Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

การปฏิบัติมี ๒ ขั้น คือ รู้ด้วยสติ กับ รู้ด้วยสติปัญญา

mp 3 (for download) : การปฏิบัติมี ๒ ขั้น คือ รู้ด้วยสติ กับ รู้ด้วยสติปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การปฏิบัตินั้นมันจะมี ๒ ขั้นนะ เมื่อเรารู้ตัวได้แล้วนะ มันมีขั้นแรก มันรู้ด้วยสติ ขั้นที่สอง รู้ด้วยสติปัญญา

ตัวปัญญาเนี่ยคือตัวความเข้าใจ สติเป็นตัวรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา งั้นตรงที่วิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นเนี่ย ต้องเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานะ เห็นกายเห็นใจนี้

งั้นอย่างสมมติว่า ความสุขเกิดขึ้นในใจ เรารู้ว่ามีความสุขเกิดขึ้น ถ้ารู้อยู่แค่นี้แล้วก็ลืมไปนะ ไปดูอันอื่น อย่างนี้เรียกว่ามีสติเฉยๆ ตรงที่รู้ทันว่ามีความโกรธเกิดขึ้น หรือมีความสุขเกิดขึ้น แต่ถ้าจะทำวิปัสสนานะ พออย่างความสุขเกิดขึ้น เราก็รู้ รู้แล้วอย่าหลงลืมไปที่อื่นซะ รู้ก็รู้สบายๆ จิตใจเรารู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ความสุขเกิดขึ้นเราจะเห็น ว่าความสุขกับจิตใจเป็นคนละอันกัน พอเห็นความสุขกับจิตใจเป็นคนละอันกัน เราจะเห็นเลย ความสุขค่อยๆ fade ไป ค่อยๆสลายตัวไป กลายเป็นอุเบกขา ความสุขหายไปแล้ว เออนี่ ความสุขเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วหายไปนะ ความสุขไม่เที่ยง นี่แหล่ะเรียกว่าปัญญา

แต่ไม่ใช่คิดเอานะ ถ้าดูซ้ำๆไปเรื่อย แล้วถึงวันนึงจิตมันจะปิ๊งขึ้นมาเอง ว่าโอ้ ทุกอย่างนี้มันไม่เที่ยง ความโกรธนี้มันไม่เที่ยง ความโลภมันไม่เที่ยง ความฟุ้งซ่านไม่เที่ยง ความหดหู่ไม่เที่ยง ความสุขไม่เที่ยง ความทุกข์ไม่เที่ยง

หรือดูไปเรื่อยไปเห็นเลย ว่าความสุขความทุกข์เราก็สั่งไม่ได้ สั่งให้จิตสุขก็สั่งไม่ได้นะ ห้ามจิตทุกข์ก็ห้ามไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเดินปัญญา คือเห็นความจริงเห็นว่าเป็นอนัตตา สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้

เนี่ยในขั้นเดินปัญญานี้ ต้องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกายของใจ ของรูปของนาม ถ้าลำพังเห็นรูปเห็นนามอยู่เฉยๆ เช่น เห็นความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ได้ดูหรอก ว่ามันเกิดได้ดับได้ มันมีเหตุมันเกิด หมดเหตุมันดับ บังคับไม่ได้ ไม่ได้เห็นอย่างนี้นะ

เห็นแค่ว่าความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็เลิกเลย ไม่สนใจมัน อย่างใครเคยมั้ย เวลาโกรธใครซักคนนะ เห็นความโกรธเกิดแว้บนึง แล้วก็เลิกดูนะ ไปดูคนที่ทำให้โกรธต่อแล้ว เห็นมั้ย อย่างนี้ไม่เป็นวิปัสสนานะ มีสติในขณะที่เห็นความโกรธเกิด แล้วก็ขาดสติต่อเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้

ถ้ามีสติแล้วมีใจเป็นคนดู มันจะเห็น ว่าความโกรธมันอยู่ต่างหาก จิตเป็นคนดูอยู่ต่างหาก นี่ แยกกัน แล้วก็ความโกรธเนี่ย มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ หรือเห็นว่าความโกรธเกิดได้ ก็ดับได้ เป็นไปเอง ไม่ต้องไปดับมัน มันดับของมันเอง อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าวิปัสสนานะ คือเข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ ของรูปธรรมนามธรรม

งั้นสติเป็นตัวรู้ทัน ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ สติเป็นตัวรู้ทัน ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่ะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๗
Track: ๑๑
File: 550929
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๑) จิตตั้งมั่นแล้วมาเจริญปัญญา

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๑) จิตตั้งมั่นแล้วมาเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือ พูดภาษาไทยง่ายๆ นะ คือ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา

พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมนะ จะเห็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้ลงในเวทนา จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่ตัวเรา ในขณะที่ใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ เรียกว่ามีสมาธิล่ะ แล้วก็สติเกิดระลึกรู้ เห็นเวทนาทางใจ ก็จะเห็นว่าเวทนาทางใจไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เห็นกุศลเห็นอกุศล จะเห็นว่ากุศลและอกุศลไม่ใช่เรา

ทีนี้ตัวผู้รู้เนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนกับทรงอยู่ แต่ถ้าทำแค่ขณิกสมาธิเนี่ย ตัวผู้รู้จะไม่อยู่นาน ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้คิด ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเลย ไม่รู้คิดเรื่องอะไร ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ตัวผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตนี้เองเกิดดับ ไม่เที่ยงด้วย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เท่าๆกับขันธ์อื่นๆนั่นเอง เนี่ยการเดินปัญญาทำอย่างนี้นะ รู้ลงไปในกาย  มีสติระลึกรู้กายที่กำลังปรากฏอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เนี่ยคือจิตที่มีสมาธิได้มาด้วยการทำฌาณก็ได้นะ ได้มาด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ แล้วรู้บ่อยๆ เนี่ย มันจะตั้งมั่นขึ้นเอง พวกเราใจไหลไปแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย ใจมันจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๔) ศีลเป็นปัจจัยให้ถึงนิพพาน

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๔) ศีลเป็นปัจจัยให้ถึงนิพพาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนที่มีศีลสมาธิเกิดง่าย ยกตัวอย่างนะ ถ้าใจเราไม่คิดฆ่าใคร ไม่คิดเบียดเบียนใครนะ ใจเราสงบง่าย ถ้าใจเราผิดศีลนะ คิดจะฆ่าเขา คิดจะทำลายเขา ใจไม่สงบๆ สมาธิก็เสื่อมสิ

คิดจะลักเขา ขโมยเขานะ ไปขโมยมาแล้วอะไรอย่างนี้ ก็วุ่นวายใจ กลัวเขาจับได้ จิตใจมันวุ่นวาย สมาธิก็เสื่อมสิ เป็นชู้เขา กลัวเขาฆ่า เคยเห็นในการ์ตูนมั้ย ชอบไปแอบในตู้เสื้อผ้า หรือไปปีนหน้าต่างหนี อะไรอย่างนี้นะ มีความสุขมั้ย ไม่มีความสุขนะ จิตใจไม่มีความสุข ก็ไม่มีความสงบจริงหรอกนะ ฟุ้งซ่าน

คนโกหกเขาก็ต้องจำเยอะ ใช่มั้ย คนโกหกเนี่ยนะ คิดอะไรไม่ค่อยเป็นแล้ว เพราะเอาเมมโมรี่นะไปใช้ในการจำข้อมูลเก่าๆที่ไปโกหกคนไว้ ใจก็ฟุ้งซ่านนะ โกหกคน พูดเท็จ ไม่สงบนะ กินเหล้าเมายา จิตใจไม่สงบ

เพราะฉะนั้นศีลจำเป็นมากนะ ถ้ามีศีลนะ สมาธิเกิดง่าย มีสมาธิเกิดง่ายปัญญาก็เกิดง่าย เพราะฉะนั้นศีลนี้แหละเป็นปัจจัยให้ไปนิพพานได้ เพราะมันเกื้อกูลให้มีสมาธิ มีสมาธิเกื้อกูลให้เกิดปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๒ นาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สรุปแนวทางการปฎิบัติธรรม

mp 3 (for download) : สรุปแนวทางปฎิบัติธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือศีล คือสมาธิ คือปัญญา

การจะฝึกให้มีศีล ตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศล ทางกายทางวาจาไว้ก่อน เบื้องต้นตั้งใจงดเว้นไว้ก่อนนะ เพื่อจะได้ศีล ศีล ๕ ศีล ๘ อะไรพวกนี้ ต่อมามีสติให้มาก รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิต ถ้าเรามีสติรู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตได้นะ ศีล ๑ จะเกิดขึ้น คือศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้นเลย เพราะถ้าคนทำผิดศีลได้ เพราะกิเลสมันครอบงำจิต แต่ถ้ากิเลสเกิดขึ้นที่จิต เรามีสติรู้ทัน กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ เราจะทำผิดศีลไม่ได้โดยอัตโนมัติเลย การรักษาศีลจะเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่ศีล ๕ อีกต่อไปแล้ว จะรักษาจิตอันเดียวนั่นเอง ไม่ให้กิเลสย้อมได้นะ ไม่ผิดศีลหรอกกี่สิบข้อ มันก็ไม่ผิดหรอก

ถัดไปก็มาเรียนเรื่องจิตของตนเองนะ ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข จะได้ความสงบ ถ้าจิตรู้ทันจิตที่ไหลไป จะได้จิตที่ตั้งมั่น นี่ ฝึกมาจนกระทั่งเราถึงเวลาเค้าให้มีจิตตั้งมั่น วันไหนไม่มีเรี่ยวมีแรง ก็ฝึกให้จิตสงบ แต่ทางที่ดีทุกวันก็แบ่งเวลาชาร์ตแบ็ตนิดนึง หรือทำจิตให้สงบบ้าง แล้วก็มาฝึกให้จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้วเจริญปัญญา

วิธีเจริญปัญญาก็คือ อาศัยสตินี่แหล่ะ รู้รูป รู้นาม รู้กาย รู้ใจ รู้สภาวะแต่ละตัวๆนั่นแหล่ะ รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง ทีแรกจิตตั้งมั่นขึ้นมาแล้วนะ เราไปเห็นสภาวะเช่น เห็นความโลภเกิดขึ้น จิตยังไม่เป็นกลาง ตั้งมั่นนะ เห็นความโลภอยู่ห่างๆ จิตอยู่ส่วนจิต แต่จิตยังเกลียดความโลภ จิตไม่เป็นกลาง ให้รู้ทันจิตที่ไม่เป็นกลาง จิตจะเป็นกลางขึ้นมา พอความดีเกิดขึ้น เห็นความดีอยู่ห่างๆ จิตอยู่ต่างหาก จิตกับความดีแยกออกจากกัน

แล้วจิตมันเกิดยินดีในความดี ให้รู้ทันความยินดีที่เกิดขึ้น ความยินดีจะดับ จิตจะเป็นกลาง เวลาสุขเกิดขึ้นนะ ให้รู้ทัน เห็นสุขอยู่ห่างๆ สุขกับจิตนั้นเป็นคนละอันกัน พอมีความสุขเกิดขึ้น จิตมันยินดีขึ้นมาให้รู้ทัน พอมีความทุกข์เกิดขึ้น จิตยินร้ายขึ้นมาให้รู้ทัน การที่เรารู้ทันสภาวะ นี่เป็นจุดที่หนึ่ง อันที่สองเมื่อรู้ทันสภาวะแล้ว รู้ทันจิต ถ้าจิตมีความยินดีให้รู้ทัน จิตมีความยินร้ายให้รู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้วจิตจะเข้าสู่ความเป็นกลาง

มันจะเข้ามาสู่ประโยคที่หลวงพ่อบอก ให้มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นจะไม่เห็นความจริงของกายของใจ คือไม่เห็นไตรลักษณ์ เพราะงั้นถ้าพูดสั้นที่สุดเลยก็คือ ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง แค่นี้แหล่ะคือคำว่าวิปัสสนา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดรา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่  ๑๒ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๐๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ให้เรียนรู้ของที่แปรปรวน เพื่อวันหนึ่งจะพบสิ่งที่ไม่แปรปรวน

mp 3 (for download) : ให้เรียนรู้ของที่แปรปรวน เพื่อวันหนึ่งจะพบสิ่งที่ไม่แปรปรวน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เอื้อเฟื้อภาพโดย คุณ ตากล้อง ข้างธรรมาสน์

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นเฝ้ารู้นะ การเจริญปัญญาเนี่ย ก็คือการที่คอยรู้สภาวะทั้งหลาย ที่เป็นรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย จะเป็นร่างกายนี้ เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า เห็นร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนอน ร่างกายคู้ ร่างกายเหยียด ร่างกายกินอาหาร ร่างกายขับถ่าย เห็นร่างกายมันทำงานไป มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์บีบคั้น ร่างกายเป็นแค่วัตถุธาตุ ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา นี่เดินปัญญาดูกาย

เดินปัญญาดูจิตดูใจ ก็เห็นเลยสุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง กุศลก็ไม่เที่ยงอกุศลก็ไม่เที่ยง ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวเป็นจิตดู เดี๋ยวเป็นจิตฟัง เดี๋ยวเป็นจิตคิด เห็นแต่ของที่แปรปรวนตลอดเวลา ให้เราเรียนรู้ของที่แปรปรวนนะ แล้ววันนึงเราจะพบสิ่งซึ่งไม่แปรปรวน คือพระนิพพาน

วันใดที่จิตปล่อยวางความยึดถือในรูปธรรมนามธรรมนะ นิพพานจะปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่  ๒๑ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

mp 3 (for download) : สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เอื้อเฟื้อภาพโดย ชมรมสารธรรมล้านนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นจะเป็นพระโสดาฯก็ดี เป็นพระอรหันต์ก็ดี อยู่ที่การเจริญปัญญา มาเรียนรู้สภาวะที่เกิดดับ จะเป็นสภาวะของรูปธรรมก็ได้ สภาวะของนามธรรมก็ได้ เพราะทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็แสดงสิ่งเดียวกัน จะเป็นสภาวะของความสุขก็ได้ จะเป็นสภาวะของความทุกข์ก็ได้ เพราะความสุขและความทุกข์ก็แสดงลักษณะอันเดียวกัน คือ แสดงสามัญลักษณะเหมือนๆกัน จะเป็นกุศลก็ได้ จะเป็นอกุศลก็ได้ เพราะกุศลและอกุศลก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนกัน สามัญลักษณะเหมือนกัน

ใจมันจะเกิดความเป็นกลางขึ้น มันจะเห็นเลย สุขก็เท่านั้นแหละ ทุกข์ก็เท่านั้นแหละ กุศลก็เท่านั้นแหละ อกุศลก็เท่านั้นแหละ ร่างกายนี้ก็เท่านั้นแหละ ใจจะหมดความยินดี หมดความยินร้าย ถ้าจิตเราไม่ได้ฝึกสติปัญญาให้พอนะ มีความสุขขึ้นมาก็ยินดี มีความทุกข์ขึ้นมาก็ยินร้าย มีกุศลขึ้นมาก็ยินดี มีอกุศลขึ้นมาก็ยินร้าย

แต่ถ้าเห็นว่าความสุขก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินดีในความสุข เห็นความทุกข์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินร้ายในความทุกข์ เห็นกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นะ ก็หมดความยินดีในกุศล เห็นอกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยินร้ายในอกุศล จิตเข้าไปสู่ความเป็นกลาง กลางระหว่างสุขกับทุกข์ กลางระหว่างกุศลกับอกุศล

แต่เราจะทำชั่วไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ บางคนได้ยินแค่นี้ก็คิดเอาเอง เมื่อมันเป็นกลางแล้วดีกับชั่วเท่าเทียมกัน ก็ทำชั่วได้ ที่จริงทำชั่วไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเราฝึกมา มีศีลมาก่อน เรามีศีลมาก่อนแล้ว เรามีสมาธิชนิดมีจิตตั้งมั่น แค่จิตมีสมาธิมันก็ข่มกิเลสยับเยินไปแล้ว นะ จนมาเห็น มีปัญญาแล้วเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไร้สาระ คนเรามีกิเลส กิเลสย้อมตัวเองได้ ฮึ..มันมีตัวมีตนนะ มันยึดถือในตัวในตน ตัวตนไม่มี กิเลสจะไปย้อมแมวที่ไหน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่  ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ที่ดูจิต ก็เพื่อให้จิตเห็นว่าทุกอย่างล้วนตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์

mp 3 (for download) : ที่ดูจิต ก็เพื่อให้จิตเห็นว่าทุกอย่างล้วนตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกุศล หรือความสุข หรือความทุกข์ หรือร่างกาย ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นตัวร่วมของทุกส่ิงทุกอย่าง การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น เราจะเรียนสภาวะแต่ละตัวๆ

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักลักษณะเฉพาะก่อน จนกระทั่งเราเห็นเลยว่า ความโลภเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็จะเห็นว่าความโลภที่เกิดขึ้น มีอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ ต่อมีความไม่โลภเกิดขึ้น ความไม่โลภมีอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ ความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธมีอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ จิตกลายเป็นจิตไม่โกรธ จิตไม่โกรธอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ อาจจะกลายเป็นจิตหลง หรือเป็นจิตโลภ หรืออาจเป็นจิตโกรธครั้งใหม่ก็ได้

การที่เราเห็นสภาวะแต่ละตัวๆ เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ทำไป ถึงวันหนึ่งจิตมันจะสรุปขึ้นมาได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
เราเรียนทีละอันๆ ทุกปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น สอนไตรลักษณ์ สอนเรื่องเดียวกันทั้งสิ้นเลย
วันหนึ่งจิตเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตจะหมดความเห็นผิดว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวตนถาวร ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนถาวรเลย สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ นี่คือภูมิธรรมของพระโสดาบันที่เห็นว่าสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา

ต่อไปก็ดูสภาวะแต่ละตัวๆต่อไปอีก ต้องดูเป็นตัวๆไป จะมาดูทั้งกลุ่ม ดูขันธ์ ๕ ดูทั้งก้อนนี้ จะไม่เห็นเกิดดับ เพราะมันรวมกันอยู่ มันช่วยกันอยู่ มันหนุน มันเสริม มันหลอกลวงกันอยู่ สัญญามันเข้าไปหลอกอยู่ แต่ถ้าสภาวะแยกออกเป็นตัวๆไปแล้วนี่นะ แต่ละตัวแสดงไตรลักษณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูไปนาน.. จิตสรุปได้เลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมดเลย

ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ในเบื้องต้นก็จะรู้ว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับหมด ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตนถาวร เป็นพระโสดาบัน ก็ดูทุกสิ่งทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์ต่อไป

ในที่สุดก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างหาสาระแก่นสารไม่ได้ บางท่านเห็นว่ามันเป็นทุกข์คือมันไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย มันเป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง บางท่านมองเห็นว่ามันเป็นทุกข์เพราะมันถูกบีบคั้น บางท่านมองเห็นว่ามันเป็นทุกข์เพราะว่ามันบังคับไม่ได้ เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้

การที่จะเห็นความจริงของธาตุของขันธ์นะว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถึงจุดหนึ่งแล้วจิตจะปล่อยวางความยึดถือในธาตุในขันธ์ ก็บรรลุพระอรหันต์กันตรงนี้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่  ๓๔ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๔/๖) : เจริญปัญญาได้ต้องเรียนเรื่องจิตมาก่อน

mp 3 (for download) : สมาธิเพื่อการเจริญปัญญา (๔/๖) : เจริญปัญญาได้ต้องเรียนเรื่องจิตมาก่อน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: บางคนบอก แอนตี้การดูจิต นี้โง่ที่สุดเลย เพราะบทเรียนของพระพุทธเจ้านะ บทเรียนที่ ๑ ชื่อ สีลสิกขา บทเรียนที่ ๒ ชื่อ จิตตสิกขา ถ้าเรียนเรื่องจิตแล้วเราจะได้จิตที่ตั้งมั่น เพื่อจะเอาไปใช้ในบทเรียนที่ ๓ คือปัญญาสิกขา

บางทีพูดมักง่ายว่า ศีล สมาธิ ปัญญา (ความจริงแล้ว)ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเป็นผล เหตุของศีลคือ สีลสิกขา เหตุของสมาธิคือ จิตตสิกขา เรียนเรื่องจิต เหตุของปัญญาก็มี ปัญญาสิกขา เจริญปัญญา รู้วิธีเจริญปัญญาแล้วลงมือเจริญปัญญา ก็จะได้ปัญญามา

บางทีไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล พูดแล้วก็มั่วๆ ไปคิดว่าต้องไปนั่งสมาธิ เพื่อจะได้มี ศีล สมาธิ ปัญญา หารู้ไม่ว่า สมาธิได้มาจากการเรียนเรื่องจิต จิตตสิกขานั่นแหละทำให้เราได้สมาธิสองชนิด เรารู้เลยว่าถ้าจิตเราสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เราได้สมาธิชนิดพักผ่อน เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน ถ้าจิตของเราตั้งมั่น รู้ตื่นเบิกบานอันเนื่องมาจากเรารู้ทันจิตที่ไหลไป เราจะได้สมาธิอีกชนิดหนึ่งที่เอาไว้เดินปัญญาชื่อ ลักขณูปนิชฌาน

เพราะฉะนั้นการเรียนเรื่องจิตนี่แหละ จะทำให้เราได้สมาธิ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่  ๓๕ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๐๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บุญใดประกอบด้วยปัญญาเป็นบุญใหญ่

mp 3 (for download) : บุญใดประกอบด้วยปัญญาเป็นบุญใหญ่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางคนมาชวนหลวงพ่อไปอินเดียนะ เราก็ขี้เกียจไป เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่อินเดีย แต่ไปได้ก็ดี ถ้าอินทรีย์เราไม่แข็งนะ การได้ไปไหว้สังเวชนียสถาน ที่ๆควรสังเวชที่ๆพึงสังเวช สังเวชนียสถานไม่ไช่แปลว่าที่ๆต้องไปกราบไหว้นะ เป็นที่ๆพึงสังเวช สังเวชใจ

เมื่อเราไปถึงที่นี้พระพุทธเจ้าเคยประสูติ ที่นี้ตรัสรู้ ที่นี้แสดงปฐมเทศนา ที่นี้ปรินิพพาน แล้วไปสังเวชยังไง สังเวชว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าดำรงพระชนม์อยู่ เสร็จแล้วท่านก็แสดงธรรมะให้เราดู คือมีแล้วก็หายไป ธาตุขันธ์ของท่านหายไปแล้ว ใจเราก็จะต้องระลึกดู ขนาดพระพุทธเจ้ามีคุณธรรมสูงขนาดนั้น บริสุทธิ์หมดจดขนาดนั้น ท่านยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เลย เราเองวันนึงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใจก็น้อมกลับเข้ามาพิจารณาธรรมะ ไปเพื่อให้เห็นธรรมะ ไม่ใช่ไปไหว้เอาบุญ

ถ้าอยากได้บุญก็ต้องประกอบด้วยปัญญา เดินทางไปไหว้สังเวชนียสถานลำบาก ถามว่าได้บุญมั้ย ได้บุญที่ขวนขวายไป แต่ถ้าได้ปัญญาด้วย ไปแล้วมีความสังเวชใจ เพราะได้เห็นความจริงของชีวิต ชีวิตทั้งหลายเมื่อมีขึ้นมาแล้วก็แตกดับไป แม้เราเองวันหนึ่งข้างหน้าก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าใจสังเวชในธรรมะนี้ขึ้นมาด้วยปัญญา บุญใดประกอบด้วยปัญญาเป็นบุญใหญ่ บุญใดไม่ประกอบด้วยปัญญาเป็นบุญเล็กน้อย

งั้นถ้าไปไหว้ๆแล้วกะว่าจะขึ้นสวรรค์ ก็ขึ้นเหมือนกันนะแต่สวรรค์ต้นๆหน่อย ถ้าไปไหว้แล้วเกิดปัญญา อาจจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะนิพพานไปก่อน นี้ถ้าเรายังไม่มีโอกาสไปนะ เราก็มาปฏิบัติเอา เราก็อยู่ใกล้พระพุทธเจ้าเหมือนกัน สิ่งใดที่ท่านห้ามเราก็ไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำเราก็ทำ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๑๐
File: 550505.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

mp 3 (for download) : เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มาเรียนเรื่องรูปธรรมนามธรรมของตัวเอง เรียนจนมันเห็นความจริง มันไม่มีตัวเรา จริงๆมันไม่มีตัวเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อาศัยจิตวิปลาส จิตวิปลาสคือคิดผิด สัญญาวิปลาสคือหมายผิด ทิฎฐิวิปลาสคือ(ความ)เห็นผิด ค่อยๆสะสมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เกิดความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนขึ้นมา มันมาจากคิดผิดก่อน หมายรู้ผิดๆ คิดผิด ก็เลยรู้สึกสำนึกผิดๆ เห็นผิด มันสะสมความเห็นผิดมาตลอดในสังสารวัฏฏ์นี้ เพราะฉะนั้นความเห็นผิดนี้แหละ เป็นกิเลสที่ร้ายที่สุดเลย ความเห็นผิดนี้ชื่อว่า “อวิชา”

ค่อยๆฝึก มีศีลขึ้นมานะ สู้กิเลสหยาบๆได้ ที่ทำให้พฤติกรรมทางกายทางวาจาไม่เรียบร้อย มีสมาธิขึ้นมานะ สู้กิเลสอย่างกลาง คือพวกนิวรณ์ทั้งหลายที่ทำให้จิตไม่เรียบร้อย มีปัญญาสู้กับความโง่ ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด เป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราฝึก สิ่งที่ได้คือหายโง่

ไม่ใช่ว่าฝึกแล้วได้อะไรมา ไม่ได้ฝึกแล้วเสียอะไรไป ไม่ใช่ว่าฝึกไปสำเร็จนะ แล้วเสียขันธ์ ๕ ไป เราไม่ได้เสียขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ได้ฝึกแล้วได้มรรคผลนิพพานมา ได้ครอบครองพระนิพพาน เป็นเจ้าของพระนิพพาน ฝึกแล้วไม่ได้อะไรมาไม่เสียอะไรไป ได้ความรู้ความเข้าใจ เสียความโง่ไป

เพราะฉะนั้นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาจริงๆคือตัวสัมมาทิฎฐิเท่านั้นเอง ความเห็นถูก ถ้ามีความเห็นถูกนะ ก็คิดถูก หมายถูก มันไม่ยากอะไรหรอกนะ ทุกวันนี้จมอยู่ในความทุกข์ก็เพราะคิดผิด หมายผิด เห็นผิด มาเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ให้มาก ถ้าไม่มีการเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ ของอายตนะ ของกายของใจ ของรูปของนาม อะไรพวกนี้นะ ยังไม่ได้ชื่อว่าเจริญปัญญาเลย

ถ้าไม่ได้เจริญปัญญาจะล้างความเห็นผิดไม่ได้ ปัญญาเป็นตัวล้างความเห็นผิด ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิทำให้จิตใจเรียบร้อย ปัญญาทำลายความเห็นผิด ทำให้เกิดความเห็นถูก

เพราะฉะนั้นถ้าใครเขาถามเรานะ อะไรเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนานะ ตอบไปอย่างองอาจกล้าหาญเลยนะ สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐินั้นแหละคือพระพุทธศาสนา เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๐
File: 550127.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาเอาแต่เจริญปัญญาอย่างเดียวไม่ได้ ศีลสมาธิต้องถึงพร้อมด้วย

mp3 (for download) : ภาวนาเอาแต่เจริญปัญญาอย่างเดียวไม่ได้ ศีลสมาธิต้องถึงพร้อมด้วย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าให้แนวทางพวกเราไว้แล้ว การปฏิบัติต้องปฏิบัติให้ครบ จะเอาแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่ได้ เอาศีลอย่างเดียวไม่ได้ เอาสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ เอาสองอย่างก็ไม่ได้ เอาศีลกับสมาธิแล้วหวังว่าจะบรรลุมรรคผลก็ไม่ได้ จะเอาสมาธิกับปัญญา ๒ อย่างแล้วจะบรรลุมรรคผลก็ไม่ได้ ต้องถึงพร้อม พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าต้องให้ถึงพร้อม ทำกุศลให้ถึงพร้อม

พวกเราจำโอวาทปาฏิโมกข์ได้มั้ย ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ฟังแล้วมีงาน ๓ อย่าง แต่ทั้ง ๓ อย่างนะมันงานเดียวกัน อะไรที่เป็นตัวบาปตัวอกุศล ราคะโทสะโมหะ ให้ขจัดพวกนี้ไปให้หมด ทำกุศลให้ถึงพร้อม อะไรเป็นตัวกุศล อโลภะอโทสะอโมหะเป็นตัวกุศล ตัวอกุศลก็โลภะโทสะโมหะ ตัวกุศล อโลภะอโทสะอโมหะ คำว่ากุศล

เพราะงั้นถ้าเมื่อไหร่ละชั่วนะ มันก็ดีของมันเองแหล่ะ อัตโนมัติเลย มันเป็นงานเดียวกันนั่นแหล่ะ แล้วถ้าเราสามารถเข้าถึงอโลภะอโทสะอโมหะได้ จิตก็ผ่องแผ้วแล้ว เพราะนั้นที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องแผ้ว เอาเข้าจริงก็งานเดียวกัน งานล้างกิเลสออกจากใจเรา กิเลสออกจากใจเรามันก็ดีแล้ว ดีแล้วมันก็ผ่องแผ้วขึ้นมา นี่เครื่องมือในการล้างกิเลสนะ คือศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่อันใดอันหนึ่งหรอก

เหมือนอย่างเป็นหมอนะ ไม่ใช่มีแต่เข็มฉีดยาอันเดียวแล้วรักษาได้ทุกโรค ทำไม่ได้ มีมีดผ่าตัดอยู่เล่มเดียวรักษาทุกโรคก็ทำไม่ได้ ต้องมีเครื่องมือนานาชนิดรักษาโรค เป็นหมอมีเครื่องมือหลายอย่าง คนไข้อาการแบบนี้ก็ใช้เครื่องมืออย่างนี้ อาการหนักมากแล้วรถชนมากะรุ่งกะริ่ง ตัด เอาเลื่อยตัดเอาอะไรตัด

กิเลสเนี่ยเหมือนกันนะ กิเลสอย่างหยาบสู้ด้วยศีล กิเลสอย่างกลางใช้สมาธิเอา กิเลสอย่างละเอียดต้องใช้ปัญญาสู้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 550122
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รักษาศีลให้ดี ให้รักษาที่จิต

mp3 (for download) : รักษาศีลให้ดี ให้รักษาที่จิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์​ : วิธีที่จะทำใจของเราให้เป็นพระนะ พัฒนาศีลสมาธิปัญญาขึ้นมาให้ได้ การจะรักษาศีลได้ดีต้องรักษาที่จิต รักษาที่ปากที่มือที่เท้ารักษายาก ที่มือที่เท้ายังง่ายนะ รักษาที่ปากนี่ยากที่สุดเลย เราผิดศีลง่ายที่สุดเลยเรื่องข้อ ๔ โดยเฉพาะพูดเพ้อเจ้อ มันไม่ถึงกับศีลขาดทีเดียวนะ แต่มันด่างพร้อย ศีลไม่งามไม่หมดจด พูดเพ้อเจ้อคือพูดโดยไม่จำเป็นต้องพูด ในความเป็นจริงทุกคราวที่เราพูดนะเราใช้พลังงานนะ ใช้พลังของจิต งั้นถ้าใครจะฝึกจิตให้เข้มแข็งนะก็พูดน้อยๆ ฝึกจิตให้มีพลัง

นี้การที่เราจะรักษาศีลได้ดีเราต้องรักษาที่จิต คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสครอบงำจิต มีเท่านี้เอง ถ้ากิเลสไม่ครอบงำจิตเนี่ยไม่ทำผิดศีล ราคะโทสะโมหะครอบงำขึ้นมาก็ผิดศีล ๕ ได้ เรามีสติ เวลากิเลสอะไรเกิดที่จิตเรารู้ทัน กิเลสเกิดขึ้นที่จิตเรารู้ทันบ่อยๆ กิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เป็นกฎของธรรมะเลย เมื่อไรมีสติเมื่อนั้นไม่มีกิเลส เมื่อไรมีกิเลสเมื่อนั้นไม่มีสติ นี่เป็นกฎของธรรมะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
อ. ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕

CD: พระธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550331
ระหว่างนาทีที่  ๔ วินาทีที่ ๔๗ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สติสำคัญมาก ขาดสติก็ขาดศีล ขาดสมาธิ ขาดปัญญา

mp3 (for download) : สติสำคัญมาก ขาดสติก็ขาดศีล ขาดสมาธิ ขาดปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่ทั้งหมดนะ ศีล สมาธิ ปัญญา รากเหง้าตัวสำคัญเลยที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสติ เมื่อไหร่ขาดสติเมื่อนั้นขาดศีล เมื่อไหร่ขาดสติก็ขาดสมาธิ ขาดสติก็ขาดปัญญา งั้นเราต้องมาพัฒนาสติให้ดี

หลังๆคนลืมเรื่องสติไปพูดแต่เรื่องสมาธิ คิดว่าต้องทำสมาธิมากๆ ทำสมาธิแล้วขาดสติเป็นมิจฉาสมาธิ รักษาศีลไม่มีสติศีลก็กะพร่องกะแพร่งรักษาไม่ได้จริง ไปรักษาศีลด้วยกายด้วยวาจาไม่ได้รักษาที่ใจ สติเป็นเครื่องมือรักษา หน้าที่ของสติคืออารักขา ในตำราบอกไว้ชัดเลย สติมีหน้าที่อารักขาคุ้มครอง คุ้มครองจิตนั่นเองไม่ให้ตกไปสู่ที่ชั่ว คุ้มครองรักษาให้มันพัฒนาไปสู่คุณงามความดี งั้นตัวสำคัญมากนะที่จะเป็นแกนกลางของการปฏิบัติคือความมีสตินั่นเอง

เราต้องมีสติฝึกให้มาก สติเป็นเครื่องระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ ระลึกรู้ธาตุ ระลึกรู้ขันธ์ ระลึกรู้อายตนะ ระลึกรู้ธาตุอย่างเมื่อวานหลวงพ่อสอนเรื่องธาตุ รู้อินทรีย์ รู้ปฏิจจสมุปบาท รู้อริยสัจ ฟังว่ารู้เยอะแยะแต่ย่อลงมาแล้วก็คือรู้รูปกับนาม สติเป็นเครื่องมือรู้ทันรูปนามที่มีอยู่ที่ปรากฎอยู่ งั้นเรามาฝึกสติอยู่เฉยๆสติไม่เกิดหรอก สติเกิดจากจิตจำสภาวะได้แม่น มาหัดดูสภาวะบ่อยๆแล้วสติจะเกิด ไม่ใช่นั่งสมาธิมากๆแล้วสติเกิดนะ คนละเรื่องกันเลย สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ การที่จิตจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ เหตุกับผลต้องตรงกัน

เบื้องต้นก่อนที่เราจะไปพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เราต้องพัฒนาสติก่อน ขาดสติก็ขาดศีล ขาดสติก็ขาดสมาธิ ขาดสติก็ขาดปัญญา สติจะเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก จิตทุกดวงที่เป็นกุศลต้องประกอบด้วยสติเสมอเลย จิตที่ปราศจากสติไม่เป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลไม่ว่าจะเป็นกุศลอยู่ในโลกธรรมดาอย่างของเรานี่ หรือกุศลในรูปภพอรูปภพก็ตาม ต้องมีสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 550122
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๖ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อยตามธรรมชาติของแต่ละคน

mp 3 (for download) : ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อยตามธรรมชาติของแต่ละคน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ทันกิเลสไปเรื่อยๆ ทีแรกก็จะได้ศีลได้สมาธินะ แล้วค่อยได้ปัญญา ต่อไปค่อยๆฝึกนะ ปัญญาเป็นตัวความเข้าใจ ถ้าเรามีศีลนะ กายวาจาของเราจะเรียบร้อย ยกเว้นแต่จะมีวาสนาในทางกระโดกกระเดก ถ้ามีวาสนาทางกระโดกกระเดกนะ ถึงมีศีล กายวาจามันก็กระโดกกระเดก เป็นธรรมชาติอย่างนั้นนะ

อย่างพระอรหันต์บางองค์ไม่เรียบร้อยหรอก ไม่ได้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ องค์หนึ่งที่เป็นตัวอย่างก็คือพระสารีบุตร พระอรหันต์เบอร์หนึ่งเลย นัมเบอร์วัน นัมเบอร์วันเองเป็นคนวึบวับๆ คล่องแคล่วว่องไวมากเลย ยกตัวอย่างเดินไปเจอท้องร่อง กระโดด ไม่ไปยืนพิจารณา “ท้องร่องหนอ” “ท้องร่องหนอ” สามทีแล้วก็ “อยากข้ามหนอ” “อยากข้ามหนอ” แล้วโอ้ย.. ไปฉันเพลไม่ทันหรอก อย่างนั้นน่ะ นิมนต์ไปฉัน ฉันไม่ทันหรอกนะ เจอท้องร่อง ท่านกระโดดข้ามเลยนะ

หรือวันหนึ่งท่านจะไปลาพระพุทธเจ้า จะออกไป จาริกไปต่างเมือง เป็นธรรมเนียมเวลาพระโมคคลา-สารีบุตร จะออกเดินทางไกล พระพุทธเจ้าท่านจะให้พระไปส่ง ไปลา เผื่อท่านจะให้ธรรมะเด็ดๆ ท่านมักจะแจกการบ้านก่อนที่ท่านจะไป อะไรอย่างนี้

พระสารีบุตรนะ เห็นว่ามีพระมาหลายองค์ เยอะแยะนะ ท่านก็ทักองค์นั้นองค์นี้นะ พาดสังฆาฏิไว้นะ หมุนตัวไป หมุนตัวมา ชายสังฆาฏิของท่านไปกระทบเอาพระองค์หนึ่งเข้า พระองค์นั้นเป็นพระเซลฟ์จัด ท่านคิดว่าพระสารีบุตรต้องคุยกับท่านบ้าง ปรากฎว่าพระสารีบุตรไม่ได้คุยด้วย เพราะพระที่ท่านต้องคุยด้วยนี้เยอะ แต่องค์นี้ท่านก็ถือว่าท่านมีชื่อเสียง แต่ว่าจริงๆมีกิเลส ชายสังฆาฎิไปถูกท่านนะ ท่านรีบกลับมาฟ้องพระพุทธเจ้าเลย “พระสารีบุตรประหารข้าพระองค์” ประหารเนี่ย ภาษาแขกแปลว่า “ตี” ถือตัวว่าเป็นอัครสาวก ข้าพระองค์ไปส่งดีๆกลับมาตีข้าพระองค์ ประหารข้าพระองค์

พระพุทธเจ้ารู้ว่าไม่จริงหรอก แต่ว่าสอบสวนให้เสียหน่อย จะได้ให้สังคมรู้นะ ไม่งั้นจะเที่ยวพูดไปเรื่อยว่าพระสารีบุตรตีเอา เรียกพระสารีบุตรกลับมาสอบสวนนะ พระสารีบุตรท่านบอกเลย จิตท่านมันเหมือนแผ่นดินนะ จิตเหมือนน้ำ เหมือนลม เหมือนไฟ นะ เป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้มีราคะ ไม่ได้มีโทสะ ไม่มีเจตนาจะทำร้ายอะไร ตัวท่านก็ไม่ได้ถือว่าท่านเป็น เอตทัคคะ เป็นอัครสาวก อะไรอย่างนี้ ไม่ได้ถือตัวอย่างนั้น มีความรู้สึกนะ ไปไหนมาไหนมีความรู้สึกอ่อนน้อม อ่อนโยน เหมือนตนเองเป็นจัณฑาลคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไปไหนก็อ่อนน้อมไปเรื่อยๆ ไม่เคยคิดจะทำร้ายใครเลย

นี่ขนาดว่าท่านเป็นคนอ่อนน้อมนะ เป็นคนกตัญญูนะ แต่ท่านกระโดกกระเดกน่ะ อันนี้น่ะห้ามไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรามีศีลนะ กิเลสชั่วหยาบไม่กระทบ กายวาจาเรียบร้อย แต่เรียบร้อยตามสไตล์ของแต่ละคน เราเรียบร้อยได้แค่นี้แหละ มันก็ได้แค่นี้แหละ

เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างเรามีสติรู้ทันนะ กิเลสหยาบครอบงำจิตไม่ได้ ราคะ โทสะ ไม่เกิดนะ แต่วาสนามันเป็นมาอย่างไร มันก็เป็นไปอย่างนั้นล่ะ แก้ไม่ได้หรอก และถ้าเรามีกิเลสแล้วมีสติเร็วขึ้นนะ เรารู้ทันกิเลสระดับกลางได้ สมาธิจะเกิด ใจจะเรียบร้อย ถ้าศีลเกิดเนี่ย กายวาจาเรียบร้อย แต่เรียบร้อยตามสไตล์ของแต่ละคน ถ้าสมาธิเกิดนะ มีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้ง จิตที่ฟุ้งไปนะ รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา ใจจะเรียบร้อย ใจจะสบาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา

เพราะฉะนั้นศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิทำให้ใจเรียบร้อย ปัญญานั้นทำให้ใจฉลาด


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒
File: 541205.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๔๘ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๕) สิ่งที่พระอรหันต์เห็น

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๕) สิ่งที่พระอรหันต์เห็น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระอรหันต์ท่านไม่คิดนะ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ท่านมีปัญญาแจ่มแจ้งว่า พระอรหันต์ไม่มี คนไม่มีน่ะ คนไม่มี สัตว์ไม่มี เราไม่มี เขาไม่มี มีแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ นั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งสิ้น นี่ล่ะที่พระอรหันต์ท่านเห็นกัน ท่านก็เห็นกันอย่างนี้นะ

550409.30m-56-31m18

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๑๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๔) เมื่อหมดความยึดถือในกายในใจได้ คือ พระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าภาวนาต่อไปอีกนะ เราก็ดูแต่ละส่วนนั้นต่อไปอีก (หากเพิ่งได้ฟังตอนนี้เป็นตอนแรก ขอให้ท่านฟังเรื่อง ทางวิปัสสนา ตั้งแต่ตอนแรกตามลำดับ ที่นี่) เห็นแต่ละส่วนนั้นมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป

ยกตัวอย่างร่างกายเราบังคับไม่ได้จริงนะ สั่งไม่ให้แก่มันก็แก่ใช่มั้ย สั่งไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ สั่งไม่ให้ตายมันก็ตาย จิตใจเราก็บังคับไม่ได้นะ สั่งมันให้สุขมันก็ไม่ยอมจะสุข ห้ามทุกข์มันก็จะทุกข์ อะไรอย่างนี้ สั่งให้ดีมันก็ไม่ค่อยจะดีนะ ห้ามชั่วมันก็ขยันชั่ว ไม่อยู่ในอำนาจจริง เฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกายในใจนะ ไม่เห็นมีสาระแก่นสาร

พอเห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้ หาสาระแก่นสารที่แท้จริงไม่ได้ มันจะหมดความยึดถือในกายในใจ ถ้าหมดความยึดถือในกายในใจเมื่อไหร่นะ จิตจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก รู้เลยว่านี่คือสมบัติของโลก ขันธ์ ๕ นี้ กายใจนี้ เป็นสมบัติของโลก เรามาอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง จิตหมดความยึดถือในรูปในนาม นั่นแหละคือสิ่งที่เขาสมมุติเรียกกันว่า “พระอรหันต์”

550409.29m56-30m-56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๓) เมื่อล้างความเห็นว่ามีตัวมีตนได้ จะเป็นพระโสดาบัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราไม่มีตัวเรานะ ลองเห็นขันธ์ ๕ มัน.. สิ่งที่เรียกว่าเรา.. เคยรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้น เอาเข้าจริงเป็นแค่ “ขันธ์” ที่มารวมกลุ่มกันอยู่แค่นั้นเอง แล้วเราก็ไปรู้สึกผิดว่าเป็นตัวเรา แต่พอขันธ์กระจายออกไปนะ ก็พบว่าไม่มีตัวเราแล้ว เหมือนจับรถยนต์ถอดเป็นชิ้นๆแล้วก็พบว่ารถยนต์หายไปแล้ว นี่เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นวิธีที่แปลกมั้ย ไม่น่าเชื่อนะ คนตั้งสองสามพันปีก่อนสอนเรื่องอย่างนี้ ๒๖๐๐ ปีก่อน สอนเรื่องอย่างนี้ได้

เพราะฉะนั้นเรามาเรียนนะ มาเรียน ค่อยๆสังเกตลงไป ตัวเราเอง ถ้าหากเราเห็นความจริงถ่องแท้ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ความสุขความทุกข์ไม่ใช่เรา ความจำไม่ใช่เรา ความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น โลภ โกรธ หลง อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เรา จิตใจที่เป็นคนรู้ก็ไม่ใช่เรา ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้นะ ตัวเราจะหายไป เมื่อไรเห็นว่าตัวเราไม่มี จะได้พระโสดาบัน

เคยได้ยินคำว่า “โสดาบัน” มั้ย เราวาดภาพโสดาบันคืออะไรก็ไม่รู้ที่ abstract มากเลยนะ สัมผัสไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ฝันเลยว่าอีกแสนชาติก็ไม่ถึง ไม่ถึงแน่นอนเลยถ้าไม่รู้จักรูปไม่รู้จักนาม ไม่รู้จักแยกธาตุแยกขันธ์อย่างนี้ ถ้าแยกเป็นนะ ไม่ยากอะไร พระโสดาบันคือท่านผู้ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ท่านล้างความเห็นผิดได้ เพราะท่านแยกขันธ์ออกมาเป็นส่วนๆ และเห็นว่าแต่ละส่วนไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

550409.28m24-29m56

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๘ วินาทีที่ ๒๔ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๑) เมื่อแยกกายกับจิตได้ ให้อดทนฝึกต่อไปจะแยกเวทนาและสังขารได้

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๑) เมื่อแยกกายกับจิตได้ ให้อดทนฝึกต่อไปจะแยกเวทนาและสังขารได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถัดจากนั้นเรามาฝึกแยกต่อไปอีก เรานั่งต่อไปอย่างเพิ่งกระดุกกระดิก นั่งไปสักพักเราปวดเราเมื่อย ค่อยๆสังเกตอีก ความปวดความเมื่อยเมื่อตะกี้นี้ไม่มี ตอนนี้เกิดมีความปวดความเมื่อยขึ้นมา เพราะฉะนั้นความปวดความเมื่อยเนี่ย ไม่ใช่ร่างกายหรอก ร่างกายมันนั่งอยู่ก่อนนะ ความปวดความเมื่อยมันมาทีหลัง เนี่ยเราค่อยๆดูไปอย่างนี้ เราจะเห็น ความปวดความเมื่อยกับร่างกายนั้นเป็นคนละอันกัน แล้วก็ไม่ใช่จิตใจด้วย จิตใจเป็นคนดู จะเห็นเลยว่าความปวดความเมื่อยเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า นี่หัดอย่างนี้นะเราแยกได้ ๓ ชิ้นแล้ว มีร่างกาย มีเวทนาคือความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ อย่างรู้สึกที่เราฝึกกันก็คือดูความเมื่อย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนั่งอยู่เดี๋ยวก็เมื่อย พอเมื่อยแล้วดูไป ความเมื่อยเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา ความเมื่อยไม่ใช่ร่างกาย ความเมื่อยไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า

ทีนี้พอนั่งไป พอมันเมื่อย ก็อย่าเพิ่งขยับ เราจะฝึกต่อ ขั้นต้นอดทนไว้ก่อน อดทนหน่อย อย่าเพิ่งกระดุกกระดิก นั่งไปแล้วพอมันปวดมากๆนะ จิตใจมันจะเริ่มทุรนทุราย กระสับกระส่าย พอนั่งมากๆนั่งปวดมากๆนะ เป็นเหน็บเป็นอะไรนะ ชักกลุ้มใจ เอ๊..นั่งนานจะเป็นอัมพาตหรือเปล่า? จะเดินได้อีกมั้ย อะไรอย่างนี้นะ ความกลุ้มใจเกิดที่ใจเกิดที่จิต ความปวดเมื่อยเกิดที่ร่างกาย ความกลุ้มใจเกิดที่จิต เพราะฉะนั้นความปวดเมื่อยกับความกลุ้มใจเนี่ย คนละอันกัน

ความปวดเมื่อยนั้นเรียกว่า เวทนาขันธ์ เป็นเวทนาขันธ์ ความกลุ้มใจความกังวลใจอะไรอย่างนี้ เรียกว่าสังขารขันธ์ คนละขันธ์ คนละกลุ่มกัน เนี่ย ค่อยๆหัดแยก แล้วความกลุ้มใจก็ไม่ใช่จิต จิตทีแรกไม่กลุ้มใจ แต่จิตตอนนี้กลุ้มใจ เพราะฉะนั้นมันเป็นคนละอันกัน หัดฝึกไปเรื่อยนะ ให้ชำนิชำนาญ

550409.23m13-25m04

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๐) เมื่อมีสมาธิชนิดจิตตั้งมั่นแล้ว ให้หัดแยกกายกับใจ

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๐) เมื่อมีสมาธิชนิดจิตตั้งมั่นแล้ว ให้หัดแยกกายกับใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : การจะเจริญปัญญาอย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไร การเจริญปัญญานั้นคือการเรียนรู้ความจริงของสิ่งที่ประกอบกันเป็นตัวเรา สิ่งที่เรียกว่าตัวเราก็คือกายกับใจนี้เอง เราอาศัยจิตที่ตั้งมั่นเป็นคนดูเนี่ย เป็นจุดสตาร์ตในการเดินปัญญา พอจิตเราตั้งมั่นแล้วนะ เราก็นั่งดู

ยกตัวอย่างพวกเราตอนนี้ก็นั่งอยู่ นั่งไปแล้วก็ดูไป ร่างกายที่นั่งอยู่ ร่างกายที่หายใจอยู่ ร่างกายที่พยักหน้าอยู่ ร่างกายที่กระดิกกระดิกอยู่ เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายที่กำลังขยับตัวอยู่เนี่ย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ค่อยๆหัดสังเกตตรงนี้ แล้วหัดไปเรื่อยนะ สุดท้ายเราจะแยกได้ว่า ร่างกายก็อยู่ส่วนหนึ่ง จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ถ้าจิตของเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูได้ จะไม่ยากเลยที่จะเห็นว่า ร่างกายกับจิตนั้น เป็นคนละอันกัน นี่คือการหัดถอดรถยนต์ให้เป็นชิ้นๆล่ะ

เพราะฉะนั้นพวกเรานั่งอย่างนี้แหละ แล้วก็ดูไป ร่างกายที่นั่งอยู่นี้ เป็นของที่ถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนรู้คนดู ดูอย่างนี้ไปเรื่อย ร่างกายที่หายใจอยู่ เป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายที่เดินอยู่ เป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู นี่ฝึกอย่างนี้ให้ชำนาญนะ ขั้นต้นฝึกอย่างนี้กันก่อน ฝึกแยกกายแยกจิตให้ออกจากกันให้ได้

พอแยกได้ นี่ก็คือการถอดรถยนต์ชิ้นที่ ๑ นะ ถอดออกมาปุ๊บ ได้ ๒ ชิ้น ถอดครั้งแรกจะได้ ๒ ชิ้น นึกออกมั้ย ยกตัวอย่างเรามีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง ถอดล้อออกมา กลายเป็น ๒ ชิ้น ใช่มั้ย คือรถยนต์ทั้งหมดที่เหลือกับล้อ แยกออกมา เนี่ยเราถอดครั้งแรกเลย ก็จะได้สองชิ้น คือกายกับใจ แยกกายกับใจออกจากกัน

550409.21m28-23m12

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๔) จะพ้นทุกข์ถาวร ต้องเจริญปัญญา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๔) จะพ้นทุกข์ถาวร ต้องเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทุกวันนี้ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราไม่ฉลาด เรามีอวิชา มีความไม่รู้ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” นั่นเอง

เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากพ้นทุกข์ถาวรนะ ไม่ใช่แค่ทำทาน ไม่ใช่แค่รักษาศีล ไม่ใช่แค่การนั่งสมาธิ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ก็ดี ข่มกิเลสได้บ้าง ข่มจิตใจได้บ้าง อะไรอย่างนี้ แล้วจิตใจสงบ จิตใจสบาย ได้ชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวข่มไม่ไหวกิเลสก็มาอีก ก็ต้องแก้ปัญหากันเป็นคราวๆไป

ถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ถาวรต้องมาเจริญปัญญา เพราะความไม่รู้ เป็นรากเหง้า ของการปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ถ้าทำลายความไม่รู้ได้ตัวเดียว จิตหายโง่ตัวเดียว จิตไม่หลงความปรุงแต่ง ถ้าจิตไม่หลงความปรุงแต่งก็จะไม่ไปหลงว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ ไม่หลงยึดในกายในใจนี้

550409.10m27-11m21

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 2 of 912345...Last »