Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ภาวนาแล้วเกิดความเบื่อ

MP3: ภาวนาแล้วเกิดความเบื่อ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : ความทุกข์มันหายไปเยอะ แต่รู้สึกมันเปลี่ยนเป็นความเบื่อครับ

หลวงพ่อ : นั่นแหละภาวนา เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เมื่อเช้ามาทันหรือเปล่า

โยม: ทันครับ

หลวงพ่อ : นั่นแหละ ดูไป เบื่อรู้ว่าเบื่อนะ อย่าเลิก บางคนพอเบื่อแล้วเลิกเลย

โยม :มันไปเบื่อที่งาน แล้วก็งานก็รู้สึกว่าเริ่มเบื่อ แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันขี้เกียจหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ : เออ อย่างนั้นนะขี้เกียจ ถ้า ‘นิพพิทา’ ไม่ใช่เบื่ออันหนึ่งแล้วอยากได้อีกอันหนึ่งนะ จะเห็นทุกอย่างน่าเบื่อหมดเลย เสมอกันหมด ถ้าภาวนาแล้วขี้เกียจทำงาน ให้รู้ว่าขี้เกียจ ดูเข้าไป เมื่อก่อนหลวงพ่อมีเพื่อนคนหนึ่งนะ หลวงพ่อสอนแกภาวนา พอแกภาวนาเป็น วันหนึ่งก็มาฟ้องหลวงพ่อ เมื่อก่อนหลวงพ่อใหญ่นะ มาฟ้องหลวงพ่อว่าหัวหน้ากองนี่ใจบาป ดิฉันจะเดินจงกรมมาใช้ดิฉันทำงานทั้งวัน บอก เอ๊ะ เขาจ้างมาทำงานนะไม่ใช่จ้างมาเดินจงกรม ยังจะไปว่าหัวหน้ากองเขาอีก จะมาฟ้องให้เราเล่นงานหัวหน้ากอง ดีว่าเราหูหนักนะ หูเรายาว

หมายเหตุ

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิตด้วยการบริกรรมพุทโธ

MP3: ดูจิตด้วยการบริกรรมพุทโธ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: สวดมนต์แล้วก็จะบริกรรมพุทโธค่ะ ไม่ทราบว่าเหมาะกับจริตไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: เหมาะนะ แต่ต้องรู้ว่าเราพุทโธนะ เราดูจิตเป็นหลัก พุทโธเป็นตัวรองเท่านั้นเอง พุทโธเพื่อจะรู้ทันจิต เพราะฉะนั้น พุทโธแล้วจิตเราเป็นอย่างไรเราคอยรู้ทันจิตไว้ ไม่ใช่พุทโธให้จิตนิ่งนะ ของคุณพุทโธแล้วจิตมันน้อมไปสู่ความนิ่งมากไป

โยม: อย่างนี้ต้องไปดูกายเพิ่มด้วยใช่ไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ยังไม่ต้องหรอกนะ

โยม: ดูแต่จิต

หลวงพ่อปราโมทย์: รู้ทันก่อนนะ พุทโธไปๆ แล้วจิตนิ่งลงมารู้ว่าจิตนิ่ง พุทโธแล้วจิตแอบไปคิดรู้ว่าจิตแอบไปคิด พุทโธแล้วคอยรู้ทันจิตไว้

โยม: ค่ะ เพราะตอนนี้จะรู้สึกเหมือนกันว่าเครียดๆ ตึงๆ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นแหละ มันน้อมใจให้ตึงๆ นิ่งๆ ไว้ ไปกดจิตให้นิ่งนั่นแหละ ไปพุทโธแล้วทำจิตให้นิ่ง อย่าไปให้นิ่ง พุทโธแล้วก็ปล่อยให้จิตทำงานแล้วเราคอยรู้ทันไปเรื่อยๆ พุทโธเป็น background เราดูจิตเป็นตัวหลัก ไม่ใช่พุทโธเพื่อให้จิตสงบ ของคุณไปพุทโธมุ่งให้จิตมันนิ่ง ก็เลยเครียดขึ้นมา

โยม: ถ้าเรารู้แบบเบาๆ นี่คือจิตมันจะตื่นขึ้นมาเองใช่ไหมคะ

หลวงพ่อปราโมทย์: ดูเบาๆ ถ้าจงใจเบาๆ ก็แกล้งเบาก็ไม่ใช่อีกนะ แต่ถ้าจ้องไว้นี่ผิดแน่นอน ถ้าเบาๆ นี่อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้ เพราะฉะนั้นคุณพุทโธไป แล้วคุณก็รู้ทันจิตไป ไม่ใช่พุทโธเพื่อให้จิตนิ่ง แต่พุทโธเพื่อรู้ทันจิต จิตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวไปแล้วก็คอยรู้เอา

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิตด้วยอานาปานสติ

MP3: ดูจิตด้วยอานาปานสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : คุณแม่ทำอานาปานสติมา ๓๐ ปีแล้วค่ะ

หลวงพ่อ: นานกว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อทำมา ๒๒ ปี

โยม: แล้วก็มาเริ่มฝึกดูจิตตามแนวหลวงพ่อประมาณ ๖ - ๗ เดือน อยากจะทราบว่าคุณแม่ยังติดเพ่งอยู่หรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : นิดหน่อย ยังมีนิดหน่อยนะ เพราะฉะนั้นเวลาเราทำอานาปานสติเราปรับนิดหนึ่ง แต่เดิมเราทำอานาปานสติแล้วจิตเราไหลไปอยู่ที่ลม มันไปสงบอยู่ที่ลม เราเปลี่ยนใหม่ เราทำอานาปานสติแล้ว เราเห็นร่างกายหายใจไปเรื่อย เราลืมตานะ นั่งดูร่างกายนี้หายใจไป ใจเราเป็นแค่คนดู ต่อไปไม่ว่าทำอะไรนะก็จะมีใจเป็นคนดูเรื่อยๆ ความสุขความทุกข์เกิดก็มีใจเป็นคนดู โลภโกรธหลงเกิดก็มีใจเป็นคนดู ฝึกไปเรื่อยนะมันจะมีใจเป็นคนดูเรื่อยๆ ฝึกอย่างนี้ได้ไหม ฝึกไปนะร่างกายก็ของถูกดู

โยม : ลืมตาด้วยใช่ไหมคะ

หลวงพ่อ : ลืมตาไว้ หลับตาเดี๋ยวมันเคลิ้มเข้าข้างในเหมือนที่มันเคยชิน พยายามลืมตาไว้นะ แล้วก็เดินนะ เดินอยู่ก็เห็นร่างกายมันหายใจไป ยืนเดินนั่งนอนทำในทุกๆอิริยาบถ อย่านั่งนาน นั่งแล้วซึม

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลวงพ่อแนะนำคนสูงอายุภาวนา

MP3: หลวงพ่อแนะนำคนสูงอายุภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หมายเหตุ

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การบ้านของเด็ก12ขวบ

MP3: การบ้านของเด็ก12ขวบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : นมัสการหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อ : กลัวไหม

โยม: กลัวครับ

หลวงพ่อ : กลัวก็รู้ว่ากลัวนะ  อายุเท่าไรแล้ว

โยม : ๑๒ ปี ครับ

หลวงพ่อ: หลวงพ่อชอบมากเลย เด็กภาวนา ว่าไป

โยม : คือไม่รู้ว่าจะดูอะไรครับ

หลวงพ่อ: ดูอะไรก็ได้ อย่าดูแต่หนังอย่างเดียว

โยม : อยากให้หลวงพ่อแนะนำหน่อยว่าจะดูอะไรดีครับ

หลวงพ่อ: ดูความรู้สึกของตัวเอง คอยรู้ความรู้สึกนะ พื้นฐานเดิมที่ทำมาใช้ได้นะ มีของเดิมมา เพราะฉะนั้นเราหัดดูความรู้สึกของเราไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเลย ใจเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกันเลย อย่างตอนนี้ใจลอยไปวูบหนึ่ง ดูออกไหม?

โยม: ดูออกครับ

หลวงพ่อ: หัดดูไปอย่างนี้ ดูเป็นแล้ว การปฏิบัติจริงๆง่ายที่สุดเลย ยิ่งเด็กยิ่งภาวนาง่าย เพราะเด็กไม่มีมารยา ใจของเราเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น รู้ซื่อๆ อย่างตอนนี้เริ่มไปกดให้นิ่งแล้วรู้สึกไหม? อย่าไปหน่วงจิตให้นิ่ง ไม่เอา ปล่อยให้จิตมันซนไป เอ้า ซนเร็วซน ซนเข้า เขินอีกแล้วรู้สึกไหม? เนี่ย ใจมันโล่งขึ้นมาดูออกไหม? ถ้าเราไปกดไว้ใจจะแน่นๆ ถ้าปล่อยแล้วใจมันจะโล่งๆ เราปล่อยมันโล่งๆแล้วเราตามรู้ไปเรื่อย อย่างตอนนี้ใจแอบไปคิดอีกแล้วทราบไหม? ใจมันไหลวูบไป แอบไปคิด เด็กคนนี้คิดนุ่มนวล บางคนคิดกระโชกโฮกฮาก เนี่ยไปอีกแล้วรู้สึกไหม? มันไหลไปนิ่มๆ มันลืมตัวเอง สังเกตไหม? ตอนที่หลงไป มันจะลืมตัวเราเอง เรามีกาย เราก็ลืมไป เรามีจิตใจ เราก็ลืมไป เวลาที่หลงนะ ถ้าเมื่อไรไม่มีกาย เมื่อไรไม่มีใจ กายหายใจหาย ก็หลงไป เราก็รู้ทันว่าหลงไปแล้ว คอยรู้สึกกายคอยรู้สึกใจบ่อยๆ

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาด้วยการขยับทำอย่างไร?

MP3: ภาวนาด้วยการขยับทำอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: ผมจะสังเกตยังไงว่า เวลาผมขยับแล้วมันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

หลวงพ่อ : แรกๆไม่ถูกหรอก มันก็จงใจหน่อยๆ แต่ฝึกไปแล้วขยับเราก็รู้สึกนะ จิตไหลไปอยู่ในมือเราก็รู้สึก ขยับแล้วจิตหนีไปคิดเราก็รู้สึก ขยับแล้วคอยรู้จิตไปเรื่อยๆ ต่อไปเวลาเราเผลอ เราเกิดขยับตัว เราไม่ได้ขยับมือด้วยซ้ำไป เคยฝึกมือนี้  เกิดขยับคอขึ้นมาอย่างนี้ สติเกิดเองเลย มันจะรู้สึกขึ้นมาโดยที่ไม่ได้จงใจ

โยม: แต่ที่ผมขยับเล่นๆ ทุกครั้งที่ผมมาผมก็ขยับ อย่างนั้นถูกแล้วใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ: ไหนลองขยับโชว์ซิ

โยม: ถ้าขยับต่อหน้าหลวงพ่อมันจะทำไม่ได้สักที เพราะมันจะไปอัดไว้ แล้วให้สังเกตจิตตั้งมั่น จะสังเกตยังไงครับ?

หลวงพ่อ : เวลาขยับนะ รู้สึกไหมใจเรากระจายออกไปไหม ถ้าใจกระจายออกไปรู้ว่ากระจายไป-จิตไม่ตั้งมั่น

โยม: แล้วถ้าจิตตั้งมั่นจะต้องสังเกตยังไงครับ

หลวงพ่อ : จิตตั้งมั่นมันจะเห็นร่างกายเคลื่อนไหว จิตเป็นแค่คนดูอยู่ต่างหากเอง

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มือใหม่หัดภาวนา

MP3: มือใหม่หัดภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ พึ่งมาครั้งแรก และก็ได้อ่านหนังสือมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้ฟังซีดีค่ะ ขอคำแนะนำจากหลวงพ่อค่ะ

หลวงพ่อ : ไปฟังซีดี ไปฟังดูซิ แล้วก็ดูใจของเราไปเรื่อยๆ ใจเราแต่ละวันแต่ละเวลาไม่เคยเหมือนกัน ดูอย่างนี้ ดูเล่นๆไป แล้วไม่แทรกแซงนะ ไม่ใช่ว่าดูแล้วมันต้องดี ดูแล้วต้องสุขต้องสงบ ไม่จำเป็นเลย   ฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน มีความทุกข์รู้ว่ามีความทุกข์ มันไม่ดีรู้ว่ามันไม่ดี มันโลภรู้ว่าโลภ โกรธรู้ว่าโกรธ หลงรู้ว่าหลง รู้ซื่อๆ ไม่แทรกแซง ทำได้ไหม? ยาก ยากตรงไหน? ตรงที่อดแทรกแซงไม่ได้   เรามันขี้โมโห แล้วไง?

โยม : อยากจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่าจริตเหมาะกับอะไร

หลวงพ่อ : ดูจิตไป เหมาะกับจริตแล้ว

ที่ฝึกอยู่ตอนนี้ใช้ได้แล้วนะ จิตมันเริ่มตื่นแล้ว รู้สึกไหม เหมือนเราตื่นขึ้นมาจริงๆ  ใช้ได้นะ ซีดีหลวงพ่อหรืออ่านหนังสือหลวงพ่อแล้วตื่นนะเป็นเรื่องแปลก

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลงนานไม่ค่อยรู้ตัวทำอย่างไร?

MP3: หลงนานไม่ค่อยรู้ตัวทำอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: คือว่ารู้สึกว่าปฏิบัติแล้วมันพัฒนาลงค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : มันพัฒนาลงยังไง

โยม : มันรู้ตัวได้น้อยลงค่ะ

หลวงพ่อ : แล้วมันไปไหน

โยม : มันเผลอไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ

หลวงพ่อ : หลงนาน?

โยม : นานค่ะ รู้สึกอย่างนั้น

หลวงพ่อ : หลงนานไปเดินจงกรมไว้ เดินไปเดินมาแล้วก็คอยรู้สึก เห็นร่างกายมันเดินเรื่อยๆ แต่อย่าไปเพ่งนะ อย่างตอนนี้จิตจะน้อมไปเพ่งเอา

โยม : อย่างนี้เรียกเพ่งใช่ไหมคะ

หลวงพ่อ : ใช่ ไม่เพ่งนะ ให้คอยรู้สึก สงสัยรู้สึกไหม สงสัยผุดขึ้นมาเราก็รู้ว่าสงสัย ให้รู้ความรู้สึกลงปัจจุบัน หัดดูสภาวะบ่อยๆนะ แล้วสติจะเกิดบ่อย อย่างตอนนี้ใจหนีไปคิดทราบไหม

โยม : นิดหนึ่งค่ะ

หลวงพ่อ : ให้หัดดูอย่างนี้ หัดดูสภาวะบ่อยๆนะ แล้วสติจะเกิดเร็วขึ้น เนี่ย ใจไปคิดอีกแล้ว แล้วใจอยากพูด รู้สึกไหม นั่นแหละหัดดูอย่างนั้น หัดดูความรู้สึกของเรานะ มันจะทำงานตลอดเวลา ต่อไปสติก็จะเร็วขึ้น

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การดูจิตเป็นวิหารธรรมได้อย่างไร?

MP3: การดูจิตเป็นวิหารธรรมได้อย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : อยากได้วิหารธรรมครับ

หลวงพ่อ : ดูจิตไป เห็นจิตเคลื่อนไหว เห็นจิตเปลี่ยนแปลงนะ รู้ความรู้สึกไป อย่าไปคิดว่าจะดูจิตดูอะไร ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นในใจเรารู้ลูกเดียวเลย ถ้าจิตวิ่งไปวิ่งมา เดี๋ยวหลงไปที่ตา หลงไปหู ก็คอยรู้ทัน รู้ ๒ อัน (๑)รู้ความรู้สึก  (๒)รู้กิริยาอาการของจิต อย่างตอนนี้จิตวิ่งมาที่หลวงพ่อแล้ว รู้สึกไหม คอยรู้ทัน ไม่ประคองให้นิ่ง ดูความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ติดพากย์ทำอย่างไร?

MP3: ติดพากย์ทำอย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : บางทีพอเรารู้ มันก็มีเสียงพากย์ในใจ เคยฟังอาจารย์อธิบาย มีอุบายแก้ไหมครับ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : ห้ามไม่ได้นะ เราภาวนาไม่ได้มุ่งแก้อะไรทั้งสิ้น ภาวนามุ่งเห็นกายตามความเป็นจริง เห็นจิตใจตามความเป็นจริง เห็นจิตพอรู้แล้ว จิตต้องคิด จิตต้องพูด สังเกตต่อไปอีกชั้นหนึ่งเราก็จะชนะมันได้ ไม่ใช่ว่าห้ามไม่ให้พูดนะ แต่เราเห็นว่ามันพูดได้เอง รู้สึกไหมว่ามันพูดเอง สมมติว่าคุณสุเมธพูด เห็นไหมคุณสุเมธก็พูดได้เอง ไม่ใช่เรา เห็นไหมตัวที่พูดมันก็พูดของมันเอง เรียนรู้ลงไปตรงนี้ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมันเลย ไม่ใช่ไปเกลียดมัน มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู มันเป็นครู ถ้าเราเกลียดมันแสดงว่าเกลียดครูของเรา

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนไม่มีฌานทำให้จิตตั้งมั่น(มีสมาธิ)ได้อย่างไร?

MP3: คนไม่มีฌานทำให้จิตตั้งมั่น(มีสมาธิ)ได้อย่างไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อ: ให้เราสังเกตจิตของเราไป   ทำฌานไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ให้มีสติรู้ทัว่าตอนนี้กำลังหลงไปหาแล้วว่าจะดูอะไรดี ตอนนี้ถลำลงไปเพ่งแล้ว ตอนนี้เข้าไปแทรกแทรงด้วยความยินดียินร้ายแล้ว

ถ้ารู้ทันอย่างนี้นะจิตจะตั้งมั่นขึ้นมาได้ นี่เป็นวิธีที่สำหรับคนที่ทำฌานไม่ได้นะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา

รู้ว่ามันไหลไปมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเริ่มต้นไหลอยากเห็นอยากปฏิบัติ   จิตไหลไปค้นคว้าแสวงหาว่าจะดูอะไรดี จิตไม่ตั้งมั่น พอไปเจออะไรจิตก็ไปถลำลงไปจ้อง จิตไม่ตั้งมั่น

ถ้าเรามีสติรู้ทันว่ากำลังหาอยู่ จิตก็จะตั้งมั่น

รู้ว่ากำลังถลำไปแช่ไปจ้องอยู่ รู้ทันจิตก็จะตั้งมั่น

รู้ว่ากำลังหลงไปแทรกแทรงอยู่ จิตก็จะตั้งมั่น

ถ้าเรามี ที่หลวงพ่อบอก หลวงพ่อสอนสองอัน (๑)รู้สภาวะ (๒)รู้สภาวะให้เป็น

การรู้สภาวะ คือ มีสติ   การรู้สภาวะเป็น คือ มีสัมมาสมาธิ มีความจิตตั้งมั่น

ที่รู้ผิดคือจิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไป บางคนดูพองยุบจิตก็ไหลไปอยู่ที่ท้อง เดินจงกรมจิตก็ไหลไปอยู่ที่เท้า รู้ลมหายใจจิตไหลไปอยู่ที่ลมจิตไม่ตั้งมั่น

อันนี้เป็นวิธีสำหรับคนทำฌานไม่ได้นะ

พวกเรายุคนี้หาคนที่ทำฌานได้จริงมีน้อย มีแต่ชานที่แปลว่าพื้น ลงไปแล้วลงไปเลี้อยไปคานนั่งแล้วขาดสติ

ฌานจริงๆไม่ค่อยมี ลูกศิษย์หลวงพ่อที่ทำฌานได้มีอยู่คนสองคนเอง นอกนั้นก็โม้ไปอย่างนั้นเอง ผมทำฌานได้ ไม่ได้เรื่อง!

ทำฌานไม่ได้ไม่เป็นไรนะ ให้รู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเอง

เรามีสองตัวแล้วเราจะได้สติ หัดรู้หัดดูสภาวะไปเรื่อยแล้วสติจะเกิดนะ รู้จิตที่ไม่ตั้งมั่น รู้ให้เป็น ถ้ารู้ไม่เป็นจิตไม่ตั้งมั่น ถ้ารู้เป็นจิตจะตั้งมั่นขึ้น ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วจะตั้งมั่นยิ่งกว่า

คราวนี้รู้แล้วจะเกิดปัญญาถ้าจิตตั้งมั่น จะเห็นเลยร่างกายที่กำลังปรากฏอยู่ไม่ใช่เรา รูปที่ปรากฎอยู่ไม่ใช่เรา นามธรรมทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ไม่ใช่เรา ไม่ยากอะไรหรอก

ง่ายๆ หลวงพ่อไม่เห็นว่ามันจะยากเลย

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จะปฎิบัติธรรมทำยังไง?

MP3: จะปฎิบัติธรรมทำยังไง?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะปฏิบัติจะทำยังไง มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่เป็นกลาง

มีสติ ทำอะไร รู้กายรู้ใจ

รู้ยังไง รู้ลงความเป็นจริง เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ

รู้ด้วยจิตชนิดไหน รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง

รู้อย่างนี้มรรคผลนิพพานไม่ไปไหน ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้กินหรอก

ถ้าขาดสติจิตเป็นอกุศลเลย ถ้ามีสติแต่ไม่ได้รู้กายรู้ใจ ไม่ใช่วิปัสสนา

ถ้ารู้กายรู้ใจไปเพ่งอยู่เฉยๆ ไม่เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจก็ไม่ใช่วิปัสสนาเป็นสมถะ

ถ้ารู้ด้วยจิตที่ไม่เป็นกลาง เรียกว่าขาดสัมมาสมาธิ ขาดความตั้งมั่น ขาดความเป็นกลาง อริยมรรคก็จะไม่เกิด

เพราะฉะนั้นเราต้องมีสติ รู้กายรู้ใจ จับหลักให้แม่น

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาของหลวงพ่อสมัยฆราวาส

MP3: การภาวนาของหลวงพ่อสมัยฆราวาส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อ: ตอนหลวงพ่อภาวนาก็เหมือนโยมนั่นแหละ หลวงพ่อภาวนาสมัยเป็นฆราวาส ตั้งแต่เจอหลวงปู่ดูลย์ ตอนนั้นรับราชการอยู่ในสำนักนายกฯ งานหนัก งานเครียด มีปัญหา เจ้านายก็ยุ่ง ในภาวะที่วุ่นวายนั้นน่ะ ภาวนาของเราเรื่อย สมัยนั้นเช้าๆรถติดมากเลย มันไม่มีนะ รถบนดิน รถใต้ดิน รถลอยฟ้า ไม่มีน่ะ มีแต่รถยนต์ รถยนต์กับรถตุ๊กๆ ก็มีอยู่เท่านั้น ไปไหนมาไหนรถก็ติด ลำบากไปหมดเลย เดี๋ยวนี้ยังง่าย ปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ไปได้

ในภาวะที่เราใช้ชีวิตธรรมดาของเรานั่นแหละ เราภาวนาอยู่ในชีวิตที่เราต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้นเราเป็นฆราวาส เราภาวนาในชีวิตของฆราวาส ถ้ามาเป็นพระเราก็ภาวนาในชีวิตของพระ ไม่มีอะไรแตกต่าง อยู่ตรงไหนก็ต้องภาวนาที่นั่น

ทีนี้วิธีภาวนาของหลวงพ่อใช่มั้ย เช้าขึ้นมาก็ต้องตาลีตาลานไปทำงาน ตื่นมาแต่มืดเลยนะ รู้ทันกายรู้ทันใจของเราไปเรื่อยเลย จะอาบน้ำ จะกินข้าว จะขึ้นรถ จะทำอะไรนะ เราก็รู้ทันกายรู้ทันใจของเราไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นาน ไม่กี่เดือนหรอก หัดรู้กายรู้ใจอยู่ไม่กี่เดือน ก็เข้าใจว่า อ้อ..จริงๆแล้วจิตมันไม่ใช่ตัวเรา อะไรๆมันก็ไม่ใช่ตัวเรา เข้าใจขึ้นมา

ไปหาครูบาอาจารย์ ไปส่งการบ้าน ไปส่งเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ส่ง แต่ ๓-๔ เดือนไปส่งทีหนึ่ง ไปบ่อยไม่ได้นะ ไม่มีสตางค์ค่ารถ แล้วก็ไม่มีวันลา อยู่ไกล ขึ้นไปสุรินทร์หลวงปู่ก็บอก ช่วยตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัย ช่วยตัวเอง ได้ ต่อไปไม่ต้องมาเรียนกับท่านก็ได้ ไปได้ด้วยตัวเอง

แต่เราก็ไปนะ เราไม่เซ่อเหมือนบางคนหรอก หลวงพ่อบอกว่า โอ้… ดีแล้ว ช่วยตัวเองพอได้แล้ว ไม่ได้บอกว่าช่วยได้นะ บอกพอได้แล้ว คนละเกรดนะ บอกพอจะไปได้แล้ว โอ้… ภูมิใจแล้ว ไม่ต้องมาหาหลวงพ่อแล้ว เราภาวนาเอาเอง ตกห้วยตกเหวไปเยอะแยะ หลายคน บางคนแย่กว่านั้นอีก บางคนนะ ก็นับถือหลวงพ่อนะ แต่มีทัศนะที่พิลึกมากเลย บอกว่า ถ้าผมได้ธรรมะเมื่อไหร่ ผมจะมาหาหลวงพ่อ ตอนนี้ผมไม่มานะ ผมจะรีบไปปฏิบัติก่อน จะปฏิบัติอะไร ยังไม่รู้หลักของการปฏิบัติ ก็ไปล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นล่ะ นี่ล่ะทิฎฐิมานะ พาให้เสีย

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จากธรรมคู่สู่ธรรมเดี่ยว

MP3: จากธรรมคู่สู่ธรรมเดี่ยว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ว่านี่ความเป็นตัวเป็นตนความเป็นเราขึ้นมา ผุดขึ้นมา มีเราผุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็มีเขาผุดขึ้นมาเมื่อนั้น ต้องมีคู่กัน มีเราคนเดียวไม่ได้มันต้องมีคนอื่นด้วย มีเรามีเขามีภายในมีภายนอก มีหยาบมีละเอียด มีสิ่งที่เป็นคู่ๆเกิดขึ้นมา

เพราะฉะนั้นเรารู้สึกเอานะ เวลาความรู้สึกมีตัวมีตนอะไรผุดขึ้นมาเราก็รู้ทันเอา ร่างกายมันเดินเราก็เห็นกายมันเดินไม่ใช่เราเดินล่ะ ถ้ามันมีความรู้สึกฉันเดินเมื่อใดหลงแน่นอนตอนนั้นหลงแน่ ถ้าไม่หลงมันไม่มีชั้นเดินหรอกนะ หรือชั้นโกรธเนี่ย ต้องหลงแล้วนะ ถ้าไม่หลงจะเห็นจิตมันโกรธไม่ใช่ชั้นโกรธ ต้องหลง เพราะฉะนั้นโมหะเนี่ยตัวต้นตอเลย ตัวหลง

พอหลงแล้วมันก็มีตัวเราขึ้นมา ปรุงเราปรุงเขา ปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงสุขปรุงทุกข์ ปรุงธรรมที่เป็นคู่ๆขึ้นมา ทั้งๆที่ธรรมทั้งหลายเป็นธรรมเดี่ยวๆนะ คือธรรมทั้งหลายไม่ว่าอะไร เกิดแล้วดับทั้งสิ้นเลย มันไม่ได้เป็นคู่กับใครหรอก แต่เราชอบไปเข้าคู่ให้มัน

ยกตัวอย่างความโกรธกับความไม่โกรธ เราบอกว่ามันเป็นคู่กัน คู่กันตรงไหนล่ะ ความโกรธเกิดแล้วก็ดับไป ก็จบตรงนั้นเอง ความไม่โกรธมันเกิดขึ้นมาใหม่ ความไม่โกรธเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ดับไป มันเกิดความโลภขึ้นมาใหม่ ความโลภเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป มันเกิดความไม่โลภขึ้นมาใหม่ ใช่มั้ย

แต่ละตัวๆเราไปจับมันคู่กันเองล่ะ จริงๆมันเกิดแล้วมันดับโดยตัวของมันเอง มีแต่เดี่ยวๆทั้งนั้นเลย สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ ใช่มั้ย ไม่ใช่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีคู่ๆ มีคู่ๆเพราะว่ามีสมมติบัญญัติ มีความคิดเจือปนเข้าไป

หมายเหตุ

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไตรสิกขา: บทเรียนในศาสนาพุทธและการภาวนา

MP3: ไตรสิกขา: บทเรียนในศาสนาพุทธและการภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : รูปเคลื่อนไหวก็รู้สึกไป ไม่ใช่ว่าต้องเคลื่อนไหวแบบไหน ตัวที่สำคัญไม่ใช่อยู่ที่ตัวกริยาอาการ ตัวที่สำคัญอยู่ที่ว่ามีสติมีปัญญาที่จะไปรู้มั้ย เพราะฉะนั้นเราอย่าไปให้ความสำคัญกับเปลือก ต้องให้ความสำคัญกับสติปัญญาที่เป็นเนื้อหา เป็นสาระแก่นสารจริงๆ

มีสติจริงหรือเปล่า หรือว่ามีสติจอมปลอม กำหนดไว้ เพ่งไว้ บังคับไว้ มีปัญญาเห็นความจริงคือไตรลักษณ์หรือเปล่า หรือว่าคิดๆเอาเอง ถ้าคิดเอาเองไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง เพราะฉะนั้นตัวสำคัญอยู่ที่ว่าเรามีสติมีปัญญามั้ย ปัญญาจะเกิดจากอะไร เกิดจากจิตมีสัมมาสมาธิ จิตที่มีสัมมาสมาธิเป็นจิตที่ตั้งมั่นในการรู้อารมณ์ ไม่ไหลเข้าไปอยู่ที่ตัวอารมณ์ ตัวนี้ก็ต้องเรียน

พวกนักปฏิบัติทั้งหลายที่ล้มลุกคลุกคลานไม่เลิกนะ ทำมานานแล้วไม่บรรลุมรรคผล หรือบางคนบรรลุมรรคผลเหมือนกันแต่คิดเอาเอง ไม่บรรลุจริงหรอก ชอบคิดว่าบรรลุทั้งๆที่ไม่บรรลุหรอก ส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่สำเร็จเพราะขาดสัมมาสมาธิ ตัวที่ทำให้เรามีสัมมาสมาธินะ คือบทเรียนในศาสนาพุทธที่ชื่อว่าจิตตสิกขา การเรียนเรื่องจิต

บทเรียนในศาสนาพุทธจึงมี ๓ บท มีเรื่องศีลสิกขา ทำอย่างไรกายวาจาของเราจะเป็นธรรมชาติธรรมดา ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง มีจิตตสิกขา เรียนไปจนรู้ว่าจิตชนิดไหนเป็นจิตที่เป็นกุศลชนิดไหนเป็นอกุศล ชนิดไหนใช้ทำสมถะชนิดไหนใช้ทำวิปัสสนา ตัวที่ใช้ทำสมถะนั้นจิตจะไหลเข้าไป เช่นไปดูท้องพองยุบจิตไหลไปอยู่ที่ท้อง ไปเดินจงกรมจิตจะไหลไปอยู่ที่เท้า ไปรู้ลมหายใจจิตจะไหลไปอยู่ที่ลม

แต่ถ้าเป็นตัวที่เป็นสัมมาสมาธิจะตั้งมั่นอยู่ เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวใจเป็นคนดู เห็นร่างกายมันนั่ง ยืน เดิน นั่ง นอน ใจเป็นคนดู มันจะแยกกันอยู่ ใจจะตั้งมั่น ใจจะไม่ไหลเข้าไปในอารมณ์ เรียกว่าจิตตั้งมั่นคือไม่ไหลเข้าไป ตัวนี้พวกเราอาภัพมากเลย พวกเราไม่เรียนกัน เวลาเราเรียนจิตตสิกขาก็คิดว่าเป็นการเข้าฌาน ไม่ตื้นขนาดนั้นหรอกนะ ถ้าเข้าฌานแล้วเป็นจิตตสิกขานะ พวกฤๅษีชีไพรก็เกิดปัญญาหมดแล้ว เพราะถ้ามีสัมมาสมาธิปัญญจะเกิด ฤๅษีชีไพรจะบรรลุพระอรหันต์ก่อนพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจิตตสิกขาไม่ได้ตื้นแค่ว่าเข้าฌาน จิตตสิกขาเราเรียนจนกระทั่งเราเข้าใจลักษณะของจิตที่เป็นกุศลและอกุศล ที่จะใช้ทำสมถะและใช้ทำวิปัสสนา ไม่เหมือนกัน

พอจิตตั้งมั่นขึ้นอย่างแท้จริงเนี่ย ถึงจะไปเจริญปัญญาสิกขา เห็นมั้ยบทเรียนที่ ๓ ศีลสิกขา จิตตสิกขา บทสุดท้ายคือปัญญาสิกขา มีสติ รู้รูปนาม รูปที่กำลังปรากฎ นามที่เพิ่งดับไปสดๆร้อนๆ นี่ รู้ก็ไม่เหมือนกัน เวลารู้รูปนะ มีสติรู้รูปที่กำลังปรากฎ แต่รู้นามที่เพิ่งดับไปสดๆร้อนๆด้วยจิตที่ตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิจิตจะไม่ไหลเข้าไป จิตจะตั้งมั่นอยู่ต่างหากโดยที่ไม่ได้ประคองไว้ จิตจะตั้งมั่น จิตจะเบา จิตจะอ่อน จิตจะนุ่มนวล จิตจะคล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน จิตชนิดนี้แหละคือจิตที่จะใช้เดินปัญญา

ในพระไตรปิฎกก็พูดเรื่อยๆนะ พระทั้งหลายท่านทำสมาบัติทำสมาธิ เข้าอัปนา พอถอยออกมาแล้วมีจิตที่เบา จิตที่อ่อน จิตที่นุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน และโน้มน้อมจิตนี้ให้เกิดญาณทัสนะ คือมีสติ ไปรู้กายรู้ใจ ก็จะเกิดญาณทัสนะคือเกิดปัญญา

เพราะฉะนั้นพอจิตตั้งมั่นนะ สติระลึกรู้กาย จะเห็นกายไม่ใช่เรา เมื่อมีจิตตั้งมั่นอยู่และมีสติรู้เวทนา ก็เห็นเวทนาไม่ใช่เรา เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ สติไประลึกรู้กุศล-อกุศลนะ ก็เห็นกุศล-อกุศลไม่ใช่เรา เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่แล้วสติระลึกรู้จิตดวงก่อน ก็จะเห็นว่าตัวจิตก็ไม่ใช่เรานะ ตัวจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

เนี่ยภาวนาอย่างนี้นะ มีสติ มีสัมมาสมาธิคือมีใจที่ตั้งมั่น ก็จะเกิดปัญญา เห็นทั้งกายทั้งใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ผู้ใดเห็นกายเห็นใจไม่ใช่เรา เรียกว่าพระโสดาบัน ดูต่อไปอีกจนปัญญาแจ้ง กายนี้ทุกข์ล้วนๆจิตนี้ทุกข์ล้วนๆ สลัดคืนกายคืนจิตให้โลก เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในโลก

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัดซ้อมดูจิต

MP3: หัดซ้อมดูจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อ: ต้องฝึก สติอยู่ๆไม่เกิดหรอก ต้องฝึกซ้อม

วิธีซ้อมมันง่ายๆ หาอารมณ์กรรมฐานขึ้นมาสักอันหนึ่งก่อน เช่นเราสวดมนต์ไหว้พระก็ได้ เรารู้ลมหายใจก็ได้ เรารู้ท้องพองยุบก็ได้ อะไรก็ได้ๆสักอย่างหนึ่ง

แล้วก็รู้อยู่ที่อารมณ์นั้นแหละ แต่ไม่เพ่ง อยู่ที่อารมณ์นั้นแล้วพอจิตเคลื่อนไปจากอารมณ์นั้นก็รู้สึกเอา ตอนนี้จิตเราหนีไปคิด ทราบไหม

เช่นเราหัดพุทโธๆ หรือสวดมนต์ อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา จิตเราไหลวูบไป หนีไปคิดเรารู้ทัน

การที่เราหัดซ้อมรู้ทันว่าจิตไหลไปบ่อยๆ ต่อไปพอจิตไหลมันจะรู้ได้เร็ว รู้ได้เอง สติเกิดเร็วขึ้นๆ เผลอสั้นลงๆ

*หมายเหตุ*

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิหารธรรม: เครื่องมือพิชิตความหลง

Mp3: วิหารธรรม: เครื่องมือพิชิตความหลง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การภาวนาเนี่ย ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่จิตเลยเนี่ย ภาวนาแล้วมันจะหลงนานนะ แต่ถ้าเรามีเครื่องอยู่ เช่นเราอยู่กับพุทโธ อยู่กับสัมมาอาระหัง อยู่กับลมหายใจ อยู่กับท้องพองยุบ อะไรก็ได้ บางคนอยู่กับการเคลื่อนไหวร่างกาย อะไรก็ได้ เหมือนกันหมดแหละนะ

แล้วก็จิตไปอยู่ สมมุติเราอยู่กับการเคลื่อนไหวเนี่ย จิตไหลไปอยู่ที่มือ เรารู้ จิตหนีไปที่อื่น เรารู้ จิตไปคิด เรารู้ ต่อไปนะ จิตไหวตัวนิดเดียวนะ สติจะเกิดเลย มันจะไม่หลงนาน แต่จะหลงบ่อย ไหวแว้บ รู้สึก แว้บ รู้สึกเลยนะ

การภาวนาเนี่ย ไม่ใช่ฝึกเพื่อที่จะไม่ให้หลงเลย แต่การภาวนานะจะฝึกเพื่อที่จะให้รู้สึกตัวบ่อยๆ ทุกครั้งที่รู้สึกตัวขึ้นมา ความหลงตะกี้นี้จะผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้นตลอดวันเนี่ย จะมีแต่หลงแล้วก็รู้ หลงแล้วก็รู้ สลับกันไปเรื่อยๆ

การที่เห็นหลงแล้วรู้สลับกันไปเรื่อยๆเนี่ย ถึงจุดหนึ่งปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นความจริงว่า ทั้งรู้และทั้งหลงเนี่ยนะ เกิดแล้วดับเหมือนกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ภาวนาเพื่อจะเอารู้อย่างเดียว มีรู้ขึ้นมาเพื่อที่จะให้ความหลงขาดเป็นท่อนๆ เราจะเห็นว่า ความหลงเกิดแล้วก็ดับ รู้เกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ภาวนาเพื่อตรงนี้นะ แล้วจะง่าย

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การบ้านของนักภาวนารุ่นจิ๋ว

mp3: การบ้านของนักภาวนารุ่นจิ๋ว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: มีเด็ก 9 ขวบอยู่คน เด็กผู้หญิง ภาวนาเก่ง ส่งการบ้านมีอยู่วันนะมันส่งน่าฟังมากเลย มันบอกว่ามันปวดตา พอปวดตานะ หนูก็เห็นร่างกายคือลูกตาอยู่ส่วนหนึ่ง ความปวดอยู่ส่วนหนึ่ง จิตที่เป็นคนรู้ว่าปวดอยู่อีกส่วนหนึ่ง เห็นไหมขันธ์มันแยกออกไป แกเห็นเลยร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา ความปวดมันก็ไม่ใช่ตัวเรา จิตที่เป็นคนรู้คนดูนะ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด จิตเองก็เกิดดับไปเรื่อยๆ จิตมันไม่เห็นเคยบอกว่าเป็นเราเลย ความเป็นเรามันเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเป็นคราวๆ อันนี้หลวงพ่อเติมนะ เด็กไม่ได้พูดถึงขนาดนี้ เด็กบอกว่าเด็กเห็นกายก็ส่วนหนึ่ง ความปวดก็ส่วนหนึ่งนะ จิตก็อยู่อีกส่วนหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกัน แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเอง นี่เด็กพูดได้ขนาดนี้ ไม่ธรรมดา

ทำไมเขาเห็นอย่างนี้ได้ เพราะเขามีสองตัว เขามีสติกับมีสัมมาสมาธิ มีสติมันระลึกรู้ อย่างความปวดเกิดขึ้นเขารู้ทัน ระลึกรู้ปั๊บ ใจตั้งมั่นขึ้นมามันจะเห็นเลยว่า ลูกตาก็ส่วนหนึ่งนะ ความปวดก็เป็นส่วนหนึ่ง คนละอันกัน จิตที่เป็นคนรู้ก็เป็นคนละอันกัน นี่ใจที่ตั่งมัน ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมาขันธ์มันจะแยกตัว ขันธ์จะกระจายตัวออกไป ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไป

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คนเก็บผัก ส่งการบ้าน

mp 3 (for download) :คนเก็บผัก ส่งการบ้าน

Media Player:

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใครยกมือ เบอร์ ๖๑ ยกไวมาก เบอร์อื่นเอาลงก่อน ๖๑ ยกไว้ อย่าเพิ่งเอาลง อยู่ทางข้างหลังๆ ไมค์มาแล้ว ข้างๆ

โยม : นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ เพราะว่าตั้งแต่หลวงพ่อให้ไปดูจิตใจ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เห็นมั้ย จิตใจไม่เหมือนเดิม

โยม : พอกลับไปแล้วมันเกิดปีติอยู่ตลอด (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..) เลยค่ะหลวงพ่อ แล้วพอตกกลางคืน พอตี ๓ น่ะ ชั้นรู้สึกว่าจิตตั้งมั่น (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) ทั้งๆที่ชั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลย (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) แล้วชั้นก็เห็นอะไรมันแปลกๆ ที่มันจะต้อง ทางที่มันต้องไปคนเดียว แล้วสงสัยอะไรก็ไม่ได้ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) มีเพื่อนก็ไม่ได้ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ เอ้ย… ) แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า อ้าว หลวงพ่อ ทางนี้มันไปได้เร็วอย่างนี้หรือคะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : เร็ว) แล้วมันก็ร่วงเลยค่ะหลวงพ่อ แต่ชั้นก็ไม่ได้ท้อถอยนะคะ ยังตั้งมั่นและพร้อมที่จะนับหนึ่งใหม่เสมอค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตของโยมนี่นะมันตั้งมั่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้วในขณะนี้นะ น้อยคนนะจะทำได้

โยม : แล้วอีกคืนหนึ่ง ตอนตี ๓ มันก็ตั้งมั่นอีก (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) พอมันตั้งมั่น ทีนี้จังหวะแฟนเขาหายใจแรง มันก็เลยล้มอีกค่ะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราดูอย่างนี้นะ (โยม : ค่ะ) เห็นมั้ย เวลามันตั้งมันก็ตั้งเอง เวลามันล้ม (โยม : ค่ะ) มันก็ล้มของมันเอง

โยม :
แต่ แต่ใจไม่เคยท้อถอยนะคะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ)

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราไม่ได้ฝึกเอาจิตตั้งมั่นนะ ฟังให้ดี (โยม : แล้วก็..) เราไม่ได้ฝึกเอาตั้งมั่น มันตั้งขึ้นชั่วขณะแล้วมันก็ล้มไป เดี๋ยวมันก็ตั้ง เดี๋ยวมันก็ล้ม แล้วแต่ละวันเนี่ย เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์ เดี๋ยวมันก็เฉยๆ มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ที่เราภาวนานะ ก็เพื่อให้เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

โยม : แล้วพอต่อจากนั้นค่ะ มันคงมีจิตอยากรู้มั้งค่ะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อือ) อยากรู้อยากเห็น มันเลยเครียดน่ะค่ะ แล้วทีนี้พอมันเครียดชั้นก็ไปหาอะไรทำ ทำงานบ้านถูบ้าน (หลวงพ่อปราโมทย์ : อือ) ล้างจาน เสร็จแล้วมีความรู้สึกว่า ธรรมะของหลวงพ่อนี่ มันต้องไม่พยายามอะไรเลยค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ แต่ไม่ขี้เกียจนะ) พอ พอไม่พยายามเลยมันก็เห็นสภาวะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นอีก (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) มากมาย แล้วก็ขอขอบคุณหลวงพ่อ โห..ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อชั้นคงตายเปล่าแล้วทั้งๆที่ปราถนา

แล้วทีนี้ชั้นอยากให้หลวงพ่อช่วยขยายความว่า การไม่พักแล้วไม่เพียรให้ชัดเจนซักหน่อยเจ้าค่ะหลวงพ่อ ขอความกรุณา

หลวงพ่อปราโมทย์ : พักเนี่ยนะ ก็คือ ขี้เกียจขี้คร้าน ปล่อยตัวปล่อยใจตามโลกไป ความเพียรเนี่ยมันเกิดจากความโลภก่อน อยากได้ อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากได้ อยากได้มรรคผลนิพพานอะไรอย่างนี้นะ เสร็จแล้วก็เกิดความดิ้นรนในใจเรา พยายามที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ดิ้นรน ส่วนมากก็จะดิ้นรนบังคับตัวเองเท่านั้นแหละ ดิ้นรนบังคับกายบังคับใจ จะให้มันเรียบร้อย เพราะฉะนั้นที่พักอยู่กับเพียรอยู่นี่แหละ คือความสุดโต่งสองด้าน อันนี้มาจากพระสูตรอันหนึ่งนะ มีเทวดาองค์หนึ่ง รู้สึกจะเป็นพระไตรปิฎกเล่ม ๑๖ มั้ง ไม่รู้นะ จำไม่ได้ขนาดนั้น นานแล้ว

มีเทวดาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปถามพระพุทธเจ้า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ข้ามโอฆะได้อย่างไร ข้ามห้วงกิเลสได้อย่างไร” พระพุทธเจ้าบอกว่า “ดูกร ท่านนิรทุกข์” อันนี้แกล้งชมเทวดานะ ให้กำลังใจ ความจริงเทวดามันก็ยังมีทุกข์นั่นแหละ แต่ว่าเทวดาองค์นี้ท่านสำคัญตนว่าเป็นพระอริยะ ก็เลยมาถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ข้ามได้อย่างไร ในใจก็ “ชั้นข้ามมาแบบนี้” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ดูกร ท่านนิรทุกข์ เราข้ามโอฆะได้โดยไม่พักอยู่และไม่เพียรอยู่” เทวดาฟังแล้วงงเลย ไม่พักอยู่เนี่ยเทวดาเข้าใจ พักอยู่หมายถึงขี้เกียจขี้คร้านไม่ภาวนา แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านข้ามโอฆะได้โดยไม่เพียรด้วย เทวดางงนะเลยถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่พักไม่เพียรเป็นอย่างไร” ให้พระองค์ช่วยขยายความ พระพุทธเจ้าก็ขยายความ “ดูกร ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าเราพักอยู่เราจะจมลง ถ้าเราเพียรอยู่เราจะลอยขึ้น เราข้ามโอฆะได้โดยไม่พักและไม่เพียร” นี่เทวดาฟังเท่านี้ได้โสดาบัน มีใครได้หรือยัง ฟังเหมือนเทวดาแล้ว ได้บ้างมั้ย ยังไม่ได้ ต้องขยายอีกนะ เผื่อจะได้

คำว่า “พักอยู่” เนี่ย หมายถึงการที่ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส หมายถึงอะไร หมายถึงกามสุขัลลิกานุโยค เพลิดเพลินไปในอารมณ์ทางโลกๆ เพลินไปในการดู ในการฟัง ในการดมกลิ่น ลิ้มรส ในการสัมผัสต่างๆ เพลินอยู่กับโลก นี่เรียกว่าพักอยู่ แล้วจมลงใช่มั้ย ท่านบอกว่า ถ้าพักอยู่แล้วจะจมลง ก็คือ ถ้าเราหลงตามโลกตามกิเลสไป จิตใจของเราจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ลงถึงอบายจนได้

แล้วก็เพียรแปลว่าอะไร เพียรหมายถึงการบังคับตัวเอง ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย นี่พูดแบบสุภาพนะ ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย ทันทีที่พูดถึงการปฏิบัติเนี่ย ถ้าไม่บังคับกายก็บังคับใจ ยกตัวอย่าง สมมุติเราจะนั่งสมาธิ เราจะต้องเริ่มด้วยการบังคับกายก่อน ต้องนั่งให้มันเท่ๆ เสร็จจากนั้นบังคับใจ เนี่ยนั่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆนะ ท่านบอกว่าทำแล้วจะลอยขึ้น ลอยไปไหน ลอยไปพรหมโลก เพราะฉะนั้นทำไปๆก็ไปสร้างภพสร้างชาติขึ้นอีก

ทางสายกลางนั้น ไม่พักอยู่ คือไม่หลงตามกิเลสไป ไม่เพียรคือไม่เอาแต่นั่งเพ่งตัวเอง ยกตัวอย่างบางคนดูท้องพองยุบก็ไปเพ่งท้อง เดินจงกรมก็ไปเพ่งเท้า ไปรู้ลมหายใจก็ไปเพ่งลมหายใจ อย่างนั้นเรียกว่า “เพียรอยู่”

เพียรอยู่แล้วสิ่งที่ได้ได้อะไรได้ความดี ถ้าพักอยู่ได้ความชั่ว ทั้งดีและชั่วก็นำไปสู่ภพภูมิใหม่ ภพความชั่วก็นำไปสู่อบายภูมิ ภูมิที่ตกต่ำ ความดีก็นำไปสู่สุคติภูมิ ไม่ได้นำไปสู่นิพพาน แต่เราทำชั่วไม่ได้นะ ถ้าเราทำชั่วเราจะไปอบายภูมิ

หน้าที่ของเราคือเดินทางสายกลาง ทางสายกลางก็คือ มีสติรู้กายตามที่มันเป็น มีสติรู้จิตใจตามที่จิตใจเขาเป็น ดูเข้าไปเรื่อยๆ ที่โยมทำอยู่ที่ผ่านมาใช้ได้ แต่ตอนนี้ใช้ไม่ได้ รู้สึกมั้ย

โยม : ตอนนี้ใจมันสั่น มันตื่นเต้นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตื่นเต้นไม่เป็นไร โยมไปบังคับตัวเองอยู่ รู้สึกมั้ย

โยม : ออ.. ตอนนี้บังคับหรือคะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : บังคับ บังคับใจ) แล้ว ชั้นเป็นคนนั่งสมาธิก็ไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ภาวนาก็ไม่เป็นน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิของโยมนะ ดีมากเลย โยมสังเกตมั้ย ใจของโยมไหลไปทางโน้นไหลไปทางนี้ เรารู้ทัน

โยม : แล้วเดี๋ยวนะ ชั้นเริ่มรู้สึกว่า ความทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้ทุกข์น่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ นั่นแหละ เริ่มเห็นของจริงแล้ว

โยม :
ค่ะ แล้วก็ เห็นกายที่นอนอยู่ กระสับกระส่าย ด้วยความทรมาน (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) แต่ความรู้สึกว่า มันไม่ใช่เรา (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) แล้วรู้สึกสมเพชเขาเหลือเกิน (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ ดี)

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูไปนะ ต้องได้ของดีแน่ๆเลย

โยม :
แล้วถ้าเผื่อชั้นเป็นคนทำสมาธิก็ไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ภาวนาก็ไม่เป็น แล้วใช้อย่างการทำงาน คล้ายๆกับทำงานในชีวิตประจำวันแล้วคอยสังเกตเอา ใช้ได้มั้ย (หลวงพ่อปราโมทย์ : ได้) คะหลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างนี้แหละดีที่สุดเลย) แล้วก็หลวงพ่อคิดว่าชั้นปล่อยปละละเลยไปมั้ย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ปล่อยปละนะ ทำได้พอดีเลย

โยม : เพราะว่า แต่ก่อนนี้มาก็ไม่เคยรู้สึกสภาวะอย่างนี้เลยล่ะค่ะ ก็ตั้งแต่มาฟังหลวงพ่อเนี่ย ประมาณเดือนหนึ่งวันนี้พอดีเลยล่ะค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) แล้วก็นึกขอบคุณหลวงพ่อเหลือเกิน (หลวงพ่อปราโมทย์ : อือ.. หลวงพ่อก็ดีใจด้วยนะ) แต่ว่าสิ่งที่ ยังไงล่ะ ภาวนาก็ไม่เป็น เดินจงกรมก็ไม่ได้ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ ต้องหางานบ้านทำเอา (หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ) บางทีก็เก็บผัก ล้างจาน แล้วก็ซักผ้า ถูบ้าน แล้วก็คอยสังเกตไปน่ะค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : โอ้ ดีที่สุดเลย) อ๋อ อย่างนี้ไม่ใช่คนเกียจคร้านใช่มั้ยคะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ใช่ คนเกียจคร้านก็คือ ขนาดนั่งสมาธินะ แต่ใจเคลิ้มๆ นี่ละที่เรียกว่าเกียจคร้าน เดินจงกรมแล้วก็ใจลอยไป นี่เรียกว่าเกียจคร้าน ของเรากระดุกกระดิก ยืนเดินนั่งนอนนะ กวาดบ้านถูบ้าน เก็บผัก ทำกับข้าว อะไรอย่างนี้ เรามีสติรู้กายรู้ใจ เรียกว่าขยันอยู่

โยม : แต่มันจะมีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นเรื่อยเลยนะคะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นแหละ ดีแล้ว) แต่ถ้าเผื่อจงใจจะไม่รู้เลยแล้วก็มึนตึ๊บเลยล่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..อย่าไปจงใจดูนะ ทำงานไป (โยม : ค่ะ) ทำงานไปเรื่อยๆ (โยม : อ๋อ ใช้วิธีนี้ก็ได้ใช่มั้ยคะหลวงพ่อ) วิธีนี้ดีที่สุด

โยม :
กราบนมัสการคะหลวงพ่อ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งนะ คือ หลวงปู่มั่น เคยสอนนะ บอกว่า “ทำสมาธิมาก เนิ่นช้า คิดพิจารณามาก ฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน ยืนเดินนั่งนอน รู้สึกตัวไป” เพราะฉะนั้นที่โยมทำอยู่ โยมทำได้ดีมากนะ โอ้..เป็นนักปฏิบัติที่ดีเชียวล่ะ เอ้า..ใครอิจฉายกมือ.. นี่ ๑ เดือน ๑ เดือน ทำไมเขาเร็ว เพราะเขาทำไม่เป็น ทำไมเราช้า เพราะเราชอบทำ ใจเราคิดทุกวันนะ ทำอย่างไรจะดี ๆ ๆ คิดแต่อย่างนี้ หาทางทำเพื่อจะเอาดี ไม่ได้มุ่งเอาความจริง โยมนี้ไม่ได้มุ่งเอาดี เพราะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง กระดุกกระดิกแล้วก็รู้สึกไป ๆ นะ แต่เริ่มกลับไปเพ่งแล้วล่ะ อย่าไปเพ่งมัน อย่างนี้เรียกว่าเพ่ง ไม่เอานะ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเลย ปล่อยให้เป็นธรรมดา เราต้องภาวนาให้โลกอิจฉาเลย

โยม : ถ้าอย่างนี้ก็มีกำลังใจค่ะหลวงพ่อ ดิฉันคิดว่า..

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีกำลังใจแต่อย่าไปขยันนะ (โยม : ค่ะ ) ไม่ใช่ว่ามีกำลังใจแล้วเอาใหญ่เลย หามรุ่งหามค่ำ

โยม : หลวงพ่อคะ แล้วที่ว่าชั้นรู้สึกว่าเห็นทางน่ะ มันจริงหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จริง นะ โยมน่ะเดินอยู่ในทางเป๊ะๆเลย น้อยนะที่จะเดินอย่างนี้

โยม : ทั้งๆที่ชั้นไม่รู้เลยว่าสมาธิเป็นอย่างไร เพราะชั้นทำไม่เป็น (หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ต้องรู้หรอก) ค่ะ ไม่เคยรู้เลยค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไม่เป็นนั่นแหละดี พวกทำเป็นนั่นแหละ ทำไม่ได้ หลวงพ่อชอบมากเลย คนทำไม่เป็นน่ะ มีแต่นักทำทั้งนั้นเลย นักปรุงนักแต่ง ใช้ไม่ได้ เอ้า.. ให้คนอื่นบ้าง ภาวนาดีแล้ว ปล่อยคนอื่นบ้าง โยมนั้นน่ะดี บ้านอยู่ไหน เบอร์ ๖๑ ตะกี้นี้ (โยม : อยู่พัทยาค่ะ) ออ..อยู่ใกล้นิดเดียว ถ้ามาฟังธรรมได้ก็มานะ (โยม : ชั้นเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี โรคภัยไข้เจ็บก็เยอะเหลือเกินค่ะหลวงพ่อ) นั่นแหละ ภาวนาให้กระดูกเป็นแก้วเลย (โยม : จะพอมีหวังที่จะภาวนาได้ใช่มั้ยคะหลวงพ่อ) มี (โยม : ขอบคุณค่ะ)

จิตที่เดินอยู่อย่างนี้นะ ถ้าไม่นอกลู่นอกทางซะนะ ไม่ขี้เกียจ รู้เล่นๆไปเรื่อยๆอย่างนี้นะ เร็วที่สุด เอ้า.. เอาไมค์ให้แกหน่อย แกรำพันอะไรฟังไม่ออก

โยม : ความปราถนานี้จะไม่ท้อถอยเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นความปราถนาสุดท้ายของชีวิตเลยค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ดีมากเลยนะ) เพราะตอนนี้ชีวิตมันเหลือน้อยแล้วค่ะ หลวงพ่อ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ดี มีความไม่ประมาทด้วย) เพราะโรคภัยไข้เจ็บมาก

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไหนใครคิดว่าชีวิตยังเหลือมากบ้าง ยกมือซิ ก็ทั้งนั้นแหละ เอ้า..ให้คนอื่นบ้าง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เครื่องมือสร้างปัญญา

mp3: เครื่องมือสร้างปัญญา

Media Player:

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หมายเหตุ

คลิปธรรมะคือเสียงเทศน์บางช่วงของลพ.ปราโมทย์ จัดเป็นหมวดหมู่และตอบคำถามเฉพาะเรื่อง จึงไม่ใช่ข้อสรุปของการสอนธรรมะของท่าน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 66 of 67« First...102030...6364656667