนแรง สุขชั่วครั้งชั่วคราวได้มาแล้วก็เสียไป ตะกายหาอีก จับได้ปั๊บหลุดมือไปอีกแล้ว อย่างนี้ตลอดชีวิตเลย เดินทางในสังสารวัฏฏ์นะ ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ ข้ามมหาสมุทรสี่อันนี้ไม่ได้ ก็ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งอกตั้งใจนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๓) ทะเลภพ

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๓) ทะเลภพ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ถัดจากนั้นเหลืออีกสองทะเลนะ คือทะเลของภพ และทะเลของอวิชา เรียกว่า ภวะโอฆะ กับ อวิชาโอฆะ โอฆะคือภพ โอฆะคืออวิชา ห้วงน้ำ

ภพคืออะไร ภพคือการทำงานของจิต สังเกตมั้ยพวกเราภาวนา เห็นมั้ย จิตทำงานทั้งวันทั้งคืน หมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืน เห็นมั้ยจิตเดี๋ยวก็วิ่งพล่านๆไปทางตา เดี๋ยววิ่งพล่านๆไปทางหู วิ่งพล่าน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยหยุดพักนะ

จิตนี้สร้างภพสร้างชาติหมุนติ้วๆอยู่ภายในตลอดวันตลอดคืน จะข้ามมันไม่ใช่ง่ายนะ แค่เห็นมันยังยากเลย ภาวนากว่าจะเห็นจิตเข้าไปทำงานตรงนี้ยังยากแสนเข็ญเลย รู้สึกมั้ย นะ จะข้ามทะเลของภพได้นะ ภพนี้เหมือนทะเลที่น้ำเชี่ยว เพราะหมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืนนะ เดี๋ยวซัดไปทางโน้นซัดไปทางนี้ นะ กระแสน้ำนี้รุนแรง กระแสน้ำที่ซัดจิตใจเราวิ่งไปวิ่งมา พล่านๆทำงานไปในภพก็คือ ตัณหา นั่นเอง ตัณหาเป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่เลย เหมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ซัดเราไป ซัดไปไม่รู้ทิศทางเลยนะ สร้างภพไปเรื่อย เดี๋ยวไปเกิดที่ตา เกิดที่หู เกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๔ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๒) ทะเลกาม

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๒) ทะเลกาม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ข้ามทะเลตัวแรกได้ เหลืออีก ๓ ทะเล ข้ามยากนะ ทะเลหรือโอฆะตัวต่อไปคือกาม ข้ามยาก พวกเรา เห็นแต่กามคุณ เราไม่เห็นกามโทษ ทำให้เราข้ามไม่ได้ กาม คืออะไร กามก็คืออารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ อย่างเราเห็นรูปที่สวยๆอย่างนี้ รูปนั้นเรียกว่ากาม หูเราได้ยินเสียงที่เพราะๆ ถูกอกถูกใจ เรียกว่ากาม กลิ่นหอมๆ ถูกอกถูกใจ นี่เขาเรียกว่ากาม รสอร่อยๆก็เรียกว่ากาม สัมผัสที่นุ่มนวล อบอุ่น สบาย อะไรอย่างนี้ ก็เรียกว่ากาม การคิดคำนึงถึงอารมณ์เหล่านี้ เป็นกามทางใจ เรียกว่า กามธรรม

พวกเราเกิดมา เราก็แสวงหาแต่อารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจมาตลอดชีวิต เราเห็นว่าถ้าได้อารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจได้แล้วเราจะมีความสุข งั้นเราเห็นว่ากามเนี่ยนำความสุขมาให้  ยากนักยากหนานะจะกล้าข้ามพ้นอำนาจของกามได้ ถ้าไม่ใช่พระอนาคามีข้ามไม่ได้ ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะข้ามพ้นทะเลอันที่สองคือทะเลกาม เคยได้ยินใช่มั้ย คนชอบพูดทะเลกาม แต่ไม่มีคนพูดทะเลทิฎฐิใช่มั้ย เพราะอะไร เพราะคนพูดเนี่ยยังมีทิฎฐิอยู่ ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ทะเลกาม ข้ามยาก ข้ามยาก

ต้องรู้ลงมาอีก รู้ลงมาในกายในใจนี้น่ะนะมากๆ จนวันใดเห็นนะว่ากายนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทุกข์ล้วนๆ เห็นอย่างนี้ มันจะหมดความเพลิดเพลินยินดีพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลาย หมดความติดอกติดใจในกามคุณทั้งหลาย มันหมดของมันเองนะ ถ้ามันเห็นตัวนี้.. อย่างสังเกตมั้ย คนไหนเจ้าชู้มากๆนะ เกิดเจ็บหนักใกล้จะตายนะ หรือตัวเป็นแผลทั้งตัวแล้ว อะไรมาถูกนิดนึงก็แสบก็ปวดเนี่ย ให้มันไปกอดนางงามจักรวาลมันก็ไม่เอานะ เพราะมันไม่มีความสุขแล้ว

ถ้าเมื่อไรเราเห็นกายนี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆนะ มันจะไม่สนใจกามแล้ว จะไม่สนใจกามแล้ว ตาเห็นรูปจะสักว่าเห็นเลย ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับมันแล้ว หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส นะ จิตใจจะไม่ยินดียินร้าย มันไม่รักกายก็จะไม่รักกาม

ทะเลทิฏฐิเหมือนทะเลที่กว้างนะ ถ้าเทียบ เหมือนทะเลที่กว้างขวางไร้ขอบไร้เขต หลงเข้าไปแล้วไม่รู้จะไปทางไหนเลย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ เพราะฉะนั้นปุถุชนทั้งหลาย หลงอยู่ในทะเลที่ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ทางไหน มีพระพุทธเจ้ามาบอกทาง ทางนี้.. ทางนี้.. นะ คนที่รู้ทางเรียกว่าพระโสดาบัน รู้แล้ว ไปทางนี้แหละ ปลอดภัย งั้นจะข้ามทะเลทิฏฐิได้นะ ยาก เป็นทะเลที่กว้าง ไร้ขอบไร้เขต ดูอะไรดูไม่ออกหรอก ดูยาก แต่ข้ามได้ด้วยการที่เห็นลงมาในกายในใจว่าไม่ใช่เรา ทะเลกามนี้จะข้ามได้ เมื่อหมดความยึดถือกาย หมดความยึดถือในกาย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๒ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๑) ทะเลทิฎฐิ

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๑) ทะเลทิฎฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: วันก่อนโน้น หลวงพ่อ ไม่ค่อยได้ฟังธรรมะที่สะใจมานานแล้ว ธรรมะที่สะใจครั้งสุดท้ายที่ได้ยินนะ คือ หลวงพ่อคำเขียน ไปหาท่าน ไปเยี่ยม ท่านไม่สบาย เมื่อเดือนพฤศจิกาฯ

ท่านบอกว่า โอ๊ย.. ผมไม่มีอะไรแล้ว ผมอยู่กับความไม่มีไม่เป็นอะไรหรอก อู๊ยสะใจ สะใจจริงๆ จริงๆเราอยู่กับความไม่มีไม่เป็น แต่ความสำคัญมั่นหมายของเราเพราะความเห็นผิดนั่นนะ ไปสำคัญว่ามันมีมันเป็นขึ้นมา มันมีเรามีเขาขึ้นมา

กว่าเราจะข้ามทิฎฐิ ที่ว่ามันมีเรามีเขาขึ้นมาได้นี้นะ ข้ามยาก อันนี้เป็นทะเลหรือเป็นมหาสมุทรอันแรกนะ ของผู้ปฎิบัติ เรียกว่าโอฆะ โอฆะแปลว่าห้วงน้ำห้วงมหาสมุทรอะไรอย่างนี้ มหาสมุทรในโลกมันมีกี่อัน จำไม่ได้แล้ว เคยเรียน แต่มหาสมุทรในการปฏิบัตินี้มันมี ๔ อันนะ ต้องข้ามให้ได้ให้หมดเลย มีทะเลอยู่ ๔ ทะเล ถ้าข้ามได้หมดก็จะเอาตัวรอดได้

มหาสมุทรอันแรกเลย คือ ทิฎฐิ ทะเลคือทิฎฐิ คือความเห็นผิดของเรานี้แหละ เราไปเห็นผิดในของที่ไม่มีตัวมีตน ว่ามีตัวมีตนขึ้นมา เวลาเรามองโลกแล้วสะดุดปั๊บขึ้นมาเลย เกิดเราเกิดเขา เกิดสัตว์เกิดคน เกิดต้นไม้ เกิดสิ่งโน้น เกิดสิ่งนี้ โลกนี้ลุ่มๆดอนๆ

ในทางมหายานนะเคยมีสูตรอยู่สูตรหนึ่ง พระสารีบุตร ไปบอกพระพุทธเจ้าบอกว่า พระองค์ สร้างบารมีไม่ค่อยดีเท่าไร พุทธเกษตรของ.. หรือโลกของพระองค์ดูลุ่มๆดอนๆ พวกพระโพธิสัตว์ก็เถียง บอกว่าไม่จริงหรอก พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าเนี่ยเรียบเลย ราบเรียบไปหมดเลย ไม่มีความเป็นลุ่มเป็นดอน ไม่มีอะไรสะดุดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนได้เลย มันว่างเปล่า แต่ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไร

จริงๆนี่ก็แต่งเกินไป พระสารีบุตรไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก สาวกรุ่นหลังๆ ภาวนาไปยังเห็นโลกว่างได้เลย ทำไมพระสารีบุตรท่านจะไม่เห็น

มิจฉาทิฎฐิ เป็นสิ่งแรกที่พวกเราต้องภาวนา แล้วก็ข้ามมันให้ได้ คือเราสำคัญมั่นหมายว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเรา เราไปแบ่งแยกสมบัติของโลกส่วนหนึ่งออกมาเป็นตัวเราขึ้นมา ส่วนที่เหลือมันก็เป็นคนอื่น เป็นสิ่งอื่นๆ เป็นสิ่งที่แวดล้อมอยู่ ไปแบ่งตัวเองออกมา สำคัญมั่นหมายว่ามี ว่าเป็น เป็นโน่นเป็นนี่ด้วยนะ เป็นใหญ่เป็นโต เป็นคนดีเป็นคนเลว เป็นพวกทุศีลเป็นพวกมีศีล แบ่งตัวเองออกไปจากธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอะไรอยู่แล้ว เสมอภาคกันทั้งหมด

พอมีตัวเราขึ้นมาก็มีมิจฉาทิฎฐิต่อไปอีก ถ้าตัวเราตายไป เราไปเกิดอีก ตัวเราเที่ยง จิตเรานี้เที่ยง ร่างกายแตกสลายไป จิตนี้ยังไปเกิดได้อีก นี่ก็มิจฉาทิฎฐิแขนงหนึ่ง เรียกว่า สัสตทิฎฐิ อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตัวเรามีอยู่ แล้วตายไปก็หายไปเลย นี่ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิอีก เรียกว่า อุจเฉทิกทิฎฐิ รากเหง้าของมันก็เริ่มมาจากความมีตัวเรานี่แหละ มีตัวเราแล้วก็มีตัวเราอย่างเที่ยงแท้ถาวร หรือมีตัวเราชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็หายสาบสูญไป

ทะเลทิฎฐินี้จะข้ามได้ต้องเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ๔ ทะเลนี้ พวกเรายังข้ามไม่ได้สักทะเลหนึ่งเลยนะ ข้ามได้แค่ริมทะเลอะไรอย่างนี้ เที่ยวๆไปอย่างนี้ จะ ข้ามทิฎฐิตัวนี้ได้ต้องมีสติ มีปัญญา มีสัมมาสมาธิ มีสติรู้ลงมาในกายในใจนี่ มีใจที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ สักว่ารู้ สักว่าดู เวลาดูกายจะรู้สึกเหมือนว่ากายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เวลาดูเวทนาคือความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ มันจะรู้สึกว่าเวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง มีช่องว่างนะ ไม่ ไม่เป็นอันเดียวกัน มีช่องว่างมาคั่น

เวลาดูจิตที่เป็นกุศล อกุศล จะเห็นเลย อกุศลหรือกุศลทั้งหลายนะ กับจิตเนี่ยคนละอันกัน มีช่องว่างมาคั่น พวกเราดูออกแล้วใช่มั้ย เนี่ยเราดูไปเรื่อยนะ ใจเราตั้งมั่นจะสักว่ารู้สักว่าดูได้ เสร็จแล้วปัญญามันถึงจะเกิด มันจะเห็นเลย ทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เข้าล้วนแต่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป บังคับไม่ได้สักอันเดียว ดูมาจนกระทั่งถึงจิตที่ เป็นผู้รู้ผู้ดูนี่เอง ก็เห็นมันเกิดดับ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เป็นผู้รู้บ้าง เป็นผู้หลงบ้าง ดูไปดูมาในขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีตัวเราที่แท้จริง ให้มีสติรู้ลงมาในกายในใจนี้นะ ถึงจะละมิจฉาทิฏฐิได้ ข้ามทะเลตัวแรกได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าจิตหนักๆแสดงว่าผิด

mp 3 (for download) : ถ้าจิตหนักๆแสดงว่าผิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มาอยู่วัดที่เมืองกาญจน์นะ เดินจงกรมใหญ่เลย เดินหามรุ่งหามค่ำเลยนะ เดินขนาดว่า ถ้าขาเราเป็นเหล็ก ขาเราจะสึกไปเยอะเลย ตัวต้องเตี้ยกว่านี้อีก เดิน เดิน เดิน เดิน เดินไป หมดเรี่ยวหมดแรงก็ลงมานั่น หอบแฮ่กๆนะ มีแรงก็เดินใหม่ ยิ่งเดินจิตยิ่งแย่ลงๆ แย่กว่าตอนไม่บวชเสียอีก เดินอยู่เดือนครึ่งนะ เดือนอยู่เดือนครึ่งนะ เข้าพรรษามาครึ่งพรรษา วันหนึ่งบ่ายๆหมดเรี่ยวหมดแรงเลย บ่ายสอง มาเดินจงกรมอยู่ที่ระเบียง ต้นไม้ไม่มี ตอนนั้นอยู่ในท้องนา ปลูกต้นไม้ไว้นะ ต้นยังแค่ขาแค่เอวเป็นอย่างมาก ก็ต้องเดินจงกรมที่ระเบียง

เดินจนเหนื่อยนะ แล้วก็มองไป มองออกไปนอกวัด มันมีภูเขาอยู่ ๓ ลูก เรียงกัน ใครไปสวนโพธิ์จำได้มั้ย ภูเขา ๓ ลูกนี้สวย มันเรียงกัน ลูกมันเท่าๆกันเลยนะ ความจริงมันไม่เท่าหรอก แต่ว่ามันเหลื่อมไปเหลื่อมมา เมื่อดูด้วยสายตาจากที่สวนโพธิ์มันเท่ากันเป๊ะเลย สามลูก แล้วเว้นช่องไฟสวยงาม ดูไปที่ภูเขาสามลูกนี้ ภูเขาสามลูกนี้ไม่มีน้ำหนักเลย แต่ใจเรามีน้ำหนัก นี่ มันเฉลียวใจขึ้นมา แทนที่เราภาวนาแล้วใจจะยิ่งเบานะ ไม่ยึดไม่ถืออะไร โลกธาตุเนี่ยในความเป็นจริงโลกธาตุว่างเปล่า แต่ใจเรามีน้ำหนัก ใจเราต่างหากยึดถือ ใจมันก็นึกขึ้นมาได้ หลวงปู่ดูลย์เคยสอนประโยคหนึ่ง บอกว่า วันใดที่เห็นจิตกับสภาพแวดล้อมอยู่ เป็นสิ่งเดียวรวด วันนั้นเธอจะเข้าใจที่สุดแห่งทุกข์เลย

นี่จิตของเรากับธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่ ไม่ใช่สิ่งเดียวรวด จิตเราหนัก ธรรมชาติไม่มีน้ำหนัก จิตเราหนักเราต้องทำผิดแล้วล่ะ โอ้..เราไม่ถนัดเดินนะ มีเก้าอี้พลาสติกอยู่ตัวหนึ่ง ตัวร้อยกว่าบาท นี่ แบบนี้ ไปลากออกมาเลยจากในห้องนะ มาวางที่ระเบียง ไม่เดินล่ะวะ มีวะด้วยนะ เรามันนักเลง นั่งดูภูเขา นั่งดูโน้นดูนี้ไปนะ ใจที่จงใจปฏิบัติค่อยคลายออกๆ คลาย ดูอยู่ไม่นานนะ ใจก็คลายออก คลายออกมาก็ทำสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง เจริญสติในชีวิตประจำวันบ้าง ฝึกอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ นานๆก็ลืมสมถะอีกละ ก็ต้องกลับมาทำใหม่ วนเวียนๆไปนะ ภาวนาอยู่สองพรรษาได้ ใจก็เปลี่ยนแปลง สบาย มีความสุข


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๙
File: 520731A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราภาวนาอยู่ในภพทั้งนั้น

mp 3 (for download) : เราภาวนาอยู่ในภพทั้งนั้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอรู้ทันว่าจิตติดอยู่ในภพนะ จิตมันจะหลุดเอง จิตที่มันรักที่จะพัฒนาตัวเองนะ มันจะไม่ยอมนอนค้างในภพใดภพหนึ่งนานๆนะ เพราะฉะนั้นเราสังเกตการภาวนาของเราไปเรื่อย ภาวนาแล้วมีความสุขนะ แล้วสุขมาตั้งนานแล้ว เป็นหลายวัน เป็นอาทิตย์ๆ เป็นเดือนๆเนี่ย จิตต้องติดอยู่ในภพของความสุข ความสบาย ความโล่ง ความว่าง ให้รู้ทันเลย จิตไปติดไปเกยตื้นอยู่ตรงนี้ ไปไม่รอดแล้ว ถ้ารู้ทันนะจิตมันจะถอนตัวออกมา ถอนออกมาเอง เราก็ภาวนาไปอีกนะ เดี๋ยวมันก็ไปติดอย่างอื่นอีก ก็คอยสังเกตเอา โอ้ว.. นี้เหมือนกันหลายวันแล้ว ต้องไปติดอะไรอีกแล้ว รู้ทันอีกนะ ก็ค่อยหลุดออกมา

แต่การสังเกตจิตที่ไปติดอยู่ในภพใดภพหนึ่งเนี่ย ห้ามสังเกตบ่อย ห้ามสังเกตบ่อยเพราะอะไร หลวงพ่อเคยทำ เนี่ย ไอ้เรื่องที่ไม่เอาไหน ทำมาเยอะแล้วนะ ทุกวันนี้ถึงพูดเต็มปากเต็มคำ คือพอจิตไปติดตรงนี้ปุ๊บ มันไปใช้ปัญญา ใช้การคิดพิจารณาเอา ออ..นี่เข้าไปติดอีกแล้ว สังเกตแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย จิตไปติดตรงนี้ อ้อรู้แล้ว หลุดออกมา ไปติดตรงนี้อีก รู้แล้วหลุดออกมา ติดตรงไหน รู้แล้วหลุดๆหลุดๆไปเรื่อย ในที่สุดจิตถอนปุ๊บออกมา กลับออกมาอยู่กับโลกอย่างนี้เลย หลุดออกจากกรรมฐานด้วย

ในความเป็นจริงแล้วเวลาที่เราภาวนาเนี่ย เราภาวนาอยู่ในภพ มิใช่ภาวนาอยู่นอกภพนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนที่จะหลุดออกจากภพทั้งหมด ไม่ใช่ไอ้นี่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา ในที่สุดหลุดพลุ๊บออกมา กลายเป็นมนุษย์สารเลวอย่างเดิมเลย นะ ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ

เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อน เอาไว้ว่าหากมันติดนานๆหลายๆวันแล้วค่อยสังเกตดู ไม่ใช่ไปคอยสังเกตว่าจิตนี้เคลื่อนไปจับตรงนี้ปุ๊บ อึ๊..เอาออกแล้วนะ นี่ก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอานะ กลายเป็นไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลยนะ ก็หลุดออกมาเลย คอยสังเกตเอา แต่สังเกตสบายๆไม่รีบร้อนหรอก ภาวนาเราก็ภาวนาอยู่ในภพ ไม่ต้องกลัวติดหรอก เพราะอย่างไรก็ติด ไม่ต้องกลัวผิดหรอก เพราะอย่างไรก็ผิด ที่ทำทุกวันนี้ ผิดทั้งหมด แต่ผิดน้อยลงๆ เข้าใกล้ความจริงมากขึ้นๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปติดหรือว่าทำผิด ทำทีไรก็ผิด แต่ถ้าไม่ทำเลยจะผิดมากกว่า

เราก็ต้องทำนะ เรามีศีล ทำศีล ทำสมาธิ ทำปัญญา ค่อยๆฝึกค่อยพัฒนาของเราไป ถ้าใจเรารู้ทัน มันจะถอยออกมา คลายออก คลายออก เป็นระยะๆนะ มันจะไม่ไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๓
File: 520705.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

mp 3 (for download) : ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ค่อยๆภาวนาไป มีสติรู้กายรู้ใจไป ภาวนาไปแบบลำบาก แบบแห้งแล้ง เรียกว่า “สุกขวิปัสสกะ” ภาวนาแบบแห้งผาก แห้งผากจริงๆนะ ภาวนาไปแล้ว โอย..ทุกข์ทั้งนั้นเลย จะเบรคก็ไม่ค่อยจะเบรค เบรคไม่ค่อยอยู่ เห็นแต่ทุกข์ทั้งวัน เห็นแต่ทุกข์ทั้งคืน ฝึกไปนะ จนใจมันเอือมกับความทุกข์ แล้วมันก็รู้ว่าหนีไม่ได้

ในที่สุดใจยอมรับความทุกข์ ตรงนี้สำคัญละ อยู่กับทุกข์นะ หาทางหนีเท่าไหร่ๆก็ไม่พ้น หนีไปขึ้นภูเขา ขึ้นต้นไม้ ขึ้นไปเรือบิน ลงไปใต้น้ำ พวกความทุกข์ก็ตามไป หนีไม่พ้น หนีไม่พ้นก็ต้องอยู่กับมัน รู้แล้วว่าหนีไม่ได้ ใจก็ยอมรับ เอาละวะ อยู่ก็อยู่กับมัน ใจเป็นกลางกับความทุกข์ ภาวนาไปนะ ถึงจุดหนึ่งเนี่ย ใจจะเป็นกลางกับความทุกข์ เห็นนะ มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย พอใจเป็นกลางมากเข้าๆนะ ในที่สุดใจเนี่ยจะเกิดกลไกอัตโนมัติอย่างหนึ่ง พอมันเห็นทุกข์เต็มที่แล้วนะ มันจะสลัดตัวออกจากทุกข์ได้ อันนี้เป็นเรื่องแปลกมากเลย

เพราะฉะนั้นเรารู้กายเรารู้ใจ เห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ ถึงวันหนึ่งเนี่ย จิตจะสลัดตัวออกไปจากขันธ์ ไม่ยึดน่ะ ไม่ยึดในขันธ์ ขันธ์ก็ยังทุกข์ต่อไปของขันธ์หรอก แต่จิตจะพ้นออกไปจากขันธ์ นี่วิธีปฏิบัตินะ ตั้งแต่เบื้องต้นมา มีสติรู้กายรู้ใจไป อดทน ต้องอดทน เพราะว่ามันจะซ้ำๆซากๆ ดูกายดูใจซ้ำซากไป จนสติอัตโนมัตินะ พอสติอัตโนมัติขึ้น มีสติทีแรกก็มีความสุขดีหรอก พอสติอัตโนมัติขึ้นมารู้ทั้งวันรู้ทั้งคืน คราวนี้ล่ะจะเจอทุกข์สาหัสสากรรจ์เลย

ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอกนะ เพราะรู้ทุกข์นั้นแหละถึงจะเรียกรู้ธรรม เพราะความทุกข์เป็นความจริงของพระอริยะ ถ้าใจไม่รู้จักทุกข์ก็ไม่ได้เป็นพระอริยะหรอกนะ พระอริยะรู้จักสัจจะความจริงข้อแรกก็คือทุกข์นั่นเอง รู้ทุกข์นะจนใจหมดแรงดิ้น หมดสมุทัย ไม่ดิ้นแล้ว หนีก็ไม่พ้นแล้ว ปฏิเสธก็ไม่ได้แล้ว หมดแรงดิ้นนะ ยอมจำนน ยอมจำนนนะ สู้ตายแล้วก็รู้เลย ตายแหงแก๋แล้วคราวนี้ ความทุกข์ถลุงเอาๆนะ ไม่มีทางรอดแล้ว แล้วก็ไม่มีทางหนีด้วย

ในที่สุดใจนะ เห็นทุกข์แจ่มแจ้งนะ ทุกข์มันบีบคั้นนะ มันสลัดตัวเปรี้ยงออกไปเลย มันพ้นกันตรงนั้นแหละ มันพ้นตรงที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่าไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรมหรอกนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๓
File: 520705.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนกรรมฐานต้องอดทน

mp 3 (for download) : เรียนกรรมฐานต้องอดทน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจของคนรุ่นนี้ไม่เหมือนใจคนแต่ก่อนนะ ก่อนนี้อดทนมากเลยในการทำอะไรสักอย่าง พวกเราไม่ค่อยทนหรอก ยกตัวอย่างเด็กเดี๋ยวนี้ย้ายงานบ่อย ทำงานไม่กี่วัน ย้ายอีกแล้ว เวลาเขียนประวัติไปยื่นทีหนึ่ง โอ้โห..ประสบการณ์ทำงาน ๕๐ แห่ง แห่งละ ๑๕ วัน เป็นหลวงพ่อเห็น หลวงพ่อก็โยนทิ้งเลย คนพรรค์นี้เอาไปทำอะไร เสียเวลาสอนงานมัน ทำไม่ได้ ใจไม่อดทน

เรียนกรรมฐานต้องอดทนมากเลย เพราะอะไร เราเรียนแต่ของเก่าๆ เรียนเรื่องกายเรื่องใจ กายกับใจซ้ำๆซากๆอยู่อย่างนี้ เกิดมาก็มีกายมีใจ มาเรียนเรื่องกายเรื่องใจ ซ้ำซาก เรียนเรื่องจะต่อสู้เอาชนะกิเลส กิเลสก็ของเก่า มีแค่ โลภ โกรธ หลง เรียนที่จะพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ฟังแล้วซ้ำซาก มีสติแล้วก็มีศีล มีสติก็มีสมาธิ มีสติแล้วมีปัญญา ฝึกสตินะ หัดรู้กายหัดรู้ใจ ถ้าใจไม่ทนพอนะ ทนรู้ไม่ได้ มันซ้ำซาก

ต้องอดทนมากๆเลย ในการที่จะรู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ลงในกายในใจนะ กว่าจะเห็นความจริง ใจเรามันไม่ยอมเห็นความจริงหรอก มันจะคอยหาเรื่องว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเรา กายนี้ใจนี้เป็นตัวดีตัววิเศษ มันคอยคิดอย่างนี้เรื่อยๆ กว่าจะเห็นความจริงนะว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรานะ เป็นแต่ตัวทุกข์นะ โอ๊ย..ต้องสู้กันนานนะ ต้องทนมากเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๓
File: 520705.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติเหมือนการกินข้าว กินไปเรื่อยๆ แล้วมันอิ่มเอง

mp 3 (for download) : การปฏิบัติเหมือนการกินข้าว กินไปเรื่อยๆ แล้วมันอิ่มเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนบอกว่า ทำไมหลวงพ่อเทศน์เหมือนกันทุกวันเลย ฟังซีดีก็เหมือนกันทุกวัน แต่รับรองว่าความรู้ความเข้าใจไม่เหมือนกันหรอก ฟังไปเถอะ

มีอยู่วันหนึ่ง นั่งเทศน์ที่นี่แหละ ตอบปัญหาบุญทวี บุญทวีมาถามเรื่องการปฏิบัตินะ ตอบบุญทวี บอกว่า คนเราไปสร้างตัวตนขึ้นมาจากความไม่มีตัวตน ในความเป็นจริงตัวตนไม่มี พอพูดประโยคนนี้ก็มีคนปิ๊งขึ้นมาเลย ตัวตนไม่มี เห็นโลกธาตุนี้ว่างจากตัวจากตนเลยนะ เห็นธรรมะที่ไม่มีตัวมีตน ไปเทศน์ที่ศาลาลุงชิน คนตั้งพันนะ พันกว่า รอบที่ผ่านมา เทศน์กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ก็ฟังกันทุกวันนะ แต่มันยังไม่พอ วันนั้นก็มีคนพอ ก็ปิ๊งขึ้นมา เออ..ไม่มีเราจริงๆนะ โลกธาตุนี้ว่างไปหมดเลยนะ

เพราะฉะนั้นวันหนึ่ง พวกเราก็จะปิ๊งขึ้นมาได้นะ ไม่แป๊ก ถ้าไปเพ่งเอาๆ ก็แป๊กๆนะ ไม่ได้ปิ๊งหรอก ง่าย พวกที่ปิ๊งแล้วก็บอกว่าง่ายทุกคน พวกที่แป๊กนั้นบอกว่ายาก ยากเพราะมันยังไม่พอ

การภาวนาเหมือนการกินข้าวนะ หน้าที่ของเรา กินไปเรื่อยๆแล้วมันอิ่มเอง ไม่ต้องไปนั่งนึกนะ คำนี้จะอิ่มหรือยัง คำนี้จะอิ่มหรือยัง กินอย่างนั้นเครียดตายเลย มีหน้าที่กินไปแล้วมันอิ่มเอง จำไว้นะ การภาวนาเหมือนการมีหน้าที่เจริญสติไป รู้กายรู้ใจด้วยจิตที่เป็นกลางไป แล้วมันอิ่มเอง วันที่มันอิ่มมันพอนี้แหละ มันจะหมดความปรุงแต่ง แล้วมันจะเห็นนิพพาน เข้าสู่ความพ้นทุกข์ในลำดับเบื้องต้น เรียกว่าหล่นตกลงในกระแสน้ำแห่งสัมมาทิฎฐิแล้ว ผู้ที่ตกลงในกระแสน้ำแห่งสัมมาทิฎฐิแล้ว วันหนึ่งจะถูกพัดพาไปสู่ทะเล สู่มหาสมุทรคือนิพพาน

แต่ขนาดนั้นนะ ขนาดว่าตกกระแสธรรมแล้วเนี่ย ยังมีอุปสรรคขัดขวางรายทางได้อีก ๗ – ๘ อย่าง เพราะฉะนั้นบางคน ตกกระแสธรรมแล้วยังใช้เวลาอีก ๗ ชาติ กว่าจะถึงทะเล


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๓
Track: ๑๑
File: 510202.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๐ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติ ปฏิบัติที่ใจ ไม่ใช่ท่าทางร่างกาย

mp 3 (for download) : การปฏิบัติอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ท่าทางร่างกาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: หลวงพ่อนะเคย พาพรรคพวกกันน่ะ ไปที่หินหมากเป้ง ไปภาวนา (สมัยนั้นหลวงพ่อปราโมทย์ยังไม่ได้บวช – ผู้ถอด) ตอนนั้นหลวงปู่เทสก์ยังอยู่ มีพี่คนหนึ่งเขาก็เห็นหลวงพ่อเดินเล่นทั้งวันเลย เดี๋ยวก็ไปชมแม่น้ำโขง โอ้..นกสวย ต้นไม้สวย อะไรอย่างนี้ แม่น้ำสวย นี่ พวกนี้เขานั่ง.. เอาเป็นเอาตายนะ หรือเดินงุดๆ เดินทั้งวันทั้งคืนเลย หลวงพ่อเดินเล่นทั้งวัดเลย พอเช้าขึ้นมาก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่บอก โอ้..ดี ภาวนาดี เออ..เนี่ย ค่อยๆทำไปนะ ค่อยๆศึกษาไป

หลายวันเข้า วันท้ายๆนะ บุกเข้าไปหาหลวงปู่เลย หลวงปู่เจ้าคะต่อไปนี้หนูไม่ปฏิบัติละ (หลวงปู่..)อ้าวทำไมจะไม่ปฏิบัติ ก็คุณปราโมทย์ไม่ปฏิบัติเลย หลวงปู่ชมเอาๆ หนูทำแทบตายไม่ชมเลย

หลวงปู่บอก เขาปฏิบัติ ไม่ใช่เขาไม่ปฏิบัติ เขาคิดว่าการปฏิบัติอยู่ที่ท่าทางร่างกาย การปฏิบัติจริงๆอยู่ที่ใจต่างหาก ร่างกายเป็นตัวประกอบ จนป่านนี้แกก็เลยเลิกไปเลย คนนี้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ หลังฉันเช้า


สวนโพธิญาณอรัญวาสี
CD: สวนโพธิญาณอรัญวาสี แผ่นที่ ๑๐
Track: ๔
File: 480926B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๖ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๓๗ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ครูที่สอนธรรมะ คือ กายกับใจของเรา

mp 3 (for download) : ครูที่สอนธรรมะ คือ กายกับใจของเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การปฎิบัตินะ การปฎิบัติธรรมเนี่ย เราอย่าไปวาดภาพให้มันยุ่งยาก ธรรมะไม่ใช่ของลึกลับ พวกเราชอบคิดว่าธรรมะคืออะไรก็ไม่รู้ ลึกลับ รู้แต่ว่ามันเป็นของดี เราคิดแต่ว่ามันอยู่ไกลๆ เราต้องทำอีกนานๆถึงจะเจอ เราชอบคิดว่าธรรมะอยู่ที่วัด ธรรมะอยู่ที่พระ หรือธรรมะอยู่ที่การเข้าคอร์ส แท้จริงธรรมะไม่ได้พิกลพิการยากไร้ขนาดนั้นหรอก

ธรรมะอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิด ถ้าพวกเราอยากได้ธรรมะเนี่ย ให้ย้อนมาเรียนที่ตัวธรรมะจริงๆ อะไรเป็นตัวธรรมะตัวจริง กายนี้แหละเป็นธรรมะเรียกว่ารูปธรรม ชื่อมันบอกอยู่แล้วว่ามันเป็นธรรมะ เรียกว่ารูปธรรม ใจของเรานี้แหละเป็นธรรมะ เรียกว่านามธรรม อย่าไปแสวงหาธรรมะที่อื่น หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอนะ จะมาฟังอาตมาพูดกี่วันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ธรรมะ(แท้ๆ – ผู้ถอด)เรียนไม่ได้ด้วยการฟัง เรียนไม่ได้ด้วยการอ่าน เรียนไม่ได้ด้วยการคิดๆเอา ทางเดียวที่จะเรียนธรรมะได้นี่นะ คือต้องเรียนจากครูของเราจริงๆ ครูที่จะสอนธรรมะเราได้มีสองคนเท่านั้น คือ รูปกับนามหรือกายกับใจของเรานี่เอง

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ให้คอยรู้ลงที่กายคอยรู้ลงที่ใจเนืองๆ กายและใจจะสอนธรรมะของจริงให้เราดู คนส่วนใหญ่เที่ยวหาธรรมะภายนอก ก็มีแต่หลงออกไปภายนอก ละเลยที่จะเรียนรู้เรื่องของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนให้น้อมเข้ามา โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา มาเรียนเรื่องของตัวเราเอง เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมะในตำราอภิธรรมจะสอน บอกว่าต้องรู้รูปนามต้องรู้กายรู้ใจนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี บ้านหนองตากยา ท่าม่วง กาญจนบุรี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ หลังฉันเช้า

สวนโพธิญาณอรัญวาสี
CD: สวนโพธิญาณอรัญวาสี แผ่นที่ ๑๐
Track: ๒
File: 480911B.mp3
ระหว่างวินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เดินจงกรม เดินด้วยความรู้สึกตัว

mp 3 (for download) : เดินจงกรมด้วยความรู้สึกตัว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เวลาเราเดินไปนะ เราเดินเอาความรู้สึกตัว เราไม่เดินเอาระยะทาง เราไม่เดินเอาเวลา บางคนเดินเอาระยะทาง รีบจ้ำๆใหญ่ คนโบราณเรียก เหมือนตามควาย จ้ำๆ จ้ำๆ ไปนะ กะว่าเดินได้ครบหนึ่งพันรอบแล้วจะเลิก รีบจ้ำให้มันครบแล้วสบายใจ พวกหนึ่งเอาเวลา จะเดินสามชั่วโมงนะ เดิน..เมื่อไหร่จะถึงสามชั่วโมงสักที วันไหนถึงแล้วก็สบายใจ เราไม่ได้เอาอย่างนั้น เราเดินเอาสติ

เพราะฉะนั้นเราเดินไป เดินไปสบายๆ หายใจช้าลงหน่อยนึงก็ได้ หรือถูกจริตที่จะเคลื่อนไหวเร็วๆก็ได้ ช้าก็ได้ เร็วก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ เคลื่อนไหวไป พอใจลอยปื๊บไป.. รู้สึกตัว แล้วก็เดินต่อไปอีก ถ้ามันลอยรุนแรง ก็รู้สึกตัวยืนเลย ก็ได้ หยุดเลย รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วก็เดินเอาใหม่ เดินไปสุดทางจงกรม อย่างเพิ่งหันกลับมา ตอนนี้เป็นจุดอ่อนที่กิเลสจะโจมตี ตรงสุดทางเนี่ย รู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน ค่อยๆหันกลับมา หันกลับมาอย่าเพิ่งเดิน ถ้าหันกลับมาแล้วจะเดินทันทีเนี่ย จิตมันจะเดินไปก่อนขา มันจะไม่สัมพันธ์กัน กายไปทางหนึ่ง จิตไปทางหนึ่ง ใช้ไม่ได้

เวลาเราหันกลับมา เรารู้สึกตัว ให้สบายๆ แต่ไม่ใช่แข็งนะ ไม่ใช่อย่างนี้นะ อย่างนี้จะไปตีกับเขาละ เหมือนพวกซามูไร อย่างนั้นไม่ได้นะ จะฟันหัวเขาละ รู้สึกตัวสบายๆ ก็ก้าวเดินไป เดินไปพอใจลอยก็จะหยุดก็ได้ รู้สึกตัวใหม่ ก็เดินใหม่ เดินไปเรื่อย เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัวมันจะตั้งขึ้น ตั้งขึ้น

ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเห็นโดยที่ไม่ได้เจตนาจะเห็น ร่างกายที่กำลังเดินอยู่นี้เป็นรูปมันเดิน มิใช่เราเดิน ร่างกายนี้เป็นรูปเดิน ใจเป็นคนดู เฝ้ารู้เฝ้าดูไป เห็นมันเดิน ถึงจุดนี้มีสิ่งที่ต้องระวังก็คือ พอรู้กายมันเดินไปนานนี่จิตชอบถลำเข้าไปเพ่งกาย เราก็รู้ทันว่าจิตถลำลงไปแช่ที่กายแล้ว รู้สึกตัวใหม่ หยุดเดิน แล้วรู้สึกตัว แล้วค่อยเดินไป เห็นร่างกายมันเดินไปอีก

หรือว่าเดินๆอยู่ กุศล-อกุศล อะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ เราก็คอยรู้ทัน เพราะฉะนั้นการปฎิบัติ รู้กายไปรู้ใจไป เอากายเป็นเครื่องสนับสนุนความรู้สึกตัว จะทำง่าย ถ้าดูจิตล้วนๆเลย จะทำได้กับบางคนนะ บางคนดูจิตล้วนๆก็ได้ ทีนี้ถ้ากำลังเรายังไม่พอ ใจเราไม่ตั้งมั่น เราก็เอาการเคลื่อนไหว เอาการปฏิบัติในรูปแบบเป็นตัวช่วย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี เมื่อครั้งพำนักที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ก่อนฉันเช้า


สวนโพธิญาณอรัญวาสี
CD: สวนโพธิญาณอรัญวาสี แผ่นที่ ๑๐
Track: ๑
File: 480911A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๗ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเจริญวิปัสสนาต้องแยกรูปแยกนามเป็น

Mp3 for download: การเจริญวิปัสสนาต้องแยกรูปแยกนามเป็น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : วันไหนดูจิตไม่ออก เวลาไหนดูจิตไม่ออก เห็นร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า เห็นร่างกายพองยุบนี่ เห็นร่างกายมันทำงานไปเรื่อย ใจเราอยู่ต่างหากเป็นแค่คนดู

ตรงนี้สำคัญนะ คนที่ฝึกกรรมฐานต่างๆมา รู้ลมหายใจ ดูท้องพองยุบ ยกเท้าย่างเท้า ดูอิริยาบถ ๔ อะไรอย่างนี้ จิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ กายกับจิตต้องแยกออกจากกันก่อน เรียกว่าแยกรูปแยกนาม ถ้าแยกรูปแยกนามไม่เป็นนะ ไปดูท้องพองยุบก็ไปเพ่งท้อง ไปรู้ลมหายใจก็ไปเพ่งลมหายใจ ไปขยับมือก็ไปเพ่งใส่มือ

ต้องแยกรูปแยกนามให้เป็นก่อน ก่อนจะเจริญวิปัสสนาต่อไป ขั้นที่ ๑ เลย แยกรูปแยกนาม เรียกว่านามรูปปริจเฉทญาณ แยกรูปกับนาม เห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งจิตใจอยู่ส่วนหนึ่ง พอแยกได้แล้วถึงจะเห็นเลย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้ถูกดู สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑

CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File: 510518
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้หลักแล้ว ทำถูกแล้ว ทำให้มาก

mp 3 (for download) : รู้หลักแล้ว ทำถูกแล้ว ทำให้มาก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีผู้หญิงคนหนึ่งนะ ไปเรียนกับหลวงพ่อ เมื่อหลายเดือนแล้ว มาเดือนพฤศจิกายนไปเรียนแล้วถามหลวงพ่อว่าที่ภาวนาอยู่เป็นยังไง หลวงพ่อก็บอกว่า ภาวนาก็รู้หลักอยู่แล้ว ภาวนาก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วก็เงียบๆนะไม่พูดต่อแล้ว เขาก็ถามหลวงพ่อว่าเขาขาดวินัยในการปฏิบัติใช่ไหม บอกว่า ใช่ ตั้งแต่นั้นนะ เดินจงกรมทุกวันเลย

คนนี้งานเยอะนะ ดูแลบ้านดูแลครอบครัวดูแลลูกดูแลสามี งานเยอะมากเลย พอดูแลเสร็จแล้วก็ไปทำงาน ดูแลบริษัทอีก ๕ บริษัท กลับมาถึงบ้านนะ กว่าจะมีเวลาส่วนตัวเนี่ย ๕ ทุ่มแล้ว ๕ ทุมถ้าเป็นพวกเราทำงานมาตึ้งแต่เช้ามืดยัน ๕ ทุ่ม เราก็มีข้ออ้างแล้วใช่ไหม ขอนอน นี่ คนนี้ฮึดสู้นะ ลุกขึ้ันเดินจงกรม ยังไม่นอนนะ เดินจงกรมไปชั่วโมงกว่า เที่ยงคืนหมดเรี่ยวหมดแรงไปนอน นอนไปตี่นหนึ่งนะ ก็ลุกขึ้นมาเดินอีก

เขาฝึกของเขามาอย่างนี้ด้วยความยากลำบากนะ แต่ว่าไม่ท้อถอยเลย เขาฝึกจนกระทั่งวันหนึ่งใจมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง ใจมันถอดถอนตัวเองออกมา

เราค่อยฝึกเอา ใช้เวลาราวๆ ๗ เดินเอง ของเราอย่าขึ้เกียจนะ แล้วเราอย่าอ้างว่างานเยอะ งานทั้งหลายที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อจะอาศัยอยู่ในโลกชั่วครั้งชั่วคราว งานในธรรมะนะข้ามภพข้ามชาติ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา
ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๓๑
File: 520719
ระหว่างนาทีที่ ๔๒ วินาทีที่ ๔๘ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐาน โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

mp 3 (for download) : ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐาน โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทุกวันนี้ที่พวกเราถอดจิตมาเป็นผู้รู้ แล้วก็ขันธ์แยกออกไปนะ เห็นกายกับใจเป็นคนละอัน เห็นกิเลสกับจิตเป็นคนละอัน เห็นสุขทุกข์กับจิตเป็นคนละอัน มีนับจำนวนไม่ถูกแล้ว เยอะแยะไปหมดเลย

การที่ขันธ์แยกตัวออกไป จิตเป็นคนดู สติระลึกเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของขันธ์นะ เรียกว่าเราเจริญสติปัฏฐานอยู่นะ ที่เป็นวิปัสสนากรรมฐานด้วย ตราบใดที่มีผู้เจริญสติปัฏฐานที่เป็นวิปัสสนากรรมฐานนะ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราเจริญอยู่เนี่ย เราเดินอยู่ในเส้นทางของพระอรหันต์

มีสติ รู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง รู้มันไปเรื่อย รู้แล้วหลงยินดี รู้ทัน (รู้ทันว่าหลงไปแล้ว-ผู้ถอด) รู้แล้วหลงยินร้าย รู้ทัน (รู้ทันว่าหลงไปแล้ว-ผู้ถอด) ฝึกอย่างนี้บ่อยๆนะ แล้ววันหนึ่งเราก็จะได้ธรรมะมา ได้ตั้งแต่พระโสดาฯ สกทาคาฯ พระอนาคาฯ เป็นพระอรหันต์ ตามชั้นตามภูมิของความสามารถ ความจริงจังในการปฏิบัติ

จริงจังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้ถูกด้วย เพราะฉะนั้นหลักต้องแม่น ขยันอย่างเดียวไม่ได้ ขยันอย่างเดียวแต่ไม่รู้วิธี เขาเรียกว่า ขยันแล้วโง่ ยิ่งเตลิดเปิดเปิงหนักกว่าเก่าอีก ฉลาดอย่างเดียวไม่ขยันไม่ได้ ฉลาดอย่างเดียวแล้วไม่ขยัน ทำอะไรไม่สำเร็จ ต้องฉลาด รู้วิธีด้วย แล้วก็ขยันด้วย ถึงจะสำเร็จ ทั้งโง่ทั้งขี้เกียจ ไม่ต้องพูดถึงเลย บัวใต้น้ำใต้โคลนอะไรโน่นเลย แต่เราก็ไม่ดูถูกนะ ก่อนที่พวกเราจะเป็นบัวปริ่มน้ำอย่างทุกวันนี้ เราเป็นบัวใต้น้ำมาก่อนแล้ว เราก็ไม่ได้ดูถูกใครหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๕
File: 550427
ระหว่างนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๑๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาต้องตั้งเป้าให้ถูก

Mp3 for download: การภาวนาต้องตั้งเป้าให้ถูก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตั้งเป้าการภาวนา ตั้งเป้าให้ดี ตั้งเป้าให้ถูกหลัก อย่าตั้งเป้าว่าเราจะเอาความสุข อย่าตั้งเป้าว่าเราจะเอาความดี อย่าตั้งเป้าแค่ความสงบ ถ้าตั้งเป้าแค่เอาความสุข ความดี ความสงบ นี่เรียกว่ามักน้อยเกินไป เราจะต้องตั้งเป้าในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ พุทธะแปลว่ารู้ เป้าหมายของการปฏิบัติของเราก็คือ การได้รู้ความเป็นจริงของกายของใจ ความจริงของเขาคือไตรลักษณ์ อย่าไปดูความจริงอย่างอื่น ต้องดูเป็นไตรลักษณ์

ยกตัวอย่างเราดูร่างกาย เราเห็นว่าร่างกายไม่เที่ยงนะ เราเห็นร่างกายมันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ร่างกายเป็นวัตถุธาตุ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก ไม่ใช่ตัวเรา นี่ต้องเห็นอย่างนี้ ลำพังเห็นร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เรียกว่าเห็นไตรลักษณ์ จะได้แค่สมถะ วิปัสสนาต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ

หรือดูจิตดูใจ ต้องดูให้เห็นเลย จิตมันไม่เที่ยง จิตมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตมันบังคับไม่ได้มันเป็นอนัตตา ยกตัวอย่างเราจะสั่งจิตให้เป็นกุศลก็ไม่ได้ ห้ามจิตไม่ให้เกิดอกุศลก็ไม่ได้ สั่งให้มันสุขอย่างเดียวก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้มันทุกข์ก็ไม่ได้

เราเรียนเพื่อให้เห็นความจริง เมื่อเห็นความจริงแล้วเราจะคลายความยึดถือมัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “เมื่อรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด” คลายกำหนัดคือคลายความรักใคร่ผูกพันคลายความยึดถือ “เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว” เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ ต้องรู้ลงที่กายที่ใจ รู้ไปจนเขาพอ รู้ลงไปจนเขาเห็นความจริงว่า “กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ”


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File: 510518
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

กรรมฐานใช้เป็นแบ็คกราวน์เพื่อรู้กายใจ

mp3 for download: กรรมฐานใช้เป็นแบ็คกราวน์เพื่อรู้กายใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เวลาเราทำกรรมฐานใดๆก็ตามนะทุกคนนะ หากรรมฐานอันนึงเข้ามาทำ อะไรก็ได้ที่คุ้นเคย ที่ทำแล้วสบายใจ แต่ทำแบบเป็นแบ็คกราวน์ แบ็คกราวน์นะ งานหลักจริงๆ ให้รู้จิตตัวเอง หรือรู้กายตัวเองไป แล้วแต่ถนัด รู้กายก็ได้ รู้จิตก็ได้ แต่อาจเอาพุทโธ หรือเอาลมหายใจ เอาท้องพองยุบอะไรอย่างนี้รู้เป็นแบ็คกราวน์ไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑
CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File: 510518
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๑๐ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 22 of 67« First...10...2021222324...304050...Last »