Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

กรรมฐานของเราจะวนเวียนอยู่ไม่ให้เกินร่างกายออกไป

mp3 for download : กรรมฐานของเราจะวนเวียนอยู่ไม่ให้เกินร่างกายออกไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เมื่อปีสองสี่ ปลายๆปี หลวงพ่อไปเจอธรรมะของหลวงปู่ดูลย์เข้า ตอนนั้นไม่รู้จักท่านหรอก เพราะเขียนชื่อ “พระรัตนากรวิสุทธิ์” เขียนไว้แค่นั้น ใครก็ไม่รู้ แล้วก็บอกว่า “จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ อนึ่งจิตมีธรรมชาติส่งออกนอก”

ยังมีอีกบทหนึ่งนะ จิตมีธรรมชาติส่งออกนอก ถ้าส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวนี้เป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกแล้วกระเพื่อมหวั่นไหวเป็นทุกข์ ถ้าจิตส่งออกนอกแล้วมีสติอยู่อย่างบริบูรณ์ จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเป็นมรรค แล้วก็พ้นจากความทุกข์ไปเป็นนิโรธ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย นี่บทสรุป พระอริยะเจ้าทั้งหลายหมายถึงพระอรหันต์นะ มีจิตไม่ส่งออกนอก มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ก็พ้นจากทุกข์

ธรรมะของท่าน อ่านตรงนี้ โอ้..อ่านแล้วสะใจจัง ตอนนี้เหลือท่อนเดียว นึกออกไหม เหลือแต่จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย ท่อนหลังไม่มีแล้ว หายไปหมดแล้ว ไม่มีใครทรงจำไว้เลยทั้งที่ดี จำท่อนแรกไว้เพราะดูเก๋ไก๋ดี

พออ่านตรงนี้แล้วเรารู้สึกขึ้นมา โอ้.. ธรรมะอะไรประหลาด จริงๆนะ จิตมันทุกข์นะ ถ้าจิตมันทุกข์นะมันไม่ใช่เราทุกข์ นี่ใจรู้สึกอย่างนี้นะ ถ้าจิตไม่ทุกข์เสียอย่างแล้วใครจะทุกข์ อ่านธรรมะของท่านแล้วมันวกเข้ามาตรงนี้ได้ โอ้..อยากรู้จักนะ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พระองค์นี้ ไปเที่ยวถามๆคนนะ เขาบอกว่าคงตายไปแล้วล่ะ คงมรณภาพไปแล้ว เพราะเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ฝั้นอีกที หลวงปู่ฝั้นยังสิ้นไปแล้วเลย สิ้นตั้งแต่ปีสองสามมั้ง ราวๆนั้น หลวงปู่ดูลย์จะไปอยู่ได้อย่างไร

อยู่มาจนถึงเดือนกุมภา พงษ์เชษฐ์มาบอก ท่านยังอยู่นะ อยู่สุรินทร์ รู้อยู่แค่นี้ รู้ว่าท่านอยู่สุรินทร์ ชื่อหลวงปู่ดูลย์ เราขึ้นรถไฟไปหาท่าน ไปแล้วเที่ยวถามเขา ยังไม่รู้เลยว่าท่านอยู่อำเภอไหน อยู่ที่ไหนไม่รู้หรอก ลุยไปถามเอา ไปถามๆ ที่แท้อยู่ในเมืองนั่นเอง เจอท่านก็เรียนกับท่าน ท่านสอนให้ดูจิตดูใจตัวเอง

แทนที่ท่านจะบอกว่า ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ถ้าเป็นสำนวนแบบช่วยย่อยนะ “มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” นี่ย่อยให้เสร็จแล้วนะ ถ้าเอาไปกินแล้วยังไม่ย่อยอีกก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วนะ

ไปหาหลวงปู่ แล้วหลวงปู่สอน “การปฏิบัติไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” สอนเท่านี้แหละ เราก็มาคอยรู้ทันจิตตัวเอง มาคอยรู้ไปเรื่อย เครื่องมือในการรู้จิตตัวเองนะ ก็คือสตินั่นเอง

ตอนนั้นไม่รู้จักหรอก ไม่รู้สติเสตอะเป็นยังไง ไม่รู้ทั้งสิ้นเลย ท่านบอกให้อ่านจิตตนเอง ก็คอยสังเกตว่าจิตมันเป็นยังไง จิตมันอยู่ที่ไหน จิตมันเป็นยังไง จะอ่านมันได้ยังไง คอยสังเกต เพราะรู้อยู่อย่างเดียวว่าจิตต้องอยู่ในร่างกายนี้แน่ จิตไม่อยู่เกินร่างกายออกไปหรอก เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ กรรมฐานของเรานี้ จะวนเวียนอยู่ไม่ให้เกินร่างกายออกไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตเป็นตัวรู้

mp3 for download : จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตเป็นตัวรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตเป็นตัวรู้

จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตเป็นตัวรู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะรู้อยู่อย่างเดียวว่า จิตต้องอยู่ในร่างกายนี้แน่ จิตไม่อยู่เกินร่างกายออกไปหรอก เพราะฉะนั้นต่อไปนี้นะ กรรมฐานของเราจะวนเวียนอยู่ไม่ให้เกินร่างกายออกไป

หลวงพ่อไล่เลยนะ จิตอยู่ในผมหรือเปล่า? เพราะเราไม่รู้จักจิตน่ะ จิตอยู่ในผมไหม ตอนนั้นผมยาวเหมือนโยมนะ ดึง บี้ๆดู ไม่เห็นจะมีจิตตรงไหนเลย มันเป็นวัตถุเฉยๆ จิตอยู่ในขนหรือเปล่า? ขนคิ้ว เมื่อก่อนก็มีขนคิ้ว ตอนนี้สั้นจุ๊ดจู๋ บี้ๆดูนะ ก็ไม่เห็นมีจิต อยู่ในผมขน ในเล็บมีไหม ในเล็บก็ไม่มีนะ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ไล่ๆอยู่ในร่างกาย ไล่ไปไล่มา ไม่เห็นจะมีจิตเลย แต่จิตต้องอยู่ในกาย แต่เราหาไม่เจอ จิตอยู่ในหัวใจหรือเปล่า? อยู่ที่ไหนหรือเปล่า ไล่ยังไงก็ไม่เจอ

เอ๊ะ..จิตคงไม่ใช่วัตถุแล้ว จิตมันนึกขึ้นได้นะ จิตมันไม่ใช่วัตถุ เราไปหาแต่ตัววัตถุมันก็ไม่เจอสิ จิตมันต้องเป็นความรู้สึก หรือว่าความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ จิตอยู่ในความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ทำใจให้สบายรู้สึกมีความสุขขึ้นมา ดูลงไปที่มีความสุขก็ไม่เห็นจิตอีกนะ ความสุขไม่ใช่จิตอีกละ กลุ้มใจขึ้นมานะความกลุ้มใจก็ไม่ใช่จิตอีกละ ดูไปๆนะ ในที่สุดก็จับได้ จิตเป็นคนรู้

พอจิตเป็นคนรู้ เราก็ค่อยๆเห็น ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่จิตรู้ นี่ถ้าพูดในภาษาอภิธรรม ภาษาปริยัตินะ ก็คือ จิตกับอารมณ์นั่นเอง จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตไปรู้เข้า คำว่า “อารมณ์” ในทางศาสนาพุทธไม่ได้แปลว่า emotion อารมณ์แบบที่พวกเรารู้จักในคนยุคนี้รู้จัก อารมณ์นั้นเป็นศัพท์เฉพาะ แปลว่าสิ่งที่ถูกจิตรู้ เป็นของที่คู่กับจิตเสมอเลย มีจิตเมื่อไหร่ต้องมีอารมณ์ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นของคู่กัน

เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วว่า จิตเป็นคนรู้ คราวนี้ค่อยๆสังเกตนะ สวดมนต์ในใจ “พุทฺโธ สุสุทฺโธ กรุณามหณฺณโว” เห็นเลย คำว่า “พุทฺโธ สุสุทฺโธ” นะ มันเหมือนงูเลื้อยออกมาจากถ้ำ เลื้อยผุดๆขึ้นมาจากความว่างๆ จิตเป็นคนดูอยู่ จิตมันก็ถอนตัวปุ๊บออกมาเป็นคนดู นี่ดูมาจากสุรินทร์นะ ไปแวะโคราชด้วย ไปหาหลวงพ่อพุธแล้วก็ขึ้นรถไฟต่อมากรุงเทพฯอีก คนละขบวนกัน มาถึงกรุงเทพฯค่อยเห็นหรอกว่า จิตมันเป็นตัวรู้ นี่จับเอาตัวรู้แยกออกมาได้นะ แต่แยกได้แว้บเดียวเอง จิตตัวรู้ก็ไหลเข้าไปรวมกับอารมณ์อีก เพราะมันคุ้นเคยที่จะไหลเข้าไปรวมกัน

อีกเจ็ดวันต่อมานะ ดึงลูกเดียวเลย ทำอย่างไรจิตมันจะแยกออกมา หลวงปู่ให้ดูจิต เราจะได้ดึงให้หลุดออกมาแล้วจะไปดูมัน นี่เข้าใจผิดละ ดูจิตไม่ได้ไปดูตัวจิตตรงๆนะ จริงๆก็คือดูตัว “เจตสิก” คือธรรมชาติที่เกิดร่วมกับจิต มันทำให้เห็นเลย จิตที่โกรธก็เป็นอย่างหนึ่ง จิตที่โลภก็เป็นอย่างหนึ่ง จิตที่หลง จิตที่สุข จิตที่ทุกข์ อะไรอย่างนี้ เป็นแต่ละดวงๆ คนละดวงกัน

ถ้าไปแยกเอาตัวรู้ออกมาจะคงที่ แล้วตัวรู้ก็เป็นตัวรู้อยู่นั่นเอง เหมือนไฟนี้ จับกี่ทีก็ร้อนทุกที ก็คงที่อยู่อย่างนั้น เราไม่ได้แยกอย่างนั้น แต่หลวงพ่อหัดใหม่ๆ ครูบาอาจารย์ไม่ได้ช่วยย่อยให้ ก็ลำบาก พยายามแยก ดึงๆใหญ่เลยนะ หาทาง ทั้งดึงทั้งผลัก แหมแทบจะเรียกว่าเอาเท้าถีบมันเลย ทางนี้ก็พยายามเหนี่ยวนะ จะให้มันแยกออกมา

ทำอยู่อาทิตย์หนึ่ง หลุดออกมาได้ อา..ดีจังเลย หลุดออกมาแล้ว หลุดออกมาแป๊บเดียวเอง ไม่กี่ขณะนะ ไหลเข้าไปรวมอีกแล้ว เฮ่อ..แต่ก็ยังดีวะ ดึงเจ็ดวันนะ มันหลุดออกมาได้นานขึ้น เห็นไหม ให้กำลังใจตัวเองด้วยนะ นี่มีพัฒนาการแล้วเห็นไหม ดึงแล้วมันแยกออกมาได้ ดึงอีกห้าวันนะ คราวนี้หลุดออกมาได้เป็นนาทีแล้ว
อยากดึงใหญ่ กะนะวันหนึ่งเราจะฝึกตัวเราไปเรื่อยจนกระทั่งวันหนึ่งมันหลุดออกมาตลอดเลย มันจะไม่เข้าไปอีกแล้ว คิดเอาว่าถ้ามันหลุดออกมาได้ตลอดนี่ต้องได้เป็นพระอรหันต์แน่ๆเลย เพราะจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเลย จิตไม่เห็นเจตสิก นี่น่ะไม่เข้าใจเลยนะ ฟัดกับมันอยู่อย่างนี้ ๓ เดือน ถ้ามันหนักๆก็แยกไป หนักๆก็ไม่ใช่จิตนะ แยกไป ค่อยๆแยก ค่อยๆย่อย ค่อยๆสลาย สิ่งที่ไม่ใช่จิตไปเรื่อย จะเอาจิต

ฝึกอยู่ ๓ เดือนนะ ไปส่งการบ้านหลวงปู่ดูลย์ กะว่าท่านชมแน่เลยว่าเราฉลาด ลูกศิษย์คนนี้เก่งจังเลย อะไรอย่างนี้นะ สามารถแยกเอาจิตออกมาได้ละ ไปถึงแล้วนึกว่าท่านจะชม ท่านกลับบอกว่า ไปยุ่งกับอาการของจิต ยังไม่ได้ดูจิตเลย ไป กลับไปทำใหม่ ที่ทำอยู่ผิด แล้วที่ถูกล่ะเป็นอย่างไร ไม่บอกนะ รู้อย่างเดียวที่ทำอยู่ผิด

เอ..ไปพยายามแยกมันนี่ผิดแฮะ นึกขึ้นได้ว่าท่านบอกว่าให้ “ดูจิต” นี่ ท่านบอกให้ดู ท่านไม่ได้บอกให้แยกนะ เราเสือกไปแยกเอง นี่..ต้องคำนี้นะ เราเสือกไปแยกเองน่ะ ท่านบอกให้ดูต่างหากล่ะ เอาใหม่ คราวนี้เป็นอย่างไร รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น มันโลภ เห็นมันโลภนะ มันโกรธ เห็นมันโกรธนะ บางทีใจก็แยกออกมา บางทีก็ไหลเข้าไปรวมกัน ยังไงก็ได้ จริงแล้วยังไงก็ได้ ฝึกไปๆนะ จนวันหนึ่งก็แจ้งขึ้นมา มันไม่มีเรา จิตนี้ก็ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเกิดดับรวดเร็ว จนเราสำคัญมั่นหมายว่ามีจิตเป็นตัวเราที่คงที่ถาวร

mp 3 (for download) : จิตเกิดดับรวดเร็ว จนเราสำคัญมั่นหมายว่ามีจิตเป็นตัวเราที่คงที่ถาวร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตเกิดดับรวดเร็ว

จิตเกิดดับรวดเร็ว

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตนี้เกิดดับรวดเร็ว พระพุทธเจ้าท่านบอกอย่างนี้นะ ทำไมปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ไม่สามารถเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา เพราะจิตนี้เกิดดับเร็วมาก มันเร็วจนกระทั่งต่อเนื่องเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

คล้ายๆเราดูการ์ตูนนั่นเอง เราเห็นว่าตัวการ์ตูนหนึ่งตัว สมมุติว่าเป็นโดราเอม่อน เดี๋ยวนี้การ์ตูนเป็นตัวอะไรหลวงพ่อไม่รู้จักนะ รู้จักสมัยโดราเอม่อนเนี่ยยังทัน เราเห็นโดราเอม่อนเดินไปเดินมาในโทรทัศน์ได้ แท้จริงมันคือภาพแต่ละภาพที่มาต่อกันอย่างรวดเร็วนั่นเอง ภาพแต่ละภาพที่เกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว จนเราเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ามีโดราเอม่อนขึ้นมา

จิตของเรานี้แหละเกิดดับสืบเนื่องกันรวดเร็ว จนเราสำคัญมั่นหมายว่า มีจิตเป็นตัวเราที่คงที่ถาวรอยู่ตัวหนึ่ง แล้วจิตนี้ทำงานเคลื่อนไหวต่างๆนานาได้ แต่ถ้าเรามาหัดดูจิตให้ชำนาญแล้ว เราจะเห็นเลยว่าจิตนี้เกิดดับตลอดเวลา จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา

เดี๋ยวจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นมา เกิดได้แว้บเดียวเกิดจิตอกุศลอีกแล้ว อกุศลมักจะเกิดซ้ำๆเยอะนะ ซ้ำๆ เช่น ใจลอย ใจลอยๆๆๆไป ๕๐๐ ครั้ง เกิดจิตที่รู้สึกตัวขึ้นมา โอ๊ย..เมื่อตะกี้นี้ใจลอยไป รู้สึกตัวขึ้น ๑ แว้บ แว้บเดียวนะ แต่ตอนใจลอยเนี่ย ๕๐๐ แว้บ ยังน้อยไปเลยนะ ใจลอยได้ทีเป็นชั่วโมง แต่เวลารู้สึกตัวจะรู้สึกได้ขณะเดียว ทีละแว้บเดียว นิดเดียว เพราะฉะนั้นจิตส่วนใหญ่เป็นอกุศล ก็จะเห็นเลยว่าจิตอกุศลเกิดนะ เกิดร้อยเรื่องพันเรื่องเลย เสร็จเกิดจิตที่รู้ทันขึ้นมาแว้บหนึ่ง เดี๋ยวเกิดจิตอกุศลต่อไปอีกละ เดี๋ยวก็รู้สึกตัวได้อีกแว้บหนึ่ง

ถ้าเราเห็นอย่างนี้บ่อยๆ ในที่สุดก็จะเห็นเลยว่าจิตมันเกิดดับ จิตที่เป็นกุศลเกิดแล้วก็ดับ จิตที่เป็นอกุศลเกิดแล้วก็ดับ จิตที่เผลอเกิดแล้วก็ดับ จิตที่รู้สึกตัวเกิดแล้วก็ดับ เราจะเริ่มเห็นความเกิดดับของจิต

หรือจิตที่มีความสุขเกิดแล้วก็ดับไป จิตที่มีความทุกข์เกิดแล้วก็ดับไป จิตที่เฉยๆเกิดแล้วก็ดับไป ยกตัวอย่างไปอยู่ในความว่าง เฉยๆ เสร็จแล้วมันก็ดับ มันเกิดจิตสงสัยขึ้นมา จิตฟุ้งซ่าน จิตตัวนี้ไม่สบายแล้ว ไม่ค่อยมีความสุขแล้ว นี่คือจิตใจมันเกิดดับ

หรือบางคนดูได้ละเอียด เดี๋ยวเห็นจิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู จิตเกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ จิตเกิดที่ไหนดับที่นั่น จะเห็นจิตเกิดดับสืบเนื่องไปเรื่อยๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
Track: ๑
File: 500415.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม

mp3 for download : เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม

เพ่งใส่ตัวรู้จะไปเป็นพรหม

หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนาจริงๆไม่ใช่เอาตัวไหนทั้งสิ้นหรอก ภาวนาเพื่อให้เห็นเลยว่า ทุกสิ่งมันไม่มีตัวเรา เป็นแต่สภาวธรรมล้วนๆ มีแต่สภาวธรรมนะ รูปธรรม นามธรรม ตัวจิตก็เป็นสภาวธรรม ตัวรู้นี่เป็นสภาวธรรม ตัว “เจตสิก” คือสิ่งที่มาประกอบจิต เช่น ความสุข ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เรียก “เจตสิก” เป็นสิ่งที่มาประกอบจิต ทำให้จิตแต่ละดวงหน้าตาไม่เหมือนกัน

จิตโดยตัวของมันเอง เป็นแค่ธรรมชาติรู้ เป็นธรรมชาติรู้เหมือนกันหมดเลย เป็นแค่นี้เอง เหมือนไฟมีธรรมชาติร้อนอย่างนี้ เป็นอย่างนี้แหละ เป็นลักษณะเฉพาะตัว จิตมีลักษณะเฉพาะตัวคือเป็นธรรมชาติรู้ แต่ธรรมชาติรู้ดวงนี้ กับธรรมชาติรู้อีกดวงหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน เพราะเจตสิกที่มาประกอบกัน มันไม่เหมือนกัน

คล้ายๆจิตเป็นน้ำที่สะอาดนะ ใส..ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีสี เราเอาสีเข้าไปใส่ เอากลิ่นเข้าไปใส่ อัดแก๊สลงไปแล้วก็เรียก นี่เป๊บซี่ นี่โคล่า นี่แฟนต้า นี่น้ำหอม นี่น้ำเน่า ถามว่าน้ำ มันก็น้ำเดียวกันใช่ไหม  พอแยกธาตุออกมาแล้วมันก็เป็นอันเดียวกัน น้ำใสๆไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่มันแตกต่างกันขึ้นมา เรารู้น้ำขวดนี้กับน้ำขวดนี้เป็นคนละอย่างกัน เราเห็นเลยว่ามันเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างอันนี้น้ำหอมนะ เก็บไว้หลายวันกลายเป็นน้ำเน่าน้ำเหม็น เราก็จะเห็น แต่ละอันๆมันเปลี่ยน ไม่คงที่ จิตนี้ก็ไม่คงที่หรอก เดี๋ยวก็เป็นจิตโลภ เดี๋ยวก็เป็นจิตไม่โลภ เดี๋ยวเป็นจิตโกรธ เดี๋ยวเป็นจิตไม่โกรธ เดี๋ยวเป็นจิตหลง เดี๋ยวเป็นจิตไม่หลง

แต่ถ้าเราไปจ้องใส่ตัวรู้ เราจะรู้สึกเที่ยง เพราะเพ่งใส่ตัวรู้จะเป็นพรหมนะ จะไปเป็นผีใหญ่ นิ่งๆอยู่อย่างนั้นเอง รู้สึกเที่ยง แต่ถ้าเราเห็นเลย จิตมันทำงาน มันเกิดดับ มันเกิดดับร่วมกับเจตสิกแต่ละดวงๆ เจตสิกแต่ละดวงมันไม่เหมือนกันนี่ เช่นความโกรธกับความโลภไม่เหมือนกัน จิตที่โกรธจิตที่โลภมันก็เลยไม่เหมือนกัน เราเห็นเลยว่ามันเป็นคนละดวงกัน เราเห็นแล้วจิตเป็นคนละดวงๆ เราเห็นจิตเป็นคนละดวงได้เพราะว่าเจตสิกที่มาประกอบกันนั้นน่ะ ไม่คงที่ เปลี่ยนไป เราก็เลยเห็นเลย จิตก็เกิดดับเหมือนกัน

ถ้าจะดูแต่ตัวจิตจริงๆนะ ไปเพ่งใส่ตัวจิตเลย จะเห็นว่าไม่เกิดดับนะ เห็นเที่ยงน่ะ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ ถึงสอนว่า “ผู้ใดเห็นว่าจิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ” นี่ท่านว่าซะเสียหาย เป็นมิจฉาทิฎฐิ จริงๆไม่เที่ยง มันเกิดดับ ดูตัวมันเกิดดับ ดูตัวมันตรงๆไม่ได้ จะไม่เห็น ให้ดูว่ามันเกิดร่วมกับเจตสิก จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตหลงเกิดแล้วดับ จิตสุขจิตทุกข์เกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

mp3 for download : ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราเห็นสภาวะ กระจายสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกมา มันจะเป็นตัวสภาวะ

ทุกวันนี้เราคิดว่า “ตัวเรา” มีอยู่จริงๆ นี่ อันนี้คือตัวเรา นี่ความรู้สึกของเรา นั่นอะไรต่ออะไรของเรา พอมีตัวเรา มันมีตัวเขา มีของๆเราขึ้นมาด้วย มีของๆเขาขึ้นมาด้วย มันมีตัวเราจริงๆ พอตัวเรานี้แปรปรวนไป ไม่ได้อย่างใจ ก็มีความทุกข์ขึ้นมา

แต่ถ้าแยกออกไป สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ก็คือสภาวะนั่นเอง สภาวะที่เป็นรูปธรรม ที่เป็นนามธรรม เราจะเห็นเลยว่ารูปธรรมก็ไม่ใช่ตัวเรา นามธรรมก็ไม่ใช่ตัวเรา มันจะแยกออกไป มันจะเห็นว่าไม่มีตัวเรา

คล้ายๆรถยนต์ มีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง เราคิดว่ามีรถยนต์จริงๆ เรามาถอดออกเป็นชิ้นๆ อันนี้ลูกล้อ ลูกล้อก็ไม่ใช่รถยนต์ ใช่ไหม พวงมาลัยก็ไม่ใช่รถยนต์ ตัวถังก็ไม่ใช่รถยนต์นะ เบาะก็ไม่ใช่รถยนต์ เบรคก็ไม่ใช่รถยนต์ กันชนก็ไม่ใช่รถยนต์ หลอดไฟสายไฟ ไม่ใช่รถยนต์สักอันเดียว เห็นไหม ถังน้ำมันก็ไม่ใช่รถยนต์ ดูไปๆเราก็รู้ อ๋อ..รถยนต์เป็นแค่ภาพลวงตา

นี่ถ้าเราสามารถแยกกายแยกใจออกไป เราก็จะเห็น ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก ทุกวันนี้เราสำคัญมั่นหมายว่ามันมีตัวเราจริงๆ พอตัวนี้มันแก่ ร่างกายมันแก่ เราก็ว่าเราแก่ ร่างกายมันเจ็บ เราก็ว่าเราเจ็บ ร่างกายมันตาย เราก็ว่าเราตาย มันมีเราขึ้นมา

พอมีเรา เรารักมัน หวงแหนมัน อยากให้มันดีตลอด อยากให้มันสุขตลอด มันอยู่ไม่ได้เราก็กลุ้มใจ ใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เนี่ย เพราะไม่เห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา ไปคิดว่ามันเป็นเราขึ้นมา ก็มีความทุกข์

จิตใจก็เหมือนกันนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เราก็สำคัญผิด ยกตัวอย่างจิตมันโกรธ เราก็สำคัญผิดว่าเราโกรธ จิตมันโลภเราก็สำคัญผิดว่าเราโลภ จิตมันหลงนะ จิตมันไปคิด เราก็สำคัญผิดว่าเราคิด นี่สำคัญผิด

พอมันเป็นเราขึ้นมา เราก็อยากให้จิตนี้มันเป็นเราขึ้นมา เราก็อยากให้จิตมีแต่ความสุขความสบาย มีแต่กุศลอะไรอย่างนี้ คนดีก็อยากให้เป็นกุศลทั้งวัน พอมันไม่เป็นอย่างที่ต้องการนะ มันก็ทุกข์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะดีตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะสุขตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะสงบตลอด พอมันแปรปรวนขึ้นมา เราก็ทุกข์

แต่ถ้าเราเห็นความจริง จิตก็เป็นแค่สภาวะอันหนึ่ง ไม่ใช่เราหรอก จิตมันโลภไม่ใช่เราโลภ จิตมันโกรธไม่ใช่เราโกรธ จิตมันหลงไม่ใช่เราหลง เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปมันโกรธขึ้นมาก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรา จิตมันโกรธต่างหาก ไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันโลภไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันสุขไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันทุกข์ไปยุ่งอะไรกับมัน จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรา เห็นขันธ์มันไม่ใช่เรา

ฝึกมากเข้าๆ เห็นขันธ์มันทำงานของมันเอง ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่ใช่เรานะ ขันธ์มันจะแก่ ขันธ์มันจะเจ็บ ขันธ์มันจะตาย ขันธ์มันจะพลัดพรากจากสิ่งที่มันรัก ขันธ์มันจะเจอสิ่งที่มันไม่รัก ขันธ์มันจะอยากแล้วมันไม่สมอยาก ขันธ์มันจะเหี่ยวแห้งใจ เศร้าโศกเสียใจ เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งหมดเลยนะ เราไม่เกี่ยว เราค่อยๆฝึกไปนะจนกระทั่งเราสามารถไม่เกี่ยวกับมันได้

เบื้องต้นจะไม่เกี่ยวกับกายก่อน พวกเราที่ฝึกกับหลวงพ่อสักช่วงหนึ่ง สักเดือนหนึ่ง บางคนเริ่มเห็นแล้ว ร่างกายมันแยกออกไปต่างหาก ร่างกายเป็นสิ่งที่ใจไปรู้เข้า ร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ร่างกายไม่ใช่ตัวเราหรอก ต่อไปเวลาจะเจ็บจะแก่จะตายอะไรขึ้นมา จะเห็นร่างกายมันแก่มันเจ็บมันตาย ไม่ใช่เราแล้ว หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ มีสติ รู้สึกตัว เห็นสภาวะมันทำงาน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความรู้สึกเป็นตัวเรา แทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ

mp 3 (for download) : ความรู้สึกเป็นตัวเรา แทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความรู้สึกเป็นตัวเรา แทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ

ความรู้สึกเป็นตัวเรา แทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป้าหมายแรก เราต้องพัฒนาสติไปเรื่อย จนเกิดปัญญา ให้เห็นความจริงก่อนว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี

พวกเราหัดเจริญสติเรื่อยๆ บางคนเริ่มเห็นแล้ว ว่าตัวเราไม่มี ทีนี้บางคนเริ่มเห็น เช่น พอมีสติอยู่นะ กำลังอาบน้ำถูสบู่อะไรอยู่นี่ ถูขี้ไคลอยู่ รู้สึกแว้บ..ขึ้นมาเลย ตัวนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นอะไรตัวหนึ่งก็ไม่รู้

ถามว่ามันเป็นอะไร? ถ้าจะใส่ชื่อให้มัน มันก็เป็นรูปอันหนึ่ง เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เป็นรูป ไม่ใช่ตัวเรา นี่ เริ่มมีสติ เริ่มมีปัญญา เห็นความจริง บางคนก็เห็นเลยว่า ความรู้สึกเป็นเรานะ ผุดขึ้นมาในใจเป็นคราวๆแล้วก็หายไป ผุดขึ้นมาแล้วก็หายไป แต่ตรงนี้ยังไม่ได้โสดาฯนะ ถ้าโสดาฯมันจะไม่ผุดขึ้นอีกเลย

ทีนี้บางคนนี่ พอหัดภาวนาไป เริ่มเห็นแล้ว เห็นตัวเราโผล่ขึ้นมา ความรู้สึกเป็นตัวเรา ความรู้สึกเป็นตัวเรานี่มันแทรกอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำเลย จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างนะ มันแฝงสิ่งที่เป็นตัวเราเข้าไปตลอดเวลา การกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนแต่ย้ำตัวเองตลอดว่า ตัวฉันยังอยู่ ฉันยังอยู่ ฉันมีจริงๆนะ นี่มันกลัวตัวเราหายไป

ทีนี้พอมาหัดภาวนา พอใจรู้ ใจตื่น ใจเบิกบาน ใจไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด จะเห็นว่าตัวเราไม่มี ทีนี้บางคนเข้าใจผิด พอเห็นความเป็นตัวเราโผล่ขึ้นมาแว้บ.. พอสติรู้ทัน ความเป็นตัวเราดับไป ก็คิดว่าบรรลุพระโสดาบัน ยังไม่บรรลุนะ ไม่บรรลุง่ายขนาดนั้นหรอก เพิ่งเห็นทีเดียว แต่บางคนเห็นครั้งเดียวก็บรรลุเลย มันเกิดอริยมรรคต่อไปเลย แต่ส่วนมากเห็นครั้งหนึ่งยังไม่พอหรอกนะ อินทรีย์เราไม่แก่กล้าพอ เราก็จะเห็นเลยเดี๋ยวก็มีตัวเรา เดี๋ยวตัวเราก็ไม่มี มีเกิดมีดับอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ถ้ามีตัวเราแฝงเร้นปรากฎขึ้นได้แม้แต่นิดๆหน่อยๆ ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วท่านจะละความมีตัวเรานี้เป็นสมุจเฉทเลย ไม่มีอีกต่อไปละ ไม่ต้องประคอง ไม่ต้องรักษาจิตนะ จะไม่รู้สึกว่ามีเราอีกต่อไปละ แต่ถ้ายังมีแฝงๆขึ้นมานี้ ไม่ใช่ของจริง


CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๙
File: 520517.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีการภาวนาของผู้ที่ทำฌานไม่ได้ (สุกขวิปัสสกะ)

mp3 for download : วิธีการภาวนาของผู้ที่ทำฌานไม่ได้ (สุกขวิปัสสกะ)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราส่วนใหญ่ให้เข้าฌาน เข้าไม่ได้ แล้วทำอย่างไรดีเข้าฌานไม่ได้?

หัดง่ายๆทีว่าอย่างทีแรกนะ หัดดูจิต พุทโธๆไป แล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน ไม่ได้ฝึกไม่ให้จิตหนี แต่จิตหนีไปคิดเรารู้ทัน จิตจะตั้งมั่น แต่ตั้งชั่วขณะ เรียกว่ามี “ขณิกสมาธิ”

แค่ขณิกสมาธินี้ใช้เดินปัญญาได้แล้ว จิตมันตั้งขึ้นมาเป็นขณะๆ ต่อไปสติมันเลยระลึกรู้กาย จิตยังตั้งอยู่ได้นะ ระลึกอยู่ ตัวจิตตั้งอยู่แว้บเดียว มันเห็นเลย กายนี้ไม่ใช่เรา เหมือนที่พวกเราหลายคนอาบน้ำ มีมาเล่าเรื่อยๆนะก่อนนี้ อาบน้ำ ถูสบู่ ถูไปๆรู้สึกแว้บขึ้นมา ไอ้นี่ไม่ใช่ตัวเราแล้ว เป็นท่อนๆอะไรท่อนหนึ่ง นี่จิตมันตั้งชั่วขณะนะ มันเห็นอย่างนั้นเลย

ถ้าตั้งแบบมีตัวผู้รู้ผ่านการทำฌานมา จะเห็นทั้งวัน ที่ยืนเดินนั่งนอนตลอดวันนั้น ไม่มีเรา แต่พวกขณิกสมาธิก็จะเห็นชั่วเวลาที่มีสมาธิชั่วขณะ ชั่วขณะเห็นแว้บหนึ่ง ไม่มีเรา เห็นบ่อยๆ ค่อยฝึกไป ต่อไปก็จะเห็นบ่อยขึ้น สุดท้ายจิตก็ยอมรับความจริงว่าไม่มีเราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะ ไม่ใช่ทุกคนต้องเข้าฌานให้ได้ ถ้าทุกคนต้องเข้าฌานให้ได้นะ คนสมัยพุทธกาลเขาก็ภาวนาไม่ได้

มีสถิตินะ คนที่บอกสถิตินี้คือพระพุทธเจ้า วันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็บอกกับพระสาวก บอกว่า ภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ สมัยพุทธกาลชอบเลข ๕๐๐ มากเลย ในพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ มีพระอรหันต์ที่ได้วิชา ๓ นี้ ๖๐ องค์ คนได้วิชา ๓ ต้องได้สมาธินะ มีพระอรหันต์ที่ได้อภิญญา ๖ อีก ๖๐ องค์ รวมเป็น ๑๒๐ แล้วนะ พวกอภิญญาก็ต้องเล่นสมาธิเชี่ยวชาญยิ่งกว่าพวกวิชา ๓ เสียอีก ในพวกนี้ มีทั้งสมาธิและปัญญาอีก ๖๐ องค์ เพราะฉะนั้นได้สมาธิด้วย ได้ปัญญาด้วย อีก ๖๐ องค์ รวมเป็น ๑๘๐ จาก ๕๐๐

พวกที่เหลือ (๓๒๐ องค์ – ผู้ถอด) คือคนอย่างพวกเรานี่เอง พวกที่ทำสมาธิไม่ได้จริงน่ะ คนธรรมดาๆนี่เอง พวก “สุกขวิปัสสกะ” พวกที่เดินโดยอาศัยปัญญาเป็นหลัก มีสมาธิเป็นตัวประกอบ แต่ว่าไม่ใช่ว่าพวกที่เดินด้วยปัญญาไม่มีสมาธินะ ต้องมีสมาธิ แต่ว่ามีสมาธิเป็นขณะๆนะ ใจไหลไปแล้วรู้ๆ ซ้อมทุกวัน ทำในรูปแบบเข้า แล้วซ้อมดู

ทุกวันต้องทำในรูปแบบนะ พวกเราไม่ใช่พวกทรงฌาน เพราะฉะนั้นพวกเราถ้าไม่ซ้อมทุกวันนะ วันไหนไม่ซ้อมอีกวันหนึ่งก็ไม่มีแรงแล้ว แรงของพวกเรามีน้อยมากเลย คล้ายๆคนยากคนจนนะ เติมน้ำมันทีหนึ่ง ๕๐ บาท อะไรอย่างนี้ วิ่งได้นิดเดียวแหละ ไม่ใช่เติมทีละพันกว่าแล้ววิ่งไปทั้งวัน เพราะฉะนั้นเราต้องเติมน้ำมันบ่อยๆ เพราะน้ำมันเราน้อย

เพราะฉะนั้นทุกวันนะ ทำในรูปแบบไว้ วิธีทำในรูปแบบ ไหว้พระสวดมนต์ไป จิตใจหนีไปแล้วรู้ทัน ไหว้พระเสร็จแล้วจะพบว่า กว่าจะสวดมนต์จบ หนีไปเกือบร้อยครั้งแล้ว หนีแว้บๆๆ ตลอดเลย

พอสวดจบแล้วมานั่งดูจิตดูใจ หรือมาเดินจงกรม ทำในรูปแบบนะ หายใจเข้ารู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว ใจหนีไปคิดแล้วรู้ทัน หายใจเข้ารู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว ใจไปเพ่งลมหายใจ ไปเพ่งท้องแล้ว รู้ทัน หรือพุทโธๆไป พุทโธไปรู้สึกตัวไป พุทโธไปแล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน พุทโธแล้วจิตไปเพ่งคำว่าพุทโธ เพ่งจิตเฉยๆ จนจิตนิ่งทื่อๆขึ้นมา ก็รู้ทัน พุทโธแล้วจิตเป็นอย่างไรก็รู้ว่าจิตเป็นอย่างนั้น

คนไหนถนัดดูท้องพองยุบก็ดูไป ไม่ได้ผิด เหมือนกันหมด เท่าเทียมกันหมดเลย กรรมฐานทั้งหลายนี้ อย่าดูถูกของคนอื่นเขา ว่าของเขาไม่ดี ของเราเท่านั้นที่ดี มันดีสำหรับเรา มันไม่ได้ดีสำหรับคนอื่นเสมอไป เพราะฉะนั้นเราดูท้องพองยุบไป จิตไหลไปอยู่ที่ท้องก็รู้ จิตหนีไปคิดก็รู้ เหมือนกันเห็นไหม ใช้หลักเดียวกัน ขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียนก็ได้ ขยับไปแล้วรู้สึกตัว จิตหนีไปก็รู้ จิตเพ่งใส่มือก็รู้

รู้ทันจิตไปเรื่อย ในที่สุดจิตขยับนิดเดียวเราเห็น จิตขยับแล้วเห็น จิตจะเริ่มสงบ จิตจะเริ่มตั้งมั่นขึ้นมา ได้สมาธิเหมือนกัน เพราะฉะนั้นดูจิตนี้ ระวังให้ดีนะ บางคนนึกว่าดูจิตแล้วจะเป็นปัญญา ไม่เป็นหรอก ดูจิตแล้วได้สมาธินะ เดินปัญญาต้องทำอีกอย่างหนึ่ง เดินปัญญาต้องแยกธาตุแยกขันธ์

ถ้าแยกธาตุแยกขันธ์ ดูกาย ก็เห็นกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่งนะ ดูไปเรื่อย กายนี้ประกอบด้วยก้อนธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

ถ้าดูจิตก็แยกขันธ์ต่อไปอีก เวทนาก็ส่วนหนึ่ง จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง นี่ต้องแยกขันธ์นะ อย่ามัวแต่หลงตามดูเวทนาจนลืมจิตนะ เช่น ความสุขเกิดขึ้นมัวแต่ดูความสุข ลืมจิตแล้ว จิตมีราคะ พอใจในความสุขแล้วไม่เห็น (ไม่เห็นราคะความพอใจ – ผู้ถอด) นี่เรียกว่าดูจิตไม่เป็น ภาวนาไม่ถึงจิตถึงใจ ใช้ไม่ได้

เพราะฉะนั้นเวทนาเกิดขึ้น เวทนาไม่ใช่จิต แยกไปเลย เวทนาไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่แปลกปลอม มาแล้วก็ไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ แต่ไม่ประคองตัวผู้รู้ผู้ดูนะ ต้องระวัง อย่าประคอง อย่ารักษา มันมีอยู่ก็มี มันหายไปก็หาย ถ้ารักษาอยู่จะเป็นสมถะอีกชนิดหนึ่ง เป็นอรูปฌาน ทางผิดนี่เต็มไปหมดเลยนะ แยกขันธ์ต่อไปอีก เวทนาแยกแล้ว สุขทุกข์เกิดขึ้นทางใจเรารู้ทัน ใจเป็นคนดู

กุศล-อกุศลเป็นสังขารขันธ์ กุศล-อกุศลเกิดขึ้น กุศล-อกุศลไม่ใช่จิต ความโกรธไม่ใช่จิต ความโลภไม่ใช่จิต ศรัทธา วิริยะ สติ อะไรพวกนี้ไม่ใช่จิตทั้งนั้นเลย จิตเป็นธรรมชาติรู้เท่านั้น องค์ธรรมแต่ละอย่างๆ แยกออกไป มีหน้าที่ของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เช่น ปีติก็มีลักษณะของปีติ ความโกรธก็มีลักษณะเฉพาะของความโกรธ เราดูไปนะ เราไม่ถลำตามสังขาร ความปรุงแต่งทั้งหลาย

ไม่ใช่ความโกรธเกิดขึ้น ไปดูความโกรธ ความโกรธหดลงไปอยู่ข้างใน ตามลึกลงไปในข้างใน อย่างนี้ไม่ถูก หรือว่าความปรุงแต่งไหวๆอยู่ตรงนี้ พอไปดูนะ มันเคลื่อนไปอยู่ข้างหน้า เราก็ส่งจิตตามไปอยู่ข้างหน้า พอมันดับไปปุ๊บเรากลับบ้านไม่เป็นแล้ว ใจโล่งว่างอยู่ข้างหน้า อันนี้ก็ผิดอีก

ประคองตัวผู้รู้ไว้ก็ผิดนะ จิตไหลออกไปก็ผิด ดูสิ ทางผิดเต็มไปหมดเลย ประคองจิตเอาไว้ รักษาจิตเอาไว้ สุดโต่งในข้างบังคับ จิตไหลออกไป จิตหลงออกไป จิตไม่ตั้งมั่นในการดู สุดโต่งในข้างหลงตามกิเลส

เพราะฉะนั้นตรงกลางนี้ รู้ด้วยความเป็นกลางนะ ไม่ได้ประคองรักษาจิต แต่รู้ทันจิต ไม่รักษาจิตนะ แต่รู้ทันจิต เพราะฉะนั้นราคะเกิดขึ้น จิตยินดีพอใจ รู้ทัน หรือจิตเกลียดกิเลส เห็นกิเลสแล้วเกลียดมันขึ้นมา รู้ว่าเกลียด ความสุขเกิดขึ้น จิตยินดี รู้ทัน ความทุกข์เกิดขึ้น จิตยินร้าย รู้ทัน รู้ทันกลับเข้ามาที่จิตนี่ (หมายถึง รู้ทันความยินดียินร้ายของจิต ไม่ต้องส่งจิตกลับเข้ามา จิตจะกลับมาได้ด้วยจิตเอง – ผู้ถอด) จิตมันยินดี จิตมันยินร้าย อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า “ดูจิต” นะ ไม่ใช่เพ่งจิตให้นิ่ง เพ่งจิตให้นิ่งไม่ได้เรียกว่าดูจิต

แต่ดูกิเลสนี้ ก็ไม่ใช่ดูจิต กิเลสไม่ใช่จิต ความสุขความทุกข์มันไม่ใช่จิต เราอาศัยการแยกขันธ์นะ แยกเวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ แยกสังขารที่เป็นกุศล-อกุศล แยกออกไป จิตเป็นคนดู เมื่อจิตไปรู้เวทนา จิตไปรู้สังขารแล้ว จิตเกิดปฏิกิริยายินดียินร้ายอะไรขึ้นมา รู้ทัน อย่างนี้เรียกว่ารู้ทันจิต

ถ้าประคองอยู่อย่างนี้ จะไม่มียินดียินร้ายเกิดขึ้น จะรู้สึกกูเก่งด้วยซ้ำไป การประคองจิตเป็นการทำอรูปฌานนะ เป็นความปรุงแต่งที่เรียกว่า “อเนญชาภิสังขาร” รากเหง้าของมันคือ “อวิชา” เช่นเดียวกับความปรุงแต่งฝ่ายชั่วทั้งหลาย หรือก็คือความปรุงแต่งฝ่ายดีนั่นเอง ความปรุงแต่งทุกชนิดมีรากเหง้าอันเดียวกัน คืออวิชา เรียนแค่นี้พอแล้ว วันนี้…


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
ลำดับที่ ๑๑
File: 530424.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๑๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

mp3 for download : ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

หลวงพ่อปราโมทย์ : เนี่ยเราหัดภาวนานะ เราอย่าไปวาดภาพการภาวนาอะไรลึกลับซับซ้อนมากมาย การภาวนาก็คือการหัดมาเห็นไตรลักษณ์ของสิ่งซึ่งเป็นคู่ๆ ทีนี้สิ่งที่เป็นคู่ๆมันมีสองส่วน ส่วนภายนอกกับส่วนภายใน พยายามน้อมกลับเข้ามาเรียนส่วนภายใน โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามาหาตัวเอง มาเรียนรู้ตัวเอง

ของเรามีเป็นคู่ๆนะ อันแรกเลย คู่แรกเลย มีรูปกับนาม มีกายกับใจ หรือมีสิ่งที่ถูกรู้ กับมีผู้รู้ จิตนั้นแหละเป็นผู้รู้ อันอื่นๆนอกจากจิตเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่จิต จิตเป็นธรรมชาติรู้ ในตัวเรามีธรรมชาติรู้ รู้สึกมั้ย ในนี้มีคนรู้อยู่คนหนึ่งคอยรู้เรื่องโน้นคอยรู้เรื่องนี้ แถมไม่รู้เปล่าๆนะ รู้แล้วคิดด้วย เป็นผู้รู้สึกนึกคิด

เนี่ยเราค่อยๆหัดแยกนะ หัดแยกไป เรียนจากสิ่งที่เป็นคู่ๆนี้แหละ อันแรกคู่แรกที่อยากแนะนำให้พวกเราหัดแยกออกไปนะ ก็คือ กายกับใจ หัดแยกรูปกับนามก่อน คำว่ากายกับใจ กับ รูปกับนาม เนี่ย ไม่ตรงกันทีเดียวหรอกนะ เรียกโดยอนุโลมเพื่อให้พวกเราที่ไม่ได้เรียนอภิธรรมได้ฟังรู้เรื่อง กายกับรูปคนละอันกัน แต่ว่าถ้าพูดคำว่ารูปจะฟังแล้วงง คำว่านามฟังแล้วก็งง เอาภาษาไทยง่ายๆก่อนนะ คอยรู้แยกกายกับใจก่อน

ต่อไปค่อยเรียน พอเห็นสภาวะอย่างแท้จริง จะพบว่ากายไม่มีจริงหรอก กายเป็นรูป ส่วนที่เราว่าใจ ใจไม่ใช่ใจอันเดียว ประกอบด้วยธรรมะจำนวนมากเลย มาทำงานร่วมกัน เรียกว่าจิต กับเจตสิก มาทำงานด้วยกัน ตอนนี้เอากายกับใจก่อน

วิธีที่จะหัดแยกนะ ขั้นแรกเลย เรารู้อารมณ์อันเดียว รู้กายนี้แหละ ง่ายๆ นั่งอยู่ก็ได้ นั่งสมาธินะ หรือนั่งพัดไปเนี่ย หลายคนนั่งพัด ไม่ว่านะ พัดได้ เนี่ยหลวงพ่อยังมีพัดเลย เอาไว้ไล่แมลงวัน แมลงหวี่เยอะ เราเคลื่อนไหวไป พยายามเคลื่อนไหว บางคนไม่มีพัด มีอะไรที่เคลื่อนไหวในตัวเอง มีการหายใจ ใช่มั้ย ร่างกายนี้หายใจอยู่ ท้องนี้พองยุบอยู่ เนี่ยเบื้องต้นดูอย่างนี้ก่อน ดูร่างกายของตัวเองนะ ร่างกายนั่งอยู่ ร่างกายหายใจอยู่ ร่างกายพองยุบอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ ดูกาย

แล้วค่อยๆสังเกตว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า รู้สึกมั้ย เราไม่ได้พัดเฉยๆนะ มันมีคนหนึ่งเหมือนเป็นคนดูอยู่ แต่ไอ้คนดูอยู่จะอยู่ตรงไหนเราไม่รู้หรอก รู้สึกว่ามันอยู่ข้างในนี้ บางคนก็ว่าคงอยู่ที่หัว บางคนว่าอยู่ตรงนี้ จริงๆจิตอยู่ที่ไหนก็ได้นะ จิตไม่มีที่ตั้งหรอก จิตอยู่ตรงไหนก็ได้ จิตเกิดร่วมกับอารมณ์

ค่อยๆสังเกตไป ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า หัดอย่างนี้เรื่อยๆ ดูเหมือนดูคนอื่น ถ้าดูตัวเองยังไม่ออก ลองดูคนอื่นก่อน ดูคนที่นั่งข้างๆเรา เราเห็นมั้ย คนที่นั่งข้างๆเราเนี่ย เป็นสิ่งที่จิตของเราไปรู้เข้า เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ดูคนข้างๆแล้วลองย้อนมาดูร่างกายของตนเอง ดูเหมือนดูคนอื่นน่ะ ดูเหมือนมันเป็นคนอื่น เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนเป็นคนอื่น ใจเราเป็นคนดู ค่อยๆหัดอย่างนี้เรื่อยๆ

ต่อไปมันจะเห็นนะ ร่างกายที่หายใจอยู่ ร่างกายที่ ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ ร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายไม่ใช่จิตหรอก ค่อยๆฝึกอย่างนี้นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จากบันทึกการฟังธรรมของนักภาวนา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

จากบันทึกการฟังธรรมของนักภาวนาท่านหนึ่ง ที่ศาลาลุงชิน ๑๖ มกราคม ๒๕๕๔

Q1:ทำอย่างไรจะเกิดจิตผู้รู้ ตอบ: ให้รู้ทันจิตผู้คิด

Q2: ทำอย่างไรจะเกิดสมาธิ ตอบ: น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์เดียวที่สบาย

Q3: ทำอย่างไรจะเกิดปัญญา ตอบ: มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

mp3 for download : ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูลงไปนะ เวทนาไม่ใช่เรา ความสุขไม่ใช่เรา ความทุกข์ไม่ใช่เรา โทมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา โสมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา อุเบกขาเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา ดูลงไปอีก ความโลภไม่ใช่เรา ใครเห็นความโลภเป็นเรา ไม่มีใครเห็นความโลภเป็นเราเลยแต่ชอบคิดว่าเราโลภ

เราโลภยังดูยากเลย ชอบคิดว่าคนอื่นโลภ ดูง่ายไหม โอ๊ย.. ไอ้นี่โลภมากนี่ รวยสี่หมื่นเก้าพันล้านแล้วยังไม่พอ จะเอาห้าหมื่นล้าน อะไรอย่างนี้นะ ดูคนอื่นโลภดูง่ายนะ ดูเราโลภดูยากขึ้นละ พอเราโลภนะ เราก็บอกว่า นี่ขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักเก็บออม เป็นคุณธรรม พอเราโลภก็เป็นอย่างนี้ ดูคนอื่นโลภง่ายที่สุดนะ ดูเราโลภก็ยากขึ้นมาหน่อย ดูความโลภที่มันไม่ใช่เราเนี่ยนะ อัศจรรย์แล้วคราวนี้ ความโลภไม่ใช่เราหรอก ความโลภเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ ไม่ใช่เรา จะเห็นเลย ความโลภไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เราดูไปจนถึงตัวสภาวะแท้ๆ รูปธรรมนามธรรมแท้ๆ ดูไปถึงตัวรูปแท้ๆ รูปจะไม่มีเรา ดูไปถึงตัวเวทนาแท้ๆ เช่น ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ความรู้สึกสุขทุกข์จะไม่ใช่เรา ดูไปถึงตัวสังขารแท้ๆ เช่น ความโกรธ ใครเห็นความโกรธเป็นเรา ไม่มีนะ ถ้าเห็นตัวความโกรธแล้วจะรู้ว่าตัวความโกรธไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีปัญญาเห็นตัวความโกรธ ความโกรธครอบงำจิต จะรู้สึกว่าเราโกรธ

เราโกรธก็ไม่ค่อยเห็นอีก จะเห็นคนที่ทำให้เราโกรธ รู้สึกไหม ส่วนใหญ่ได้แค่นี้ เห็นไอ้นี่มันขับรถปาดหน้าเรา เห็นไอ้คนที่ขับรถปาดหน้า ไม่เห็นความโกรธในใจของตัวเอง ถ้าสามารถย้อนมาเห็นความโกรธในใจของตัวเองได้นะ จะเห็นอีก ความโกรธไม่ใช่เราหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา

เราภาวนานะ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป หรือแยกรูป แยกเวทนา แยกสังขาร แยกจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูออกมา เพื่ออะไร? เพื่อจะได้จะได้ถอนความเห็นผิด ว่าขันธ์ทั้งหลายนี้เป็นตัวเรา ขันธ์มันเป็นตัวเราขึ้นมาเพราะสัญญามันหลอก สัญญาที่วิปลาสมันหลอก แล้วก็ความคิดมันเกิดขึ้นมา สัญญามันเข้าไปหลอก มันหลอกว่ามีเรา สัญญามันเพี้ยนอยู่

เพราะฉะนั้นดูลงมา รูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ดูไปเรื่อย.. ทีแรกจะเห็นก่อนนะ พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่เรา กุศล-อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา แต่ยังรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่

ปุถุชนจะรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่ แต่ว่าถ้าฝึกไปมากเข้าๆ จิตหลุดออกจาก “โลกของความคิด” ได้อย่างแท้จริง อยู่ใน “โลกแห่งความรับรู้” ได้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ในโลกของความว่างเปล่านะ อยู่ในโลกของความรู้สึก โลกของความรับรู้ จะรู้สึกเลย ถ้าไม่มีความคิดอยู่นะ ถ้าจิตไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด ความเป็นตัวตนจะไม่เกิดขึ้น ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง คิดไปตามสัญญาที่เพี้ยนๆของเราเอง ความเคยชินมันไปหมายว่า นี่เราๆ ร่างกายเป็นเรา ไอ้โน่นเรา ไอ้นี่เรา คิดอย่างนี้ หมายรู้ผิดๆอย่างนี้นะ ก็คิดไปตามความเคยชิน ก็คิดไปตามการหมายรู้ว่ามีเราขึ้นมาจริงๆ

ค่อยฝึกนะ เบื้องต้นจะเห็นรูป เห็นร่างกาย เห็นเวทนา เห็นสังขาร ไม่ใช่เรา ฝึกกับหลวงพ่อสักเดือน สองเดือน จะเห็นตรงนี้แล้ว มันไปยากอยู่ตรงที่ยังเห็นว่าจิตยังเป็นเราอยู่


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

mp3 for download : ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอย่างไรจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ต้องดูให้เห็นว่าจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตเองก็เกิดดับได้นะ

วิธีดูจิตที่เกิดดับนี้  จิตไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ดูมันตรงๆจะไม่เห็นอะไร เราต้องดูอ้อมๆ ดูผ่านสิ่งอื่นเข้ามา จิตไม่ได้เกิดลอยๆ จิตไม่ได้เกิดคนเดียว จิตต้องเกิดร่วมกับสิ่งอื่น จิตเกิดร่วมกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับเจตสิก ความรู้สึกที่ประกอบจิต จิตเกิดร่วมกับกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับอายตนะได้ เกิดที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจได้

เพราะฉะนั้นเราสังเกตความมีอยู่ ความเกิดดับของจิต ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไปของจิต สังเกตผ่านเจตสิก และสังเกตผ่านอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไปดูจิตตรงๆจะไม่มีให้เห็นเลย ไม่มีอะไรเลย ถ้าอยู่ๆเรานึกอยากดูจิต แล้วก็ดูปุ๊บลงไป เราจะเอาจิตไปดู เราไม่ได้ดูจิต ดูไม่ถึงจิตหรอก

หรือดูไปๆ ก็จะเห็นว่า ว่างๆ ยกตัวอย่างไปนั่งจ้องไว้อย่างนี้นะ นั่งจ้องไว้ ก็จะว่างๆ คิดว่าว่างๆเป็นจิต ว่างๆไม่ใช่จิต ว่างเป็นเจตสิก เป็นสังขารชนิดหนึ่ง ชื่อ “อากาสานัญจายตนะ” ไม่ใช่จิตหรอก

เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นจิตจริงๆ อย่าเที่ยวหาจิต หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อว่า “อย่าใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ” สอนอย่างนี้นะ หาอีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ ไม่ต้องหามันนะ ให้เรียนรู้จากเจตสิก

ตอนที่หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์นะ ก็สอนอย่างนี้นะ หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์บอกว่า สัพเพ สังขารา เห็นไหมให้เรียนที่สังขารนะ “สัพเพ สังขารา สัพพะ สัญญา อนัตตา* สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ท่านสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหลวงปู่ดูลย์มาดูจิต เริ่มจากอะไร ดูสังขารนะ ไม่ใช่ดูจิต

จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ ความสุขเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้น ทีแรกยังไม่รู้สึกว่าความสุขความทุกข์เกิดขึ้น แต่จะรู้สึกว่ามีเราสุขเราทุกข์นะ ต่อมาค่อยๆสังเกต อ๋อ จิตมันมีความสุขขึ้นมา จิตมันมีความทุกข์ขึ้นมา จิตมันโลภ จิตมันโกรธ จิตมันหลงขึ้นมา ถ้ายังดูไม่เป็นก็จะรู้สึกว่า จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตสุข จิตทุกข์

ถ้าค่อยๆดูนะ สติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะเห็นว่า จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตสิกออกจากจิตได้นะ เห็นไหม เราเรียนรู้จิต ผ่านการดูเจตสิกนะ แล้วสามารถแยกมันออกไปได้ ในที่สุดจะรู้ ว่าธรรมชาติรู้นี้ เป็นอย่างไร

ธรรมชาติรู้นี้ ไม่มีอะไร แต่เป็นแต่ธรรมชาติรู้ นี่ค่อยแยก แต่ว่าไม่ใช่เอาตัวนี้นะ ยังต้องเห็นว่าตัวนี้เองตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง ถ้ายังเห็นว่าตัวรู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิเลย มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งชื่อ หลวงปู่หล้า อยู่ภูจ้อก้อ ที่มุกดาหาร บอกว่าใครเห็นตัวผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฎฐิ จิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ สอนขนาดนี้นะ สอนตรงพระอภิธรรมเปี๊ยบเลย จิตก็เกิดดับ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นตัวผู้รู้แล้ว แยกเอาเจตสิกออกไปแล้ว จะเจอตัวผู้รู้นะ บางทีก็อาศัยการรู้ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ แล้วเห็นการเกิดดับของจิตได้นะ ค่อยๆฝึกไป หมดเวลาซะแล้ว เทศน์ยังไม่จบเลย วันนี้ เอ้า… พวกเรา ไปทานข้าว…

*หมายเหตุ เคยเห็นปรากฎในที่บางแห่งว่า “สัพเพสังขารา อนิจจา สัพพะสัญญา อนัตตา” – ผู้ถอดคลิปส์


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
ลำดับที่ ๗
File: 530606A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔๖ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พวกเราอย่าประมาท ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้

mp 3 (for download) : พวกเราอย่าประมาท ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

พวกเราอย่าประมาท ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้

พวกเราอย่าประมาท ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเดินทางเสียแต่วันนี้นะวันข้างหน้าก็ถึง ถ้าวันนี้ไม่เริ่มต้นนะ วันข้างหน้าไปไม่ได้หรอก ลองได้ยินธรรมะเกี่ยวกับการเจริญสติจนถึงขนาดนี้แล้ว แล้วยังไม่ทำเนี่ย จะทำเมื่อไหร่ ไม่เริ่มวันนี้จะเริ่มเมื่อไหร่ รอให้แก่รึ รอให้ตายรึ หรือจะไปเริ่มชาติหน้า หรือจะไปรอพระศรีอาริย์ ถ้านิสัยสันดานขี้เกียจขี้คร้าน ไปเจอพระศรีอาริย์ก็ยิ่งขี้เกียจกว่านี้อีก เพราะสะสมนิสัยไม่ดีไป

เพราะฉะนั้นต้องฝึกนะ หัดเจริญสติตั้งแต่วันนี้เลย ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ สติปัฏฐานนี้เป็นธรรมะที่กลางๆ ไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไปหรอก เป็นธรรมะที่พอดีๆที่มนุษย์จะทำได้

ทำไมเหมาะกับมนุษย์ กับเทวดายังไม่เหมาะเลย พรหมก็ไม่เหมาะนะ มนุษย์นี่เหมาะที่สุดเลย เพราะอะไร? เพราะมนุษย์นี่สำส่อน ใจเราเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เห็นมั้ย หมุนติ้วๆอยู่อย่างนี้ทั้งวัน ร่างกายของเราก็ไม่สุขเกินไปไม่ทุกข์เกินไป ทำให้ไม่ประมาทไม่มัวเมา อย่างเป็นเทวดาใช่มั้ย โอ๊ว.. มีแต่ความสุข จะดูอะไรล่ะ จะอยากปฏิบัติธรรมรึ เอาไว้ก่อนน่ะ อายุยังอีกเยอะ ถ้าเอาไว้ก่อนอายุยังอีกเยอะเนี่ยประมาทแล้ว พวกเราก็อย่าประมาทนะ ต้องลงมือปฏิบัติตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะ ไม่ใช่ว่ามาบอกหลวงพ่อว่าขอฟังก่อนแล้วเดี๋ยวกลับบ้านจะไปปฏิบัติ นั่นพวกประมาทนะ รู้ได้อย่างไรว่าจะถึงบ้าน

เพราะฉะนั้นต้องทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย มีสตินะ จิตใจเรามีความสุขขึ้นมาก็รู้ จิตใจเราฟุ้งซ่านก็รู้ เห็นมั้ยพอพูดมาถึงตรงนี้จิตใจเริ่มนิ่งๆแล้วส่วนใหญ่ รู้สึกมั้ย เนี่ยรู้ลงไปอย่างนี้ รู้ลงไป


CD: บ้านอารีย์ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
File: 510914.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕๐ วินาทีที่ ๒๐ ถึง นาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

mp 3 (for download) : ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

ภาวนาเป็นแล้วทำไมกิเลสเกิดบ่อยขึ้น?

โยม : จะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อครับ ถึงเรื่องวิธีการฝึกจิตแล้วก็ดูสติน่ะครับ ไม่ทราบว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า เพราะว่าปัญหาของตัวเองก็คือมีโทสะค่อนข้างมาไวแล้วไม่ค่อยทัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : อะไรนะ โทสะอะไรนะ

โยม : โทสะน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไม โทสะทำอะไร

โยม : คือมาค่อนข้างไว เหมือนกับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : แล้วไง

โยม : คือ รู้ครับ แต่มารู้ทีหลังทุกทีครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : รู้ทีหลังก็ถูกแล้ว คนที่ภาวนาเป็นน่ะนะ กิเลสจะเกิดบ่อย คนที่ภาวนาไม่เป็นไปเพ่งไว้นะ ทั้งวันเลยไม่เกิดกิเลส มันนิ่งลูกเดียว เราอย่ากลัวกิเลส แต่ว่าอย่าผิดศีล ๕ นะ เบื้องต้นต้องมีศีล ๕ ไว้ก่อน เพราะว่าต่อไปนี้เวลาเราเจริญวิปัสสนาเนี่ย เราจะไม่เก็บกด

คนซึ่งทำสมถะเนี่ยนะ ไม่ต้องถือศีลมากก็ได้นะ เพราะว่ามันเก็บกด ไม่ได้ไปทำชั่วอะไรหรอก วันๆก็ซึมกระทืออยู่อย่างนี้นะ ไม่ยุ่งกับใคร ทั้งวันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้เรื่องหรอก แต่พอเราไม่ได้เก็บกด เราปล่อยเนี่ย ความชั่วในส่วนลึก ที่เรียกว่าอนุสัยทั้งหลายเนี่ย จะผุดขึ้นมาอย่างอิสระ ตากระทบรูปปุ๊บ ไม่ได้เก็บกดนะ โทสะพุ่งแล้ว กระทบสาวปุ๊บราคะขึ้นแล้ว จะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นตรงนี้แสดงว่าเราไม่ได้กดไว้แล้ว เป็นการที่กิเลสเกิดบ่อย

พอมีกิเลสเกิดบ่อยเราก็มีสติรู้ทัน เราจะเห็น ต่อไปมันก็เกิดปัญญา เห็นมั้ยกิเลสจะเกิดก็ห้ามมันไม่ได้นะ เกิดมาแล้วเรารู้ทันมันไป กิเลสก็เกิดแล้วก็ดับ อย่าไปฝึกดับกิเลสนะ แต่ฝึกเห็นกิเลสเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ฝึกดับกิเลส คนละเรื่องกันเลย

โยม : คือดูไปเรื่อยๆแล้วมันจะค่อยลดเองใช่มั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อยากลดเหรอ

โยม : อ๋อ.. คือที่รู้สึกก็คือรู้ว่าน้อยกว่าเมื่อก่อนครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือกิเลสจะเกิดบ่อยกว่าแต่ก่อน แต่กิเลสจะเบา ทำไมมันเบา เพราะเรารู้เร็ว กิเลสเหมือนไฟไหม้บ้านนะ ถ้าปล่อยให้ไหม้หลายนาทีเนี่ย จะไหม้เยอะ ถ้าคนมันมาวางเพลิง มาขีดไฟแช็คปุ๊บ เราเห็นแล้วถีบมันเปรี๊ยง ไฟไม่ติดละ ดังนั้นกิเลสเนี่ย พอเรามีสติรู้เร็ว กิเลสมันก็อ่อน กิเลสจะเกิดบ่อยนะ ไหววับรู้สึก วับรู้สึก วับรู้สึก ไม่ต้องทำอะไรมัน


CD: บ้านอารีย์ วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
File: 510914.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๔๕ วินาทีที่ ๓๒
 

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นักปฎิบัติไม่หนีโลก

mp3 (for download): นักปฎิบัติไม่หนีโลก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

นักปฏิบัติไม่หนีโลก

นักปฏิบัติไม่หนีโลก

หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่ว่ามันไม่ใช่ฝึกปฏิบัติแล้วหนีโลกนะ เรามีหน้าที่อยู่กับโลกเราก็อยู่ไป เลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไป การปฏิบัติก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน คอยดูใจเรา บางช่วงสมัยหลวงพ่อหัดใหม่ๆ บางช่วงอยากไปบวชอะไรอย่างนี้ เบื่อโลกนะ มีหน้าที่อยู่กับโลกมันยังมี ก็ดูเอา ดูความเบื่อไป อือมันเบื่อ เพราะมันไม่มีสาระอะไร.. โลก

จะดีกว่านั้นเลย ต่อไปเราก็จะดูเข้ามา จนกายกับใจเราเนี่ยไม่ใช่ตัวเรา เมื่อกายกับใจไม่ใช่ตัวเรามันจะไม่เบื่อโลกนะ มันจะรู้สึกเลยว่ากายกับใจมันก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั่นแหละ มันเป็นส่วนหนึ่งของโลกแล้วมันจะไปเบื่อโลกได้ไง

อ้า… มันยังติด มันยังรักในความเป็นเราอยู่ มันอยากให้จิตของเราดี อยากให้จิตเรามีความสุข อยากให้จิตของเราสงบ อะไรอย่างนี้ ไม่อยากสุงสิงกับใคร ลึกๆลงไปก็คือ เรารักตัวเราเองนั่นเอง

ทีนี้ถ้าเราคอยรู้กายรู้ใจ จนมันไม่มีตัวเรา มันก็ไม่รู้จะเบื่อทำไม กายกับใจนี่มันของโลกต่างหากล่ะ ก็อยู่กับโลกได้ อยู่กับโลกนะ ไม่ติดโลก แต่ว่าสบาย มีความสุข


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันอังคารที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า

CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๑๑
ลำดับที่ ๒
File: 490103B
นาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒๘ ถึงนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

mp3 (for download): หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูก หลวงพ่อบอกให้รู้สิ่งที่ผิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ผิดมี ๒ อัน หลวงพ่อไม่ได้สอนสิ่งที่ถูกนะ หลวงพ่อบอกให้รู้แต่สิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูก ถ้าเราไม่ผิดมันก็ถูกเอง สิ่งที่ผิดอันแรกก็คือใจลอยไป เราเผลอๆ เราเหม่อๆ เราคิดไปทั้งวัน ในโลกมีแต่คนหลง คนทั้งโลกเลย ตื่นขึ้นมา ตื่นแต่ตัว แต่ใจจะคิดๆ ฝันๆ ไปทั้งวัน ไม่รู้ตัวเอง อีกพวกหนึ่งคือนักปฏิบัติ จะชอบไปเพ่งเอาไว้ ไปบังคับไว้ ไปประคองไว้ ไปกำหนดเอาไว้ ใจก็จะนิ่งๆ ทื่อๆ ร่างกายก็แข็งๆ ใจก็แข็งๆ

ในความสุดโต่งมี ๒ อัน ถ้าเราไม่หลงผิดไปสุดโต่ง ๒ ด้านนี้ เราจะถูกอัตโนมัติเลย เพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นละ ถ้าไม่สุดโต่งข้างซ้ายข้างขวา ก็เข้าตรงกลางเลย ทางสายกลางเราก็ไม่ต้องไปค้นคว้า ไม่ต้องไปหามัน แค่ใจเราลอยไปเรารู้ทัน เราก็จะตื่นขึ้นมาในฉับพลันนั้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี
ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันอังคารที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า
CD สวนสันติธรรมแผ่นที่ ๑๑
ลำดับที่ ๒
File: 490103B
นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๕๐ ถึงนาทีที่ ๔วินาทีที่ ๔๖

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาไปแล้วไม่สุขเหมือนตอนแรกๆ

Mp3 for download : ภาวนาไปแล้วไม่สุขเหมือนตอนแรกๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ภาวนาแล้วไม่สุขเหมือนตอนแรก

ภาวนาแล้วไม่สุขเหมือนตอนแรก

โยม : หลวงพ่อครับ เวลารู้สึกตัวเนี่ย เดี๋ยวนี้ทำไมมันไม่ค่อยแฮปปี้เหมือนแต่ก่อนเลยล่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อนมั้ง มันจะแฮปปี้อะไรนักหนา โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เดิมมันคล้ายๆเด็กไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นนะ พอมันตื่นขึ้นมาก็ โอ๊..สดใส ซาบซ่า พอตื่นเนืองๆ เห็นไหม โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย

นอกจากไม่แฮปปี้นะ บางทีภาวนาไปแล้วรู้สึกจืดชืดที่สุดเลย ใจจะแห้งแล้งเลย บางที รู้สึกโลกนี้ไม่น่าสนใจ ความสุขก็ไม่ใช่สิ่งที่อิงอาศัยได้ ความดีก็ไม่ใช่สิ่งที่อิงอาศัยได้ ความสงบก็อิงอาศัยไม่ได้ ชั่วคราวไปหมดเลย เนี่ย ใจจะเข้าไปสู่ เห็นทุกสิ่งนะเสมอกัน น่าเบื่อเหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน หาสาระแก่นสารเป็นที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้เหมือนๆกันหมดเลย

ใจจะรู้สึกจืดชืด ถ้าใจจืดชืดตรงนี้ ให้รู้ว่าจิตใจเราจืดชืด ให้รู้ลงไปอีกนะ ความจืดชืดเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาอีกอันหนึ่ง หรือความเบื่อ ความกลัว เป็นสิ่งแปลกปลอมเข้ามา พอใจเราเป็นกลางขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันจะเป็นกลางกับสภาวะทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่ได้เจตนาให้เป็นกลางแล้ว คราวนี้เป็นกลางเพราะมีปัญญาเห็นว่าอย่างชั่วคราว ทุกอย่างบังคับไม่ได้เหมือนๆกันหมดเลย

พอใจเข้ามาสู่ความเป็นกลางในระดับนี้ จิตจะหยุดความปรุงแต่ง อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นให้ดูไป มันเบื่อก็ดูไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๐
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๑
File: 500707B
ระหว่างนาทีที่ ๑๑วินาทีที่ ๔๕ ถึงนาที่ที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๑

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

จิตแสวงหาอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์: ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ อัศจรรย์ เปลี่ยน..จริงๆเลย เหมือนมีมนต์เปลี่ยนใจ

โยม: ขอส่งการบ้านในรอบปี สรุปที่ปฏิบัติมาปีนี้น่ะค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์: โห..ตั้งปีเลย เอ้า..

โยม: สรุปในปีนี้ที่ปฏิบัติมานะคะ หนูก็เริ่มเห็นว่า ขันธ์เนี่ยมันทำงานคนละส่วน คนละส่วนกันน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดี

โยม: กายใจ มันก็แยกกันน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เอ้อ…

โยม: แล้วก็ ที่เห็นก็คือสมมุติ เวลาที่หนูจิตแอบไปคิดทีไรเนี่ย ก็จะเห็นว่ามันเกิดเวทนา แล้วก็.. พอเกิดเวทนามันก็จะมีอัตตาตัวตนพุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ ค่ะ เท่าที่เห็นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ก็ดี

โยม: แล้วก็เห็นว่าจิตเนี่ย มันแสวงหานู่นนี่อยู่ตลอดเวลา มันไม่เคยพอใจกับที่มันเป็นอยู่เลยน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: สังเกตมั้ย.. มันหิวอยู่ตลอดเวลา

โยม: ใช่ค่ะ เห็นอย่างนั้นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: มันหิวตลอดเวลาเลย จิตน่ะ ดีที่เห็น

โยม: ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดูสิ แล้วสุขตรงไหน

โยม: มันไม่ มันบางที ตอนนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันสุข แต่ว่ามันก็ เดี๋ยวมันก็ดับไปแล้ว มันก็

หลวงพ่อปราโมทย์: ถ้าไม่หลงโลกไม่สุขหรอก โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ถ้าพูดอย่างนี้นะ คนนึกว่าศาสนาพุทธมองโลกแง่ร้าย ถ้าพระพุทธเจ้าบอกโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์แล้วท่านจบคำพูดของท่านแค่นี้นะ เนี่ยมองโลกแง่ร้าย แต่ท่านบอกวิธีที่จะพ้นจากมันด้วย พ้นจากมันแล้วจะพบบรมสุขนะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายเลย ถ้าแบบไม่มีทางออก โอ้ย..ทุกข์แน่นอน ทุกข์แน่นอนอย่างนี้ มองอย่างนี้หดหู่ เพราะฉะนั้น ยิ่งเราภาวนานะ เรายิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งเห็นทุกข์จิตใจยิ่งเบิกบาน มีความสุขมากขึ้นๆๆ เพราะจิตห่างโลกออกไปเรื่อยๆ ไปฝึกต่อไป

โยม: หลวงพ่อคะ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะว่า ที่ปฏิบัติอยู่นี่ถูกทางมั้ย หรือว่า…

หลวงพ่อปราโมทย์: อย่าไปกด อย่าไปข่มจิตนะ

โยม: ยังกดอยู่ใช่มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ยังกดอยู่ ตอนนี้ก็กดอยู่

โยม: ตอนนี้กดใช่มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่

โยม: หลวงพ่อคะ หนูอยากให้หลวงพ่อชี้สภาวะให้หน่อยได้มั้ยคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: อยาก..รู้มั้ย อย่างเมื่อตะกี้นี้ ตอนที่บอกหลวงพ่อ อยาก หนูอยากให้หลวงพ่อชี้สภาวะ จิตมันพุ่งมาที่หลวงพ่อ ดูออกมั้ย

โยม: ค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: จิตมันวิ่งชื้ดมาเลย นะ เนี่ยก็คอยรู้ไป เนี่ยก็สภาวะ นะ อย่างตอนนี้จิตไหลไปคิดทราบมั้ย

โยม: ทราบค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นะ นี่ก็สภาวะ นะ เนี่ยพยักหน้าเห็นมั้ย

โยม: เห็นค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เห็นมั้ย นี่ก็สภาวะ

โยม: หลวงพ่อคะ หนูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมั้ยคะ หนูคิดว่าหนูมีนะคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดีขึ้น มาเรียนกับหลวงพ่อแล้ว มีพัฒนาการที่เลวลง อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ

โยม: กราบขอบพระคุณค่ะหลวงพ่อ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๓
File: 521204B.mp3
ลำดับที่ ๔
ระหว่างนาทีที่ ๔๖ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๔๘ วินาทีที่ ๕๗

 

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

mp3 for download: สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

หลวงพ่อปราโมทย์: หลวงพ่อไปเรียนกับหลวงปู่ดูลย์นะ ท่านสอนให้ดูจิตตัวเอง ไปเรียนเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ไปหาท่าน กลับมานะ มาดูอยู่ ๓ เดือน ดูนะ จิตหนักๆก็แก้มันให้เบาๆ จิตไม่สบายก็ทำให้มันสบาย จิตเป็นอย่างนี้ แก้อย่างนี้ๆ แก้ไปเรื่อย จัดการจนกระทั่ง แหมใจเราสบาย เก่ง เรารู้สึกเก่งแล้วนะ ไปหาหลวงปู่ดูลย์ครั้งที่ ๒ ใช้เวลา ๓ เดือนละ

ไปถึง ไปส่งการบ้านท่าน ท่านบอกว่าดูผิดแล้ว ไปยุ่งกับอารมณ์ ไปแทรกแซงมัน ไปดัดแปลงสภาวะ ไปดัดแปลงอารมณ์ เช่น มันโลภขึ้นมา ทำอย่างไรจะหายโลภ มันโกรธทำอย่างไรจะหายโกรธ มันใจลอยทำอย่างไรจะไม่หลงเลย รีบพุทโธๆ ถี่จะให้ไม่หลงเลย พยายามแทรกแซงมัน หนักๆ ก็หาทางทำให้เบา พยายามจะเอาดี

ท่านบอกว่านี่ไม่ได้ปฏิบัติหรอก ไม่ได้ดูจิตหรอก แต่ไปแทรกแซงมัน ไปบังคับจิต ให้ไปดูใหม่ หลวงพ่อมาดูใหม่ ๔ เดือน รู้แล้วล่ะว่า เราต้องไม่แทรกแซง มันโลภก็รู้ มันโกรธก็รู้ มันหลงก็รู้ มันฟุ้งซ่าน มันหดหู่ มันดีใจ มันเสียใจ มันกลัว มันอิจฉา มันกังวล มันมีความสุข มันมีความทุกข์ มันมีอะไร รู้ลูกเดียวเลย

หลวงพ่อรู้อยู่อย่างนี้ ๔ เดือน ใช้เวลา ๔ เดือนเอง ไม่มากอะไร พวกเราไปฝึกเอานะ บางคนอาจจะเดือนหนึ่ง เข้าใจแล้ว ดูไปเรื่อย เราจะเห็นเลย ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ใหม่ๆ เรายอมรับไม่ได้นะ ความทุกข์เกิดเนี่ย เรายอมรับไม่ได้ เราอยากให้ดับเร็วๆ ความสุขเกิดเราก็ยอมรับความจริงไม่ได้ เราอยากให้ความสุขอยู่นานๆ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันดับไปตามเหตุ ตามผล ตามเวลาของมัน เพราะฉะนั้นเราดูของจริงในใจเราเรื่อยๆนะ วันหนึ่งปัญญามันเกิด มันจะเห็นเลยว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับหมดเลย ถ้าทุกอย่างเกิดแล้วดับ ใจยอมรับความจริงตรงนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราจะไม่กลุ้มใจแล้ว

แฟนเราทิ้ง ต้องกลุ้มใจมั้ย เห็นมั้ย มีแฟนมันก็ของชั่วคราวนะ มันไม่ทิ้งเราวันนี้ ไปแต่งงานกับมันนะ วันหนึ่งมันก็ตายไป หรือไม่เราก็ตายจากมัน ก็ต้องทิ้งกันอยู่ดีแหละ ทุกอย่างมันชั่วคราวนะ เพียงแต่ชั่วคราวบางอันมันหลายสิบปีหน่อย หลายสิบปีแห่งความทุกข์ทรมาน

เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกของถาวร ถ้าเมื่อไหร่ใจของเรายอมรับความจริงตรงนี้ได้นะ ใจเราจะทุกข์น้อยมากเลย เพราะฉะนั้นพวกเด็กๆหลวงพ่อให้การบ้านแล้วนะ ไปดูใจของเราบ่อยๆ ให้เห็นเลยว่าทุกอย่างในใจเรานี้ชั่วคราว อย่าคิดเอานะ ดูของจริง ดูความโลภเกิดขึ้น ดูสิ เธอจะอยู่ได้นานมั้ย ดูเรื่อยๆ แต่อย่าจ้องใส่นะ ถ้าจ้องมันจะนิ่งไปหมดเลย ไม่ดี แค่รู้สึก แค่รู้สึกเอาเท่านั้น ความโกรธเกิดขึ้นมาก็รู้ อ้อ..มันโกรธแล้วนะ อย่าไปจ้องใส่ตัวความโกรธนะ แค่รู้อย่าไปเพ่งใส่ เวลาเพ่งใส่เนี่ยจิตเราจะเคลื่อนเข้าไปเกาะนิ่งๆ อันนี้ใช้ไม่ได้

เราแค่รู้ ใจอยู่ต่างหากนะ เราเห็นความโกรธ เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน เห็นความโลภ ความหลง ความสุข ความทุกข์ เหมือนคนเดินผ่านอยู่ห่างๆ เราดูอยู่สบายๆ อย่าเข้าไปคลุกวงใน ดูแบบวงนอกไว้ ดูอย่างนี้เรื่อยๆ วันหนึ่งปัญญามันเกิด ปัญญามันสรุปได้เลย จิตจะเข้าใจความจริงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว

ถ้าวันใดที่เราเห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา” ใจยอมรับความจริงตรงนี้ได้เมื่อไหร่ เรียกว่า “พระโสดาบัน”

เราอย่าไปวาดภาพพระโสดาบันเอาไว้ลึกลับนะ คือ นั่งสมาธิเก่ง เดินจงกรมโต้รุ่งได้ ไม่จำเป็นหรอก พระโสดาบันบางองค์พิการ เดินไม่ได้ก็มี ไม่ใช่ต้องเดินได้ตลอด บางองค์ก็นอนเป็นอัมพาต นอนป่วยอยู่ เขาก็ภาวนาของเขาได้ ไม่จำเป็น มันอยู่ทีว่า เขามีสติรู้ทันทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจของเขาไหม ถ้าเขามีสติรู้ทันทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจของเขา โดยที่เขาไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ไปเพ่งจ้อง ไม่แทรกแซง ไม่เพ่งจ้องนะ แล้วก็ไม่แทรกแซง ไม่นานเขาก็จะเห็นความจริงว่า ทุกอย่างชั่วคราว ทุกอย่างเกิดแล้วดับ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520528A.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๑ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อไรเดินอย่างมีสติเรียกว่าเดินจงกรม

mp3 for download: เมื่อไรเดินอย่างมีสติเรียกว่าเดินจงกรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เมื่อไรเดินอย่างมีสติเรียกว่าเดินจงกรม

เมื่อไรเดินอย่างมีสติเรียกว่าเดินจงกรม

หลวงพ่อปราโมทย์: สรุปง่ายๆนะเด็กๆทั้งหลาย การภาวนาไม่ยากอะไร อย่าไปคิดว่าต้องเดินจงกรม ต้องนั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน ไม่ใช่

เมื่อไรเดินอย่างมีสตินะเรียกว่าเดินจงกรม เพราะฉะนั้นเมื่อเราเดินไปโรงอาหารเนี่ยนะ เดินอย่างรู้เนื้อรู้ตัวไปเนี่ย เราปฎิบัติธรรมอยู่แล้ว เรานั่งอยู่ ตอนนี้เราก็นั่งอยู่ใช่มั้ย ถ้าเรานั่งใจลอยก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเรานั่งแล้วคอยรู้ทัน จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้ทัน ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก คอยรู้ไปเรื่อยๆ นี่ก็เรียกว่าเราปฎิบัติอยู่แล้ว เรานั่งสมาธิอยู่แล้ว ส่วนนั่งท่านี้แล้วก็เคลิ้มๆไปนะ หรือไปนั่งเครียดๆอยู่ ไม่เรียกว่าปฏิบัติหรอก ไม่เรียกว่านั่งสมาธิ เดินจงกรมแล้วก็ใจลอยไป หรือว่าใจเครียดๆขึ้นมา ก็ไม่เรียกว่าเดินจงกรมนะ

หัดปฏิบัติธรรมเมื่อมีสติ มีสติคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของใจตัวเองไป ฝึกนะ หลวงพ่อฝึกใช้เวลาไม่นานหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520528A.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๕๒ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราคิด หรือ จิตคิด?

mp 3 (for download) : เราคิด หรือ จิตคิด?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เราคิด หรือจิตคิด

เราคิด หรือจิตคิด

โยม: เมื่อวาน หลวงพ่อบอกว่า อย่าคิดมาก ก็ สรุปแล้ว ทำไม่ได้ค่ะ หมายความว่า มันไม่สามารถทำได้

หลวงพ่อปราโมทย์: ไม่ๆ อย่าคิดมากของหลวงพ่อ หมายถึงว่า อย่าไปช่วยมันคิด ส่วนจิตเนี่ย มันคิดทั้งวันอยู่แล้ว ต่อไปนี้พอจิตมันไหลไปคิดนะ รู้ทันแว้บเลย อย่าไปช่วยมันคิด ภาษามนุษย์นะ บางทีไม่ค่อยสื่อนะ ลำบาก ตัวสภาวธรรมก็คือ ปล่อยให้จิตมันคิดไป แล้วมีสติรู้ทัน อย่าไปช่วยมันคิด

สมมุติว่า อยู่ๆมันคิดถึงยายชีคนนี้อยู่วัด อยู่กับเรา ที่ ที่อื่นนะ เกลี๊ยดเกลียดมัน อยู่ๆ ก็คิดถึงมันนะ ให้มีสติรู้ว่าไปคิดถึงเขาละ ให้มีสติรู้ว่าโทสะเกิด ให้รู้อย่างนี้นะ ไม่ใช่ไปช่วยเขาคิด

ช่วยเขาคิดมีหลายแบบนะ ช่วยเพิ่มกิเลส ไปช่วยแบบสู้กิเลส ช่วยเพิ่มกิเลสก็คือ ป่านนี้มันคงตายไปแล้ว มันทำชั่วมาก ช่วยแบบเพิ่มกิเลสตัวเอง อีกช่วย อีกช่วยหนึ่ง ช่วยข่มกิเลส อย่าไปโกรธเขาเลยน่ะ เขาหลงผิดไปชั่วครั้งชั่วคราว อีกหน่อยเขาคงจะดี เห็นมั้ย ขณะที่ไปช่วยคิดเพื่อจะไปสู้กิเลส ลืมตัวเองอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเรา ใจของเรานะ เหมือนเรืออยู่ในแม่น้ำทอดสมอไว้ ไม่ไหลตามน้ำไป ไม่ต้านน้ำ ให้น้ำไหลผ่านไป ปล่อยให้ความคิด ให้จิตใจนี่แหละทำงานไปตามปกติ ไม่ไปต้านมัน ปล่อย มีหน้าที่รู้ลูกเดียว แต่อย่าไปคล้อยตามมัน พอรู้เรื่องมั้ย สำนวนนี้ หรือต้องเปลี่ยน เปลี่ยนสำนวน

โยม: เข้าใจค่ะ เวลาที่มันมีความคิดเกิดน่ะค่ะ มัน มันเห็นเหมือนว่า มี หมายความว่าความคิด กับสิ่งที่มันคิด มันคนละอย่างกัน

หลวงพ่อปราโมทย์: ใช่.. แล้วคนที่รู้ว่าคิด ก็มีอยู่ต่างหาก นะ มัน ขันธ์นะกระจายตัวออกไป เห็นมั้ยเรื่องราวที่คิดอันหนึ่ง ใจที่คิดอันหนึ่ง ให้รู้อาการที่ใจคิดนะ ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด รู้เรื่องที่คิดเป็นการรู้อารมณ์บัญญัติ คนที่ไม่ภาวนาก็รู้เหมือนกัน หมาก็รู้นะ อย่างไอ้เหลืองมันคิดได้นะ หมาก็ฝันเป็นนะ เออ.. ไม่ใช่ว่าหมาฝันไม่เป็น คิดไม่เป็น

เพราะฉะนั้น ไปรู้เรื่องราวที่คิดที่ฝันเนี่ย กระทั่งสัตว์ก็ทำเป็น ตัวสำคัญคือ รู้..ว่าใจไปคิด เนี่ย ที่หลวงพ่อเทียนสอนน่ะ รู้ว่าจิตไปคิดน่ะได้ต้นทางแล้ว

พอเรารู้ว่าจิตไปคิด จิตจะหลุดออกจากโลกของความคิด มาเกิดโลกของความรู้สึกตัวขึ้นมา จะตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมา มันให้เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ ที่ขยับอยู่เนี่ย ท่านให้ขยับไปเรื่อย เห็นกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ไม่ใช่ตัวเราเลย เห็นทันทีนะ ไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นเรามั้ย จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เรา

และถ้าจิตเคลื่อนไหว ทำงานขึ้นมา ก็จะเห็นทันทีว่าไม่ใช่เราอีก ตัวเราไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้าใจหนีไปคิด ให้รู้ว่าไปคิดนะ ให้รู้อาการที่ใจหนีไปคิด ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิดนะ ถ้ารู้เรื่องที่คิดเป็นสมมุติบัญญัติ หมามันก็รู้เหมือนกัน ไม่เห็นบรรลุอะไร แต่ถ้ารู้อาการที่ใจคิดเนี่ย รู้อารมณ์ปรมัตถ์ เรารู้จิตที่คิด การรู้อารมณ์ปรมัตถ์นี่เป็นการทำวิปัสสนา เราจะเห็นเลย จิตจะคิดห้ามมันไม่ได้นะ มันคิดของมันเอง มันทำงานได้เอง มันไม่ใช่ตัวเราหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๐
Track: ๑๕
File: 500615A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๓๕ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 50 of 67« First...102030...4849505152...60...Last »