Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

สติปัฏฐานมีสองส่วน คือ ส่วนที่ทำให้เกิดสติ กับส่วนที่ทำให้เกิดปัญญา

mp 3 (for download) : สติปัฏฐานมีสองส่วน คือ ส่วนที่ทำให้เกิดสติ กับส่วนที่ทำให้เกิดปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

สติปัฏฐานมีสองส่วน ส่วนที่ทำเพื่อให้เกิดสติ และทำให้เกิดปัญญา

ส่วนที่ทำเพื่อให้เกิดสติ ให้ตามรู้กาย ตามรู้เวทนา ตามรู้จิตไป

ส่วนที่ทำให้เกิดปัญญานี้นะ รู้กายลงไปเป็นปัจจุบัน แล้วก็ตามรู้จิต จะต่างกันนะ

ฉนั้นในขั้นที่เราจะกระตุ้นให้สติเกิด ก็ตามรู้ทั้งกายทั้งจิตนั่นแหล่ะ อย่าไปดูลงปัจจุบันที่กาย เพราะถ้าดูลงปัจจุับันที่กาย จะไปเพ่งกายอัตโนมัติเลย

ในสติปัฏฐาน ท่านถึงใช้คำว่า “กายานุปัสสนา“  “ปัสนา” คือการเห็น ตามเห็นเนืองๆ ซึ่งกาย   ตามเห็นน่ะ เป็น “อนุ” แปลว่าตาม ตามเห็นเวทนา ตามเห็นจิต ทีนี้ตามเห็นไปเรื่อยๆ แล้วมันเกิดสติ แล้วจิตมันจำสภาวะได้ กำลังเผลอๆ อยู่นี่ เกิดขยับตัววับนะ สติก็เกิดแล้ว หรือกำลังเผลอๆ อยู่ เกิดความรู้สึกทุกข์อะไรแว๊บขึ้นมานะ สติก็เกิด  หรือกำลังเผลออยู่ จิตเป็นกุศลอกุศลขึ้นมา สติก็เกิด  คนไหนเคยตามรู้กายเนืองๆ พอร่างกายเคลื่อนไหวปุ๊บ สติเกิด  คนไหนตามรู้จิตเนืองๆ พอจิตเคลื่อนไหว สติก็เกิด

พอสติเกิดแล้ว คราวนี้มารู้กายลงเป็นปัจจุบัน รู้สึกเลย ตัวที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอนนะ ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นรูปธรรมอันนึงที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีธาตุไหลเข้า ธาตุไหลออกตลอด แล้วธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นกายนี้ ก็เปลี่ยนแปลงตลอด

รู้ลงปัจจุับันนะ ถ้าดูจิตก็ตามดูัมันไปเรื่อยๆ  ดูกายมีสอง step  ถ้าดูจิตนะ ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ดูอย่างเดียว ดูอย่างเดียวกัน แต่ตอนดูก็ให้สติเกิดเอง ก่อนดูให้สติเกิดเอง อย่าจงใจให้เกิด  จงใจให้เกิดแล้วกลายเป็นเพ่งจ้อง  ระหว่างรู้ก็อย่าถลำลงไปรู้ ให้สักว่ารู้ ให้สักว่าเห็น ดูแบบคนวงนอก ไม่มีส่วนได้เสีย ดูกายเหมือนเราดูกายคนอื่น  ดูจิตใจเหมือนเราดูจิตใจคนอื่น ดูแบบไม่มีส่วนได้เสีย

จิตมันโกรธขึ้นมานะ ก็ดูเหมือนเห็นคนอื่นโกรธ เห็นความโกรธไหลมาไหลไป ดูอย่างไม่มีส่วนได้เสีย ดูอยู่ห่างๆ มันจะเหมือนเราอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปคลุกกับมัน เหมือนเราอยู่บนยอดตึำกนะ มองลงมา เห็นรถวิ่งเต็มถนนนะ  รถจะชนกันข้างล่างนะ ก็ไม่ได้มากระเทือนถึงเราที่เป็นแค่คนดู   จิตใจเป็นกุศลอกุศล จิตใจเป็นสุขเป็นทุกข์อะไรเนี่ย ก็ไม่กระเทือนเข้ามาถึงคนดู

พอรู้แล้วก็อย่าไปแทรกแซงมัน ก่อนจะรู้อย่าจงใจรู้  ระหว่างรู้นะให้สักว่ารู้ อย่าถลำลงไปรู้  รู้แล้วอย่าแทรกแซง  เกือบทั้งหมดก็แทรกแซง เจอกุศลก็อยากให้เกิดบ่อยๆ เกิดแล้วก็อยากให้อยู่นานๆ  เจอสุขก็อยากให้เกิดบ่อยๆ อยากให้อยู่นานๆ  เจออกุศล เจอทุกข์ก็อยากให้หายไปเร็วๆ หรือไม่อยากให้เกิดขึ้น  ตรงที่เข้าไปแทรกแซงมีปัญหามาก ลำพังกายนี้ใจนี้ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ดีบ้าง ร้ายบ้าง  มันเรื่องของกายเรื่องของใจ เรื่องของธาตุเรื่องของขันธ์ ไม่เกี่ยวกับเรา  ถ้าเมื่อไรเราหลงยินดียินร้าย  อย่างความโกรธเกิด อยากให้หาย  พออยากให้หายนะ ใจมันจะดิ้น  ใจจะดิ้นรนขึ้นมาทำงาน   พอใจดิ้นรนทำงาน ความทุกข์เกิดซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก อันนี้เป็นความทุกข์ที่เกิดจากตัณหา

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 500109A.mp3
Time: 3.25 – 7.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จุลโสดาบัน ปิดอบายภูมิได้หนึ่งชาติ

mp 3 (for download) : จุลโสดาบัน ปิดอบายภูมิได้หนึ่งชาติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เพราะฉะนั้น มีสติบ่อยๆ มีสติบ่อยๆนะ มันจะไม่ไปทุคติหรอก ถ้าสติอัตโนมัติเลย เหมือนโอ่งอย่างนี้ ถ้าไม่เสื่อมไปจากตรงนี้นะ ชาติต่อไปนี่ไม่ไปทุกขคติหรอก มันปิดอบายภูมิไปได้ หนึ่งชาติ ชาติเดียวนะ ปิดได้หนึ่งชาติ เพราะจิตที่เดินมาถึงอย่างนี้นะ เรียกว่าจิตมันได้ จุลโสดาบัน จุลโสดาบันไม่ใช่พระโสดาบัน จุลโสดาบัน คือคนที่ภาวนาจนได้ ถึงสัมมสนญาณ สัมมสนญาณ นี่คือการที่เห็นไตรลักษณ์นั่นเอง เห็นแต่ว่าไม่ได้เห็นด้วยการเข้าไปประจักษ์ความเกิดดับต่อหน้าต่อตา อย่างโอ่งภาวนา โอ่งเห็นสภาวะที่เกิดดับต่อหน้าต่อตานี่เลยสัมมสนญาณไปอีก เรียกว่าอุทยัพพยญาณ เพราะฉะนั้นถ้าเราภาวนานะเราเห็นไตรลักษณ์ที่ยังเจือด้วยการคิดอยู่ เจือด้วยการคิดอยู่ นี่เรียกว่าได้ สัมมสนญาณ ในตำรานะ บอกว่าปิดอบายได้ชาติหนึ่ง มาดูดูก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะว่าสติมันเริ่มเกิดขึ้นอัตโนมัติแล้ว เกิดเร็วขึ้นๆนะ เพียงแต่ว่ามันยังไม่หยั่งลงไปเห็นสภาวะเกิดดับ พอสติเกิดเร็วๆนี่เวลาเราฝันร้าย รู้สึกมั้ย สติเกิดอัตโนมัติเลย เพราะฉะนั้นเวลาจะตาย พอนิมิตไม่ดีเกิดนะสติเกิดอัตโนมัติเลย เห็นนิมิตที่ไม่ดีดับไปเกิดนิมิตที่ดีแทน เพราะฉะนั้นหัดดูจิตดูใจไว้นะหัดดูไป ใช้ประโยชน์ได้เยอะเลย ใช้ในชีวิตประจำวันนี้ก็ได้นะ ใช้ไปมรรคผลนิพพานก็ได้ ถ้ายังไม่มรรคผลนิพพาน ไม่ถึงนิพพานในชีวิตนี้ เอาไปใช้ประโยชน์ตอนจะตาย ไปช่วยตัวเองตอนจะตายได้

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 500109B.mp3
Time: 26.17 – 28.07

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาจะขึ้นวิปัสสนาแท้ๆ เมื่อเห็นสันตติขาดหรือฆนะแตก

mp 3 (for download) : การภาวนาจะขึ้นวิปัสสนาแท้ๆ เมื่อเห็นสันตติขาดหรือฆนะแตก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: เวลาดูจิตดูใจ ถ้าขึ้นวิปัสสนาแล้วก็จะเห็นความเกิดดับ เห็นจิตดวงนึงเกิดขึ้นดับไป มีช่องว่างมาคั่น ดวงนึงเกิดขึ้นดับไปมีช่องว่างมาคั่น หรือบางทีก็เห็นนามธรรมกระจายตัวออกไป เห็นจิตอยู่ต่างหากนะ เห็นความรู้สึกสุขรู้สึกรู้สึกทุกข์แยกออกไป เห็นความจำได้หมายรู้แยกออกไป เห็นกุศลและอกุศลทั้งหลายนี้แยกออกไป ไม่ใช่จิต แยกออกไปอีกนะ กระจายออกไป กระจายออกไป งั้นวิปัสสนานี่มันจะเห็น

วิปัสสนาแท้ๆมันจะเห็นสองอัน อันนึงเห็นสันตติ คือความสืบเนื่องมันขาด เห็นรูปอันนี้กับรูปอันนี้คนละรูปกัน เห็นคนละรูป เห็นนามอันนี้กับนามอันนี้คนละนาม สันตติมันขาด มันขาดอย่างไร เห็นนามอันนึงกับนามอันนึงขาดออกจากกันมีช่องว่างมาคั่น มีช่องว่างมาคั่น นี่สันตติขาด ไม่ใช่ต่อเนื่องเป็นสายเดียวกันเหมือนสายน้ำ แต่เดิมเรานั่งดูจิตดูใจไปเราเหมือนเราดูน้ำไหลผ่านหน้าไป ไหลไปเรื่อยไม่มีช่องว่าง นี่ พอสติ สมาธิแก่กล้าขึ้นมามันเห็นนะ รูปนามมันเกิดดับได้ เกิดแล้วดับ อันใหม่กับอันเก่านี่คนละอันกัน เห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่คิดเอา ถ้ายังคิดเอาเรียกว่า สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณนี่ต้องอุทยัพพยญาณ ชื่อมันไม่ต้องจำก็ได้นะไม่สำคัญหรอก ชื่อมันยาว รวมชื่อสิบหกชื่อนะยาววากว่าๆ ไม่ต้องจำ

หรือเห็นฆนะ อันนึงเห็นสันตติขาด อันนึงเห็นฆนะ ฆนะแปลว่ากลุ่มก้อน เขียนด้วย ฆ ระฆัง น หนู ฆนะ มันแตก สิ่งที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนนะมันแตกออกไป อย่างแต่เดิมเรารูปกับนามมันแยกออกจากกัน รูปก็แตกออกไปอีก สิ่งที่เป็นรูปแตกออกไปสี่อย่างเป็นธาตุสี่ นามก็แตกออกไปเป็นสี่อย่าง เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกออกไปนะ นี่ ฆนะ มันแตก แล้วก็เห็นแต่ละอัน ๆ แต่ละสภาวะๆ มันแยกย้ายกันทำงาน แต่ละคนทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง เห็นมั๊ย กว่าจะขึ้นวิปัสสนาจริงๆไม่ใช่ง่ายนะ

สวนสันติธรรม
CD: 25
File: 510510.mp3
Time: 9.37 – 11.56

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

mp 3 (for download) : ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เครื่องมือในการเจริญสติ เครื่องมือหลักๆ ก็คือสติ สัมมาสมาธิ คือเครื่องมือหลักๆ ผลผลิตของมันก็เป็นปัญญา พอปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ประหารกิเลส ทำลาย ตัดกิเลส ตัดสังโยชน์ ถ้าตัดสังโยชน์นี่เรียกว่าเป็นปัญญาในระดับอริยมรรค เพราะฉะนั้นต้องเรียนมากๆ เรื่องสติ กับสัมมาสมาธิ ต้องเรียนสองอันนี้เยอะๆ หน่อย ถ้ามีสติอย่างเดียวนะ ขาดสัมมาสมาธินี่ มันไม่มีกำลังที่จะตัดสินความรู้ สัมมาสมาธิเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญา สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น ความตั้งมั่นของจิต เราจะรู้สึกว่าพอจิตมันถึงฐานของมันจริงๆ นะ มันรู้สึกเลย จิตใจตั้งมั่น จะสามารถสักว่ารู้สักว่าดูอะไรได้หมด นี้ส่วนใหญ่พวกเราจิตใจไม่ตั้งมั่น สมาธิที่พวกเรารู้จักนี่มันเป็นมิจฉาสมาธิ จิตมันชอบเข้าไปตั้งแช่ในอารมณ์ ยกตัวอย่างเวลาเรารู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใจเราชอบไหลเข้าไปอยู่ที่ลม พอรู้ลมนี่ใจก็ไหลไปอยู่ที่ลม เราไปดูท้องพองยุบ ใจไหลไปอยู่ที่ท้อง เราเดินจงกรมยกเท้าย่างเท้า ใจไหลไปอยู่ที่เท้า

บางสำนัก สายหลวงพ่อเทียนท่านขยับมือ ขยับมือ ลูกศิษย์จำนวนมากเลย ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ กับไหลเข้าไปอยู่ที่ท้อง ไหลไปอยู่ที่เท้า ไหลไปอยู่ในลมหายใจ มันก็ไหลเหมือนกัน ใจไม่ตั้งมั่น พอใจไม่ตั้งมั่นนะ ปัญญาจะเกิดไม่ได้จริงหรอก ได้แต่เพ่ง ใจจะเข้าไปแนบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างต่อเนื่อง สงบ ดีแล้วเกิดปีติ ขนลุกขนพอง ตัวลอย ตัวเบา ตัวโพรง ตัวใหญ่ ตัวหนัก มีสารพัด อาการที่แปลกๆ กว่าปกติทั้งหลาย เป็นอาการของปีติ ขนลุกขนพอง วูบๆ วาบๆ นะ เหมือนฟ้าแลบแปล๊บๆ ปล๊าบๆ อะไรอย่างนี้ มันเป็นอาการที่ใจมันทำสมถะ เข้าไปแช่ในอารมณ์นานๆ แล้วจิตใต้สำนึกก็ทำงานปรุงอะไรต่ออะไรขึ้นมา แล้วแต่มันจะชอบ บางคนปรุงเห็นผีเห็นสางอะไรก็ได้นะ บอกว่าผีหลอก จริงๆ หลอกตัวเอง

ค่อยๆ สังเกตไปใจที่ตั้งมั่นกับใจที่ไหลไป วิธีหัดง่ายๆ เลย หัดสังเกตจิตใจของเรา อย่างนั่งฟังหลวงพ่อพูดนะ เดี๋ยวใจก็ไหลไปคิด เดี๋ยวก็ตั้งใจฟัง ฟังแล้วก็ไหลไปคิด ดูออกมั้ย คุณนี่ ฟังไปแล้วก็คิดไป สลับ ดูออกมั้ย แต่เราไม่เคยเห็นจิตที่ไหลไป เพราะฉะนั้นจิตเราไม่ได้ตั้งมั่นจริง คุณลองดูท้องพองยุบซิ ลองเคยทำดูพองยุบมั้ย เคยใช่มั้ย ลองทำเหมือนที่เคยปฏิบัติ ลองเลย ทำจริงๆ ลืมหลวงพ่อซะ นี่รู้สึกมั้ย ใจเรารวมไปอยู่ที่ท้อง ใจเราเคลื่อนไปอยู่ที่ท้อง นึกออกมั้ย นี่แหละคือการทำสมถะล่ะ นะ แล้วพวกเราชอบคิดว่าวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนา จิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไปแล้ว ไหลไป งั้นวิธีการที่ง่ายๆ นะ ที่คุณจะดูก็คือ จิตเราไหลไปเรารู้ทันว่าไหล อย่าดึงนะ อย่าออกแรงดึงนะ ถ้าเราเห็นไหลไปแล้วเราดึงนี่ จะแน่นขึ้นมา นี่ส่งใจไปดูอีกแล้วรู้สึกมั้ย ใจเราเคลื่อนไปดู ให้รู้ว่าเราหลงไปดูแล้ว มันคล้ายๆ เราดูโทรทัศน์น่ะ หรือเราจ้องจอคอมพิวเตอร์ ในนี้เหมือนมีจอคอมพิวเตอร์อันนึง เราจ้องไปที่จอ รู้สึกมั้ยเราถลำไปที่จอ ใช้ไม่ได้นะ ที่นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยพลาด ก็พลาดตรงนี้เอง จิตไม่ตั้งมั่น กับจิตตั้งแช่ เข้าไปแช่นิ่งๆ อยู่ที่ท้อง เข้าไปแช่อยู่ที่ลม เข้าไปแช่อยู่ที่เท้า ตราบใดจิตตั้งแช่ มันก็ได้แต่สมถะ สงบไปเฉยๆ แหละ  แต่ถ้าจิตตั้งมั่นนะ มันจะเห็นเลย จิตอยู่ต่างหากนะ ความคิดก็ส่วนความคิด จิตส่วนจิต รูปส่วนรูป นามส่วนนาม ไม่ก้าวก่ายกันหรอก จิตหลุดออกจากโลกของความคิดเลย แล้วก็ไม่ได้เพ่งกายไม่ได้เพ่งใจนะ แต่รู้กายรู้ใจ

รู้กายรู้ใจกับเพ่งกายเพ่งใจไม่เหมือนกัน เวลาเราเพ่งกายเพ่งใจนะ เบื้องต้นเราเกิดอยากก่อน อยากปฏิบัติ พออยากปฏิบัติเราก็จงใจกำหนดรูปกำหนดนาม เราคิดว่าถ้าเอาสติไปกำหนด สติมีหน้าที่กำหนด ถ้าเรียนอภิธรรมอย่าง อาจารย์อนัตตาจะทราบ สติไม่ได้แปลว่ากำหนด สติแปลว่าความไม่ประมาท ความไม่หลงลืม ความไม่เลื่อนลอยๆ แต่จิตใจของเราชอบเลื่อยลอย รู้สึกมั้ยลอยไปลอยมา ตอนเนี้ยลอยไปคิดแล้ว นึกออกมั้ย จิตเราลอยไปคิด เวลาที่เราไม่ได้นึกเรื่องปฏิบัติจิตเราก็ลอยไปคิด เค้าเรียกว่าขาดสติ เวลาเรานึกถึงการปฏิบัติเราก็ไปเพ่งใส่ลงไป จิตเราเคลื่อนไป จ่อนิ่งๆ ไว้ อันนั้นไม่ใช่การรู้รูปนาม แต่เป็นการเพ่ง เพ่งรูปเพ่งนาม เพ่งรูปเพ่งนามเป็นสมถะนะ หลายคนเข้าใจว่า ถ้ารู้รูปนามแล้วก็ ถ้ามีอารมณ์รูปนามแล้วต้องเป็นวิปัสสนา ไม่จำเป็นนะ ทำวิปัสสนานี่ต้องใช้อารมณ์รูปนาม ต้องรู้ อารมณ์รูปนาม อันนี้แน่นอน จะไปรู้อารมณ์บัญญัติหรือไปรู้อารมณ์นิพพานไม่ได้ ไม่ใช่วิปัสสนา แต่สมถะนี่ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้ อารมณ์รูปนามก็ได้ กระทั่งอารมณ์นิพพานก็ใช้ทำสมถะได้ พระอริยะเจ้าทำสมถะโดยใช้อารมณ์รูปนามก็ได้ ใช้บัญญัติก็ได้ ใช้อารมณ์นิพพานก็ได้ คนทั่วๆ ไปทำสมถะได้โดยใช้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิด กับรูปนาม เพ่งรูปเพ่งนาม เป็นสมถะ งั้นอย่างที่เราเดินจงกรมแล้วใจเราไปแนบเข้าไปที่เท้านี่นะ ทำสมถะอยู่ แต่ถ้าใจของเราตั้งมั่น มันจะเห็นเลย ตัวที่เดินนี้ไม่ใช่ตัวเรา เห็นทันทีนะ นี่เราเริ่มเห็นไตรลักษณ์ ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ สักแต่ว่าเคลื่อนไหว สักแต่ว่าเป็นธาตุ มันรู้ด้วยใจ รู้สึกเอา ไม่ใช่คิดนะ ถ้าคิดใช้ไม่ได้ มันรู้สึกเอาถึงความเป็นธาตุของร่างกาย รู้สึกเอาถึงความไหวของร่างกาย จะไม่รู้สึกว่าเราไหว หรือว่าธาตุนี้เป็นตัวเรา เพราะว่าเราหลุดออกจากโลกของความคิดได้แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องบริกรรมนะ ไม่ต้องบริกรรม เมื่อไรบริกรรมเมื่อนั้นตกจากวิปัสสนาทันทีเลย อย่างเรามีสตินะ สมมติเราใจลอยไป เรามีสติระลึกได้ว่าใจลอย นี่ระลึกได้แล้ว ใช้ได้ นี่มีสติ ถ้ามีปัญญาก็จะต่อตามมาอีก เห็นเลย จิตจะใจลอยห้ามมันไม่ได้ จิตจะรู้สึกตัวสั่งไม่ได้ นี่แสดงความไม่เที่ยง แสดงอนัตตาได้ แต่ถ้าใจลอยไป รู้ว่าใจลอยปุ๊ป ดึงไว้ปั๊ป นี่เป็นสมถะนะ ใจลอยแล้วใจของเราก็ลอยตามมันไปด้วยเลย หลงไป เนี้ยหลงไป

ค่อยๆ ดูสภาวะนะ มาเรียนที่หลวงพ่อไม่ใช่เรียนปริยัตินะ หลายคนไปคุยกันบอกหลวงพ่อปราโมทย์สอนอภิธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เรียนอภิธรรมนะ แต่หลวงพ่อพูดเรื่องสภาวะล้วนๆ เลย อภิธรรมมันเป็นเรื่องของสภาวะล้วนๆ ต่างหากล่ะ งั้นไม่ใช่หลวงพ่อสอนอภิธรรมนะ หลวงพ่อสอนแต่เรื่องสภาวะ แต่บังเอิญๆ อภิธรรมมันคือสภาวะนั่นเอง เนี้ยสภาวะที่เราเห็นด้วยการปฏิบัตินะ กับสภาวะในตำรา อันเดียวกันน่ะ แต่สภาวะในตำราจะหยาบๆ นะ หยาบๆ อย่างโทสะนี่แยกได้ไม่กี่อย่าง พวกเราแยกได้เยอะเลย ขัดใจนิดหน่อยใช่มั้ย โมโหจนเห็นช้างเท่าหมู มีดีกรีด้วย ดีใจเสียใจ นี่แต่ละอันมันกระจายออกไป โอ้ยมีเยอะแยะ เยอะแยะเลย

หัดรู้สภาวะเรื่อยๆ แล้วสติจะเกิด หัดรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น แล้วจิตจะตั้งมั่น ฉะนั้นหัดสองอันเนี้ย หัดรู้สภาวะไป เช่นใจเราลอยไปเรารู้ ใจเราไปคิดเรารู้ ใจเราไปเพ่งเรารู้ นะ ใจหนีไปคิดอีกแล้วทราบมั้ย นี่หลวงพ่อบอกแล้วนึกออกมั้ย คอยดูไปเรื่อยๆ นะพอใจเราไหลไป อย่าไปตั้งใจดูนะ ห้ามไปจ้องไว้ก่อน ต้องตามดู ต้องตามดูนะ ตรงนี้ก็เป็นหลักการสำคัญ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491123B.mp3
Time: 0.14 – 9.15

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเรามีเปลือกคืออาสวะห่อหุ้มเอาไว้

mp 3 (for download) : จิตเรามีเปลือกคืออาสวะห่อหุ้มเอาไว้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สังเกตไหม จิตเราถูกอะไรห่อหุ้มไว้ จิตเรามีเปลือก ดูออกไหม จิตเหมือนอยู่ในแคปซูล แคปซูลที่น่ารำคาญ  จิตถูกขังอยู่ในที่แคบๆ ที่น่าอึดอัด รู้สึกไหม  เนี่ยภาวนานะ จนกระทั่งเกิดอริยมรรคครั้งที่สี่แล้ว จิตจะแตก สิ่งที่ห่อหุ้มนี้จะแตกออกมา  เหมือนกับที่หลวงพ่อพุธเคยสอนหลวงพ่อบอกว่า เมื่อจิตมันพัฒนาเต็มที่แล้ว เหมือนๆลูกไก่ที่โตเต็มที่แล้ว เจาะทำลายเปลือกออกมา ลูกไก่หลุดออกจากเปลือกไข่ฉันใด จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะฉันนั้นแหล่ะ

พวกเราวันนี้ เราภาวนาจนเราเห็นอาสวะ เราเห็นเปลือกละ แล้ววันนึงจะหลุดออกมา  อาสวะเนี่ยย้อมจิตอยู่ตลอดเวลา ดูออกไหม  อาสวะเนี่ยเป็นทางให้กิเลสอนุสัยไหลซึมซ่านเข้ามาถึงจิตถึงใจ เมื่ออาสวะขาดลงไปแล้ว จะไม่มีอะไรซึมซ่านเข้าถึงจิตใจได้อีกแล้ว  อาสวะเนี่ยคล้ายๆ รกที่่ห่อหุ้มเด็กเอาไว้ เป็นทางผ่านเข้ามาของอาหาร ของสิ่งต่างๆ เมื่อมันขาดออกจากกันแล้วนะ เด็กและรกขาดออกจากกันแล้ว มันไม่ซึมซ่านเข้ามาทางผิวกายแล้ว

ค่อยเรียนนะ ค่อยเรียนไป ค่อยฝึกไป

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านบอกท่านสอนใบไม้หนึ่งกำมือ  ธรรมะจริงๆ เหมือนใบไม้ในป่า หลวงพ่อลองเล่าใบไม้ในป่าให้ฟังบ้างนิดหน่อยนะ  สิ่งที่เราได้ไม่ใช่ใบไม้ทั้่งป่าหรอก อันนี้เป็นของเล่นของแถม  ความรู้ความเข้าใจ ไม่เท่ากันหรอกแต่ละคน  แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันของผู้ปฏิบัติที่ทำเต็มที่แล้ว ก็คือการพ้นทุกข์พ้นกิเลส อันนี้เท่าเทียมกัน ถึงความบริสุทธิ์เท่าๆ กัน  กระทั่งพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่เป็นสาวก ที่ไม่ได้มีของเล่นของแถมเลยกับพระพุทธเจ้า ก็ถึงความบริสุทธิ์อันเดียวกัน เท่าเทียมกัน แต่ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน  พระพุทธเจ้าปัญญาท่านมาก ท่านรู้จักใบไม้ทั้งป่า พระสาวกก็รู้น้อยลงน้อยลง จนสาวกธรรมดาเนี่ย รู้ใบไม้ในกำมือของท่าน  แต่เท่านั้นพอแล้ว อย่าโลภมากนะ  ใบไม้กำมือเดียวเนี่ย เรียนกันหลายชาติเลยละ หลายชาติ เรียนกันทั้งชีวิตเลย เอาชีวิตเข้าแลกเชียวล่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๔
File: 510324A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขันธ์เหมือนภาพลวงตา เหมือนภาพในจอหนัง

mp 3 (for download) : ขันธ์เหมือนภาพลวงตา เหมือนภาพในจอหนัง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

การปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เราชอบไปวาดภาพให้มันเกินจริง แค่เรามีสติ เรารู้ทันการทำงานของกายของใจ โดยเฉพาะของใจ กายมันเคลื่อนไปได้เพราะว่าใจมันสั่งนั่นแหละ พอรู้ทันเข้ามาถึงจิตถึงใจนะ ถึงต้นตอของมัน แล้ววางตัวต้นตอไปได้ก็สบาย ส่วนมากเราชอบไปแก้อาการ แก้ปรากฏการณ์ซึ่งบังคับไม่ได้

คล้ายๆ เคยเห็นเขาฉายหนังกลางแปลงไหม เดี๋ยวนี้ยังมีบ้างไหม หนังตามงานวัดใครเคยเห็นไหม ทำไมต้องหนังงานวัด มันเห็นเครื่องฉาย มันมีเครื่องฉายตั้งอยู่ จออยู่โน่น คนทั้งหลายนะไปหลงภาพในจอ ทวนเข้ามาไม่ถึงต้นตอของมัน ไปเห็นตัวนางเอกในหนัง ไปไล่คว้า คว้าเงานั่นแหละ ขันธ์มันก็เหมือนภาพลวงตา ขันธ์นะเหมือนภาพลวงตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราพบเราเห็นนั้นก็แค่ภาพลวงตาเหมือนภาพในจอหนังนั่นเอง จริงๆ เราบังคับมันไม่ได้ งั้นเราจะไปไล่ตะครุบไล่จับไล่ควบคุมขันธ์น่ะทำไม่ได้ เหมือนไล่ตะครุบภาพในจอหนัง ทำไม่ได้ ถ้าทวนกระแสเข้ามาถึงตัวต้นตอของมันคือจิตนั่นเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นปรุงออกไปจากจิตนั่นเอง ถ้าเราแค่เอามือปิดเครื่องฉายหนังซะ ไม่ให้ทำงานต่อ ภาพในจอทั้งหมดก็ว่างเปล่า ตามสภาพเดิมของมัน งั้นการปฏิบัติไม่ใช่นั่งแก้อาการทีละอาการ การปฏิบัติถ้าจะให้ได้ผลรวบรัดนะ เรียนรู้เข้ามาให้ถึงต้นตอของความปรุงแต่ง ถ้ารู้เข้ามาถึงต้นตอของความปรุงแต่ง มันอยู่ที่จิตนั่นเอง จิตมันปรุงแต่ง ถ้ารู้ถึงความปรุงแต่งจนความปรุงแต่งขาดไปนะ ไม่ต้องไปตามแก้อาการอีกแล้ว คนทั้งหลายได้แต่แค่พยายามแก้อาการ พยายามทำได้แค่นั้นเองเพราะสติปัญญาไม่แก่รอบ ไม่รู้ว่าวิธีจัดการกับความทุกข์ที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริงนั้นคือทวนกระแสเข้ามา มาเรียนรู้ที่ต้นตอของมัน จนเราเห็นเลย กระทั่งจิตนี้ก็ไม่ใช่เรานะ คืนให้ธรรมชาติไป งั้นโยนเครื่องฉายหนังทิ้งไปด้วย ใครก็เอามาฉายอีกไม่ได้แล้ว แต่สติปัญญาของคนในโลกมันทำได้แค่ตะครุบภาพในจอหนัง เผอิญรูปภาพในจอมันยืนอยู่นิ่งๆ บางทีมันยืนคุยกันนิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนไหว ไปจับไว้ นึกว่าจับได้แล้ว หยุดได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หนีไปอีก หนีอีกก็วิ่งไล่จับอีก โง่นะ ศาสนาพุทธเราเรียนย้อนเข้ามาหาต้นตอของมัน ต้นตอของความปรุงแต่งอยู่ที่จิตนี่เอง วันหนึ่งรู้ทันต้นตอของมันนะ คล้ายๆ เอามือไปปิดไอ้ตรงที่มันฉายไฟออกมา ภาพในจอหนังก็หายไป ไม่หลงออกไปข้างนอกแล้ว สุดท้ายนะโยนเครื่องฉายหนังลงน้ำไป สุดท้ายคือเราโยนจิตทิ้งไปนั่นเอง สลัดทิ้ง มันก็จะฉายอีกไม่ได้ ทีนี้เราเอามือปิดไว้นะ พอหมดแรงปิดมันก็ฉายอีก พวกที่เดินฌาน ไม่หลงไปกับความปรุงแต่งทางตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว แต่เครื่องฉายหนังยังเดินอยู่ เพียงแต่ไม่ทำงานออกไปสู่กามภพ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดอยู่ หมดแรงปิดเมื่อไหร่นะ เผลอหลุดมือเมื่อไหร่นะ มันฉายออกไปอีกแล้ว พวกพรหมสำรวมจิตเข้ามานะ สำรวมจิตเข้ามา แต่ว่าจิตก็ยังปรุงแต่งอยู่ คือหนังยังฉายอยู่แต่ว่ามันไปที่จอไม่ได้เท่านั้นเอง รูปมันไปไม่ถึงจอ งั้นภาวนานะเป็นขั้นเป็นตอน คนทั้งหลายมันไล่จับเงา ไล่ในกามนั่นเอง รู้สึกสนุกสนานเอร็ดอร่อยสวยงาม รูปในจอหนังสวยกว่าตัวเครื่องฉายหนังใช่มั้ย แต่ไม่ใช่ของจริง กามก็เป็นอย่างนั้นแหละ สวยงามล่อลวงให้วิ่งไล่จับ เหมือนๆ จะได้แต่ไม่เคยได้ ไม่เคยอิ่มไม่เคยเต็มหรอก สำรวมจิตสำรวมใจเข้ามานะ ไม่ออกไปภายนอก สงบอยู่ภายใน อันนี้ก็ได้ความสงบ ได้ความสุข แก้ปัญหาได้ชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนการทำสมถะ ถ้ามาเรียนรู้จนเราทำลายเครื่องฉายไปนะ คือเราสามารถปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ขันธ์ห้าตัวสุดท้ายที่จะวางคือจิตนั่นเอง ตราบใดที่ยังปล่อยวางจิตไม่ได้นะ ก็จะเกิดขันธ์ห้าใหม่ๆ ขึ้นมาอีก เพราะจิตดวงเดียวนี่แหละสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาใหม่ได้ทั้งขันธ์ห้าแน่ะ จิตดวงเดียวนี่แหละเหมือนเมล็ดพันธุ์ เดี๋ยวไปงอกเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ ออกลูกออกหลานได้อีกเยอะแยะ งั้นเรียนเข้ามาถึงจิตถึงใจ วันหนึ่งทำลายเมล็ดพันธุ์คืออวิชชาลงไป ทำลายเชื้อพันธุ์ของมัน เป็นเมล็ดที่ไม่งอกอีกแล้ว มันก็ยังทรงรูปของเมล็ดที่ไม่งอกไปอีกช่วงหนึ่ง ต่อไปก็แตกสลายหายไป

งั้นการปฏิบัติมีความสุขอยู่ข้างหน้ามากมาย เรามัวแต่ตะครุบเงานะ อย่าหลงนะเสียเวลา ไม่ฉลาดเลย ความสุขที่เป็นภาพลวงตา พระพุทธเจ้าบอกขันธ์มันเป็นภาพลวงตา เหมือนพยับแดดนะ พยับแดด อย่างเราขับรถไปมองเห็นไกลๆ เห็นเหมือนเป็นน้ำบ้าง เห็นเหมือนไอน้ำเต้นยิบยับๆ เข้าใกล้ๆ แล้วหายไปหมดเลย ความสุขก็ล่อเราอย่างนี้แหละ ให้วิ่งไป พอเข้าไปใกล้ๆ นะก็หายไปละ ไปอยู่ข้างหน้าอีกแล้ว เราก็วนเวียนนะ น่าสงสารมาก ถ้ายังวนเวียนอยู่ก็ยังไม่รู้สึกน่าสงสารหรอก ยังรู้สึกว่าบางครั้งก็เอร็ดอร่อย สนุก บางครั้งก็เศร้าโศก บางครั้งก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เวียนอยู่อย่างนั้น ก็ยังพอทน รู้สึกทุกข์บ้างสุขบ้าง รู้สึกไม่ใช่เราทุกข์คนเดียว ใครๆ เขาก็เป็นอย่างนี้เหมือนๆ กันหมดทั้งโลก นี่เพราะว่าไม่มีสติปัญญาที่จะพ้นไปจากวังวนของความปรุงแต่งอันนี้ ค่อยๆ เรียนเข้ามานะ เข้ามาหาจิตหาใจตัวเอง ไม่หลงปรุงแต่งออกไปภายนอก แล้ววันหนึ่งหมดความปรุงแต่งสิ้นเชิง มันจะหมดความปรุงแต่งสิ้นเชิงเมื่อมันปล่อยวางความยึดถือจิตได้

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116A.mp3
Time: 4.39 – 11.35

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป

mp3 (for download) : มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อเคยศึกษากับท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเคยสอนหลวงพ่อ การปฏิบัติมีนิดเดียว “มีสติรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน” ประโยคสั้นนิดเดียวนะ บางองค์สั้นกว่านี้อีกนะ มีหลวงปู่ทา ตอนนี้ยังอยู่ อยู่ถ้ำซับมืด “มีสติรักษาจิต” สั้นนิดเดียว หลวงปู่ดุลย์ก็สั้นนะ “ดูจิต” สั้นนิดเดียว

จริงๆ ธรรมะไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ว่าหลักของการปฏิบัตินี่สั้นนิดเดียว ถ้ายังดูจิตไม่ได้ก็ดูกาย อย่าให้เกินกายออกไป เพราะฉะนั้น อย่างอาจารย์มหาบัวท่านสอนนะ ท่านตีกรอบเลย อย่าให้เกินกายออกไป รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน ลงเป็นปัจจุบันด้วยนะ ไม่ใช่กายกับใจเมื่ออดีตเมื่ออนาคตนะ รู้ลงปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นของจริง อดีตอนาคตมันไม่ใช่ของจริงแล้ว ให้รู้ลงกายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน อย่าให้เกินนี้ออกไป ถ้าเกินนี้ออกไปก็ไม่ใช่วิปัสสนา อย่างจะไปรู้ความว่าง ไปรู้สุญญตา รู้อะไรอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ ท่านสอนให้รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ก็คือเรื่องของกายกับใจล้วนๆ นั่นเอง

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ ๗

491217

1.35 – 2.52

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติอัตโนมัติจะช่วยเราตอนที่จะตาย

mp 3 (for download) : สติอัตโนมัติจะช่วยเราตอนที่จะตาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ถ้าคนไหนไม่สามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ ยังไกลต่อมรรคผลนิพพาน เพราะว่าเวลาเราทำกรรมฐาน วันหนึ่งๆ มีไม่มากเท่าไหร่หรอกที่ทำในรูปแบบ เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกนี่แหละ ถ้าเราสามารถยืนเดินนั่งนอนอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วก็มีสติตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเองได้เป็นระยะๆ นะ สติเกิดได้ทั้งวันเลย คือปฏิบัติทั้งวัน หลวงพ่อเป็นฆราวาสหลวงพ่อก็ปฏิบัติด้วยวิธีนี้เอง คือดูจิตใจตัวเอง จะมานั่งสมาธิทั้งวันอย่างตอนอยู่ไปบวชแล้วมานั่งอยู่ในวัดนะ นั่งสมาธิได้นานๆ เดินจงกรมนานๆ อยู่แต่ในรูปแบบ เป็นฆราวาสมันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ งั้นต้องฝึกให้สามารถเจริญสติในชีวิตประจำวันได้ ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เฉพาะตอนทำสมาธิ ทำในรูปแบบอะไรอย่างนี้ ชีวิตเราจะแยกเป็นสองส่วน ชีวิตส่วนหนึ่งเป็นเวลาปฏิบัติ ชีวิตส่วนใหญ่เป็นเวลาไม่ได้ปฏิบัติ งั้นเหมือนเราพายเรือนะทวนน้ำไป เราพายไปห้านาทีแล้วก็นอนด้วย ชั่วโมงหนึ่งนะ มันจะไม่อยู่ที่เก่าเอา มันจะไหลลงไปต่ำกว่าเดิม

               พระพุทธเจ้าถึงบอกธรรมชาติของจิตไหลลงต่ำ อย่าประมาทเชียวนะ ไหลลงต่ำเร็วมากเลย เรานึกว่าเราแน่ๆ เราแน่ เผลอแวบเดียวลงต่ำ ถอยไม่ได้นะ ต้องสู้ มีสติในชีวิตประจำวัน ตามดูกายตามดูใจ ตื่นนอนตอนเช้าหรือว่าก่อนนอนตอนค่ำ มีเวลาเนี่ยต้องทำในรูปแบบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องทำให้ได้ ชาวพุทธนะไหว้พระสวดมนต์ทำสมาธิเดินจงกรมวันละครั้งนะ ทำไมทำไม่ได้ มุสลิมละหมาดวันละห้าครั้งเขายังทำได้เลย วันละห้าครั้งนะ ของเราหนึ่งครั้ง ไม่ได้ ต้องสู้นะ กิเลสมันจะพาขี้เกียจ ถ้าเราทำในรูปแบบทำความสงบมาดูกายดูใจนะ หัดดูสภาวะไป จิตใจหนีไปก็รู้ จิตไปเพ่งก็รู้ จิตสงบจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นสุขเป็นทุกข์ จิตโลภโกรธหลง คอยตามรู้เรื่อยๆ การทำในรูปแบบนี่เราตัดการกระทบอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายไปก่อน มาเหลือแต่การทำงานทางใจอันเดียวนะ เช่นเรามาหายใจเข้าหายใจออกเนี่ย ใจเราหนีไปเรารู้ทัน ใจไปเพ่งรู้ทัน เรารู้ทันการทำงานทางใจอยู่ที่เดียวเลย แต่อย่าไปเพ่งใส่จิตนะ อย่าไปเพ่งใส่จิตใส่ใจ ให้เขาทำงานไป เรามีหน้าที่แค่ตามดูไปเรื่อยๆ ดูท้องพองยุบไปก็ดูจิตใจเขาทำงานไป เดี๋ยวเขาก็ไปคิดนะ คิดกระทั่งคำบริกรรมนะ บริกรรมว่าพองหนอยุบหนอ นี่ก็คือการคิดนั่นเอง ก็ให้รู้ทันว่าจิตหนีไปคิด หนีไปคิดเรื่องอื่นเราก็รู้ทัน แล้วก็ไปเพ่งใส่ท้องเราก็รู้ทัน หัดรู้สภาวะนะ ต่อไปเวลาเราอยู่ในชีวิตธรรมดา จิตจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรเนี่ย เห็นหมดเลย เห็นอัตโนมัตินะ

      พวกเราเมื่อวานไม่ได้มา เมื่อวานหรือ อ้อ… ไม่ใช่ ก่อนที่จะปิด ก่อนวานซืนอีกวันหนึ่ง วันสุดท้ายที่หลวงพ่อเปิดแล้วหยุดมาสองวัน มีผู้หญิงคนหนึ่งมา ชื่อโอ่งนะ ชื่อโอ่ง หุ่นก็เหมือนโอ่งจริงๆ ภาวนาเก่งมากเลย บอกเขาไม่ได้ทำอะไร แต่กระทั่งเขานอนหลับนะ จิตมันฝันเขายังรู้เลย แล้วเขาพบว่าความฝันก็คือความคิดนั่นเอง พอไม่ดีปุ๊บ ขาดสะบั้นเลยนะ เขาจะนอนพลิกซ้ายพลิกขวาเขารู้ทั้งคืนเลย ใจเขาไหลไปคิดในความฝันนะ ไหลแวบรู้สึกเลย มีแต่ขาดปั๊บๆ ปั๊บๆ นี่แค่กลางคืนนะ ไม่ต้องพูดถึงกลางวันเลย ทำได้ทั้งวันทั้งคืนเลย ฝึกหัดมีสติอย่างที่หลวงพ่อบอกนี่แหละ ถึงจุดหนึ่งนะจะมีสติได้ทั้งวันทั้งคืน ตรงที่นอนไปแล้วยังช่วยตัวเองได้ มีสติขึ้นมาช่วยตัวเองได้นี่สำคัญนะ มันเป็นเหตุมันเป็นผลจากการที่เราฝึกเจริญสติตอนกลางวัน เราจะเอาไว้ใช้ตอนจะตายเนี่ย ความรู้อันนี้จะใช้ตอนจะตาย เวลาที่เราจะตาย จิตมันจะตัดความรับรู้กายออกไปก่อนนะ แล้วมันจะไปรู้ที่ใจอันเดียว จะมาทำกรรมฐานที่กายอันเดียว ระวังก็แล้วกันนะ กายหายไปแล้ว นาทีสุดท้ายไม่มีกายนะ จะทำยังไงทำกรรมฐานอะไร ต้องฝึกจนชำนิชำนาญ เข้ามาที่จิตอัตโนมัติให้ได้ เวลาคนเราจะตายมันจะเกิดนิมิต อันหนึ่งเรียกว่ากรรมนิมิต นิมิตถึงสิ่งที่เคยทำนะ อีกอันหนึ่งเรียกว่ากรรมอารมณ์ กรรมนิมิตเนี่ยมันจะไปนิมิตถึงเรื่องราวที่เคยทำ อีกอันหนึ่งเรียกคตินิมิตจะเห็นที่ไปข้างหน้า มีสามอัน มีกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์ มีสามอัน รวมความแล้วก็คือมันฝันนั่นเอง ฝันไปถึงเรื่องราวที่เคยทำมาในอดีต เช่น คนหนึ่งนะหลวงพ่อเคยรู้จัก เป็นพ่อของเพื่อน ใจดีนะ ตอนหนุ่มๆ เพื่อนมาบ้านทุกวันเลยมาสีซอกัน เล่นปี่พาทย์ เล่นสีซอ ทุกวันจะสั่งลูกน้องเชือดไก่วันละตัวเลี้ยงเพื่อน เวลาจะตายเนี่ยเกิดนิมิตเห็นไก่นะ เห็นไก่มารออยู่ข้างหน้าแล้ว บางทีก็เห็นที่ไปข้างหน้าที่จะไปเกิด เกิดเห็นไฟท่วมขึ้นมาเลย จะไปเกิดแล้วในที่ไม่ดี แต่ถ้าหากฝึกสติไว้จนชำนาญนะ พอเห็นไก่ปุ๊บใจมันย้อนดูจิตเลย มันเคยชินที่จะฆ่าไก่ พอเห็นไก่ปุ๊บ แหมมันอยากเชือดคอขึ้นมา สติเกิดวับเลย มันอยากฆ่าไก่แล้ว เห็นปั๊บนิมิตนั้นดับ ไม่ไปเกิดเป็นตรงนั้นแล้ว หรือฝันไปเห็นนรก นิมิตไปเห็นนรกปุ๊บกลัว สติระลึกถึงความกลัวปุ๊บขาดเลย นรกดับไปเลยนะ ทุกคนสร้างนรกของตัวเองนะ ทางใครทางมัน เพราะฉะนั้นนรกไม่เคยเต็ม อย่าเล่นๆ นะไม่ใช่ของหลอกเด็กนะ อย่าเล่นๆ นะ ตอนยังไม่รู้ไม่เห็น ผยอง พอรู้เห็นก็คร่ำครวญ ช่วยอะไรก็ไม่ได้ เป็นภูมิที่ช่วยไม่ได้แล้วนะ เป็นภูมิที่ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครเข้าไปช่วยได้เลย ถ้าเป็นเปรตยังช่วยได้ ถ้าเราฝึกสติไว้ดีนะ พอนิมิตไม่ดีเกิดปุ๊บ ขาด เราจะตื่นขึ้นมาจะไปสู่สุคติ งั้นสำคัญนะ ฝึกสติในชีวิตประจำวันนี่จนมันอัตโนมัตินะ กระทั่งหลับมันก็ทำงานได้ สติปัญญาต้องฝึกเอา ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยนะ 

 

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116B.mp3
Time: 8.14 – 15.21

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าประมาทในธรรม

mp 3 (for download) : อย่าประมาทในธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สวนสันติธรรม
CD: 18
File: 500210.mp3
Time: 16.08 – 22.47

เราต้องกล้าหาญนะ ต้องเสียสละ อย่ามัวแต่เพลินๆ เพลินแป๊บเดียวแก่ละ แก่แล้วไม่มีเรี่ยวมีแรงจะปฏิบัติ  มันต้องพากเพียรเอาตั้งแต่ยังมีแรงอยู่ มีหลายคนเลย ตอนแข็งแรงอยู่นะ ชวนให้ปฏิบัติไม่เอา  พอเจ็บหนักมากๆ ร่อแร่ๆมาถามว่าจะภาวนายังไง  โอ จะภาวนายังไง เตรียมตายได้แล้ว  จิตใจมีแต่ทุรนทุราย ทำอะไรไม่ไหวแล้ว เหมือนไม่หัดว่ายน้ำไปก่อน ตกน้ำไปแล้วมาถามหาวิธีว่ายน้ำ ก็ตายเท่านั้นเอง

การภาวนานี้ อย่าประมาทนะ เราไม่รู้เลยว่าชีวิตเรายาวแค่ไหน ตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องแก่แล้วถึงจะตาย ถ้าเผลอๆแว๊บเดียว แก่ไปละ หรือตายไปละ เสียโอกาส  ชาติไหนจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกยังไม่แน่เลย เกิดเป็นคนยากนะ สัตว์เต็มโลกเต็มจักรวาล มีคนอยู่ไม่กี่พันล้านคน มีอนิดเดียวเอง  สัตว์เยอะแยะไปหมดเลย ในวัดหลวงพ่อนี้ สัตว์คงเยอะกว่ามนุษย์ทั้งโลกรวมกัน เยอะแยะเลย ตัวเล็กตัวน้อย

โอกาสที่จะได้เป็นคน ยากที่สุดเลย  เป็นคนแล้วสติปัญญาสมประกอบอย่างพวกเรา ยิ่งยากหนักเข้าไปอีก  จะมีสติปัญญาสมประกอบ มีกายมีใจสมประกอบแล้ว สนใจศึกษาปฏิับัติธรรม หายากนะ  ศึกษาแล้วไม่หลงไปทำอะไรผิดๆ ถูกๆ ศึกษาแล้วมาได้ศึกษาเรื่องการเจริญสติ รู้กายรู้ใจ ก็ยาก   ลงมือทำก็ยากอีก  มีคนน้อยคนที่จะทำจริงๆ  ฉนั้นจากคนหลายพันล้าน จากสัตว์จำนวนนับไ่ม่ถ้วน บีบมาเป็นคนหลายพันล้าน จนมาถึงคนที่ปฏิบัติเข้าถึงธรรม มีในหลักสิบหลักร้อยเท่านั้นเองนะ มีไม่มากหรอก น้อยเต็มที

พวกเราเป็นกลุ่มที่มีโอกาสแล้ว ให้มันบีบเข้ามาจนเป็นครีม เป็นจุดที่มีคนไม่มากแล้วที่เข้ามาได้อย่างพวกเรา  หลวงพ่อไม่แน่ใจว่าคนทั้งประเทศไทย ที่ตื่นแล้ว ถึงหมื่นคนหรือเปล่า ไม่แน่ใจตรงนี้ด้วยซ้ำไป เดินไปสำนักต่างๆ เที่ยวไปดูเรื่อยๆ นะ ไม่ค่อยมีคนที่ตื่นขึ้นมา  ที่จิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน สามารถรู้กายรู้ใจตรงความเป็นจริงได้ แทบไม่มี  พวกเราจำนวนมากตื่นขึ้นมา คือคนกลุ่มน้อยเต็มทีนะ

พวกเราพอมีสติขึ้นมา สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องต่อไปนี้ ทำเนืองๆ ทำบ่อยๆ รู้บ่อยๆ อย่าเลิก รู้เข้าไป ในกลุ่มเล็กนิดเดียวซึ่งมีจำนวนหลักพัน พวกเรามาเรียนที่หลวงพ่อที่ตื่นขึ้นมา ถ้าทำไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้งนะ โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมะในชีวิตนี้ก็มี แต่ถ้าจิตไม่ตื่น ไม่มีโอกาสหรอก

เมื่ออาทิตย์ก่อนไปสอน มีเด็กมาเรียนเจ็ดสิบกว่าคน เมื่อวานเขาบอกยอด ลืมไปละ  มีเยอะเหมือนกัน มีคนที่ยังไม่ตื่นห้าหกคนเอง  นอกนั้นตื่นโพลงไปหมดเลยนะ สว่างโพลงไปทั้งห้องเลย  คือสติมันเกิดอัตโนมัติแล้ว  อะไรเกิดขึ้นในกายรู้ อะไรเกิดขึ้นในจิตรู้  ถ้ามีกายเคลื่อนไหวระลึกรู้ มีจิตเคลื่อนไหว สติระลึกรู้เองอัตโนมัติ  ระลึกรู้โดยไม่ได้จงใจจะรู้เนี่ยจิตมันจะตื่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่น จิตมีสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นขึ้นมา

พอจิตใจตั้งมั่น อยู่กับเนื้อกับตัว  จิตอ่อน จิตเบา จิตคล่องแคล่วว่องไว จิตควรแก่การงาน จิตไม่ถูกกิเลสครอบงำ จิตซื่อๆ จิตตรงๆ จิตใจเป็นอย่างนี้แล้วเนีี่ย มีสติรู้กาย ก็เห็นกายตรงตามความเป็นจริง มีสติรู้จิต ก็เห็นจิตตรงตามความเป็นจริง พอเห็นตรงตามความจริง มันค่อยๆ ถอดถอนความเห็นผิดไป  เบื้องต้นเห็นเลยว่าไม่ใช่เรา กายกับจิตไ่ม่ใช่เรา ได้โสดาบัน  มีสติรู้เข้าไปอีก รู้เข้าไปอีกนะ สติมันไวอัตโนมัติเลย กิเลสไหวตัววั๊บ สติเห็นทันที ขาดสะบั้นตรงนั้นเลยนะ   ฝึกไปเรื่อยๆ  ต่อไปเห็นกายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย จิตวางกายลงไป  เห็นจิตนี้เป็นทุกข์ล้วนๆ จิตวางจิตลงไป

งานนี้ฟังแล้วยากนะ ไม่ยากหรอก อดทนตั้งใจทำ สามปีเจ็ดปี ทำไป ไม่ได้นานอะไร ไม่ได้นาน  เราเรียนหนังสือตั้งสิบปียี่ิสิบปี เราก็เรียนได้ใช่ไหม  ทำไมเราจะเรียนรู้ตัวเอง ขนานไปกับการดำรงชีวิตปกติ ไม่ได้กินเวลาเรา ทำไมเราทำไม่ได้ เพราะเราไม่อยากทำเองน่ะ  เราหาข้ออ้างไม่ปฏิบัติเท่านั้นเอง   ถ้าไม่หาข้ออ้างนะ รู้ลงไป รู้กายรู้ใจ ถึงเวลาทำงานก็ทำไป ถึงเวลาต้องติดต่อกับคนอื่น ก็ติดต่อไป หมดเวลาไม่ต้องติดต่อกับใครก็มาเรียนรู้ตัวเอง ไม่เอาเวลาไปเสียเปล่าๆ

หลวงพ่อเป็นคนที่หวงเวลาที่สุดเลย ภาวนาจะใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ตัวเอง ไม่ยุ่ง กระทั่งไปหาครูบาอาจารย์ ไปประเดี๋ยวประด๋าวหรอก ไปแป๊บๆ พอรู้หลักแล้วก็กลับมาดูของเราเอง ไม่เสียเวลา

วลาของแต่ละคน เป็นทรัพยากรที่หายากนะ  หายาก  แต่ถ้าพูดอย่างหลวงปู่เทกส์นะ ท่านบอกว่าหาง่าย ตราบใดที่มีกิเลส มันก็มีอีก  อันนั้นหมายถึงหาแบบไร้ทิศทางนะ แต่จะมีเวลาที่ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เนี่ย อยู่ในวัยที่เหมาะสม มีสติ มีปัญญา มีศรัทธา มีความเพียร มีโอกาสได้ฟังธรรม ตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติ  องค์ประกอบเหล่านี้หายากมาก  หลวงพ่อคิดว่าคนที่ตื่นขึ้นมาเนี่ยนะ มีไม่ถึงหมื่นคนหรอก จริงๆมีน้อยเต็มที ฉนั้นเราฟังธรรมจนกระทั่งจิตเราตื่นขึ้นมาได้นี่ ยากมาก นี่เป็นจุดแรกเลยที่ยากมาก  เราต้องเห็นสภาวะตรงตามความเป็นจริงได้โดยไม่เจตนา  จิตจึงจะตื่น  ถัดจากนั้นก็ต้องตามรู้ตามดู จนเ้ข้าไปแจ่มแจ้ง  ปล่อยวางได้นี่ยากขึ้นไปอีกนะ เหลือน้อยลงน้อยลง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่ไม่ตั้งมั่นจะไม่เกิดอริยมรรค

mp3 (for download): จิตที่ไม่ตั้งมั่นนั้นจะไม่เกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

เมื่อสองสามวันก่อนมีพระองค์หนึ่ง ท่านเป็นพระผู้ใหญ่นะ ท่านเข้าไปเยี่ยมหลวงพ่อที่วัด ที่เมืองชล ท่านก็ไปเล่าว่า ท่านอยู่ในป่า แล้วท่านก็รู้อะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลยนะ กระทั่งเสียงของสัตว์นี้ ท่านฟังได้ ของเราก็ฟังเสียงสัตว์ได้ ใช่ไหม แต่ท่านแปลได้ ของเราก็ฟังได้นะ เสียงสัตว์ ตุ๊กแกร้องเราก็รู้นะ แต่เราไม่รู้ว่ามันร้องว่าอะไร

ท่านทำสมาธิเยอะ ท่านรู้ ท่านบอกท่านรู้อะไรต่ออะไร รู้เยอะแยะเลย วันหนึ่งไม่สบายมาก เป็นมาลาเรีย ท่านก็นอนดูร่างกายนี้ มีใจอยู่ต่างหากด้วยนะ ในขณะมีใจอยู่ต่างหาก ใจก็ไปดู เห็นร่างกายมันเจ็บป่วย ดูกาย ดูเวทนาไป เสร็จแล้วดูไปเรื่อยๆนะ จนกระทั่งความรู้สึกนี้ ทุกขเวทนาดับ หายนะ หายเจ็บ หายป่วยไปได้ แต่ท่านสงสัยว่า ท่านดูลงไปในเวทนาอะไรนี้ ก็ไม่เห็นว่ามันเป็นตัวเป็นตน แต่ทำไมไม่เกิดอริยมรรค

ที่จิตมันไม่ตัดเพราะว่าจิตไม่ตั้งมั่น ในขณะที่รู้กายนี้ จิตไหลไปอยู่ที่กาย ในขณะที่รู้เวทนานั้น จิตถลำลงไปแช่อยู่กับเวทนา จิตที่ถลำลงไปนี้จะไม่มีกำลัง ไม่มีแรงที่จะตัดสินความรู้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าสัมมาสมาธิ หรือ จิตที่ตั้งมั่นนี้ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมาแท้ๆแล้ว ถึงจะละวางความยึดถือในกายในใจลงไป ถ้าใจไม่ตั้งมั่นจะไม่ตัดหรอก จะไปดูก็เห็นนะ เห็นเกิดดับไปงั้นนะ แต่ใจไม่มีกำลัง มันถลำลงไป งั้นใจที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้สำคัญมาก

CD ศาลาลุงชินครั้งที่ 9

500218

6.48 – 8.39

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนธรรมะอย่างนักวิจัย เลือกตัวอย่างมาศึกษาเพื่อเข้าใจทั้งหมด

mp3 (for download) : เรียนธรรมะอย่างนักวิจัย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

คือ การเรียนศาสนาพุทธนะ อย่างนักรบเป็นนักวิชาการเรียน อย่างเวลาเราจะศึกษาอะไรสักอย่างหนึ่ง เราหาตัวอย่าง หากรณีมาศึกษา เป็นตัวแทนของความรู้ทั้งหมด เรียนศาสนาพุทธก็ศึกษาแบบมีตัวแทนเหมือนกัน อย่างตัวแทนสิ่งที่เรียกว่า ตัวเรานี้ ถ้าซอยออกไปก็คือ สติปัฎฐาน ทั้งหลายนั่นเอง แค่รู้หายใจเข้ารู้หายใจออก รู้แค่นี้ก็รู้ทั้งหมดได้แล้ว หายใจเข้าหายใจออกนะ เราจะเห็นเลย ร่างกายหายใจไป จิตเป็นคนดู ร่างกายที่หายใจอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา แค่หายใจอย่างเดียว เอาลมหายใจมาเป็นตัวอย่างในการศึกษา แค่ศึกษาตัวเดียวนี้แหล่ะ ก็บรรลุมรรคผลได้ หรือบางคนรู้ อิริยาบถสี่ เอาอิริยาบถสี่มาเป็นตัวแทนในการศึกษา เป็นตัวอย่างที่จะศึกษา แทนที่จะต้องรู้รูปทั้งหมดก็มารู้รูป ยืน เดิน นั่ง นอน นี้ เรียกว่า กายในกาย เรียนอย่างมีตัวอย่างนั่นเอง สุ่มตัวอย่างมาเรียน เพื่อเป็นตัวแทนของความรู้ทั้งหมด ที่เรียกว่า ในกาย ในเวทนา ในจิต เนี้ยไม่ใช่เรียนทั้งหมด แต่เรียนแค่บางอันซึ่งเป็นตัวอย่าง

อย่างเราจะทำแบบสอบถามอยากรู้ความเห็นของคนล้านคนทำไม่ได้ เราก็สุ่มตัวอย่าง นี่ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าให้สุ่มก็คือ สติปัฎฐาน นั่นเอง อารมณ์ในสติปัฎฐานนั่นแหล่ะ แค่รู้กายที่มันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอน นี้ ก็จะเห็นเลย ไอ้ร่างกายมันยืน มันนั่ง มันนอน ไม่ใช่ตัวเราหรอก มันเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆเหมือนหุ่นยนต์ เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ ใจที่เป็นคนรู้ก็อยู่ต่างหาก จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเราอีกแล้ว  รู้ทั้งกาย รู้ทั้งใจได้ แค่ทำอันเดียวก็พอแล้ว

บางคนรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย และการหยุดนิ่ง เรียกว่า เจริญสัมปชัญญะบรรพ รู้การเคลื่อนไหว การหยุดนิ่ง เคลื่อนไหวก็รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก รู้สึกไปเรื่อยๆก็จะเห็นเลยว่า ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง จิตก็ส่วนหนึ่งจะแยกกัน กายไม่ใช่ตัวเรา จิตไม่ใช่ตัวเรา เกิดปัญญา หรือบางคนท่านก็สอนให้สุ่มเรียนเวทนา ความปวด ความเมื่อย ความสุข อะไรนี้ จะเห็นเลย เวทนาก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง จิตก็ส่วนหนึ่ง ก็กระจายขันธ์ออกมาเหมือนกัน แต่กระจายละเอียดกว่าการรู้กาย นั้นเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ สามอย่างนี้เกิดขึ้นทั้งวัน ถ้ามันสุข มันทุกข์ มันเฉยๆ เรามีสติ ก็คือ เรามีสติทั้งวัน

นั้นอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าให้เป็นตัวอย่างในการศึกษาของเรา เป็นอารมณ์ที่เกิดทั้งวันทั้งหมดเลย หายใจเข้า หายใจออก เกิดทั้งวัน ยืน เดิน นั่ง นอน เกิดทั้งวัน เคลื่อนไหว หยุด นิ่ง เกิดทั้งวัน สุข ทุกข์ เฉยๆ เกิดทั้งวัน หรือบางทีท่านก็ให้สุ่ม บางคนจริตนิสัยคิดมาก ตัวอย่างของการศึกษาที่ท่านให้ทำก็คือ ดูจิต ดูจิตมีตั้ง ๑๖ ตัวแหน่ะ ที่ใช้ในสติปัฎฐาน หรือมี ๘ คู่ แท้จริงเรียนคู่ใดคู่หนึ่งก็ปฏิบัติได้ทั้งวันแล้ว เช่น จิตมีโทสะ กับ จิตไม่มีโทสะ จิตเรามี ๒ ประเภทเท่านั้นเอง คือ จิตที่มีโทสะ กับ ที่ไม่มีโทสะ นี้แบ่งโดยเอาโทสะเป็นตัวตั้ง ถ้าศึกษาอย่างนี้ไปเรื่อยๆจะเห็นเลย จิตที่มีโทสะเป็นตัวแทนของจิตอกุศล จิตที่ไม่มีโทสะ รู้ว่าเมื่อกี๊มีโทสะ เป็นตัวแทนจิตฝ่ายกุศล แล้วจิตทั้ง ๒ ฝ่าย ล้วนแต่เกิดแล้วดับทั้งสิ้น ทั้งกุศลและอกุศล เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น

การรู้จิตก็ทำให้รู้กายด้วย ไม่ใช่รู้แต่จิต ก็จะเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นสิ่งที่จิตเข้ามาอาศัยอยู่ กายนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ หรือบางคนดูแค่จิตมีราคะ กับ จิตไม่มีราคะ ๒ ตัวนี้ก็คลุมเวลาปฏิบัติทั้งหมดแล้ว เพราะจิตก็มี ๒ พวกเท่านั้นเอง จิตที่มีราคะ กับ ไม่มีราคะ ก็เป็นตัวแทนของการศึกษา จิตที่มีราคะเป็นตัวแทนของอกุศล จิตไม่มีราคะเป็นตัวแทนกุศล ทั้งหมดเกิดแล้วดับทั้งสิ้น เหมือนกันอีก จิตมีโมหะ จิตหลงไป กับ จิตรู้สึกตัว จิตไม่มีโมหะ ก็เป็นตัวแทนแบบเดียวกัน

เพราะฉะนั้นคนแต่ละคนนี้ ใช้อารมณ์กรรมฐานจริงๆใช้นิดเดียว อารมณ์กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าเลือกให้ เป็นอารมณ์ที่เกิดตลอดเวลา ถ้าตามรู้ ตามดู เราก็จะมีสติ ตื่นขึ้นมาได้ทั้งวัน สามารถเห็นกายตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา เห็นจิตตามความเป็นจริงว่า จิตทุกอย่างเลยไม่เที่ยงนะ จิตดีหรือจิตเลว กุศล อกุศลเกิดแล้วดับหมดเลย บังคับก็ไม่ได้ เลือกก็ไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะแบบนี้ เรียกว่า ธรรมวิจยะ เราวิจัยธรรมะ ไม่ได้เรียนทั้งหมด เห็นไหม เราเลือกตัวอย่างของการศึกษาขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา วิชาการสมัยใหม่นะ ตามหลังมาก วิธีการศึกษา โอ้ อัศจรรย์นะพระพุทธเจ้า ท่ามกลางคนที่ใช้ศรัทธาเนี้ย พระพุทธเจ้าเกิดปัญญาได้ขนานี้

CD สวนสันติธรรม 10

480926B

17.30 – 22.56

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สภาวะธรรมทั้งหลายเสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์

mp 3 (for download) : สภาวะธรรมทั้งหลายเสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์: ใจเราแต่ละคนมันไม่ยอมรับธรรมะ คือมันไม่ยอมรับความจริง อย่างร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย นี่เป็นความจริงนะ เราไม่ยอมรับนะ เราไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย จิตใจของเราต้องสุขบ้างทุกข์บ้าง เราก็ไม่ยอมรับเราอยากสุขอย่างเดียว จิตใจของเราเป็นของบังคับไม่ได้ เดี๋ยวก็เป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศล เราบังคับไม่ได้ เราก็ไม่ยอมรับ เราอยากบังคับให้ได้ อยากให้มันดีถาวร

การที่เรามาหัดเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ เพื่อวันหนึ่งจิตใจมันจะได้ยอมรับความจริง มันยอมรับความจริงมันจะเห็นเลยสภาวธรรมทั้งหลายเสมอภาคกันโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว ความสุขและความทุกข์ก็เสมอภาคกันนะ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์เลย ของเรารู้สึกเลย ความสุขความทุกข์ไม่เสมอกัน กุศลและอกุศลก็เสมอภาคกัน เราก็รู้สึกว่าไม่เสมอ แท้จริงแล้วสภาวธรรมทั้งหลายเสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ ล้วนแต่ไม่เที่ยงเหมือนกันหมดเลย ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชั่ว ล้วนแต่เป็นทุกข์ ทั้งกายทั้งใจนี่เป็นทุกข์นะ แล้วก็บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีอะไรบังคับได้สักอันเดียว ใจเราไม่ยอมรับตรงนี้

แท้จริงแล้วสภาวธรรมทั้งหลายนั้นเสมอกันหมด ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชั่ว ธรรมะที่เป็นคู่ๆ ทั้งหลายนั้นเสมอกัน ใจเราต่างหากที่ไม่เสมอกัน ใจเราจะรักอันหนึ่ง เกลียดอันหนึ่ง รักสุขเกลียดทุกข์ รักดีเกลียดชั่ว พอใจเราไม่เสมอภาคใจเราจะดิ้นรน ใจเราดิ้นรนปรุงแต่ง ใจเราทำงานขึ้นมา ใจเราก็มีความทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าวันหนึ่งใจเรารู้แจ้งแทงตลอดลงไปนะ ธรรมะที่เป็นคู่ๆ ทั้งหลาย สุขทุกข์ดีชั่วอะไรนี้ เสมอภาคกันหมด คือเกิดแล้วดับทั้งหมดเลย สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราว

พอใจมันมีปัญหาเห็นอย่างนี้นะ ใจมันจะเข้าสู่ความเป็นกลาง พอใจเป็นกลาง ใจก็จะไม่ดิ้นรน ใจไม่ดิ้นรน ใจก็ไม่ทุกข์นะ เมื่อไรปัญญาเกิด เห็นสภาวธรรมทั้งหลายเสมอกันหมด ใจก็จะไม่ดิ้น ใจไม่ดิ้น ใจไม่ทุกข์ ของเราไม่เห็น เรารู้สึกไม่เสมอกันรู้สึกไหม สุขดีกว่าทุกข์ กุศลดีกว่าอกุศล เรายังมีสิ่งที่เป็นคู่ๆ เยอะเลย ละเอียดดีกว่าหยาบ ที่ใกล้ดีกว่าที่ไกล ภายในดีกว่าภายนอก

ธรรมะเราไปหลงธรรมะที่เป็นคู่ๆ ธรรมะภายใน เช่น สงบอยู่ข้างในดี ฟุ้งซ่านออกข้างนอกไม่ดี ธรรมะอยู่ใกล้ๆ อยู่กับกายกับใจแล้วดี ออกไปข้างนอกไม่ดี ยุ่งกับตัวเองดี ยุ่งกับคนอื่นไม่ดี จริงๆ เสมอกันแหละ ยุ่งเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นเรียนนะ เรียนเพื่อให้เห็นความจริง สภาวะทั้งหลายเสมอภาคกัน ใจของเราต่างหากไม่เสมอ ไม่เสมอภาค รักอันหนึ่งเกลียดอันหนึ่ง แล้วก็ดิ้นรน ดิ้นรนแล้วก็ทุกข์ ถ้าเมื่อไรปัญญาแจ่มแจ้ง ธรรมที่เป็นคู่เสมอภาคกันหมด ใจก็ไม่ดิ้นรน ใจไม่ดิ้นรน ใจก็พ้นทุกข์ นิพพานเป็นความสิ้นราคะ สิ้นตัณหา สิ้นความอยาก นิพพานเป็นวิสังขาร สิ้นความปรุงแต่งดิ้นรน เมื่อไรใจเราหมดความหิวโหยในอารมณ์อันโน้น เกลียดอารมณ์อันนี้ หมดความปรุงแต่งอย่างโน้นอย่างนี้ จิตใจก็จะเข้าสู่สันติสุขเข้าสู่นิพพาน

สังเกตให้ดีใจของเราทำงานทั้งวันทั้งคืน ดูออกไหม จิตใจเราทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยหยุดเลยนะ เดี๋ยวคิดโน้น เดี๋ยวคิดนี่ไปเรื่อยๆ เลย เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่ว ทั้งวันทั้งคืน เพราะฉะนั้นใจมันหาความสุขไม่ได้ หาความสงบไม่ได้ ฟุ้งไปเรื่อยๆ ค่อยๆ รู้สึกเอา แล้วเฝ้ารู้ลงมาในกาย รู้ลงมาในใจ จะเห็นเลยสุขทุกข์ดีชั่วอะไรนี่เสมอกันหมดเลย

ใจที่เข้าถึงธรรมนี่จะเห็นสิ่งทั้งหลายเสมอภาคกันนะ กระทั่งกับความตายและการมีชีวิตอยู่ นี่มันก็ของคู่อันหนึ่งเหมือนกัน ความตายและการมีชีวิตอยู่ มีพระสูตรอันหนึ่งหลวงพ่อจำชื่อไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตัวท่านน่ะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้วล่ะ แต่ท่านไม่ได้อยากตาย ท่านไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่นะ แต่ท่านไม่ได้ร่ำร้องหาความตาย ใจท่านเป็นกลางจริงๆ กับธรรมที่เป็นคู่ ใจท่านไม่ดิ้นเลย ท่านก็สามารถมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข แต่ว่าไม่ได้ติดว่าจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป ท่านก็ไม่ได้รีบร้อนว่าจะต้องตายๆ ไปซะ เพราะชีวิตนี้เป็นทุกข์ ใจของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปนั้น ใจท่านเสมอกันด้วย ใจของพระอรหันต์ก็เป็นแบบนั้น ไม่ได้คิดว่า ตายๆ แล้วจะมีความสุขนะ

ของเราเวลาความทุกข์บีบคั้นมากๆ จะรู้สึกว่าตายซะได้จะมีความสุข หรือบางคนก็ตายแล้วคงลำบากนะ มีชีวิตอยู่นี่ล่ะดีกว่า นี่มันไม่เสมอภาคกัน ไม่เสมอภาคทุกเรื่องเลยนะในธรรมะที่เป็นคู่ๆ ไม่มีเสมอภาคหรอก เพราะฉะนั้นใจเรานี่เองที่ดิ้นรนไปเรื่อยๆ

เคยอ่านเว่ยหล่างไหม สูตรของเว่ยหล่าง ที่พระสององค์นั่งเถียงกันนะว่า ลมที่พัดธงแล้วธงสะบัด พระเถียงกันว่า ลมไหวหรือธงไหว ท่านเว่ยหล่างชี้ขาดว่า จิตไหวต่างหาก นั่งเถียงสิ่งที่เป็นคู่มันอะไรแน่ อะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว หลงอยู่ในสิ่งที่เป็นคู่ๆๆ ตลอดเวลาเลย พอเราหลงในสิ่งที่เป็นคู่ใจก็ดิ้นรนทำงานไปเรื่อยๆ ในขณะที่ธรรมแท้เป็นหนึ่งนะ จิตก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ไม่มีธรรมคู่นะ จิตก็เป็นหนึ่ง มีสันติสุขอยู่อย่างนั้นแหละทั้งวันทั้งคืน ไม่กวัดแกว่ง แกว่งขึ้นแกว่งลง ฟูขึ้นแฟบลงไม่มี ไม่มีวิ่งไปวิ่งมาอะไรเลย เป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้นแหละ มีแต่ความสุข มีสันติสุขอยู่ในตัวเอง เรียกว่า จิตหนึ่ง ธรรมที่ไปเห็นนะ ก็ไปเห็นธรรมหนึ่ง

ในขณะที่พวกเราไม่เคยเห็นธรรมหนึ่ง เราเห็นแต่ธรรมคู่ ธรรมที่เป็นคู่ๆ สุขทุกข์ ดีชั่ว กายกับใจ นี่ก็คู่หนึ่ง สุขทุกข์ ดีชั่ว กุศลอกุศล กลางวันกลางคืน หลับตื่น มีชีวิตหรือว่าตาย เป็นคู่ๆๆ ตลอด แล้วก็หลงกับมัน หลงจริงจังกับมัน ถ้าเรียนรู้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งใจจะเป็นกลางนะ เป็นกลางมีแต่ความสุขล้วนๆ เลย หลวงปู่มั่นท่านเรียกว่า ‘ฐีติจิต’ จิตที่เป็นหนึ่งนี่ ธรรมที่เป็นหนึ่งท่านเรียก ‘ฐีติธรรม’ ฐีติจิต-ฐีติธรรม ไม่ใช่ฐิตินาถนะ  ฐีติจิต-ฐีติธรรม ฐีตินาถจริงๆ ก็ต้องเป็นชื่อของนิพพานเหมือนกัน บางองค์ท่านเรียกว่า ‘จิตเดิมแท้’ บางองค์เรียก ‘จิตหนึ่ง’ บางองค์เรียกว่า ‘ใจ’ บางองค์เรียก ‘จิตเดียว’ แล้วแต่สำนวนนะ ถ้าสำนวนอภิธรรมเรียก ‘มหากิริยาจิต’ เป็นอันเดียวกัน มีหลายชื่อแล้วแต่จะเรียก

มันจะเป็นหนึ่ง ไม่ใช่จิตทีหลงยินดียินร้ายกับอะไร มีแต่ความสุขนะ ประหลาดมากเลย เป็นความสุขที่แปลกประหลาด เวลาเราเห็นโลกนี่จะเห็นโลกนี้ราบ เสมอกันหมดเลย ผู้หญิงผู้ชาย เด็กผู้ใหญ่ คนหรือหมาหรือแมว สิ่งมีชีวิตสิ่งไม่มีชีวิต จะเห็นว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอันเดียวกันหมดเลย ราบเป็นอันเดียวกันหมดเลย

คนถ้าหลงในสมมุติบัญญัติก็จะไม่เป็นอันเดียวแล้ว เป็นคู่ๆ มีผู้หญิงมีผู้ชาย มีเด็กมีผู้ใหญ่ มีคนมีสัตว์อะไรขึ้นมา เสร็จแล้วมันก็จะอยากอันหนึ่งเกลียดอันหนึ่งขึ้น มันก็ดิ้น ดิ้นแล้วก็ทุกข์ แค่นี้แหละ ง่ายนะ ง่ายสุดขีดเลย

สวนสันติธรรม

CD: 17
File: 500105.mp3
Time: 4.25-12.57

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อินทรีย์ ๕ กำลังในการปฏิบัติ

mp 3 (for download) : อินทรีย์๕ กำลังในการปฏิบัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: จริงๆ กำลังในการปฏิบัติมี ๕ อัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องคอยเช็คตัวเองว่า อันใดมากอันใดน้อยไป เช็คตัวเองแล้วก็ปรับสมดุลมันไป ถ้าเราดูของเราออก เราก็แก้ไปเองได้ เอาตัวรอดไปได้ ดูไม่ออกก็อาศัยเพื่อนสหธรรมิก อาศัยครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร อะไรอย่างนี้ บอกให้ แต่ที่ดีที่สุดนะ อาศัยการสังเกต หลวงพ่ออาศัยการสังเกตมากเลยเพราะไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อสามเดือนสี่เดือนไปทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลือนี่ใช้การสังเกตเอา

บางช่วงศรัทธามากไป ชักจะโง่แล้ว งมงาย คิดว่าทำๆ ไปเดี๋ยวมันก็พ้นเอง นี่ค่อนข้างโง่นะ ทำๆ ไป มันต้องมีเหตุมีผลนะ ไม่ใช่ดุ่ยๆ ไปเรื่อย ทำผิดทำถูกหรือเปล่าไม่รู้นี่ ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆ แล้วก็บรรลุได้นะ ถ้าทำผิดมันไม่บรรลุหรอก มันต้องมีสติปัญญารู้เลย ไม่ใช่เชื่องมงายนะว่าทำๆ ทนๆ ไปแล้ววันหนึ่งรู้ ไม่ใช่

มีความเพียร ความเพียรมากไป หรือความเพียรน้อยไป วัดตัวเองดู บางช่วงขี้เกียจขี้คร้าน ก็เอาข้ออ้างนะ มีข้ออ้างนะ เวลาขี้เกียจขึ้นมาก็บอกว่า โอ จิตมันไม่ใช่เรา ไม่รู้จะขยันไปทำไม ไม่ใช่เรา ถ้าขยันเดี๋ยวจิตเป็นเราขึ้นมาอีก นี่ หาข้ออ้าง บางช่วงขยันเกินไป ภาวนาหามรุ่งหามค่ำจิตใจไม่ได้พักผ่อนเลย ไม่มีความสุข แห้งแล้ง เหน็ดเหนื่อยเกินไป ใช้ไม่ได้เหมือนกัน

สติ สติของเราเกิดเอง หรือว่าสติบังคับให้เกิด สติเกิดเองใจก็โปร่งโล่งเบา สติบังคับให้เกิดนี่ใช้ไม่ได้ หรือสติคมกล้าเกินไป แข็งไป แข็งปึกเลย อะไรไหวแว๊บนี่รู้หมดเลยนะ รู้แบบคมกริบเลย คมเกินไปก็ใช้ไม่ได้อีก ต้องค่อยๆ สังเกตตัวเอง

สมาธิ ใจเราตั้งมั่นจริงไหม หรือใจเราไปซึมเซาอยู่ในอารมณ์อันใดอันหนึ่ง หรือว่าใจเราตั้งมั่นสักว่ารู้สักว่าเห็นอารมณ์ ต้องคอยสังเกตเอา บางช่วงภาวนาไปแล้วเห็นสภาวะนะไม่ขาดสักทีหนึ่ง ดูใหญ่ๆ อยากให้มันขาดนะ เห็นแต่มันเกิดดับๆ ไปเรื่อยนะ ไม่ขาดไป สังเกตให้ดี ขาดสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ขึ้นมา หรือทำสมาธิพักผ่อนนิดเดียวนะ พอถอยออกมาเห็นสภาวะนะขาดสะบั้นเลย นี่สมาธิไม่พอ ต้องสังเกตเอา

ปัญญาก็ต้องสังเกตนะ ปัญญาฟุ้งซ่าน หรือว่าปัญญารู้จริงๆ ปัญญาคิด ปัญญานึก ปัญญาน้อม ปัญญาฟุ้งซ่าน ปัญญารู้ก็ปัญญาตัวจริง แต่บางครั้งก็ต้องอาศัยการคิดการน้อมเหมือนกัน มีศิลปะนะ มันไม่ใช่เป็นศาสตร์อย่างเดียวนะ การปฏิบัติเป็นศิลปะด้วย อีกหน่อยใครมีศิลปะเก่งๆ หลวงพ่อจะออกใบรับรองประกอบโรคศิลป์ มีศิลปะนะ มีศิลปะในการปฏิบัติ มันเป็นชั้นเชิงนะ เราไม่ได้วัวได้ควายมีแต่เรี่ยวแรงแล้วทุ่มเอาๆ หรือว่าชั้นเชิงมากจนไม่ต่อยสักทีนะ ฟุตเวิร์คสวยอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ได้กินอีกนะ

นี่มันต้องสังเกตตัวเองเลย ทั้งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่มันพอเหมาะพอควรไหม อันใดมากอันใดน้อยใช้ไม่ได้ นี่สติ ยกเว้นสตินะ สติยิ่งบ่อยยิ่งดี แต่สติกล้าแข็งไม่ดี ศรัทธามากก็โง่ วิริยะมากก็ฟุ้งซ่าน เหน็ดเหนื่อย สมาธิมากก็ซึมเซา ปัญญามากก็ฟุ้งซ่านอีก หรือไม่เชื่ออะไรเลย เชื่อตัวเอง กูเก่งๆ พวกปัญญากล้า ปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาทางศาสนาพุทธหรอก ปัญญาคิดมาก

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 500106.mp3
Time: 12.17 – 17.25

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่ารู้นั้นเอง

mp3 (for download) : หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่า “รู้” นั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราสังเกตไหมในสติปัฏฐานนี่ ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางเอกทางสายเดียวนะเพื่อการพ้นทุกข์ ลองดู verb ดูกิริยาในสติปัฏฐานมีกิริยาอยู่คำเดียวเอง คำว่า ‘รู้’ มีอยู่คำเดียวนะ กิริยาจริงๆ เลย คือคำว่า ‘รู้’ นั่นเอง ที่เป็นหลักจริงๆ

ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ท่านไม่ได้บอกว่าหายใจออกให้กำหนดไว้เจ็ดฐาน หกฐาน ห้าฐาน สิบฐาน ไม่มีนะ ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ บางทีใช้คำว่ารู้ชัดก็มี เดินอยู่ก็รู้ชัด นั่งอยู่ก็รู้ชัด คำว่ารู้คืออะไร รู้ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ นะสอน จิตใจเป็นกุศลก็รู้ จิตใจมีความโลภก็รู้ มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ มีแต่คำว่า ‘รู้’ เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีนิวรณ์ มีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ เห็นไหม จิตมีอะไรต่ออะไรขึ้นมา ‘รู้’ ท่านสอน

เพราะฉะนั้น กิริยาที่เป็นหัวใจของการภาวนาในทางสายเอกทางสายเดียวคือคำว่า ‘รู้’ นี่เอง คำว่า ‘รู้’ มีสองนัยนะ อันแรก มีสติรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ คือรูปธรรมและนามธรรมที่กำลังปรากฏ อันที่สอง มีปัญญารู้ความจริงของสภาวะรูปและนามอันนั้น ความจริงของสภาวะรูปและนามก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้น คำว่า ‘รู้’ นี่ครอบคลุมนัยสองประการนี้ อันแรกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น อันที่สองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์

CD สวนสันติธรรม 19

500310A

26.14 – 28.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติธรรมคล้ายขับรถ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก

mp 3 (for download) : การปฏิบัติธรรมคล้ายขับรถ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านสอนสมาธินะ พอจิตใจเราสงบ เช่น เราพุทธโธ หรือ หายใจ จิตใจสงบแล้วมักจะขี้เกียจขี้คร้าน เพราะมีความสุข ท่านจะไล่ให้ออกมาพิจารณากาย หรือ ออกมาเจริญสติข้างนอกนี้ คนที่ติดในความสุข ความสงบ พอตัวเองออกมาทำงาน ไม่ชอบนะ มันเหนื่อย เหนื่อย มันคล้ายๆเรานอนมานานแล้วเลยขี้เกียจออกจากบ้าน พอออกมาแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก รู้สึกร้อนมาก แต่พอเราออกมาทำงานไปเรื่อยๆ บางทีทำงานไปช่วงหนึ่ง เพลินกับงาน ไม่ยอมพักแล้ว คราวนี้เพลินกับงาน ครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่า “ไปเพิ่มสมถะหน่อยช่วงนี้ ทำความสงบบ้าง พักบ้าง ให้จิตทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ดี ไม่มีแรง”

การปฏิบัติธรรมคล้ายๆขับรถนะ บางเวลาก็ต้องเหยียบคันเร่ง บางเวลาก็เหยียบเบรก ขาที่เหยียบคันเร่งกับขาที่เหยียบเบรกขาเดียวกัน ใช่ไหม ไม่ใช่เหยียบคันเร่งพร้อมกับเหยียบเบรก บางเวลาเราก็ต้องทำความสงบเข้ามา บางวันสงบมากแล้วนะ ก็ต้องออกมารู้กายรู้ใจ ฝืนๆมัน มันไม่อยากดู ไม่อยากรู้ เพราะว่ามันไม่สบาย

เคยอ่านประวัติท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเล่า เคยอ่านไหม ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น บอกว่า ช่วงแรกๆไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ เช้าๆหลวงปู่มั่นจะถามว่า “ท่านมหาท่านภาวนาเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า มีความสุข ความสงบ” ทุกวันรายงานอย่างนี้ นานๆไป หลวงปู่มั่นท่านก็ดุเอานะว่า เอาแต่ความสุข ความสงบไม่ได้ ให้ออกมาพิจารณา ออกมารู้กายรู้ใจ ก็รู้ไปเถอะ พอท่านออกมาพิจารณา ท่านเริ่มต้นด้วยพิจารณากาย พิจารณาไปเรื่อย แล้วก็เพลิดเพลิน เช้าๆหลวงปู่มั่นมาถามอีก ท่านก็บอก หมู่นี้มีปัญญาดี เจริญปัญญา ทุกวันพูดแต่เจริญปัญญานะ ลืมสมถะอีก ท่านบอกจิตของท่านมันโลดโผน

เพราะฉะนั้น เราต้องดูตัวเองนะ ช่วงไหนควรเจริญปัญญา ช่วงไหนควรทำสมถะ สมถะเป็นที่พักผ่อนนะ ที่ดีไม่ใช่ไม่ดีนะ บางคนได้ยินหลวงพ่อพูด เจริญสติในชีวิตประจำวัน นึกว่าหลวงพ่อบอกไม่ต้องทำสมถะ เราทำเท่าที่เราทำได้ บางคนทำอย่างไรมันก็ทำไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย ก็ไหว้พระสวดมนต์ไว้ก็ยังดีนะ ได้สมถะนิดๆหน่อยๆ

สวนสันติธรรม CD: 16
File: 25491104.mp3
Time: 25.55-28.33

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดคืออวิชชา

mp 3 (for download) : รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดคืออวิชชา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :

มันดิ้นหนีทุกข์ มันดิ้นหาความสุข มันถึงต้องทำงาน ถ้าเมื่อไหร่มันไม่ดิ้นหนีทุกข์ ไม่ดิ้นหาความสุขนะ มันก็ไม่ทำงาน นี้ทำไมมันถึงต้องดิ้นหนีทุกข์ดิ้นหาความสุข เพราะมันสำคัญมั่นหมายว่ามัน คือ ตัวเรา นั้นรากเหง้าของปัญหาทั้งหมด คือ อวิชชา เราไม่รู้ความจริง จิตใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก เราไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราขึ้นมา ไปยึดถือว่าเป็นตัวเราขึ้นมา ก็อยากให้มันสุข อยากให้มันพ้นทุกข์ก็พามันดิ้นไปเรื่อย ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้นนะ สัตว์ในโลกข้องอยู่ตรงนี้เอง ยิ่งดิ้นก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งดิ้นนะ ส่วนมากก็ดิ้นไปหาความสุขทางโลกๆ ตอบสนองกิเลสแล้วรู้สึกจะมีความสุข แต่พอได้มานะ ก็ไม่สะใจอีกต้องดิ้นอีก หรือ พวกเข้าวัดเข้าวา ฝึกทำความสงบนี้ เพื่อตอบสนองกิเลสตัวนี้แหล่ะ เพื่อเราจะได้มีความสุข อุตส่าห์เข้าวัดภาวนาก็เพื่อให้เรามีความสุข ไม่สามารถละความเห็นผิดว่าจิตเป็นเราได้ ไม่สามารถละความยึดถือในตัวจิตได้ นั้นการปฏิบัติจะเป็นแค่ลูบๆคลำๆไปเรื่อยๆแหล่ะ ไม่เข้าเป้าซะที ถ้าไม่เข้ามาที่จิตนะไม่ได้เป้าหรอก

หลวงปู่เทสก์ถึงขนาดสอนนะบอกว่า “ถ้าภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจ ถึงจะได้แก่นสารของการปฏิบัติ ถ้าภาวนาไม่ถึงจิตถึงใจตัวเองนะ รู้ไม่เท่าทันจิตใจตัวเองนะ ยังอยู่ผิวๆนะ เปลือกๆ ปฏิบัติลูบๆคลำๆไปเรื่อยเลยนะ” เช่น ทำอย่างไรจิตจะสงบนะ วันนี้ทำสงบ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฟุ้งอีก มาทำอีก จิตสงบเพราะรักตัวเองนั่นแหล่ะ เพราะว่ายึดถือว่าจิตคือ ตัวเรา อยากให้มันดี นี้เป็นวิธีของคนดีนะ วิธีของคนชั่วก็วิ่งหาอารมณ์ภายนอก วิธีของคนดีก็คือ มาสำรวมจิตสำรวมใจเข้ามา ส่วนวิธีที่พระพุทธเจ้าค้นพบนะ หันหน้ามาเรียนรู้จิตใจตนเอง รู้ลงมาในกาย รู้ลงมาในใจ เพิกกายออกไปแล้วก็มาถึงจิตถึงใจ บางคนดูเข้าที่จิตได้เลยก็ดู บางคนดูเข้ามาที่จิตใจไม่ได้ ดูกายไปก่อน กายเป็นบ้านของจิต วันหนึ่งรื้อบ้านออกไปนะ เห็นเจ้าของบ้าน พอมาเห็นถึงตัวจิตตัวใจรู้เลย โอ้ ตัวนี้เองดิ้นรนแส่ส่ายหาความทุกข์ตลอดเวลา ทำไมดิ้นรนแส่ส่ายหาความทุกข์มาใส่ตัวเอง ก็มันอยากมีความสุขนะ แต่มันมีความสุขอยากด้วยวิธีที่โง่ๆ  ตะเกียกตะกายหาความสุขเข้าไป แต่ว่าได้มา คือ ความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนเราเข้ามาดูจนเห็นความจริงเลย กายนี้ ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ ดูเข้ามาตัวนี้นะ ถึงจะตัดดิ้นรนนี้ขาดออกไปได้ในวันหนึ่ง นั้นจิตใจต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนหาความสุขไม่ได้เลยตลอดชีวิต

สวนสันติธรรม
CD: 17
File: 25491129.mp3
Time: 24.35-27.20

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คำถามของนักภาวนาเกี่ยวกับการนั่งภาวนา

MP3 (for download) : คำถามของนักภาวนาเกี่ยวกับการนั่งภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ละความเป็นตัวตน แต่สอนให้ละความเห็นผิดว่ามีตัวตน

mp 3 (for download) : พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ละความเป็นตัวตน แต่สอนให้ละความเห็นผิดว่ามีตัวตน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: อยากจะถามนิดนึงค่ะว่า ถ้าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะคะคือเราที่เชื่อมอดีตชาติ ปัจจุบัน อนาคต

หลวงพ่อปราโมทย์: ความคิด ความจำนะ เพราะฉะนั้นความเป็นเราจริงๆ ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ละความเป็นตัวตน ท่านสอนให้ละความเห็นผิดว่ามีตัวตน ความเห็นผิดว่ามีตัวตนเรียกว่า ‘สักกายทิฏฐิ’ ให้ละความเห็นผิดว่ามีตัวตน ทีนี้วิธีละความเห็นผิดว่ามีตัวตน จะละความเห็นผิดได้ต้องเห็นถูก จะเห็นถูกก็ต้องมารู้ลงมา สิ่งใดที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเรานะ ก็คือกายกับใจ ให้เรามารู้กายรู้ใจมากๆ จนวันหนึ่งเห็นเลยว่ามันทำงานเอง มันไม่ใช่เราหรอก

ที่นี้จิตนี่มันเกิดดับสืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทำกรรมไว้นี่ จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นก็รับมรดก จิตดวงใหม่ก็เหมือนลูกของจิตดวงเก่า อย่างเราเป็นลูกนะ พ่อแม่เราทำงานรวยไว้ เราก็ก็รับมรดกรวย พ่อแม่ทำหนี้ไว้เยอะ เราก็รับมรดกหนี้ไว้ จิตดวงใหม่มันเกิดขึ้นมา มันก็รับมรดกสืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ตัวเก่าหรอก ถ้าหัดภาวนาซักช่วงหนึ่งคุณจะเห็นเลย จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับนะ มีช่องว่างเล็กๆ มาคั่นนะ แล้วก็ดวงใหม่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ มีช่องว่างเล็กๆ มาคั่น ถ้าภาวนาจนถึงจุดที่เห็นสันตติ คือความสืบเนื่องนี้ขาด จะรู้เลยว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียว จิตเกิดดับทั้งวันเลย และจิตจะไม่ใช่ตัวเราแล้ว แต่ว่าเกิดดับตลอดเวลาเลย เกิดดับเร็วมากเลยนะ

CD: 16
File: 25491104.mp3
Time: 58m54 – 1h00m34

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ด้วยความเป็นกลางไว้

mp3 (for download) : รู้ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใครยังเอาตัวไม่รอดก็พยายามรู้กายรู้ใจนะ ไม่ได้มีอะไรยากเลย รู้กายด้วยความเป็นกลาง รู้ใจด้วยความเป็นกลาง รู้ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย เป็นกลางต่อกาย เป็นกลางต่อใจ เป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ ถ้าหากไม่เป็นกลางล่ะ ไม่เป็นกลางรู้ว่าไม่เป็นกลาง เช่น เห็นความทุกข์เกิดขึ้นแล้วเกลียดมัน รู้ว่าเกลียด เห็นความสุขเกิดขึ้นแล้วพอใจ รู้ว่าพอใจ

CD: สวนสันติธรรม 12

490505B

2.38 – 3.05

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สรุปหลักของการเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง

mp 3 (for download) : สรุปหลักของการเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: หลักของการเจริญสติปัฏฐาน การทำวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง ถ้าสรุปง่ายๆ ภาษาไทยนะ มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏในปัจจุบันด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ยาวไปไหม ถ้ายาวไปนะ ก็ไปหาหนังสือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง ๒ อ่านเอานะ เอาเวอร์ชั่น ๒ นะ เวอร์ชั่น ๑ ตอนเขียนความรู้ยังไม่แจ่มแจ้ง ไปอ่านตอนเวอร์ชั่น ๒ ให้มีสติรู้กายรู้ใจนะ รู้ตามความเป็นจริง รู้กายรู้ใจที่กำลังมีอยู่จริงๆ แล้วรู้มันตามที่มันเป็นจริงๆ รู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

ถ้าฝึกอย่างนี้ได้แล้วก็ไม่นาน ไม่นานนะจะรู้แจ้งในความเป็นจริงของกายของใจ ความจริงของกายของใจคือมันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นของเป็นทุกข์ คือมันถูกบีบคั้น ถูกเสียดแทงตลอดเวลา อย่างร่างกายนี่ถูกเวทนาบีบคั้นตลอดเวลา นั่งอยู่ก็เมื่อย เดินก็เมื่อย นอนก็เมื่อย ใช่ไหม ทำอะไรก็ถูกบีบคั้น หายใจออกก็ทุกข์ หายใจเข้าก็ทุกข์ กินเข้าไปก็ทุกข์ ไม่กินก็ทุกข์นะ ขับถ่ายมากไปก็ทุกข์ ไม่ขับถ่ายก็ทุกข์อีก นี่มันถูกบีบคั้น ร่างกาย จิตใจก็ถูกกิเลสตัณหาบีบคั้นตลอดเวลา มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย ในกายในใจ นี่ความจริงของเขา

ความจริงของเขาอีกอย่างหนึ่งคือ เขาไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ตอนนี้คนที่เรียนกับหลวงพ่อแล้วเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเราอย่างแท้จริงมีเยอะแยะเลย มีเยอะแยะนับไม่ถูกแล้วนะ ถ้าแจกปริญญาคงแจกไม่ทันแล้ว ที่นี้ยังเห็นว่าจิตเป็นเราอยู่ ถ้าวันใดเห็นว่าจิตไม่ใช่เราอย่างแท้จริง จะเป็นพระโสดาบันวันนั้นล่ะ

ทีนี้ วิธีการนะ บอกแล้ว ให้มีสติรู้กายรู้ใจที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง มีสติรู้กาย รู้ใจ ไม่ใช่มีสติไปรู้อย่างอื่น สติ พูดมาทุกวันที่เจอหน้ากันว่า สติ คือความระลึกได้ สติไม่ได้แปลว่ากำหนด สติเป็นความระลึกได้ หลวงพ่อจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องสติมากนัก สติเป็นความระลึกได้ สติเกิดจากถิรสัญญา คือจิตจำสภาวะได้แม่น จิตจำสภาวะได้แม่นถ้าเราหัดดูบ่อยๆ หัดรู้สึกบ่อยๆ ใจโกรธไปก็คอยรู้สึก ใจโลภก็คอยรู้สึก ใจฟุ้งซ่าน ใจหดหู่ คอยรู้สึกไปเรื่อยนะ รู้สึกไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งสติจะเกิด ตรงที่สติเกิดนี่ เวลาใจลอยไปนะ สติก็ระลึกได้เองว่า ใจลอยไปแล้ว เวลาโกรธขึ้นมา สติก็ระลึกได้ว่า โกรธไปแล้ว มันเป็นเอง หรือสติมันระลึกรู้ กำลังอาบน้ำถูสบู่อยู่นะ ระลึกปั๊บลงไป ระลึกถึงตัวรูป แต่เห็นเป็นท่อนๆ นะ เห็นเป็นท่อนๆ เป็นแท่งๆ เป็นแข็งๆ อ่อนๆ เป็นเย็นเป็นร้อน ไม่มีตัวมีตนอะไร

สติต้องเกิดเองจากการที่จิตจำสภาวะได้แม่น สติที่เจริญวิปัสสนาต้องเป็นสติที่รู้กายรู้ใจตัวเอง ถ้าไปรู้ของอื่นทำวิปัสสนาไม่ได้จริง เพราะวิปัสสนาทำไปเพื่อถอดถอนความเห็นผิดว่า กายนี้ใจนี้คือตัวเรา วิปัสสนาทำไปเพื่อให้เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรม มีแต่นามธรรม ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่ถาวรนั้นไม่มี วิปัสสนามุ่งมาตรงนี้ เพราะฉะนั้นวิปัสสนาต้องคอยรู้กายรู้ใจ อย่างบางคนไปเดินจงกรม เท้ากระทบพื้นนะ พื้นเย็นพื้นร้อน พื้นอ่อนพื้นแข็ง รู้หมดเลย รู้เรื่องพื้น ไม่มีใครเห็นพื้นเป็นตัวเราอยู่แล้ว มีใครเห็นพื้นเป็นตัวเรา ที่กำลังนั่งทับนี่ เรากำลังโดนนั่งทับ มีใครรู้สึกไหม มีแต่เราไปนั่งทับมันใช่ไหม

เรารู้สึกกายนี้ใจนี้คือตัวเรา เพราะฉะนั้นดูลงมาในกายในใจนี้ ตัวเราอยู่ที่ไหน ดูลงไปที่นั่น ความรู้สึกว่าตัวเราอยู่ที่ไหน รู้ลงไป ตัวเราอยู่ที่กาย รู้ลงที่กาย ตัวเราอยู่ในใจ นี่ รู้ลงไปที่ใจ ดูลงไปซิ จริงๆ มีตัวเราไหม กายกับใจที่เราจะใช้รู้ ก็ต้องกายกับใจในปัจจุบันด้วย ไม่ใช่กายกับใจในอดีต เพราะกายกับใจในอดีตไม่ได้มีจริง เป็นแค่ความจำ และก็ไม่ใช่กายกับใจในอนาคต กายในอนาคต ใจในอนาคตยังไม่มี เป็นแค่ความคิด ในอดีตก็เป็นแค่ความจำ อนาคตก็เป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริง ความจริงอยู่กับปัจจุบันต่อหน้าต่อตานี่

เพราะฉะนั้น พยายามอยู่กับปัจจุบันนะ รู้สึกกาย รู้สึกใจที่กำลังปรากฏในปัจจุบัน รู้ต้องรู้ตามความเป็นจริงของเขา ไม่ใช่รู้แล้วเข้าไปแทรกแซง พวกเราเวลารู้กายก็แทรกแซง รู้ใจก็แทรกแซง เช่น เวลาจะเดินตงกรม เราเคยเดินสบายๆ เดินทั้งวัน เดินทุกวันอยู่แล้ว เดินมาตั้งแต่เดินได้ จะว่าเดินแต่เกิดไม่ได้ใช่ไหม เพราะคนเกิดมามันยังไม่เดิน ไม่ใช่ลูกวัวลูกควาย ลูกวัวควายนะ ชั่วโมงสองชั่วโมงมันเดินได้แล้ว ลูกคนนี่นอน เอาตั้งแต่เดินได้นี่ เราก็เดินอยู่ทุกวันๆ แต่เราเดินไม่เป็น เดินแล้วไม่มีสติ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีสติ รู้ลงปัจจุบันไป ยืน เดิน นั่ง นอน รู้ลงปัจจุบัน เห็นกายเห็นใจที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน รู้ไปเรื่อยๆ ของจริงมันอยู่ตรงนี้ก็ดูจากของจริง ไม่ได้ดูจากความคิดความฝันในอนาคต หรือความจำในอดีต เอาของจริงมาดู ดูซิ เป็นตัวเราจริงไหมนี่ ถ้าไปคิดถึงตัวตนในอดีต นั่งนึกถึงหน้าตาของเราตอน ๓ ขวบ เห็นไหมคนนั้นไม่มีแล้ว นี่ ไม่เที่ยง อย่างนี้ไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาต้องเห็นตัวนี้อยู่ทนโท่ อยู่นี่เลยนี่ เห็นตัวนี้ล่ะ มันไม่ใช่ตัวเรา ถึงจะเป็นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นต้องดูลงปัจจุบัน

ดูตามความเป็นจริงด้วย มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันถูกบีบคั้นตลอดเวลา มันบังคับไม่ได้ หรือมันเป็นวัตถุ มันเป็นก้อนธาตุ ดูลงเป็นไตรลักษณ์ เรื่องนี้ก็พูดทุกครั้งที่เจอกัน ไปดูเอาเอง ไปฟังเอาเอง ถ้าเรารู้กายรู้ใจที่กำลังปรากฏในปัจจุบันนี่ ตามความเป็นจริงคือเป็นไตรลักษณ์ ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ใช่จะเดินจงกรมก็บังคับจิตให้นิ่ง จะนั่งสมาธิก็บังคับจิตให้นิ่ง หรือเดินจงกรมก็ต้องวางมาดใช่ไหม ต้องเดินท่านี้ จะนั่งก็ต้องวางมาด ต้องนั่งในสง่างาม ถึงจะเป็นนักปฏิบัติ นั่งท่านี้ปฏิบัติไม่ได้ ไม่ใช่เลยนะ อย่าเข้าใจผิด มันไม่ได้สำคัญอยู่ที่อิริยาบถอะไร กิริยาท่าทางอะไร มันสำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิต ในการที่ไปรู้กายรู้ใจต่างหาก ถ้าเรารู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงนะ ตีลังกาอยู่ก็ได้

ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพุธ เมื่อก่อนท่านเคยมาสอนที่นี่ หลวงพ่อพุธนี่แหละท่านสั่งไว้นะ ว่าอย่าทิ้งศาลาลุงชินนะ เราเลยต้องอดทนมาที่นี่นะ เพราะครูบาอาจารย์ท่านสั่งไว้ แต่ท่านไม่ได้บอกนะว่า ให้ไม่ทิ้งนานแค่ไหน (โยมหัวเราะ) นี่ดูไปนะ ดูลงความจริง ความจริงคือไตรลักษณ์ ดูกายดูใจ ดูเป็นไตรลักษณ์ ไม่ไปแทรกแซง ไม่ใช่เวลาจะเดินจงกรมก็ต้องวางมาด ค่อยๆ เดิน อะไรอย่างนี้ หรือจะนั่งสมาธิต้องวางฟอร์ม วางฟอร์มทางกายไม่พอ ต้องวางฟอร์มทางใจด้วย รู้สึกไหม ต้องทำใจให้ซึมก่อนถึงจะดี นึกออกไหม มันแกล้งทำทั้งหมดเลยนะ มันไม่ใช่การรู้ตามความเป็นจริง แต่มันเป็นการแกล้งทำ เพราะฉะนั้น อย่าไปดัดแปลงกาย อย่าไปดัดแปลงใจ เราต้องการรู้กายที่เป็นจริง รู้จิตใจที่เป็นจริง เราอย่าไปดัดแปลงเขา อย่าไปบังคับเขา อย่าไปแทรกแซง รู้กายรู้ใจอย่างที่มันกำลังเป็นอยู่จริงๆ นะ รู้ไป

ที่นี้การรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ลงปัจจุบันนี่ แค่นี้ยังไม่พอ จิตที่เป็นคนไปรู้ ต้องมีความตั่งมั่น และต้องมีความเป็นกลาง มี ๒ เงื่อนไข ต้องมีความตั้งมั่น ตั้งมันคือมีสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นไม่ใช่จิตที่ไหลไปหาอารมณ์ พวกเราที่ภาวนาล้มลุกคลุกคลานไม่เกิดมรรคผลนิพพานสักที เพราะอะไร เพราะว่าจิตไม่ตั้งมั่น ถึงมารู้กาย มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น มันจะเป็นการเพ่งกายเพ่งใจ จิตมันจะไหลไปเพ่งนิ่งๆ อยู่ที่กาย ไหลไปเพ่งอยู่ที่ใจ อย่างคนที่หัดอานาปานสติรู้ลมหายใจ สังเกตให้ดีเถอะ  เกือบร้อยละร้อยนะ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมที่แท้จริง เกือบร้อยละร้อยเลย จะไปเพ่งลมหายใจ จิตจะไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ คนที่ดูท้องพองยุบนะ เกือบร้อยละร้อย นี่พูดแบบเกรงใจที่สุดแล้วนะ เกือบร้อยละร้อย จิตจะไหลไปอยู่ที่ท้อง เวลาไปเดินจงกรมยกเท้า ย่างเท้า จิตก็ไหลไปอยู่ที่เท้า ไปรู้อิริยาบถ ๔ นะ ไปเพ่งมันทั้งตัวเลย ขยับมือ จิตก็ไปเพ่งอยู่ในมือ มันมีแต่เข้าไปเพ่ง จิตที่ไหลเข้าไปเพ่งตัวอารมณ์นี่ เป็นจิตที่ใช้ทำสมถกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน จิตที่เพ่งอารมณ์นี่ มีภาษาแขก ชื่อว่า อารัมณูปนิชฌาน การเพ่งตัวอารมณ์ เป็นสมถกรรมฐาน เพราะฉะนั้นที่พวกเราส่วนใหญ่ทำอยู่เป็นแค่สมถกรรมฐาน ใจไม่ตื่นจริงๆ หรอก

มีแม่ชีคนหนึ่ง โทรศัพท์มาหากรรมการวัดคนหนึ่ง คือ ชมพู เขามีเบอร์ของชมพูอยู่ เบอร์วัด เขามาเล่าให้ฟังบอกว่า แกเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักแห่งหนึ่ง แต่สำนักนี้ไม่ยอมให้ไปไหนมาไหนง่ายๆ ก็เลยต้องใช้วิธีแอบโทรมา แกเล่าว่า แต่เดิมแกก็สอนกรรมฐาน แกก็ภาวนาของแกไปด้วย แกเครียดมากเลย หลังแกแข็งเป็นก้อนหินอย่างนั้นเลย ทรมานมาก ต่อมาคนซึ่งไปเข้าคอร์สกับแกเอาหนังสือหลวงพ่อไป แกก็ไปขอดูนะ แล้วก็สนใจเขียนจดหมายมาขอหนังสือไป เอาไปอ่าน คงต้องแอบอ่าน ซีดีฟังไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เป็นอาจารย์นะ อ่านๆ ไป รู้สึก โอ้ เราทำผิด เราไปเพ่งอารมณ์ เราไม่ได้รู้ลักษณะความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ แกบอกพอแกรู้ตรงนี้ แกเห็นว่าจิตไปเพ่ง จิตก็คลายออก แกบอกว่าตอนนี้นะ แกมีความสุขขึ้นเยอะเลย การภาวนาของแกง่าย หลังแกก็ไม่แข็งเป็นก้อนแล้วนะ หน้าตาแกนี่คนมาบอกเลย แกหน้าใส หน้าตาแกผ่องใสผิดจากเดิม แต่เดิมเครียด ที่สำคัญนะ นี่เขียนเล่ามาอย่างละเอียดอีก แต่เดิมนะ ปีหนึ่ง ประจำเดือนมา ๒ ครั้งเอง เพราะเครียด ตั้งแต่มาภาวนาแนวหลวงพ่อปราโมทย์นะ ประจำเดือนมาตามกำหนด (โยมหัวเราะ) เออแน่ะ เราก็เพิ่งรู้นะ ว่าภาวนาแล้วประจำเดือนมาตามกำหนด เพราะอะไร เพราะไม่เครียด

พวกเราล่ะ ภาวนาจนกระทั่งเครียดนะ พิกลพิการไปเยอะแยะเลยนะ เพราะทำผิด ถ้าเข้าใจที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วจะไม่เครียดหรอก เราจะรู้กาย เห็นกายมันเป็นทุกข์ แต่ร่าเริงนะ เห็นจิตดีบ้าง ร้ายบ้าง เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวสงสัย เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวหดหู่ แต่เราร่าเริงที่ได้เห็นความแปรปรวนของมัน นี่ความประหลาดอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราจะมีความสุขนะ มีความสงบแต่ร่าเริง ไม่ใช่สงบแบบเซื่องๆ ซึมๆ ซังกะตาย หรือเครียดๆ แข็งๆ อันนั้นเป็นเพราะการเพ่งตัวอารมณ์ทั้งสิ้น ไม่ใช่การรู้ลักษณะของอารมณ์

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้นะ เราต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นมันเป็นแค่คนดู เราจะเห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นเวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นกุศล อกุศล โลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย อยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นจิตเกิดดับไปทางตา เกิดที่ตา ดับที่ตา เกิดที่หู ดับที่หู เกิดที่ใจ ดับที่ใจ นี่เห็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ อย่างนี้เรียกว่าเราเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นนะ มันจะเห็นความจริงอย่างนี้

การที่มันเห็นว่ากายก็อยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง มันได้แสดงปัญญาให้เราเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ตัวเรา กายนี้ไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารทั้งหลายที่เป็นกุศล อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา จิตก็เกิดดับไปทางทวารต่างๆ จิตก็ไม่ใช่ตัวเรา เห็นไหม มันจะมีปัญญาขึ้นมา ถ้าใจเราตั้งมั่นได้ เพราะฉะนั้นเงื่อนไขสำคัญว่าจะเกิดปัญญาหรือไม่นี่ อยู่ที่ว่าจิตตั้งมั่นหรือจิตเข้าไปตั้งแช่ในอารมณ์ ถ้าจิตเข้าไปตั้งแช่ในอารมณ์จะเป็นสมถะ อย่างบางคนเดินจงกรมแล้วเพ่งอยู่ที่เท้า ยกเท้า ย่างเท้า รู้หมดเลย แล้วก็ตัวลอย ตัวเบา ตัวโคลง ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางคนตัวลอย บางคนรู้สึกวูบวาบเหมือนฟ้าแลบ บางคนรู้สึกขนลุกขนพอง บางคนรู้สึกเหมือนแมลงมาไต่ร่างกาย นี่เป็นอาการของปิติทั้งสิ้นเลย เป็นเรื่องของสมถะ

ทำไมคิดว่าทำวิปัสสนาแล้วกลายเป็นสมถะ ก็เพราะจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นจะเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะว่าสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น จิตจะไหลไปอยู่ในอารมณ์แล้วไปแช่ ไปเพ่งตัวอารมณ์ เป็นสมถกรรมฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเพ่งอะไรก็เป็นสมถะทั้งหมด ถ้าจิตตั้งมั่นก็จะเดินวิปัสสนาได้ เห็นความเป็นจริง ทีนี้พอเห็นความจริงแล้วมาถึงตัวสุดท้ายใช่ไหม ทีแรกหลวงพ่อบอก “ให้มีสติรู้กายรู้ใจ ที่เป็นปัจจุบันตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น” ประโยคสุดท้าย “และเป็นกลาง”

เวลาที่เราไปเห็นสภาวะแล้วบางทีจิตก็ยินดีขึ้นมา บางทีจิตก็ยินร้ายขึ้นมา เช่น เราเห็นจิตใจของเรามีความสุข เราก็พอใจ หลายคนภาวนานะ ดูจิตดูใจ ดูไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งหยาบๆ ดับไป เกิดความปรุงแต่งละเอียด ที่เรียกว่า ความว่าง ขึ้นมา ความว่างๆ ที่เราภาวนาแล้วไปเห็นเข้านี่ เป็นแค่ความปรุงแต่งละเอียด ไม่ใช่นิพพานนะ นิพพานไม่ได้ว่างอนาถาแบบนั้น นิพพานไม่ได้ว่างแบบมีขอบ มีเขต มีจุด มีดวง มีวงแคบๆ อยู่ และว่างอยู่นิดๆ หน่อยๆ อย่างนั้น อันนั้นเรียกว่าช่องว่าง

เพราะฉะนั้นบางคนภาวนาจนใจว่างขึ้นมา พอใจว่างแล้ว ราคะเกิด พอใจในความว่าง พอใจในความนิ่ง ไม่ยอมเจริญปัญญาต่อ มีเยอะนะ ตอนนี้เริ่มมีเยอะขึ้น ภาวนาแล้วก็ใจสบาย มีความสุข พอมีความสุขแล้วพอใจแค่นี้แล้ว ไม่มารู้กาย ไม่มารู้ใจ จิตไม่สามารถทวนกระแสเข้ามารู้กายรู้ใจได้ ตัวนี้ที่หลวงพ่อพูดบ่อยๆ ว่า จิตไม่ถึงฐาน น่ะ จิตมันไหลตามอารมณ์ไปเพลินๆ ว่างๆ อยู่ข้างนอก นี่ รู้อย่างไม่เป็นกลาง รู้แล้วหลงยินดี บางทีเห็นกิเลสเกิดขึ้นก็เกลียดมันนะ หาทางต่อสู้ใหญ่เลย ทำอย่างไรจะเอาชนะกิเลส หรือเรานั่งสมาธิอยู่มันปวดมันเมื่อย ทำอย่างไรจะชนะความปวดความเมื่อย นี่คิดภาวนาเอาชนะนะ คิดภาวนาเอาชนะหรือคิดภาวนาแล้วท้อแท้ตามกิเลสไป นี่ก็คือความไม่เป็นกลางทั้งสิ้น ถ้าหากเรารู้ทันความไม่เป็นกลาง ให้รู้ทันนะ เช่น เราไปเห็นคนนี้ ใจเราชอบขึ้นมา เรารู้ทันว่าใจชอบ นี่ใจไม่เป็นกลางแล้ว ชอบขึ้นมา ต่อมาเรามีสติ รู้ทันว่าใจไปชอบเขา เราเกิดความไม่ชอบความชอบนี่ขึ้นมาอีกแล้ว นี่ไม่เป็นกลางอีกแล้ว เรารู้ทันว่าใจไม่ชอบ นี่รู้ความไม่เป็นกลาง แล้วมันจะเป็นกลางของมันเอง

ความเป็นกลางมีหลายระดับ อันนี้ก็เทศน์เรื่อยๆ นะ ความเป็นกลางด้วยสมถะก็มี ไปเพ่งเอาไว้แล้วมันก็เป็นกลาง เป็นกลางด้วยสติก็มี เป็นกลางด้วยปัญญาก็มี เป็นกลางด้วยสติคือพอไปรู้ทันความไม่เป็นกลาง ความไม่เป็นกลางดับไป อันนี้ก็ยังใช้ได้นะ แต่ว่าเป็นกลางที่แท้จริงจะเป็นกลางด้วยปัญญา คือเห็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นอนัตตา เห็นซ้ำไปซ้ำมานะ สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว โลภ โกรธ หลง ก็ชั่วคราว กุศลทั้งหลายก็ชั่วคราว พอเห็นอย่างนี้ใจจะเป็นกลางเอง อันนี้เป็นกลางด้วยปัญญา ความเป็นกลางด้วยปัญญานี่แหละ คือประตูของการบรรลุมรรคผลนิพพาน

เมื่อจิตเป็นกลางด้วยปัญญาแล้ว จิตจะหมดความดิ้นรน ถ้าจิตเป็นกลางด้วยวิธีอื่น จิตยังดิ้นรนเพื่อเข้าไปสู่วิธีนี้ จิตยังต้องดิ้นรนอีก เช่น เป็นกลางเพราะสมถะ วันไหนไม่เป็นกลาง ก็ต้องกลับไปทำสมถะเพื่อให้มันมาเป็นกลางอีก ถ้าเป็นกลางเพราะปัญญามันจะเลิกดิ้น มันจะรู้เลยว่าทุกอย่างในโลกนี้ของชั่วคราว ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา ใจมันเห็นอย่างนี้นะ ใจมันไม่ดิ้นแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในกายในใจ ร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตาย ใจก็ไม่ดิ้นรน จิตจะสุขหรือจิตจะทุกข์ จิตใจก็ไม่ดิ้นรน กระทั่งอกุศลเกิดขึ้น เช่น บางทีภาวนาแล้วมันมืดๆ มัวๆ ภาวนาแล้วมัว ดูไม่รู้เรื่องแล้ว นี่ ส่วนมากจะมาตายตอนนี้ก็มี พอดูไม่รู้เรื่องแล้วทุรนทุรายแล้วเห็นไหม อยากดูให้ชัด อยากรู้ให้ชัด นี่ใจไม่เป็นกลาง ถ้าดูไปแล้ววันนี้มันมัวๆ จิตมีแต่โมหะ มัวๆ รู้ว่ามีโมหะนะ อย่าไปเกลียดมัน รู้ด้วยความเป็นกลางซิ มันจะขาดสะบั้นต่อหน้าต่อตาเลย

เพราะฉะนั้นจำไว้นะ คีย์เวิร์ด (keyword) ทั้งหลาย ให้รู้กายรู้ใจ มีสติ สติที่แท้จริง รู้กายรู้ใจ ที่เป็นปัจจุบันด้วย ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต รู้ตามความเป็นจริง คืออย่าไปแทรกแซง อย่าไปบังคับเขา รู้ตามความเป็นจริง คือเป็นไตรลักษณ์ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ตั้งมั่นและก็เป็นกลาง ถ้าจิตไม่เป็นกลางให้รู้ทันว่าไม่เป็นกลาง นี่เป็นทางเดินที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเดินกันมา เป็นหลักในสติปัฏฐาน ในวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง หลวงพ่อเอามาพูดใหม่ ด้วยภาษาใหม่ๆ ให้คนรุ่นใหม่ๆ ฟัง

CD ศาลาลุงชิน ครั้งที่ 25

File: 511116.mp3

Time: 13m38 – 32m06

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 4 of 512345