Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ไม่มีศีล อริยมรรคไม่เกิด

mp3 for download : ไม่มีศีล อริยมรรคไม่เกิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่มีศีล อริยมรรคไม่เกิด

ไม่มีศีล อริยมรรคไม่เกิด

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนที่มีศีลสมาธิเกิดง่าย ยกตัวอย่างนะ ถ้าใจเราไม่คิดฆ่าใคร ไม่คิดเบียดเบียนใครนะ ใจเราสงบง่าย ถ้าใจเราผิดศีลนะ คิดจะฆ่าเขา คิดจะทำลายเขา ใจไม่สงบๆ สมาธิก็เสื่อมสิ

คิดจะลักเขา ขโมยเขานะ ไปขโมยมาแล้วอะไรอย่างนี้ ก็วุ่นวายใจ กลัวเขาจับได้ จิตใจมันวุ่นวาย สมาธิก็เสื่อมสิ เป็นชู้เขา กลัวเขาฆ่า เคยเห็นในการ์ตูนมั้ย ชอบไปแอบในตู้เสื้อผ้า หรือไปปีนหน้าต่างหนี อะไรอย่างนี้นะ มีความสุขมั้ย ไม่มีความสุขนะ จิตใจไม่มีความสุข ก็ไม่มีความสงบจริงหรอกนะ ฟุ้งซ่าน

คนโกหกเขาก็ต้องจำเยอะ ใช่มั้ย คนโกหกเนี่ยนะ คิดอะไรไม่ค่อยเป็นแล้ว เพราะเอาเมมโมรี่นะไปใช้ในการจำข้อมูลเก่าๆที่ไปโกหกคนไว้ ใจก็ฟุ้งซ่านนะ โกหกคน พูดเท็จ ไม่สงบนะ กินเหล้าเมายา จิตใจไม่สงบ

เพราะฉะนั้นศีลจำเป็นมากนะ ถ้ามีศีลนะ สมาธิเกิดง่าย มีสมาธิเกิดง่ายปัญญาก็เกิดง่าย เพราะฉะนั้นศีลนี้แหละเป็นปัจจัยให้ไปนิพพานได้ เพราะมันเกื้อกูลให้มีสมาธิ มีสมาธิเกื้อกูลให้เกิดปัญญา

วันนี้ต้องเทศน์ปิดท้าย เทศน์เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะพวกที่มาเรียน เข้าคอร์สวันนี้ จะจบแล้ว เดี๋ยวจบไปแล้วก็รู้แต่เจริญสติ ไม่ต้องรักษาศีล ไปไม่รอดนะ ต้องมีให้ครบ ไม่งั้นอริยมรรคจะไม่เกิด

ถ้าไปดูในองค์มรรคนะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ องค์มรรค ๓ ตัวนี้นะ เรื่องศีลทั้งนั้นเลยนะ เรื่องศีลทั้งนั้นเลย สัมมาวาจาเนี่ย ศีลข้อ ๔ สัมมากัมมันตะ ศีลข้อ ๑ ๒ ๓ ต้องให้บอกมั้ย ๑ ๒ ๓ คืออะไร

ศีลข้อ ๑ ปาณาติบาต ทำร้ายสัตว์ ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ข้อ ๒ ลักทรัพย์เขา ฉ้อโกงเขา ข้อ ๓ ประพฺฤติผิดในกาม สัมมาวาจา ข้อ ๔ สัมมากัมมันตะ ข้อ ๑ ๒ ๓

สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตของเรา ต้องเลี้ยงอย่าบริสุทธิ์นะ จนไม่เป็นไร ความจนไม่น่ารังเกียจ ความโกงน่ารังเกียจ เราอย่าปล่อยให้ค่านิยมเลวๆมันครอบงำเรา ทุกวันนี้เราถูกเสี้ยมสอนให้เลวหนักขึ้นๆ ให้เห็นความเลวเป็นเรื่องปกติ

อย่างนักการเมืองบางคนมาสอนพวกเรานะว่า โกงไม่เป็นไร คอร์รัปชั่นไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน นี้สอนสิ่งที่เลวร้ายให้เรานะ เราต้องไม่เชื่อฟัง ชาวพุทธเราต้องสะอาดในการดำรงชีวิต ในการจะอยู่ การจะกิน จะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างต้องสะอาดพอ ถ้ารู้สึกว่ายอมสกปรกได้ กิเลสน่ะ

มันล้างไม่ได้จริงหรอก ของหยาบๆยังล้างไม่ได้เลย การจะมีชีวิตอยู่ในโลกให้สะอาดยังทำไม่ได้เลย จะทำใจให้สะอาดน่ะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราต้องเลี้ยงชีวิตนะ จนไม่เป็นไรนะ อย่าไปอายกับความยากจน ให้อายกับความชั่วร้าย แล้วก็อย่าไปยกย่องคนชั่วร้ายที่ร่ำรวยด้วย มันช่วยกันสร้างค่านิยมที่เลวให้มากขึ้นๆนะ สังคมของเราทุกวันนี้ถึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดทุกหนทุกแห่งแล้ว

เพราะเราช่วยกันสร้างค่านิยมที่เลวๆนานาชนิดขึ้นมา เช่น ใช้วิธีอะไรก็ได้เพื่อบรรลุผลสำเร็จ นี่เป็นค่านิยมที่เลวร้ายมากเลยนะ ทุกวันนี้ดูสิ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เป็นอนาธิปไตยนะ อะไรก็ได้ขอให้สำเร็จเถอะ เนี่ยมันจะอยู่กันไม่ไหว

เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งใจรักษาศีลนะ รักษาศีล เลี้ยงชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ เนี่ยอยู่ในองค์มรรคทั้งสิ้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530425A.mp3
ลำดับที่ ๑๒
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

mp3 (for download) : ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

ต้องหัดแยกให้ออก จิตแบบไหนกุศล แบบไหนอกุศล

หลวงพ่อปราโมทย์ : ส่วนใหญ่เวลาหัดทำสมาธิ นึกออกมั้ยสมัยก่อนที่พวกเราหัดปฏิบัติ ทันทีที่ลงมือปฏิบัติจิตแน่นๆเลย รู้สึกมั้ย พอลงมือปฏิบัติ (หลวงพ่อทำท่าเกร็ง) เนี่ยเอาเลยนะอกุศลชัดๆเลยคิดว่าจะเจริญวิปัสสนาเหรอ จิตเป็นอกุศลชัดๆเลยนะ

เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนเรื่องจิตให้ชำนาญนะ แยกให้ออกว่าจิตชนิดไหนเป็นกุศล ชนิดไหนเป็นอกุศล ไม่งั้นนะพอคิดถึงการปฏิบัติทีไรนะ อกุศลเกิดทุกทีเลย เกิดตัวไหน ตัวไหนเกิดก่อน โลภะเกิดก่อน ก็เก่งเหมือนกัน จริงๆโมหะเกิดก่อน โง่ก่อน พอโง่นะก็อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากได้ อยากรู้ให้ชัด อยากรู้ตลอดเวลา โลภะเกิดเห็นมั้ย ไปนั่งจ้องไว้

จ้องแล้วมันไม่ค่อยยอมอย่างที่เป็น อย่างที่อยาก โทสะก็เกิดเนี่ย ทันทีที่จ้องรู้สึกมั้ย ทันทีที่จ้องลงไปแน่นขึ้นมาแล้ว รู้สึกมั้ย จิตที่แน่นๆเป็นอกุศลจิตนะ เพราะนั้นทันทีที่ลงมือปฏิบัตินะ กำหนดปุ๊บแน่นปั๊บเนี่ย นั่ันแหล่ะอกุศลเกิดแล้ว ภาวนาผิดแล้ว แทนที่จะภาวนาแล้วเกิดกุศลนะ กลายเป็นภาวนาได้อกุศล งั้นต้องระมัดระวังนะ ต้องเรียนให้ออกว่าอันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศล

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๖ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่รวยทรัพย์ไม่เป็นไร รวยด้วยศีลด้วยธรรมดีกว่า

mp3 (for download) : ไม่รวยทรัพย์ไม่เป็นไร รวยด้วยศีลด้วยธรรมดีกว่า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่รวยทรัพย์ไม่เป็นไร รวยด้วยศีลด้วยธรรมดีกว่า

ไม่รวยทรัพย์ไม่เป็นไร รวยด้วยศีลด้วยธรรมดีกว่า

งั้นถ้าเรามีศีลนะ สมาธิเกิดง่าย คนมีศีลจิตใจมันจะเรียบร้อยเพราะว่ามันจัดระเบียบกายวาจาไว้แล้ว กายวาจาได้รับการจัดระเบียบให้ดี จิตใจมันก็สงบง่ายนะ อย่างคนไม่มีศีล คิดจะฆ่าเค้า คิดจะทำลายเค้าเนี่ยจิตใจฟุ้งซ่าน คิดจะลักเค้าขโมยเค้าจิตใจฟุ้งซ่าน คนมีศีลแล้วก็มีธรรม ไม่ใช่มีศีลอย่างเดียวนะ ถ้ามีศีลจริงๆจะมีธรรมด้วย

อย่างไม่คิดเบียดเบียนใครนะ จิตใจที่เมตตากรุณาก็จะเกิดขึ้นด้วย แค่ไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนะ ความเมตตากรุณาก็เกิดง่าย แค่ไม่ลักทรัพย์นะจะเกิดความเสียสละรู้จักให้ทาน ไม่ประพฤติผิดในกามนะจะรู้จักสันโดษในกามนะ เนี่ยมีข้อดี ไม่ยอมผิดศีลมุสาวาทนะจะได้ธรรมะคือสัจจะขึ้นมา มีศีลก็มีธรรมนะ ได้ธรรมได้ของดีขึ้นมาด้วย จิตใจจะได้ความสงบ ได้ความสุขขึ้นมา จิตใจจะสงบง่ายคน

ทุศีลจิตใจไม่สงบหรอก มันวุ่นวายมันคิดอย่างเดียว จะทำร้ายคนอื่นยังไง จะขโมยคนอื่นยังไง งั้นเรามีศีลเป็นพื้นฐาน จำเป็นอย่างยิ่งเลย มนุษย์ยุคนี้เลวทรามต่ำช้าสุดขีดแล้วเพราะไม่มีศีลมีธรรมเลยนะ เลวมากเลยสุดๆเลย โกหกหลอกลวงกันเต็มบ้านเต็มเมืองนะ เอาผลประโยชน์อย่างเดียวเลย

นี่พวกเราอย่าเอาอย่างเค้า เค้าไม่มีความสุขหรอก เค้าอาจจะรวยนะ แต่เค้าไม่มีความสุขหรอก นี่เราไม่รวยไม่เป็นไรนะแต่เรามีศีลไว้ เรารวยด้วยศีลด้วยธรรมดีกว่า เราได้รับสาระแก่นสารที่แท้จริงในชีวิตของเราเองนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๙ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อย่าประมาทกิเลสเล็กๆน้อยๆ ผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยนี่เอง

mp3 (for download) : อย่าประมาทกิเลสเล็กๆน้อยๆ ผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยนี่เอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อย่าประมาทกิเลสเล็กๆน้อยๆ ผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยนี่เอง

อย่าประมาทกิเลสเล็กๆน้อยๆ ผิดศีลได้เริ่มจากกิเลสเล็กน้อยนี่เอง

คือการพัฒนาคุณภาพของจิตใจเราทิ้งหลักของ”ไตรสิกขา”ไม่ได้ ถ้าทิ้งหลักไตรสิกขาละก็ ไม่ใช่ชาวพุทธแท้หรอก ไตรสิกขาคือเรื่องศีลสิกขา เรื่องจิตสิกขา เรื่องปัญญาสิกขา เราจะเรียนเรื่องศีลเรียนเรื่องจิตเรียนเรื่องการเจริญปัญญา ศีลในเบื้องต้นเนี่ยต้องเจตนา งดเว้นการทำบาปอกุศลทางกายทางวาจาไว้ก่อน เบื้องต้นต้องตั้งใจงดเว้นไว้ก่อน ต่อมาเรามาฝึกอาศัยสตินี่แหล่ะ คอยรู้ทัน ใจมันทำผิดศีลได้นะเพราะกิเลสมันครอบงำจิต ให้เราคอยรู้ทันจิตไว้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นเรารู้ทัน กิเลสอะไรเกิดรู้ทันนะ กิเลสจะครอบงำไม่ได้ อย่างโทสะเกิดเนี่ยรู้ทันมัน โทสะครอบงำจิตไม่ได้ มันไม่ฆ่าใครไม่ตีใครไม่ด่าใครไม่เบียดเบียนใคร ราคะเกิดขึ้นเรามีสติรู้ทันไม่ครอบงำจิต เราก็ไม่ไปลักใครขโมยใครไม่เป็นชู้กับใคร ไม่ปลิ้นปล้อนตลบแตลงล่อลวงเค้า เนี่ยกิเลสทั้งนั้นเลยนะ

คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสครอบงำจิตได้ กิเลสเล็กกิเลสน้อยก็อย่าไปไว้ใจมันนะ อย่ามีข้อยกเว้นแก่กิเลส บางคนเห็นว่ากิเลสเล็กๆน้อยๆไม่เป็นไร แรกๆไม่เป็นไรนะ ตัวเล็กไม่เป็นไรต่อไปตัวกลางๆก็ไม่เป็นไรเหมือนกันนะ สุดท้ายตัวใหญ่ๆก็ไม่เป็นไร

อย่างตอนเด็กๆหัดรังแกสัตว์ตัวเล็กๆก็รังแกสัตว์ตัวใหญ่ได้มากขึ้นๆ สุดท้ายมันก็แกล้งคนได้ ฆ่าคนได้ ใจมันเคยชินที่จะเบียดเบียน นั้นเรามีสตินะ รักษาจิตไว้ให้ดี อย่าให้กิเลสครอบงำจิตได้ คอยรู้ทันมันเข้าไป ศีลมันจะเกิดขึ้น พอจิตเรามีศีลเนี่ยสมาธิจะเกิดง่าย คนที่ไม่มีศีลนะจะฟุ้งซ่าน ฟุ้งไปในกาม ฟุ้งไปในความไม่พอใจ กามและปฏิฆะมายั่วจิตให้ฟุ้งไป เดี๋ยวก็อยากดู เดี๋ยวก็อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส ถ้าเรามีสติคุ้มครองจิตอยู่ กิเลสมันครอบงำจิตไม่ได้ กิเลสหยาบๆนะครอบงำไม่ได้ สติปัญญาเร็วขึ้นๆนะ ต่อไปกิเลสอย่างกลางก็ครอบงำจิตไม่ได้ กิเลสอย่างหยาบเนี่ยเอาศีลกั้นไว้ ราคะ โทสะ โมหะแรงๆเกิดขึ้นนะ จะทำผิดศีลไม่ทำ ตั้งใจงดเว้นไม่ทำ ทุกวันต้องคิดว่าเราจะรักษาศีลตื่นเช้าขึ้นมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๑๓ ถึงนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

mp3 (for download) : จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

จิตที่พร้อมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างไร

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้พอมีศีลแล้วเราก็ต้องมาเรียนบทเรียนที่สองนะ บทเรียนที่สองชื่อ จิตตสิกขา ต้องเรียนเรื่องจิต ใครจะบอกว่าไม่เอาดูจิตไม่อยากเรียนเรื่องจิตก็ปล่อยเขาไป เป็นพวกที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเรียนเรื่องจิต เพราะบทเรียนที่สองของชาวพุทธชื่อจิตตสิกขา ต้องเรียนเรื่องจิต ต้องแยกให้ออกว่าจิตชนิดไหนเป็นกุศล จิตชนิดไหนอกุศล ไม่เหมือนกัน

ส่วนใหญ่นะมีจิตอกุศล เอาจิตอกุศลไปเจริญวิปัสสนา เป็นไปไม่ได้ จิตไม่มีคุณภาพนะ อย่างจิตที่เป็นอกุศลนะ มันจะหนักๆแน่นๆ แข็งๆ ซึมๆ ทื่อๆ จิตที่เป็นกุศลมี ลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน มีปาคุญตา คล่องแคล่วไม่ใช่ซึมซื่อบื้ออยู่ทั้งวัน มีกัมมัญญตา ควรแก่การงาน เห็นมั้ยไม่ใช่จิตขี้เกียจขี้คร้านไม่ยอมรับรู้อะไรสักอย่างเดียว ประคองจิตให้นิ่งให้ว่างแล้วเพลินไปอยู่อย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่จิตของดีของวิเศษอะไร จิตต้องคล่องแคล่วในการทำงาน ทำอะไร จิตทำอะไร จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์นะ เพราะฉะนั้นจิตรู้อารมณ์ไม่ใช่ฝึกจิตให้ไม่รู้อารมณ์อะไร เนี่ยต้องฝึก จิตต้องมีความซื่อตรงเรียก อุชุกตา ซื่อตรงในการรับรู้นะ ไม่เข้าไปแทรกแซง ถ้ายังอยากแทรกแซง ยินดียินร้ายขึ้นมา ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศลแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๑
File: 540911
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๒๗ ถึงนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเองก็เป็นทุกข์

mp3 (for download) : จิตเองก็เป็นทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ : เราต้องมีให้ครบนะ ศีล สมาธิ ปัญญา จะมีศีลได้ดีต้องมีสติ ถ้าคนไหนไม่มีสติ อย่ามาอวดว่ามีศีลเลย ไม่จริงหรอก โกหก ถ้าขาดสตินะ รู้ทันจิตตัวเองไม่เป็นถือศีลยาก กะพร่องกะแพร่งด่างพร้อยง่าย ถ้ามีสติรู้ทันจิตอยู่ กิเลสเกิดนะ อายเลย กิเลสบางตัวน่าอาย ตัวไหนน่าอายที่สุด ตัวกูเก่ง นี่ สำรวจมาแล้ว เวลารู้สึกกูเก่งแล้วพอรู้ทันนะ อายเลยนะ ใครรู้สึกตัวนี้บ้าง ตัวนี้น่าอาย ถัดจากนี้ก็หน้าด้านถ้ายังไม่อายอีกนะ ขนาดนี้ถึงหน้าด้านแล้ว ไม่มีสติอย่ามาอวดเรื่องศีลนะ ไม่มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดู ละก็ อย่ามาอวดว่าทำสมาธิเก่งเลย ทำสมาธิจนกระทั่งอยากรู้อยากเห็นอะไรทั่วโลกธาตุ รู้ได้หมดเลยนะ ไม่เห็นจิตตัวเองอันเดียว ก็ได้ของไม่มีสาระ ไปเห็นของไม่มีสาระว่ามีสาระ เพราะกิเลสเกิดที่จิต มรรคผลเกิดที่จิต กุศลอะไรก็เกิดที่จิต เนี่ยถ้าเราไม่มีจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดู สมาธิของเรายังอ่อนนะ อย่างมากก็มีแค่สมาธิสงบ แต่ไม่มีสมาธิตั้งมั่น เป็นสมาธิพื้นๆหรอก สมาธิสงบ ศาสนาอื่นก็มี สมาธิตั้งมั่นมีแต่ในคำสอนพระพุทธเจ้านะ คนอื่นไม่มีหรอกไม่เข้าใจเลย สมาธิตั้งมั่นเนี่ยหายากมาก

ไม่มีสติอย่ามาอวดเรื่องศีล ไม่มีจิตผู้รู้อย่ามาอวดว่ามีสมาธิ แยกรูปนามไม่เป็นอย่ามาอวดว่าเจริญปัญญา “การเจริญปัญญานะเริ่มต้นด้วยการแยกรูปนาม” ทำไมต้องแยก ก็แยกสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วนๆ เพื่อวันนึงจะเห็นว่าทุกๆส่วนไม่มีตัวเรา นี่ไม่มีตัวเราที่ใดเลย ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ถัดจากนั้นก็รู้สภาวะ แต่ละส่วน แต่ละส่วนนั้นต่อไป จะเห็นว่าสภาวะทั้งหลายเป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย กระทั่งความสุขก็เป็นทุกข์​ อะไรๆก็เป็นทุกข์หมดเลย รูปธรรมก็เป็นทุกข์ นามธรรมก็เป็นทุกข์ จิตเองก็เป็นทุกข์ ในขันธ์ห้าไม่มีการสงวนรักษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเอาไว้เป็นตัวสุขเลย มีแต่ตัวทุกข์ล้วนๆเรียกว่าเราเห็นขันธ์เป็นทุกข์แล้ว “วันใดที่เห็นขันธ์เป็นทุกข์ได้ เราทำลายอวิชชาได้” อวิชชา มันไม่รู้ความจริงของอริยสัจ ไม่รู้ว่าขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ เนี่ยไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ ถ้าพอเห็นแจ้งว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์นะ กระทั่งตัว”จิตผู้รู้”เองซึ่งเป็นของดีของวิเศษ​ที่เคยฝึกฝนอบรมมานะ มันพลิกขึ้นมาเป็นตัวทุกข์ให้ดู มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป เป็นอย่างนี้ จิตจะสลัดคืนจิตให้โลก ทำไมสลัดคืน ก็มันเป็นตัวทุกข์ มันจะไปยกไว้ทำไม จะไปแบกไว้ทำไม ไม่ถือเอาไว้สลัดทิ้งไป ถ้าสลัดทิ้งไปแล้วจิตเข้าสู่สภาวะอีกชนิดนึง ไม่ยึดอะไรในโลก จิตดวงนี้ไม่มีอะไรย้อมได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๓๕ ถึงนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

mp3 (for download) : มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิเป็นเครื่องสู้กิเลสระดับกลางชื่อว่า “นิวรณ์” นิวรณ์มีห้าตัว แต่ทั้งห้าตัวมันเป็นความฟุ้งซ่านของจิตทั้งนั้น ถ้าฟุ้งไปชอบใจในอารมณ์ เรียกว่า “กามฉันทะนิวรณ์” ฟุ้งไปเกลียดอารมณ์ เรียก “พยาบาท” ฟุ้งจับจด ฟุ้งแล้วไม่รู้อะไรต่ออะไร สะเปะสะปะ เรียก “อุทธัจจะ” อุทธัจจะไม่อยู่ลำพังหรอก พอฟุ้งมากๆก็รำคาญใจ อุทธัจจะ เป็นโมหะ มันจะต่อด้วย “กุกกุจจะ” รำคาญใจ กุกกุจจะ เป็นโทสะนะ พอฟุ้งได้ที่ก็รำคาญ หงุดหงิด เนี่ย ถ้าจิตไม่ฟุ้ง ไม่รำคาญ ไม่หงุดหงิด ลังเลสงสัยก็เป็นความฟุ้งซ่าน คนถามกรรมฐานมากๆ ถามแล้วถามอีก คิดมาก ดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป ไม่มีคำถาม มีน้อย คำถาม

หลวงพ่อเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์นะ เรียนจากครูบาอาจารย์ตั้งหลายสิบองค์ เข้าไปหาท่าน คำถามหลักๆเลยที่ถามนะคือที่ทำอยู่นี่ถูกมั้ย คราวก่อนท่านสอนมาอย่างนี้ ผมไปทำ อย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าผิดให้ท่านบอกด้วย ถ้าถูกแล้วทำยังไงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ ถามเท่านี้เองนะ ครูบาอาจารย์ก็ตอบเหมือนกันทุกที ดีแล้ว ทำอีก จบแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาพิรี้พิไร ขอแถมอีกหน่อยอะไรอย่างนี้ ขอนั่งอีกนิด ไม่มี เสียเวลา

“เวลา” หมดแล้วหมดเลยนะ ซื้อไม่ได้ ทิ้งเปล่าๆ ไม่นานก็ตาย ฉะนั้นเราเอาเวลามาภาวนา ภาวนาแล้วไม่ค่อยมีคำถามเท่าไหร่หรอก ถามอะไร มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง มีเท่านี้เอง ถามมากกว่านี้ก็คิดมาก คิดเยอะไป รู้ไว้เยอะๆ รู้ทัน ทุกคนรู้จิตรู้ใจตัวเองได้อยู่แล้ว กายของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว จิตของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว รู้เอาบ่อยๆ พอเรามีสติรู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นนะ นิวรณ์จะดับ อย่างจิตมีพยาบาทเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทันนะ พยาบาทดับ จิตมีกามฉันทะเพลิดเพลินพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เรามีสติรู้ทันนะ ความเพลิดเพลินพอใจคือกามฉันทะก็ดับ สงสัยขึ้นมา มีสติรู้ทัน สงสัยก็ดับ หดหู่ มีสติรู้ขึ้นมา หดหู่ก็ดับ

อาศัยสตินี่แหล่ะ มารู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นในใจบ่อยๆ แล้วสมาธิจะเกิดขึ้นเอง นี่เป็นวิธีทำสมาธิที่สุดจะง่ายเลยนะ ไม่ใช่หลวงพ่อพูดเองด้วย มีพระสูตรที่สอง ชื่อ สามัญญผลสูตร (สูตรที่ ๒ ในคัมภีร์ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระสุตตันตปิฎก) พระพุทธเจ้าสอน อชาตศัตรู อชาตศัตรูเกิดมาไม่เป็นศัตรูกับใครนะ เป็นศัตรูกับพ่อเท่านั้นแหล่ะ ฆ่าพ่อตาย อชาตศัตรูไปเรียนธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทันนิวรณ์นะ รู้ทันนิวรณ์แล้วสมาธิเกิด นี่เป็นวิธีฝึกสมาธิของฆราวาส อาศัยสติรู้ทันศัตรูของสมาธิ พอจิตไม่มีศัตรูของสมาธิ จิตก็สงบเองแหล่ะ ไม่ต้องทำความสงบหรอก อย่าทำความฟุ้งซ่านก็พอแล้ว ความฟุ้งซ่านเราจะทำลายมันได้ไง ความฟุ้งซ่านเป็นกิเลส เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นไม่มีกิเลส นี่เป็นกฎของธรรมะเลย

ดังนั้นเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบ ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ไม่ชอบ ฟุ้งสะเปะสะปะ จับอารมณ์ไม่ถูก ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบเป็นกามฉันทะ ฟุ้งไปหาอารมณ์ไม่ชอบเป็นพยาบาท ฟุ้งสะเปะสะปะเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งไปคิดมากก็ลังเลมากเป็น “วิจิกิจฉา” ฟุ้งมากหมดเรี่ยวหมดแรงลงไปแผ่หลาอยู่ หมดเรี่ยวหมดแรง ดูอะไรไม่รู้เรื่องแล้วเรียกว่า “ถีนมิทธะ” ทั้งจิตทั้งเจตสิกหมดแรง ล้วนแต่มาจากความฟุ้งทั้งนั้น

ถ้ามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งไปนะ สมาธิเกิดเอง โดยเฉพาะจิตนะชอบฟุ้งไปคิด ฟุ้งไปคิดเนี่ยบ่อยที่สุด ถ้าเรารู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไปคิด ความฟุ้งซ่านจะดับ จิตจะเกิดสมาธิ จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถึงจะเจริญปัญญาได้ ถึงจะทำวิปัสสนาได้ ถ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะวิปัสสนานี่คือการเรียนรู้ความจริงของรูปนาม สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา รูปธรรมนามธรรมนี้เอง เมื่อไหร่ขาดสติเมื่อนั้นไม่รู้รูปนาม ไม่รู้รูปธรรมนามธรรมของตัวเอง ใช้ไม่ได้เลยนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

เราปฎิบัติเพื่ออะไร?mp 3 (for download) : เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของการปฏิบัติเราก็ต้องรู้ ว่าเราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นยังไง ต้องตอบได้ชัดเจน เราจะปฏิบัติอะไร มีสองอย่างที่จะต้องปฏิบัติคือ “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” ปฏิบัติเพื่ออะไร สมถะ ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะเดินวิปัสสนา ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะได้เห็นนู่นเห็นนี่มีตาทิพย์มีหูทิพย์ บางคนอยากได้เจโตอยากได้ทิพจักษุ  หลวงพ่อเคยเจอนะ มีไอ้หนุ่มคนนึง มันภาวนาอยากได้ทิพจักษุ ถามว่าอยากได้ทำไม มันจะได้มองทะลุผ้าของคนอื่น มันเห็นธรรมะเป็นเรื่องอะไร จะทะลุฝาห้องของเค้าอะไรอย่างนี้ ได้เรื่องเลย มีจริงๆนะ สมถะนะ เราทำไปเพื่อให้ใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดปัญญา รู้ความจริงของกายของใจนี้ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ ดังนั้นทำเราทำวิปัสสนาเพื่อให้รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ รู้แล้วได้อะไร รู้ถึงที่สุดแล้วมันจะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ

พระอรหันต์ไม่ใช่คนประหลาดนะ อย่าไปวาดภาพพระอรหันต์ประหลาดเกินเหตุทำอะไรก็ไม่ได้ กระดุกกระดิกก็ไม่ได้ วันๆต้องนั่งเซื่องๆเหมือนนกกระยางรอให้ปลามาใกล้ๆจะได้ฉกเอาเชื่องๆห้ามกระดุกกระดิก พระอรหันต์จริงๆก็คือท่านผู้ภาวนาจนมีปัญญา เห็นทุกข์เห็นโทษของขันธ์นะ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์เห็นอย่างนี้ แล้วท่านปล่อยวางความยึดถือขันธ์ได้ จิตท่านแยกออกจากขันธ์ พรากออกจากขันธ์ ไม่ยึดถือขันธ์ ท่านเป็นอิสระจากขันธ์ ตัวขันธ์เป็นตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เลยพ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นี่พ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่ตายแล้วเค้าเรียกดับทุกข์คือขันธ์มันดับ ไม่ใช่ไปเกิดอีกนะ หลายคนวาดภาพเป็นพระอรหันต์ไปเกิดอีกไปอยู่ในโลกนิพพาน อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธหรอก พระอรหันต์ นิพพานแล้วเหมือนไฟที่ดับไปแล้ว ไฟที่ดับแล้วอยู่ที่ใหน ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ ภาวนาทำสมถะเพื่อให้มีแรง ทำวิปัสสนา ทำวิปัสสนาเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจ ถ้าเราเห็นความจริงของกายของใจได้มันจะหมดความยึดถือ ปล่อยวางได้ พอปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ เพราะตัวกายตัวใจตัวขันธ์นี้แหล่ะตัวทุกข์

นี่ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้ แล้วทำยังไง เราจะทำอะไร ทำสมถะและวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร บอกแล้ว ทำอย่างไร สมถะนี่ไม่ใช่ทำเพื่อให้เคลิ้ม วิธีทำสมถะไม่ใช่น้อมใจให้เคลิ้มให้ซึมให้นิ่ง แต่ฝึกความรู้สึกตัวขึ้นมา หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก เคยได้ยินคำว่า”อานาปานสติ”มั้ย มีสตินะไม่ใช่ฝึกให้ไม่มีสติ ไม่ใช่ฝึก(เสียงกรน)คร้อกบรรลุแล้ว ฝึกให้มีสติหายใจเข้า ฝึกให้มีสติหายใจออก มีสติไปเรื่อยเลย หรือบางทีพิจารณากาย”กายคตาสติ” มีสติไล่ไปในกาย ดูอาการสามสิบสอง ดูอวัยวะต่างๆในร่างกาย มีสติ เห็นมั้ย ไม่ได้บอกให้ขาดสติเลยนะ ไม่ได้ดูเอาแก้วแหวนเงินทอง เอาวิมานสวรรค์อะไรทั้งสิ้นเลย แต่ฝึกให้มันมีสติ รู้ลมหายใจก็ให้มันมีสติ พิจารณากายก็พิจารณาด้วยความมีสติ เรียกว่ากายคตาสติ ทำอะไรๆก็มีสติ คิดถึงพระพุทธเจ้าก็คิดถึงด้วยความมีสติ หัดพุทโธ ๆ แล้วรู้สึกตัวไป นึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราจะทำยังไงพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราไม่ได้ภาวนาให้เคลิ้มๆ ภาวนาให้รู้สึกตัว ฉะนั้นเราอย่าทิ้งสติ ครูบาอาจารย์เคยสอนบอก “สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ”

ฉะนั้นทำสมถะก็ต้องมีสตินะ แต่มีสติอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อารมณ์อันเดียว ทำไมต้องอารมณ์อันเดียว อารมณ์หลายอันแล้วก็รู้ตัวยาก ปกติจิตมันจะหนีตลอดเวลา วิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา พอเรามาทำสมถะนะ เรามีอารมณ์อันเดียว มาเป็นเหยื่อ เหยื่อล่อจิต อย่างถ้าจะตกปลานะ มีคนโยนเบ็ดพร้อมกันร้อยอัน ปลางงเลยจะกินอันใหนดีใช่มั้ย ว่างมาทางนี้ เอ๊ะ ไม่เอาตัวเล็กไป ว่ายทางนี้ ก็ใหญ่ไปเกินพอดี เกินคำ ไม่เอา วกไปวกมา ไม่ได้กิน ถ้ามีเหยื่ออันเดียวปลาฝูงนึงยิ่งดี มีเหยื่ออันเดียวล่อ จิตของเราปกติร่อนเร่ไปเรื่อยๆ วิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนะ ร่อนเร่ไปเรื่อย เที่ยวแสวงหาอารมณ์ไปเรื่อย เหมือนปลาวิ่งหาเหยื่อไปเรื่อย ว่ายไปเรื่อยๆ เราหาอารมณ์อันนึงที่ชอบใจของปลาตัวนี้มาล่อมัน ไปเอาพุทโธก็ได้ คนไหนพุทโธแล้วสบายใจเอาพุทโธ คนไหนหายใจเข้าหายใจออกแล้วสบายใจเอาลมหายใจ คนไหนดูท้องพองยุบแล้วมีความสุขก็ดูท้องพองยุบไป คนไหนเดินจงกลมแล้วมีความสุขก็เดินไป ไม่ใช่เดินทรมาน เดินไปเครียดไป เดินไปเครียดไป สมถะก็ไม่มี วิปัสสนาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ หาอารมณ์ที่สบายๆ อยู่แล้วมีความสุข

อย่างหลวงพ่อนะ ฝึกอานาปานสติมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เจ็ดขวบ พวกเราส่วนใหญ่ในห้องนี้ยังไม่เกิด หายใจแล้วมีความสุข พอจิตใจมีความสุข จิตจะสงบ จิตมันหิวอารมณ์นะ พอมันได้กินของชอบนะ มันเลยไม่ไปเที่ยวที่อื่น เอาอารมณ์มาล่อ อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจแล้วมีความสุข จิตก็ไม่หนีไปไหน จิตเคล้าเคลียอยู่ แต่ระวังอย่างเดียว อย่าให้ขาดสติ อย่างเราหายใจไป ถ้าใจเคลิ้มก็รู้ทันว่าเคลิ้ม หายใจไปใจฟุ้งซ่านหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าใจฟุ้งซ่านไป ใจก็มีความสุข เคล้าเคลีย สงบอยู่กับลมหายใจ จนกระทั่งลมหายใจมันสว่างขึ้นมา หายใจไปเรื่อยๆ เวลาจะเข้าฌาน ไม่ใช่รู้ลมหายใจหรอกจะบอกให้ พวกเรามั่วๆนะ หายใจแล้วเข้าฌานรู้ลมหายใจแล้วเข้าฌาน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก

ลมหายใจเบื้องต้นเรียกว่า บริกรรมนิมิต รู้ลมไปเรื่อย สบาย จิตใจมีความสุข มันจะสว่างขึ้นมา ความสว่างมันเกิดขึ้นนะ ใจมันสงบลงมา ในทางร่างกายเวลาจิตสงบลงมา เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้ เลือดจะมาเลิ้ยงตรงนี้เยอะ มันจะให้ความรู้สึกที่สว่างขึ้นมา จิตมันก็สว่างนะ กายมันก็สว่างขึ้นมา ผ่องใส ความสว่างเกิดขึ้นแล้วเนี่ย เอาความสว่างนี้มาเป็นนิมิตแทนลมหายใจได้ ต่อไปความสว่างมันเข้มข้นขึ้นนะ เป็นดวงขึ้นมา ให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ จิตใจก็มีความสุข สนุก มีความสุขอิ่มเอิบเบิกบาน มีปีติขึ้นมา เข้าฌาน ไม่ใช่หายใจรู้ลมแล้ว (เสียงกรน คร้อก) บอกว่าหายใจจนลมระงับ ถามว่าลมระงับยังไง ลืมไปเลย หลับไปแล้ว บอกว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ไม่ใช่นะ

เพราะฉะนั้นหลักของการทำสมถะนะ ก็อย่าทิ้งสติ มีสติไปเรื่อย เวลาจิตรวมก็รวมด้วยความมีสติ ไม่รวมแบบขาตสติ วูบๆวาบๆหรอก รู้เนื้อรู้ตัวตลอดสายของการปฏิบัติเลย รวมลงไปลึกเลย จนร่างกายหายไปเลย ลมหายใจก็หาย ร่างกายก็หาย โลกทั้งโลกก็หายไปหมดเหลือจิตอันเดียว ก็ยังไม่ขาดสตินะ จิตดวงเดียวอย่างนั้น เด่นอยู่อย่างนั้น ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ทำไมต้องมีจิตขึ้นมา โดดเด่นขึ้นมา เพื่อเราจะได้เอาไว้ต่อวิปัสสนา

ฉะนั้นบางคนทำไม่ถึงฌานก็ไม่เป็นไรนะ แค่หัดพุทโธ พุทโธๆ ไป ค่อยๆดูไป พุทโธเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เห็นมั้ย ใจนั้นค่อยตั้งมั่นขึ้นมา อย่างนี้ใช้ได้ หายใจไปเรื่อยๆ หายใจเข้าหายใจออก อะไรก็ว่าไปเถอะ หายใจไปแล้วเห็นร่างกายมันหายใจ จิตเป็นคนดู อย่างนี้นะถึงจะทำสมถะ เพื่อจะต่อวิปัสสนา คือหายใจไปแล้วมีจิตเป็นคนรู้คนดูขึ้นมา ดูท้องพองยุบไปนะ เห็นร่างกายมันพองเห็นร่างกายมันยุบ จิตเป็นคนดู

เพราะฉะนั้นบทเรียนเรื่องการทำสมาธิเนี่ย ในทางศาสนาพุทธท่านถึงใช้คำว่า “จิตตสิกขา” ทำสมาธิจนกระทั่งเราเห็นจิตของเรา จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ยแหล่ะ พร้อมที่จะไปเดินวิปัสสนาต่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนไหนจะทำสมถะนะ ก็อย่าให้ขาดสติ หายใจไปเห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู หายใจไปจิตแอบไปคิด รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็มีจิตอีกคนนึงเป็นคนดู เฝ้ารู้ไปจนกระทั่งจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าเราทำสมถะเป็น เวลาบางช่วงบางครั้งบางคราวจิตก็เข้าพักสงบ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่นะ สงบ ไม่แส่ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สงบไม่คิดไม่นึกอะไร ใจว่างสบายสว่าง อันนี้ทำสมถะเต็มที่

ต่อไปก็หัด นั่งสมาธิไปแล้วเห็นจิตเคลื่อนไหวรู้ไปเรื่อยจนจิตตั้งขึ้นมา ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อย่างนี้ดี จะเอาไว้ต่อวิปัสสนา นี้พอเราหัดภาวนาไปนะ พุทโธๆ เราเห็นเลย พุทโธเป็นของถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้พุทโธ หายใจออกหายใจเข้านะ หายใจไป จนกระทั่งเห็นเลยร่างกายมันหายใจ จิตเป็นผู้รู้ว่าร่างกายหายใจ มีจิตที่เป็นผู้รู้ขึ้นมา จะเดินจงกลมยกเท้าย่างเท้าเห็นร่างกายมันเดินไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ต่อไปพอผู้รู้ผู้ดูมันหายแว้บไป คือมันขาดสติเมื่อไรมันหายเมื่อนั้น สติมันระลึกได้เองเพราะมันเคยรู้จักผู้รู้ผู้ดูเนืองๆ ฉะนั้นเราจะฝึกจนกระทั่งสามารถรู้สึกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันได้เนืองๆ เมื่อไรเป็นผู้หลงนะ ก็ขาดผู้รู้ เมื่อไรเป็นผู้รู้ก็ไม่เป็นผู้หลง บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็หลงเป็นผู้คิด บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็เป็นผู้เพ่ง

พอเรามาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเห็นตัวผู้รู้เค้าเกิดดับไปเรื่อยๆ เนี่ย เฝ้ารู้เฝ้าดูอย่างนี้เรื่อยๆ พอใจมันเป็นคนรู้คนดูขึ้นมาได้ มันจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นวัตถุ ร่างกายเป็นก้อนธาตุ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไป จะเห็นเวทมาทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ความไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ จนใจของเรามันตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ตั้งเอาไว้จนแข็งๆรู้ตัวตลอดเวลา อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องรู้บ้างเผลอบ้างนะ ถึงจะเห็นว่าตัวรู้เองก็เกิดๆดับๆ

สมัยก่อน หลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนโน้น เข้าวัดไหนครูบาอาจารย์พูดแต่คำว่า”ผู้รู้” ท่านยังสอนด้วยซ้ำไปว่า ศาสนาพุทธ “พุทธ”แปลว่าอะไร พุทธ (อ่าน พุท-ธะ) แปลว่า”รู้” พุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ใจของเราชอบเป็นผู้คิด ใจของเราชอบเป็นผู้หลง เราฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ทำยังไงใจจะเป็นผู้รู้  ถ้ารู้ทันสภาวะที่กำลังปรากฎนะ ใจจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา เช่นเผลอไปรู้ว่าเผลอ ใจก็จะเป็นผู้รู้ขึ้นแว้บนึง เป็นผู้รู้ตรงขณะไหน ขณะที่รู้ว่าเผลอ ถัดจากนั้นอาจจะเป็นผู้เพ่ง ใจโกรธขึ้นมานะ รู้ว่าโกรธ ขณะที่โกรธนะ ขณะนึง ขณะที่รู้ว่าโกรธนี่แหล่ะ ใจเป็นผู้รู้ขึ้นมาแล้ว ถัดจากนั้นอยากให้หายโกรธนี่ ใจมีอกุศลแล้ว มีความอยากเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเราดูใจเราไปเรื่อยนะ ไม่ใช่ผู้รู้ต้องเที่ยงถวร ผู้รู้ไม่เที่ยงหรอก ผู้รู้เองก็เกิดดับ

ครูบาอาจารย์องค์นึงสอนดีมากเลยคือ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ บอกเลยว่า ผู้ใดเห็นว่าผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฐิ จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยงแต่ว่าต้องมีอยู่อาศัยไว้ใช้ปฏิบัติเอา ของเราสังเกตสิ เดี๋ยวใจก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง เมื่อไหร่รู้สภาวะตรงความเป็นจริง ใจก็เป็นผู้รู้ขึ้นมาแว้บนึง เอาแค่แว้บเดียวพอนะ ไม่ต้องตั้งอยู่เป็นชั่วโมงๆ คนที่ตั้งเป็นชั่วโมงๆได้ต้องพวกที่เค้าทรงฌาน ผ่านฌานมาเต็มที่แล้ว เต็มภูมิอย่างน้อยได้ฌานที่สองแล้ว ได้ฌานที่สองใจจะเด่น ออกจากฌานมา ยังเด่นอยู่เป็นวันๆเลย อาศัยสมาธิอย่างนี้ตามรู้ดูกายดูใจได้นาน พวกเราไม่ได้ทรงฌานเนี่ยสมาธิจะอยู่แว้บเดียวๆเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” แต่อาศัย ขณิกสมาธิ เนี่ยแหล่ะทำมรรคผลนิพพานให้เกิดได้ เพราะสมาธิที่ใช้ทำวิปัสสนาจริงๆก็คือ ขณิกสมาธิ นี่แหล่ะดีที่สุดเลย รองลงมาก็คือตัว อุปจาร (คำเต็ม อุปจารสมาธิ) เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ ให้ใจมันตื่นขึ้นมา

วิธีง่ายที่สุดเลย ทำฌานไม่ได้ ทำยังไงใจจะตื่น ใจตื่นก็ตรงข้ามกับใจที่ไม่ตื่น ใจที่ไม่ตื่นคือใจหลับ ใจหลับได้ใจก็ฝันได้ ความฝันของใจก็คือความคิด ถ้าเมื่อไหร่รู้ว่าฝันนะเมื่อนั้นจะตื่น เวลาที่ใจไหลไปคิด ถ้าเมื่อไหร่พวกเรารู้ว่าจิตแอบไปคิดนะ เราจะตื่นขึ้นชั่วขณะนึง รู้ทันว่าจิตไหลไปคิด ขณะที่รู้นั่นน่ะตื่น ไม่เฉพาะหลงไปคิดนะ โกรธขึ้นมาขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นก็ตื่นเหมือนกัน แต่ตัวนี้ดูยากกว่า ใจของเราหลงคิดทั้งวัน มันดูง่ายกว่า อย่างจะดูจิตที่โกรธนะ แล้วก็ตัวรู้ว่าโกรธ วันนี้ยังไม่โกรธใครเลยเนี่ย จะภาวนายังไง แต่มีมั้ยวันใหนชั่วโมงไหนที่ไม่คิดมีมั้ย ไม่มีเลย จิตที่คิดคือจิตฟุ้งซ่าน เป็นจิตมีโมหะเค้าเรียกว่า “อุทธัจจะ” โมหะชนิด อุทธัจจะ จิตมันฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่เกิดบ่อยที่สุดเลยจิตฟุ้งซ่านเนี่ย

เราเอาตัวที่เกิดบ่อยเนี่ยแหล่ะมาหัดทำกรรมฐาน เราจะได้ทำกรรมฐานบ่อยๆ เพราะฉะนั้นจิตไหลไปคิดแล้ว อ้อ หลงไปแล้ว มีคำว่า “แล้ว” นะ ทำไมต้องมี แล้ว ด้วย หมายถึงว่า หลงไปก่อน ไม่ได้ห้ามหลง หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง หลายคนภาวนาผิดนะ ไปจ้องรอดู ไหน เมื่อไหร่จะหลง เมื่อไหร่จะหลง จ้องใหญ่ ขณะที่รอดูนั่นหลงเรียบร้อยแล้วนะ ไม่มีวันรู้เลยว่าหลงเป็นยังไงเพราะหลงไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้มันหลงไปก่อนให้มันเผลอไปคิดก่อน แล้วก็ค่อยรู้ว่าเผลอไป หลงไป ให้มันโกรธไปก่อน ให้มันโลภไปก่อน แล้วก็รู้ว่ามันโกรธ​รู้ว่ามันโลภ นี่หัดรู้อย่างนี้บ่อยๆรู้ไปแล้วจะได้อะไร เห็นมั้ย คำสอนในศาสนาพุทธละเอียดนะ จะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำอย่างไรบอกแล้วนะ อย่างถ้าจะดูจิตดูใจเนี่ย ตามดูไป ให้สภาวะเกิดแล้วก็ตามรู้ไป หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง โกรธไปก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ ตามดูไปเรื่อยๆ เราจะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำแล้วได้ผลอะไร ถ้าเราตามดูไปเรื่อย เราจะเห็นเลย เดี๋ยวจิตก็หลงเดี๋ยวจิตก็รู้  เดี๋ยวหลงเดี๋ยวรู้ นานๆจะมีอย่างอื่นแทรก เดี๋ยวโลภขึ้นมาเราก็รู้ หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ อ้าว เดี๋ยวโกรธขึ้นมา อีกแล้ว นานๆจะมีโลภแทรก นานๆจะมีโกรธแทรกที แต่หลงนี่มันยืนพื้นเลย มันเป็นกิเลสยืนพื้นเลย

ดังนั้นเราคอยรู้ทันเรื่อยๆ ไม่ใช่รู้เพื่อจะไม่ให้หลง แต่รู้เพื่ออะไร รู้เพื่อจะรู้ว่าเมื่อกี้จิตเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้จิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตโลภตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ ไม่ใช่ฝึกเพื่อจะไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง จะฝึกเพื่อให้เห็นว่า เมื่อกี้เป็นอย่างนึง เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนึง นี่คือการเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมนั่นเอง เห็นมั้ยเมื่อกี้จิตหลง ตอนนี้จิตหลงดับไปแล้ว เกิดจิตที่รู้ขึ้นมา เห็นมั้ยเมื่อกี้เป็นจิตโกรธ ตอนนี้เกิดเป็นจิตที่รู้ จิตโกรธดับไปแล้ว จิตที่รู้อยู่ไม่นาน เกิดจิตหลงขึ้นมาแทนอีกแล้ว เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ ฝึกไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่ฝึกเอาดี ไม่ใช่ฝึกปฏิเสธ สิ่งที่ไม่ดีแต่ฝึกจนเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้จิตรู้นี้ เป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น จิตโลภก็โลภชั่วคราว จิตโกรธก็โกรธชั่วคราว จิตหลงก็หลงชั่วคราว ทำไมหลงชั่วคราวเพราะมีตัวรู้มาคั่น มีจิตรู้มาคั่น เราก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลยมันก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลย มันก็จะมีแต่จิตหลง หลงทั้งวัน หลงทั้งคืน เราจะรู้สึกว่าหลงแล้วเที่ยง จะไม่เห็นหรอกว่ามันเป็นไตรลักษณ์ แต่เรามีรู้ขึ้นมานะ เพื่อจะเห็นหลงมันขาดเป็นท่อนๆ หลงไปหนึ่งนาทีแล้วรู้สึกตัวแว้บ เราเห็นเลยชีวิตที่หลงนะมันจบไปแล้ว มันเกิดชีวิตใหม่ที่รู้สึกตัว เสร็จแล้วหลงไปอีกห้านาที ก็รู้สึกอีกทีนึง หลงไปอีกชั่วโมงรู้สึกอีกที ต่อไปฝึกไปเรื่อยๆนะ หลงสามวินาทีรู้สึก หลงสองวินาทีรู้สึก ยิ่งฝึกเก่งนะยิ่งหลงบ่อย หลงแว้บรู้สึก ฝึกไปเรื่อย ไม่ใช่ฝึกไม่ให้หลง ไม่ได้ฝึกห้ามหลง ไม่ได้ฝึกที่จะให้รู้ตลอดเวลา แต่ฝึกเพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่ดับทั้งสิ้น

ปัญญาแก่รอบต่อไปอีก ก็จะเห็นอีกว่า จิตจะรู้หรือจิตจะหลงนะ ห้ามมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ นี่คือการเห็นอนัตตา เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่ใช่เราหรอก จิตจะหลง มันก็หลงของมันเอง จิตจะโลภ ก็โลภของมันเอง จิตจะโกรธ ก็โกรธของมันเอง จิตจะเป็นยังไงมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ จิตจะรู้ขึ้นมา ก็รู้ได้เอง จงใจรู้ก็ไม่ใช่อีกแล้ว แต่เราก็ต้องฝึกจนกระทั่งมันได้รู้ขึ้นมานะ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนี่ฝึกให้มันมีรู้ก่อน

บางคนได้ยินหลวงพ่อพูด หลวงพ่อเล่าให้ฟังนะว่า ตอนหลวงพ่อไปหาหลวงปู่ดุลย์ครั้งสุดท้าย สามสิบหกวันก่อนท่านมรณะภาพ หลวงปู่ดุลย์สอนหลวงพ่อ พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ ออกจากหลวงปู่ดุลย์นะ อีกวันไปหาหลวงพ่อพุธ หลวงพ่อพุธก็บอกท่านไปหาหลวงปู่ดุลย์มา หลวงปู่ดุลย์สอนอย่างเดียวกันนี้ บอก เจ้าคุณการปฏิบัติจะยากอะไร พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ สอนอย่างนี้ พอได้ยินอย่างนี้นะเลยพยายามทำลายผู้รู้ทั้งๆที่ผู้รู้ยังไม่มีเลย มีแต่ผู้หลงแต่หาทางทำลายผู้รู้ สติแตกสิ

ตอนนี้อย่าเพิ่งทำลายผู้รู้นะ ไม่ใช่เวลาทำลายผู้รู้ เอาไว้ให้ได้พระอนาคาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องทำลายผู้รู้ ตอนนี้เรายังไม่ได้ เราก็ยังไม่ทำลาย เราต้องมีผู้รู้ไว้ก่อน สังเกตมั้ยเดี๋ยวจิตก็รู้ เดี๋ยวจิตก็หลง เดี๋ยวจิตก็โลภ คอยรู้สึกไปเรื่อย รู้ัมันจะมีทีละแว้บ มีรู้อย่างนี้บ่อยๆ มีรู้ขึ้นมาเพื่อตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นช่วงๆ ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตตรงนี้รู้ เห็นมั้ยหลงต้องใหญ่หน่อย รู้ต้องนิดเดียว เป็นธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ใช่ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตเดี๋ยวนี้รู้ ปัจจุบันไม่โตขนาดนี้ คำว่าปัจจุบันน่ะเล็กนิดเดียว ชิวิตที่รู้ลงมาคือชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันได้ ขณะแว้บเดียวต่อหน้าเท่านั้น เล็กๆ ไม่มีรู้ยาวเท่านี้ (หลวงพ่อวาดมือ) รู้เที่ยงสิรู้อย่างนี้ รู้เที่ยงก็มิจฉาทิฐิ จริงๆรู้เกิดวับก็ดับ วับก็ดับ ดังนั้นเราฝึกนะจนกระทั่งเรารู้สึกขึ้นมา

วิธีที่จะให้รู้ขึ้นมาก็คือ คอยไปหัดรู้ทันเวลาใจหลงไปคิด อันนี้เป็นการบ้านที่ง่ายๆเลย เพราะจิตที่หลงคิดคือจิตที่เกิดบ่อยที่สุด จิตโลภจิตโกรธอะไรนี่มีน้อยนะ จิตหลงเนี่ยมีทั้งวันเลย เพราะในขณะที่โลภ ในขณะที่โกรธเนี่ยต้องมีหลงประกอบอยู่ด้วย ถ้าไม่หลงจะไม่มีโลภ ถ้าไม่หลงจะไม่โกรธ เพราะฉะนั้นจิตหลงเนี่ยเป็นตัวสาหัสสากันเลย ถ้าเราเรียนเรื่องจิตหลงได้ เราจะภาวนาได้ทั้งวัน

กรรมฐานนะ เราควรจะเลือกกรรมฐานซึ่งมันเกิดบ่อยๆ เราจะได้ดูบ่อยๆ อย่างใจเราหลงเนี่ยหลงทั้งวัน แล้วก็รู้ ใจหลงไปแล้วรู้  มันจะเห็นสลับกันเร็ว เคยมีนะ ตอนอยู่เมืองกาญฯ มีหนุ่มคนนึงมาถามหลวงพ่อ ผมใช้สิ่งอื่นนอกจากในสติปัฏฐานได้มั้ย ที่จะมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ถามว่าจะใช้อะไร ถ้าฟ้าร้องแล้วผมจะรู้สึกตัว ปีนึงมันร้องกี่ครั้งนะ นานมาก บางวันก็ไม่ร้องตั้งหลายเดือน แสดงว่าตลอดมาเนี่ยเอ็งไม่มีสติเลยใช่มั้ย เอ็งจะมีสติตอนหน้าฝนอย่างเดียว อย่างงี้ใช้ไม่ได้

พวกเราไปดูสิอารมณ์ในสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะ เป็นอารมณ์ที่เกิดตลอดเวลา หายใจออก หายใจเข้านี่ หายใจทั้งวันมั้ย ถ้าหายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวทั้งวัน ยืน เดิน นั่ง นอน มีทั้งวันใช่มั้ย ไม่ยืนก็เดิน ไม่เดินก็นั่ง ไม่นั่งก็นอน อะไรนี้ เวียนไปนี้ ถ้า ยืน เดิน นั่ง นอนรู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวได้เกือบทั้งวันแล้ว ยกเว้นอิริยาบถประหลาดๆ เช่น กระโดดอะไรนี้นะ หรือไปว่ายน้ำ เป็นอิริยาบถ แปลกๆไป ท่านก็สอนล็อกไว้อีกอันนึงเรื่องสัมปชัญญะ เคลื่อนไหวแล้วรู้สึก ก็เคลื่อนไหวแล้วก็หยุดนิ่ง หยุดนิ่งแล้วก็เคลื่อนไหว ถ้าหยุดนิ่งก็รู้สึก เคลื่อนไหวก็รู้สึก ก็รู้สึกตัวได้ทั้งวันแล้ว อารมณ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะเกิดทั้งวัน อารมณ์เวทนาล่ะ มีทั้งวันมั้ย สุข ทุกข์ เฉยๆก็หมุนอยู่อย่างนี้ทั้งวันใช่มั้ย ถ้าสุขก็รู้ตัว ทุกข์ก็รู้ตัว เฉยๆก็รู้ตัว ก็คือรู้ตัวได้ทั้งวัน ดูจิตดูใจล่ะ จิตหลงไปแล้วรู้ เกิดได้ทั้งวัน หลงทั้งวัน ยกเว้นบางคนนั้นขี้โลภ เจออะไรมันก็อยากตลอดเวลาเลย ความอยากเกิดถี่ยิบเลยทั้งวัน พวกนี้ก็เอาความอยากเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่เดี๋ยวมันอยากแว้บอยากดู รู้ทัน อยากฟังรู้ทัน อยากคิดรู้ทัน พวกโลภมากนะ ดูอยากเป็นวิหารธรรม มีจิตที่อยากกับจิตที่ไม่อยาก คู่เดียวก็พอแล้ว เกิดทั้งวันแล้ว คนไหนขี้โมโหนะ อะไรนิดนึงก็โมโห อะไรนิดนึงก็ขัดใจ ก็เอาจิตที่มีโมโหนี่แหล่ะมาเป็นวิหารธรรม จิตโกรธขึ้นมาก็รู้ ขณะที่รู้ว่าโกรธนั้นคือจิตที่รู้ จิตนั้นมันโกรธ เดี๋ยวก็โกรธอีก เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ เห็นมั้ยมันจะเกิดทั้งวัน

เพราะฉะนั้นอารมณ์กรรมฐานที่เราใช้นั้นต้องเป็นอารมณ์ที่เกิดทั้งวัน เราจะได้มีสติได้ทั้งวัน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เผลอไปรู้สึกตัว รู้ รู้ทันว่าเผลอ ก็รู้สึกตัว ก็เป็นจิตที่รู้ขึ้นมา ก็รู้ว่ามีจิตที่รู้อยู่ ทุกอย่างเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอด เวลา เราทำไปเพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบเช่น เราเห็นว่าร่างกายที่หายใจออก เกิดขึ้นมาแล้วดับไป กลายเป็นร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ กลายเป็นร่างกายที่หายใจออก ร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอนนี่ ก็คือร่างกายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆนะ ก็แสดงความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความหลงไปกับความรู้สึก หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ ก็แสดงความเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ภาวนาเพื่อให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบอะไรหรอกนั่นตื้นไป แต่ภาวนาเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ มันมีแต่ความไม่เที่ยง ในกายในใจนี้ มีแต่ความทนอยู่ไม่ได้ในสภาวะ อันใดอันหนึ่ง อยู่ไม่ได้ตลอดหรอก ไม่นานก็ต้องเสื่อมไป

มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้นะ สั่งไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ใช่เรานะ เป็นแค่วัตถุอันนึง จิตใจก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สั่งมันไม่ได้ นี่ภาวนาอย่างนี้ สุดท้ายจะได้อะไรขึ้นมา จะเห็นเลยว่า ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งขันธ์ห้านี้เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งหมดเลยนะ ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก อย่างร่างกายนะ ประคบประหงมมันอย่างดีเลย ให้มันมีความสุข ไม่นานเลยมันก็ทุกข์อีกแล้ว นี่อย่างนี้ดูไปเรื่อย มันเอื่อมระอา มันไม่ยึดกายแล้ว จิตใจก็เหมือนกันนะ อุตสาห์ทำความสงบเข้ามา ไม่นานก็ฟุ้งอีกแล้ว ทำดียังไงเดี๋ยวก็แย่ขึ้นมาอีกแล้ว มีแต่ของไม่เที่ยงนะ เห็นแล้วอิดหนาระอาใจ ในที่สุดไม่ยึดจิตใจด้วย

สุดท้ายไม่ยึดทั้งกายไม่ยึดทั้งใจ ก็ไม่ยึดสิ่งใดในโลกนะ จิตก็หลุดพ้นจากความยึดถือ เรียกว่าวิมุตตินะ จิตหลุดพ้น หลุดแล้วจะได้อะไร ได้เห็นนิพพาน แต่ไม่เป็นเจ้าของนิพพานนะ นิพพานไม่เป็นของใคร นิพพานเป็นธรรมดาของโลกอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมะประจำโลกอยู่อย่างนั้น แต่ว่าผู้ใดไปเห็นนิพพานผู้นั้นมีความสุขนะ จิตที่ไปรู้นิพพานนั้นมีบรมสุขที่สุดเลย มันพ้นความดิ้นรน พ้นความปรุงแต่ง พ้นความหิวโหย พวกเราค่อยๆฝึกนะ

วันนี้เทศน์มาตั้งแต่เช้าเนี่ยเรื่องอะไรบ้าง หวังว่าการปฏิบัติต้องรู้นะว่าเราจะทำอะไร ก็มีสมถะกับวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร ทำสมถะนะก็เพื่อให้มีกำลังไปทำวิปัสสนา หรือว่าบางครั้งก็ใช้พักผ่อนนิดๆหน่อยๆ พอมีเรี่ยวมีแรงสดชื่นแล้วก็ไปทำวิปัสสนา ทำอย่างไรนะ สมถะ เนี่ย ให้จิตไปอยู่ในอารมณ์ที่สบายแล้วจิตจะสงบ วิปัสสนานะให้ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจไป ใจเป็นแค่คนรู้คนดูไปเรื่อย โลภขึ้นมาแล้วรู้ โกรธขึ้นมาแล้วรู้ ดูไปเรื่อย รู้แล้วได้อะไร ทำแล้วได้อะไร ถ้าทำสมถะก็ได้ตัวรู้ขึ้นมา ทำวิปัสสนาก็ได้ปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ ได้เห็นความจริงแล้วก็หมดความยึดถือ ปล่อยวาง เข้าถึงบรมสุขที่แท้จริง


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๓
File: 520809A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องให้จิตตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นเจริญปัญญาไม่ได้

mp3 (for download): ต้องให้จิตตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นเจริญปัญญาไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องให้จิตตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นเจริญปัญญาไม่ได้

ต้องให้จิตตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นเจริญปัญญาไม่ได้

โยม : ค่ะ อย่างเรื่องสติปัฏฐานนี่นะคะ อย่างบางคนจิตฟุ้งซ่าน ไม่ยอมมีวิหารธรรม ไม่ว่าจะอยู่กับกายหรืออะไร แต่ว่าจะสามารถรู้ในขณะปัจจุบันอันนั้นได้ว่าตอนนี้รู้กายตอนนี้รู้สภาวธรรมทางใจที่เปลี่ยนแปลงไป หรืออาจจะคิดตรึกนึกถึงหัวข้อธรรมอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ จะใช้ได้มั้ยคะ คือแทนที่พุทโธๆจิตมันไม่ยอม อย่างนี้เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : พุทโธแล้วจิตไม่ยอม ก็หาอย่างอื่นให้จิตมันยอมนะ คือยังไงก็ต้องมีจิตที่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตมันฟุ้งๆไปเรื่อยถึงไปคิดธรรมะนะ เป็นความฟุ้งซ่านในธรรมะนะ

ต้องให้จิตตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ต้องให้จิตถอนตัวออกจากโลกของความคิดโลกของความปรุงแต่ง มาอยู่ในโลกของความรู้สึกตัว มันจะถอนตัวเหมือนคนดูฟุตบอลนะ ถอยขึ้นมาอยู่บนอัฒจรรย์เห็นนักฟุตบอลวิ่งอยู่โน่น หรือเห็นเขาแข่งเรือกันในแม่น้ำ เราอยู่บนบกไม่กระโดดลงไปอยู่ในแม่น้ำ ถ้าจิตมันถอนตัวจิตมันตั้งมั่น แยกตัวออกมาได้ ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวไปมา สักว่ารู้สักว่าเห็น อย่างนี้ถึงจะเดินปัญญาต่อได้นะ

แต่ถ้าจิตเราฟุ้งๆ แล้วเราจับอะไรไม่ถูกเลยนะ เดี๋ยวก็ว่อกแว่กไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดูไม่ได้จริงหรอก อย่างน้อยก็ต้องมีสมาธิรองรับนะ จิตต้องตั้งมั่น จะตั้งได้ชั่วขณะก็ยังดี ตั้งได้ชั่วขณะเขาเรียกว่าขณิกสมาธิ ยกตัวอย่างใจไหลแว้บแล้วรู้สึกขึ้นมา ตรงที่รู้สึกขึ้นมาแล้วเกิดเห็นร่างกายสติเกิดระลึกรู้ร่างกายปุ๊บเนี่ย เห็นร่างกายไม่ใช่เรา ได้เห็นในแว้บเดียว แค่นี้ก็ยังดี ใช้ได้ ขนาดนี้ แต่ถ้าจิตไม่ได้ตั้งมั่นเลยแล้วไปพิจารณากาย ไปคิดหัวข้อธรรมะ อันนี้เป็นความฟุ้งซ่าน

เพราะฉะนั้นต้องใช้หลักที่หลวงพ่อพุธท่านบอก ที่เล่าให้ฟังตะกี้นะ ใจเราต้องมีสมาธิหนุนหลัง คือมันต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมามันถึงจะเกิดปัญญา ถ้าจิตไม่มีสมาธิรองรับเนี่ยจะไม่มีปัญญา สมาธิคือความตั้งมั่นไม่ใช่ความสงบอย่างเดียว ในอภิธรรมท่านก็สอนนะ บอกว่าสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา เห็นมั้ย ถ้าขาดสมาธิความตั้งมั่นของจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นผู้ดู เห็นปรากฏการณ์ของรูปธรรมนามธรรมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนะ ถ้าไม่มีจิตตัวนี้ก็เดินปัญญาไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
File: 540810A
ระหว่างนาทีที่ ๖๖ วินาทีที่ ๐๘ ถึง นาทีที่ ๖๘ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิตไม่ได้ไม่มีสมาธิ แต่มีทีละขณะจิต

mp3 for download : ดูจิตไม่ได้ไม่มีสมาธิ แต่มีทีละขณะจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูจิตไม่ได้ไม่มีสมาธิ แต่มีทีละขณะจิต

ดูจิตไม่ได้ไม่มีสมาธิ แต่มีทีละขณะจิต

โยม : หลวงพ่อคะ แม่ชีจะเห็นแว้บไปแว้บมา เดี๋ยวก็เห็นอิริยาบถ เดี๋ยวก็เห็นจิต เดี๋ยวก็เห็นลมหายใจ ถูกต้องแล้วนะคะ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นถูกต้องแล้ว เพราะเวลาสติจะเกิดนี้ เราเลือกไม่ได้ว่าสติจะระลึกรู้อะไร สติเป็นอนัตตา นึกออกหรือยัง

โยม : ดูเหมือนคนไม่มีสมาธิ ดูเหมือนไม่มีหลักน่ะค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เรามีสมาธิ แต่มีทีละขณะเดียว ขณะใดที่ว่าขณะเดียว ขณะปัจจุบันไง ไม่ใช่ขณะยาวๆ

โยม : ค่ะ กราบขอบพระคุณ

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกที่บอกว่าสมาธิสั้น ไม่เห็นแปลกอะไร หลวงพ่อก็สมาธิสั้น ก็สั้นทีละขณะจิตหนึ่ง มันจะยาวไปได้อย่างไร

โยม : เคยถามหลวงพ่อตอนมาครั้งแรก ก็อย่างนี้ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๑๐ ถึงนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรามีหน้าที่เพียงเจริญไตรสิกขา จิตบรรลุหรือไม่เป็นเรื่องของเขา

mp3 for download : เรามีหน้าที่เพียงเจริญไตรสิกขา จิตบรรลุหรือไม่เป็นเรื่องของเขา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เจอท่านนานเลย หลายปี จนก่อนท่านมรณภาพไม่นาน ท่านไปเทศน์ที่องค์การโทรศัพท์ ปีสี่เท่าไหร่ ปี ๔๑ ประมาณนี้ จำไม่ได้แล้ว พอเข้าไป ท่านมาเทศน์เสร็จก็คลานเข้าไป กราบท่าน บอกว่า หลวงพ่อผมไม่เจอหลวงพ่อนานแล้ว ท่านบอกว่า หลวงพ่อจำได้นักปฏิบัติมีไม่มากหรอก

หลวงพ่อผมยังทำลายผู้รู้ไม่ได้เลย โอ้..คราวนี้นะ ท่านเปลี่ยนไปเลยนะ เหมือนท่านเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย กริยาท่าทางของท่านองอาจผึ่งผายนะ ท่านบอกว่า จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จะเจาะทำลายเปลือกออกมาเอง พูดห้าวหาญมากเลย โห..เราฟังปุ๊บเราเข้าใจแล้ว ท่านทำลายเปลือกออกมาได้แล้ว ท่านห้าวหาญมากเลย ท่านบอกวิธีให้นะ ไม่ได้ทำอะไรนะ รอให้ลูกไก่นี้โตขึ้นมา แล้วลูกไก่จะเจาะเปลือกเอง

ก็คือธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยสอนนั่นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรผลนิพพานได้นะ จิตบรรลุเอง เรามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญไตรสิกขานั่นเอง เมื่อเจริญเต็มที่แล้วนี่นะ จิตมีพลัง มีพลานุภาพเต็มที่แล้วนี่นะ จะเจาะทำลายอาสวะออกมาเอง

พระพุทธเจ้าท่านเทียบเหมือนคนทำนา บอกว่าชาวนานไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา

จิตนี้ก็เหมือนกันนะ เราเจริญไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญอย่างนี้แหละ ถึงวันที่เขาพอเพียงแล้ว อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเรานะ ค่อยฝึกไป คอยรู้กายคอยรู้ใจนะ ถือศีล ๕ ไว้เป็นเบื้องต้น วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมากก็ทำความสงบเข้ามา ให้จิตใจได้พักผ่อนบ้าง พอจิตใจสงบแล้วและพักผ่อนพอสมควรแล้วก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ให้เจริญปัญญาด้วยการมีสติรู้กายอย่างที่กายเขาเป็น มีสติรู้จิตอย่างที่จิตเขาเป็น ไม่เข้าไปแทรกแซงเขา

เวลารู้ ให้รู้อยู่ห่างๆ อย่าถลำลงไปรู้ อย่ากระโจนลงไปรู้ รู้อยู่ห่างๆเหมือนดูคนอื่น ดูกายนี้เหมือนดูกายคนอื่น ดูเวทนานี้เหมือนดูเวทนาคนอื่น ดูจิตนี้เหมือนดูจิตคนอื่นไป ดูเหมือนดูคนอื่นเรื่อยๆ ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิตนี้เป็นแต่สภาวธรรมซึ่งถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้สิ่งใดถูกดูสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นของอยู่นอกๆนะไม่ใช่ตัวเราหรอก

ให้เฝ้ารู้เฝ้าดูไป กระทั่งต่อมาเราจะเห็นว่า แม้กระทั่งผู้รู้ผู้ดูเองก็เกิดๆดับๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ผู้รู้เองก็เกิดดับๆเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆไม่มีอะไรคงที่สักอันเดียวเลย เนี่ยดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ วันหนึ่งลูกไก่ก็จะหลุดออกมาจากเปลือกได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510324B
ระหว่างนาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๔๒ ถึงนาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

mp3 (for download): จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

จิตนิ่งคือจิตตั้งมั่นหรือไม่

โยม : แล้วอย่างเราภาวนาไปนะคะ แล้วจิตมันนิ่งๆอย่างนี้ค่ะ ถือว่าเป็นจิตตั้งมั่นใช่มั้ยเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตนิ่งๆไม่ใช่จิตตั้งมั่นนะ ต้องไม่นิ่งที่อๆนะ ถ้ามันตั้งมั่นเนี่ย จิตจะไม่ว่อกแว่กหลงไปอยู่ในโลกของความคิดเท่านั้นแหละ เราไม่ได้ไปบังคับให้มันนิ่งนะ แต่ว่ามันก็นิ่งเหมือนกัน แต่มันนิ่งแบบรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ สบาย ไม่นิ่งทือๆแข็งๆนะ ไม่นิ่งแบบว่างๆไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นิ่งแบบจิตเข้าไปรวมกับความว่างข้างนอก มันนิ่งอยู่ด้วยความรู้สึกตัวอยู่

จิตที่ตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวเนี่ย ต้องสังเกตเอาตอนที่จิตหนีไปคิด ถ้าเรารู้ทันจิตที่หนีไปคิด จิตรู้จะเกิดขึ้น จิตรู้นั้นแหละเป็นจิตที่ตั้งมั่น เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันจิตที่หลงไปคิดนะ ตัวรู้(จิตผู้รู้ – ผู้ถอด)จะเกิดมันจะตั้ง จะตั้งได้พอดีไม่แข็งเกินไปไม่อ่อนเกินไป อ่อนเกินไปก็ขาดสติไหลหลงๆไป แข็งเกินไปก็ทื่อๆอยู่ ไม่เดินปัญญา ก็ตั้งพอดีๆ แค่ไหนพอดี ถ้าหนีไปคิดแล้วรู้ว่าหนีไปคิดนั้นพอดีเลย ถ้าจงใจจะให้ตั้งอยู่ อันนี้จะตึงเกินไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
File: 540810A
ระหว่างนาทีที่ ๕๔ วินาทีที่ ๔๐ ถึง นาทีที่ ๕๕ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เริ่มต้นภาวนาอย่างไร ?

mp3 (for download): เริ่มต้นภาวนาอย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เริ่มต้นภาวนาอย่างไร ?

เริ่มต้นภาวนาอย่างไร ?

โยม : กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ คือลูกก็สนใจธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ว่าด้านการปฏิบัตินี่เพิ่งจะเริ่มขั้นอนุบาลน่ะเจ้าค่ะ แล้วก็อยากจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อค่ะว่า จะเริ่มต้นวิธีไหนที่จะเหมาะสมกับจริตของเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถือศีล ๕ ไว้ก่อนนะ ตั้งใจไว้ก่อน แล้วก็มีสติ พัฒนาสติขึ้นมา สติเป็นเครื่องมือของการปฏิบัติ ไม่ว่าจะปฏิบัติวิธีไหน ก็ต้องมีสติทั้งนั้นแหละ แล้วก็คอยรู้ทัน อะไรเกิดขึ้นแก่ใจคอยรู้ทันเรื่อยๆ หรือร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้ทันมันนะ ร่างกายยิ้ม ร่างกายหัวเราะ อะไรอย่างนี้ คอยรู้ทันไปเรื่อยๆ สติจะเกิดเร็วขึ้นๆ ต่อมาก็ฝึกสมาธิ จิตแอบไปคิดรู้ทัน จิตแอบไปคิดรู้ทัน จะได้สมาธิขึ้นมา

จำไหวมั้ย อันแรกนะ ถือศีล ๕ ไว้ก่อน จงใจถือไว้ก่อน แล้วมีสติคอยรู้ทันใจของเรา เอาง่ายๆเลยนะ เอาย่อๆเลย ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นรู้ทัน แล้วก็ ร่างกายเคลื่อนไหวคอยรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวคอยรู้สึก คอยรู้สึกอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วจิตหนีไปคิดคอยรู้สึก ยังงง เอาใหม่

อันแรกเลย ถือศีล ๕ ไว้ก่อนนะ อันที่สองคอยรู้ทันจิตของตัวเองไว้ จิตใจเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก แล้วก็รู้ทันร่างกายด้วย ร่างกายเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ไม่ต้องดูจิตอย่างเดียวหรอก แล้วก็จิตแอบไปคิดคอยรู้สึก รู้จักจิตแอบไปคิดมั้ย รู้สึกมั้ยคิดทั้งวัน รู้จักจิตคิดเนี่ย ไปดูตรงนี้เลย ดูบ่อยๆ จิตจะหนีไปคิดทั้งวันนะ คอยรู้บ่อยๆไว้ ถ้าเห็นตรงนี้ได้บ่อยๆนะ จิตจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่นขึ้นมานะ หลุดออกจากโลกของความคิดได้

พอจิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลุดออกจากโลกของความคิดแล้วนี่นะ จิตพร้อมที่จะเดินปัญญา เวลาร่างกายเคลื่อนไหวจิตเป็นผู้รู้อยู่ จะเห็นเลยว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา เห็นเองเลย เวลาที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้อยู่นะ จิตใจเคลื่อนไหว เช่นความสุขความทุกข์ กุศล-อกุศลเกิดนะ สติระลึกรู้ปั๊บ จิตตั้งมั่นเป็นผู้ดูอยู่นี่ จะเห็นเลย สุขทุกข์ กุศล-อกุศล ไม่ใช่ตัวเรา

เพราะฉะนั้นเราภาวนา เราต้องรู้นะ เป้าหมายของการภาวนาของพวกเรานี่น่ะ เพื่อล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน นี่นะขั้นแรกนะเราต้องตั้งเป้ามาตรงนี้ก่อน ทุกๆคนนะ ตั้งเป้ามาว่าเราจะฝึกกรรมฐานนี่น่ะเพื่อล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน เพราะคนใดล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนได้คือพระโสดาบัน เอาตรงนี้ก่อน ยังไม่ต้องถึงขนาดว่าจะข้ามภพข้ามชาติอย่างไร เอาโสดาให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งไปชกมวยข้ามรุ่น

เพราะฉะนั้นตั้งหลักตรงนี้ พอเรารู้ว่าเราจะต้องดูจนกระทั่งเห็นว่าไม่มีตัวไม่มีตน ความจริงไม่มีตัวไม่มีตนอยู่แล้ว ความเป็นตัวเป็นตนเกิดจากการคิดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นเราพยายามฝึกรู้สึกตัว รู้สึกตัว จิตหลุดออกจากโลกของความคิด เวลาเห็นกายจะเห็นเลย กายไม่ใช่ตัวตน เห็นจิตก็จะเห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวตน ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ฝึกเอาง่ายที่สุดเลยนะ ถ้าจิตหนีไปคิดน่ะ คอยรู้ทันไว้ ไปฝึกตัวนี้ให้เยอะเลยนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
File: 540216
ระหว่างนาทีที่  ๔๙ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๕๒ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีศีล ๕ อย่าพูดเรื่องเจริญปัญญา

mp3 (for download): ไม่มีศีล ๕ อย่าพึ่งพูดเรื่องมรรคผล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่มีศีล ๕ อย่าพูดเรื่องเจริญปัญญา

ไม่มีศีล ๕ อย่าพูดเรื่องเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ทำอย่างไรจะเกิดปัญญา ปัญญานี้แหละเป็นตัวล้างความโง่ ใช่มั้ย ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลสู้กิเลสหยาบๆ ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้กายวาจาเรียบร้อย

สมาธิสู้กิเลสอย่างกลาง คือความฟุ้งซ่าน ทำให้ใจเรียบร้อย ใจสงบ

ปัญญานะ สู้กับกิเลสละเอียด คือความโง่ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นเครื่องต่อสู้กับความโง่ความไม่รู้

คนเข้าถึงมรรคผลได้ก็ด้วยปัญญา แต่จะมีปัญญาได้ก็ต้องสู้กับกิเลสหยาบ กิเลสกลาง มาแล้วนะ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆฉันจะมีปัญญา ยังรักษาศีล ๕ ไม่ได้เลย อย่ามาอวดเรื่องมรรคเรื่องผลนะ ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางเลย เพราะกิเลสหยาบๆยังสู้ไม่ได้ จะไปสู้กิเลสละเอียดได้อย่างไร

กิเลสละเอียดคือความโง่นะ เพราะฉะนั้นศัตรูหมายเลขหนึ่งของพวกเราชาวพุทธ คือความไม่รู้นั่นแหละ ไม่ใช่คือคนอื่น ศัตรูของเราคือความไม่รู้ ความไม่รู้ของใคร ของตัวเราเองนั่นแหละ โง่เอง โง่ที่จะหยิบฉวยเอาขันธ์ ๕ มาเป็นตัวเราของเรา เป็นตัวกูของกู พอหยิบฉวยขึ้นมาก็ทุกข์เองแหละ ไม่มีใครเขาทุกข์ด้วยหรอก ใครหยิบคนนั้นก็ทุกข์นะ ใครหยิบใครแบกเอาไว้คนนั้นก็หนักของตัวเอง

เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาพัฒนาให้เกิดปัญญา ให้เห็นแจ้ง ให้รู้แจ้ง ให้เห็นจริง ว่าขันธ์ ๕ รูปนาม กายใจนี้ ที่เราเรียกประกอบขึ้นมาเป็นตัวเรา ที่เราคิดว่าเป็นตัวเราๆนี้ ต้องมาเรียนให้เห็นความจริงเลย มันเป็นตัวทุกข์ มันไม่ใช่ของดีของวิเศษที่จะมายึดมาถือว่าเป็นตัวเราของเราอีกต่อไป

ถ้าวันใดเห็นว่าขันธ์ ๕ ว่าเป็นทุกข์นะ จิตจะสลัดขันธ์ ๕ ทิ้งเอง ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตสลัดคืนขันธ์ ๕ ให้โลกได้เอง เมื่อจิตมีปัญญา เราทำแค่เงื่อนไขนะ พัฒนาให้จิตมีปัญญา

จิตเหมือนลูกเรานะ เราไปสอบแอดมิต สอบอะไรแทนลูก ทำไม่ได้หรอก ลูกต้องมีปัญญาเอง จิตนี้ก็เหมือนกัน เหมือนเด็ก เหมือนลูกนะ เราช่วยให้มีการศึกษาได้ แต่มันจะเก่งหรือไม่เก่ง มันจะสอบได้หรือสอบไม่ได้ อยู่ที่ตัวมันเอง

เพราะฉะนั้นจะมาพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเนี่ย เหมือนเอาลูกเข้าโรงเรียน ลูกมันขยันก็ภาวนาไป มันก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ลูกมันไม่ดี หรือพ่อแม่ไม่ให้การศึกษา ไม่เคยรับการศึกษาเลย มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้ปัญญาขึ้นมา เราอย่าไปนึกว่าเราสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ ไม่มีใครสั่งได้ จิตเป็นอนัตตา สั่งไม่ได้หรอก สั่งให้ดีก็ไม่ได้ ห้ามชั่วก็ไม่ได้ สั่งให้สุขก็ไม่ได้ ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ จิตเป็นอนัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๒๒ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๐๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ขอเชิญชม วีดีโอธรรมะบรรยาย หลวงพ่อปราโมทย์ หัวข้อบรรยายธรรม: รู้ทันกันหลงในงานธรรมะเปลี่ยนชีวิต ครั้งที่ 5

ขอเชิญชม วีดีโอธรรมะบรรยาย หลวงพ่อ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช หัวข้อบรรยายธรรม: รู้ทันกันหลงในงานธรรมะเปลี่ยนชีวิต ครั้งที่ 5

จัดโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ ชมรมสารธรรมล้านนา ในวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม 2554 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หลวงพ่อปราโมทย์เริ่ม เทศน์ตั้งแต่ นาทีที่ 15.00 เป็นต้นไป >>>




ขอขอบพระคุณ ชมรมสารธรรมล้านนา ที่เอื้อเฟื้อ VDO และ ภาพถ่ายครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

mp3 (for download): วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะรู้ทันกิเลส ความโลภ ใครไม่รู้จักว่าโลภเป็นอย่างไร มีมั้ย ใครไม่เคยโลภมีมั้ย ใครไม่เคยโกรธมีมั้ย ใครไม่เคยฟุ้งซ่าน ใครไม่เคยหดหู่ ใครไม่เคยลังเลสงสัยมีมั้ย

ไม่มีหรอก ทุกคนเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น นี่กิเลสนานาชนิดเรารู้จักอยู่แล้วทั้งนั้นนะ เพียงแต่เราละเลยที่จะรู้มัน เราปล่อยให้มันเกิดแล้วมันครอบงำจิตใจของเราได้ แล้วมันก็มาครอบงำพฤติกรรมทางกายวาจา ทำผิดศีลขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้นเราอาศัยสตินี่แหละ คอยรู้ทันใจของตัวเองบ่อยๆนะ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น ศีลจะเกิดขึ้นเอง (หมายถึง ไม่ต้องจงใจบังคับไม่ให้ทำผิดศีล – ผู้ถอด) ถ้าศีลเกิดขึ้น กิเลสชั่วหยาบ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เนี่ย ครอบงำใจไม่ได้ นี่เราสู้ไปได้ยกหนึ่งแล้วนะ กิเลสหยาบๆสู้ด้วยศีล จะมีศีลได้ดี ต้องมีสติรักษาจิต (ให้มีสติ แล้วสติจะทำหน้าที่รักษาจิตเอง เพราะสติมีหน้าที่รักษาจิต – ผู้ถอด)

กิเลสอย่างกลางชื่อว่านิวรณ์ นิวรณ์นี้ทำให้ใจฟุ้งซ่าน แค่ฟุ้งๆนะ ยังไม่ถึงกับทำผิดศีล ๕ แค่ใจไม่สงบ ศีล ๕ ทำให้กายวาจาเรียบร้อย กายวาจาเรียบร้อยเพราะรักษาจิตเอาไว้ได้ ส่วนนิวรณ์นี้ทำให้ใจฟุ้งซ่าน ใจไม่เรียบร้อย คู่ปรับกับนิวรณ์นี้ก็คือ สมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นตัวที่ฝึกแล้วจิตใจเรียบร้อย จิตใจสงบ จิตใจมีความสุข ยังไม่เกิดปัญญานะ นั่นยังเป็นอีกขั้นหนึ่ง

ศีลนั้นน่ะ เอาไว้สู้กับกิเลสอย่างหยาบ ทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิเอาไว้สู้กับกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจเรียบร้อย

จิตใจของเราไม่เรียบร้อย จิตใจของเรากระโดกกระเดกตลอดเวลา รู้สึกมั้ย เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู แส่ส่ายตลอดเวลา ไม่มีความสงบเลย เรียกว่าไม่มีสมาธิ จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ตั้งมั่น กระโดกกระเดกตลอดเวลา

วิ่งออกไปแล้วไปเจอของที่ชอบใจนะ เป็นกามฉันทะนะ อยากเจออารมณ์ที่ถูกใจ มีกามฉันทะ วิ่งไปแล้วไปเกลียดอารมณ์ที่ไม่ชอบใจนะ เป็นพยาบาท ไม่ชอบ บางทีกระโดดไปกระโดดมาจับอารมณ์ไม่ถูกนะ เรียกว่าอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านมากๆก็หงุดหงิดนะ เรียกว่ารำคาญใจ เรียกว่า กุกกุจจะ บางทีก็สงสัย เกิดความลังเลสงสัยขึ้นมา พระพุทธเจ้าจะมีจริงเหรอ มรรคผลนิพพานจะมีจริงเหรอ ทางปฏิบัติเพื่อมักผลนิพพานจะมีจริงเหรอ สงสัยไปเรื่อย ขณะที่สงสัยใจก็ฟุ้งซ่าน เห็นมั้ย จิตใจไม่เรียบร้อยนะ

เวลาที่นิวรณ์เกิดน่ะ จิตใจจะไม่เรียบร้อย จิตใจจะกระโดกกระเดก เรามาฝึกจิตให้มันเรียบร้อยด้วยสมาธิ

วิธีจะฝึกจิตให้เกิดสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก ศัตรูของสมาธิก็คือความฟุ้งซ่านนานาชนิดนั่นเอง เราก็มาฝึกใจของเรา มีสติรู้ทันจิตอีกนั่นแหละ ถ้าจิตฟุ้งซ่านขึ้นมา จิตไหลไป วิ่งไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิดนะ จิตไหลทั้งว้น พวกเราที่หัดภาวนากับหลวงพ่อมาช่วงหนึ่ง จะเห็นว่าจิตมันไหลตลอดเวลา เดี๋ยวไหลไปดู เดี๋ยวไหลไปฟัง เดี๋ยวไหลไปคิด พอเราเห็นจิตไหลไป พอเรารู้ทันนะ จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู

แต่ว่าปกติมันไหลทั้งวัน โอกาสที่จะรู้ทันว่ามันไหลเนี่ย มีน้อย เราต้องหาเครื่องช่วย เครื่องช่วยก็คือ เครื่องอยู่ของจิต ต้องหาบ้านให้จิตอยู่ เบื้องต้นจะอยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้ ใครถนัดพุทโธเอาพุทโธ ใครถนัดลมหายใจ รู้ลมหายใจ ใครถนัดดูท้องพองยุบ ก็ดูท้องพองยุบ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย ไม่ดีไม่เลวมากกว่ากัน อะไรก็ได้ เท่าๆกันทั้งหมดเลย

เบื้องต้นหาอารมณ์อันหนึ่งขึ้นมาก่อน เป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นเครื่องอยู่ให้จิต อยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้ อยู่กับท้องพองยุบก็ได้ อยู่กับอิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ ให้จิตมีเครื่องอยู่ พอจิตมีเครื่องอยู่เราสังเกตอย่างนี้ พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตมันจะไหลตลอด ชอบไหลไปคิด ดูออกมั้ย จิตหนีไปคิดทั้งวัน จิตหนีไปคิดนั่นแหละ จิตฟุ้งซ่านล่ะ จิตไม่มีสมาธิล่ะ

เพราะฉะนั้นมาฝึกนะ จิตไหลไปแล้วรู้ พุทโธไป จิตหนีไป แล้วรู้ ลืมพุทโธไปแล้ว หายใจไป จิตหนีไป ลืมลมหายใจแล้ว รู้ทัน คอยรู้เรื่อยๆ อย่าไปบังคับว่าห้ามไหลไป ถ้าบังคับนะ จะกลายเป็นเพ่ง เช่นพอรู้ลมหายใจก็ไปจ้องนิ่งอยู่กับลมหายใจ ไม่เผลอไปไหนเลย อันนั้นไม่ดี จะพัฒนาต่อไปยาก ได้แต่สงบ สงบนิ่งๆ บังคับไว้ ไม่ดี

วิธีฝึกสมาธิที่ดีนะ อยู่กับพุทโธ อยู่สบายๆ อยู่กับลมหายใจ อยู่สบายๆ ดูท้องพองยุบ ดูสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่คำว่าสบาย สมาธิจะเกิด ถ้าจิตมีความสุข เคล็ดลับอยู่ตรงนี้เอง ถ้าจิตไม่มีความสุข จิตจะไม่มีสมาธิ เพราะฉะนั้นเราหายใจไป หายใจอย่างสบายๆ พุทโธไป พุทโธไปสบายๆ รู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบ รู้อย่างสบายๆ รู้อิริยาบถ ๔ รู้ ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สบายๆ อย่าบังคับจิต ว่าห้ามเผลอห้ามหลง

ถ้าจงใจบังคับจิตเมื่อไหร่ จิตจะไปเพ่ง เช่นรู้ลมหายใจนะ จิตจะไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้จะนิ่งๆทื่อๆละ เดินปัญญาต่อไม่ได้ จิตไปติดล็อคละ ไปดูท้องพองยุบ ไปเพ่งอยู่ที่ท้องนะ จิตนิ่งอยู่ที่ท้อง อย่างนี้จิตไม่เดินปัญญาต่อ ไม่ดี เราเอาแค่ว่าหายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ พุทโธไป จิตหนีไปแล้วรู้ ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปแล้วรู้ ใครถนัดอะไร เอาอันนั้น ไม่ดีไม่เลวแตกต่างกันหรอก เหมือนๆกันหมดแหละ กรรมฐานอะไรก็ได้ เอาที่เราถนัด เอาที่เราทำแล้วมีความสุข

ถ้าทำแล้วเครียดไม่เอา ถ้าใครพุทโธแล้วเครียดก็ไม่เอา ไปเอาคำอื่น ไปเอาอย่างอื่น ใครรู้ลมหายใจแล้วเครียดก็ไม่เอา ไปเอาอย่างอื่นนะ กรรมฐานมีเยอะแยะไป ลองดูสักอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่กับอะไรแล้วมีความสุขนะ อยู่กับอันนั้นไป จิตจะสงบเองนะ จิตจะค่อยๆสงบ

พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธๆ จิตไหลแล้วรู้ พุทโธๆ พุทโธๆ ไหลแล้วรู้ สักพักเดียวนะ จิตจะค่อยๆเชื่อง จิตจะไม่ค่อยไหล จิตจะสงบ รู้อยู่ สงบอยู่แล้วก็รู้ตัวอยู่ด้วย ไม่ใช่สงบแล้วเคลิบเคลิ้ม พวกเราต้องระวังให้ดี พวกที่ชอบนั่งสมาธิ นั่งแล้วเคลิ้มเนี่ย เหลวไหลที่สุดเลย นั่งสมาธิต้องไม่ขาดสตินะ นั่งสมาธิต้องมีสติตลอดเลย ไม่ใช่นั่งแล้วเคลิ้ม.. อย่างนั้นไปนอนเสียดีกว่า เดี๋ยวคอเคล็ด ไม่ได้เรื่องหรอก ทำไปแล้วโมหะมากกว่าเก่า แทนที่ทำไปแล้วจะลดละกิเลส

เนี่ย พอใจเราภาวนาไปนะ หาเครื่องอยู่อันหนึ่ง ใจเราก็ค่อยๆเชื่องๆนะ มันเชื่องเอง ค่อยๆเชื่อง มันไม่ฟุ้งไป เนี่ยเราสู้กิเลสอย่างกลางได้ กิเลสอย่างกลางเป็นตัวนิวรณ์ ความฟุ้งนานาชนิด ฟุ้งไปชอบเรียกว่ากามฉันทะ ฟุ้งไปเกลียดเรียกพยาบาท ฟุ้งไปฟุ้งมาเรียกอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา – ผู้ถอด) ฟุ้งแบบอ้อยสร้อยอ้อยอิ่งหมดเรี่ยวหมดแรง เรียกถีนมิทธะ จิตมันมีแต่ฟุ้งไปทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น เรารู้ หากรรมฐานอันหนึ่ง จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ ฝึกอย่างนี้เรื่อย จิตจะมีสมาธิ จิตจะไม่ฟุ้ง เราสู้กิเลสอย่างกลางได้แล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๑๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๐๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นาทีทองของผู้ปฏิบัติ

mp 3 (for download) : นาทีทองของผู้ปฏิบัติแนวสมถยานิก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

นาทีทองของผู้ปฏิบัติ

นาทีทองของผู้ปฏิบัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สัมมาสมาธิ จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างมีความสุข ไม่ขาดสติ สงบก็สงบลงไปนิ่มๆ รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ใช่หล่นวูบเลย ลืมตัวเองไปนะ ไม่ใช่

เสร็จแล้วพอถอยออกมาจากสมาธิ มารู้กาย มารู้ใจ โดยเฉพาะถ้าจิตถอยออกมาจากสมาธินะ เป็นนาทีทองของผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติโดยเอาสมถะนำหน้า ให้รู้ลงไปถึงความเปลี่ยนแปลงของจิตเลย ในขณะนั้น จิตเมื่อตะกี้นี้มีปีติตอนนี้ไม่มี จิตเมื่อตะกี้นี้มีความสุขตอนนี้ไม่มี จิตเมื่อตะกี้นี้เฉยๆต้องนี้ชักไม่เฉยแล้ว วิ่งไปวิ่งมา เนี่ยเราจะเริ่มเห็นความไม่เที่ยง

หลวงพ่อพุธท่านเคยสอน บอกว่า ตรงนี้คือนาทีทองนะ พวกเรารู้จักแต่นาทีทองที่จะไปซื้อของ จะไปจับฉลาก เราไม่รู้จักนาทีทองของการปฏิบัติ

นาทีทองของการปฏิบัติ ตอนที่จิตถอยออกจากความสงบ หรือตอนที่ตื่นนอน คนไหนทำฌานไม่ได้นะ ตอนที่ตื่นนอนมาปุ๊บเนี่ย ให้รีบมีสติ รู้ทันจิตใจของตนเองที่กำลังเปลี่ยแปลงไป ต่อหน้าต่อตา นี่คือนาทีทองของการปฏิบัตินะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก่อนฉันเช้า

CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๕
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องมีสติ มีจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา

mp 3 (for download) : ต้องมีสติและสัมมาสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ต้องมีสติ มีจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา

ต้องมีสติ มีจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเรารุ่นหลังๆคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติมากขึ้นๆ แทนที่สติจะระลึกรู้กาย สติระลึกรู้ใจ เราเอาสติไปกำหนดกายกำหนดใจ เช่นกำหนดลมหายใจ กำหนดอิริยาบถ ๔ กำหนดเวทนา กำหนดไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

สติจริงๆคือความระลึก ระลึกได้ถึงความมีอยู่ของกาย ระลึกได้ถึงความมีอยู่ของใจ ถ้าเมื่อไหร่เราใจลอย เราจะระลึกไม่ได้ถึงความมีอยู่ของกายของใจ กายกับใจมีอยู่ แต่เหมือนกับหายไป สังเกตมั้ยตอนที่ใจลอย คือตอนที่ดูพระพุทธรูปเมื่อตะกี้นี้ กายก็ยังมีอยู่นะ แต่เราลึมมันไป จิตใจก็มีอยู่แต่เราลืมมันไป นี่เรียกว่าขาดสตินั่นเอง ลืมกายลืมใจ สติเป็นเครื่องระลึกรู้ความมีอยู่ของกายความมีอยู่ของใจ ศัตรูของสติคือความขาดสติ ความเผลอความหลงนั่นเอง ความใจลอยนั่นเอง ความเหม่อ

ทีนี้พอเรามีสติแล้ว ใจเราต้องมีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือใจตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็น ตั้งมั่นแบบนุ่มนวล อ่อนโยน ตั้งมั่นแบบเบาๆนะ เรียกว่ามีลหุตา ใจเราเบา มีมุทุตา ใจเราอ่อนโยนนุ่มนวล มีกัมมัญญตาควรแก่การงาน คือไม่ถูกกิเลสครอบงำ ยกตัวอย่างภาวนาด้วยความอยากปฏิบัติ อยากได้มรรคผลนิพพาน อยากปฏิบัติ เรียกว่ามีกิเลสครอบงำ จิตไม่ควรแก่การงาน จิตดวงนั้นเป็นอกุศล

จิตที่เป็นกุศล คล่องแคล่ว ว่องไว เรียกว่าปาคุญญตา ไม่ใช่ซึมทื่อๆ ผู้ปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย น้อมจิตให้ซึมทื่อ นั่นทำลาย ปาคุญญตา ลงไปแล้ว จิตที่ซึมทื่อเป็นอกุศลจิต เอาจิตที่เป็นอกุศลมาเจริญวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นกุศล มีอุชุกตา คือซื้อๆ ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ กายเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น ซื่อๆ เพราะฉะนั้นเราต้องมีจิตที่มีสัมมาสมาธิ จิตของเราต้องสบาย ต้องผ่อนคลาย รู้เนื้อรู้ตัว ไม่หลงไม่เผลอไป ครูบาอาจารย์วัดป่าเรียกว่า “จิตผู้รู้”

จิตผู้รู้ก็ไม่ใช่จิตที่แข็งกระด้าง ไม่ใช่จิตที่ทื่อๆ ซึมๆ จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่าลืมคำว่าเบิกบาน อย่าลืมคำว่าตื่น ยกตัวอย่างนั่งอยู่นะ แล้วบอกว่ารู้อยู่นะ แต่ซึมๆอยู่นี้เรียกว่าไม่ตื่น นั่งอยู่แล้วแข็งกระด้าง ไม่เบิกบาน นั่นไม่ใช่จิตผู้รู้ นั่นเป็นจิตผู้เพ่ง เพราะฉะนั้นเราต้องมีจิตที่มีคุณภาพนะ มีสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่น อ่อนโยน นุ่มนวล เบา เป็นกลาง สบาย คล่องแคล่วว่องไว ซื่อตรง ในการรู้กายรู้ใจ

พอเรามีจิตชนิดนี้ขึ้นแล้ว เวลามีสติระลึกรู้กาย เราจะเห็นความจริงของกาย การเห็นความจริงของกายเรียกว่าปัญญา มีสติระลึกรู้จิตใจ แล้วก็จะเห็นความเป็นจริงของจิตใจ แล้วก็จะเห็นความจริงของจิตใจ การเห็นความจริงนั้นแหละเรียกว่าปัญญา

เพราะฉะนั้นเราต้องมีเครื่องมือ คือ สติ มีสัมมาสมาธิ มีปัญญา สติเป็นความระลึกได้ถึงกายถึงใจ ไม่ลืมกายไม่ลืมใจ ไม่เผลอ ไม่ใจลอยไป

สัมมาสมาธิ ใจเบา ใจนุ่มนวล ใจอ่อนโยน ไม่ใช่ไปเพ่งกายเพ่งใจ เพราะฉะนั้นพวกเผลอไปก็คือพวกขาดสติ พวกเพ่งกายเพ่งใจก็คือพวกขาดสัมมาสมาธิ เพ่งแล้วใจทื่อๆ ถ้าเราไม่เผลอไปกับเราไม่เพ่งไว้ เรียกว่าเรามีสติ เรามีสัมมาสมาธิ เมื่อใดมีสัมมาสมาธิมีสติแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เราจะเห็นทันทีว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา หลวงพ่อขอย้ำว่า เห็นทันทีนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก่อนฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๑
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปปัญจธรรม ธรรมะที่ทำให้เนิ่นช้า

mp 3 (for download) : ปปัจธรรม ธรรมะที่ทำให้เนิ่นช้า

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปปัญจธรรม ธรรมะที่ทำให้เนิ่นช้า

ปปัญจธรรม ธรรมะที่ทำให้เนิ่นช้า

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทิฏฐิมานะมากทำให้เนิ่นช้า ธรรมะที่ทำให้เนิ่นช้าท่านเรียกว่า ปปัญจธรรม

ปป้ญจธรรมมี ๓ อย่าง อันที่หนึ่งตัณหา อันที่สองมานะ อันที่สามทิฎฐิ พวกเราพวกคนเมือง ปัญญาชน คนฉลาด คนเก่ง เจ้าทิฎฐิมานะนะ วางตัวนี้ให้ได้แล้วจะเร็ว เพราะเราไม่ได้มีแต่ความเชื่อมั่น เชื่อตัวเอง เพ่งเอาๆ แล้วก็คิดว่าต้องเพ่งไว้ก่อนแล้วจะดีทีหลัง

ก่อนหลวงพ่อบวชน่ะ เคยดูทีวี รายการทไวไลท์โชว์ ยังมีมั้ย หรือเลิกไปแล้ว ทำไมมันทนนักล่ะรายการนี้ มันทนเหลือเกิน ตอนนั้นเขานิมนต์อาจารย์พระมหาบัวมา คุณไตรภพเขาถามท่านบอกว่า เนี่ยถ้าผมทำสมาธิไปเรื่อยๆ มันจะเกิดปัญญามั้ย ท่านอุทาน หา.. เกิดอะไรนะ เกิดปัญญามั้ย ไม่เกิด คนละเรื่องกัน

สมาธิทำให้เกิดความสุขความสงบ สมาธิคือการพักผ่อน อันนี้หลวงพ่อขยายความนะ สมาธิเป็นการพักผ่อน การเจริญปัญญานั้นเหมือนการทำงาน การทำงานกับการพักผ่อนไม่เหมือนกันนะ ยกตัวอย่างถ้ามาถามเราบอกว่า ผมนอนมากๆแล้วผมจะรวยมั้ยเนี่ย ก็เหมือนถามว่าผมทำสมาธิมากๆแล้วจะเกิดปัญญามั้ย เป็นคำถามที่มีค่าเท่ากันเลย นอนมากๆแล้วผมจะรวยมั้ย ไม่รวยต้องไปทำงาน ไปทำแต่ความสงบ ความนิ่ง ความเฉยซึมกะทืออยู่นะ แล้วก็มีทิฎฐิมานะว่าต้องอย่างนี้แหละๆ แล้วจะบรรลุ หารู้ไม่ว่า อาฬารดาบส อุทกดาบส เขาก็ทำมาก่อน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า

CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๔
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

mp3 (for download): ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

ชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเจริญปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราบางคนก็คิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องแค่ทำทาน ถือศีล อะไรอย่างนี้

ทำทานมันก็ดี แต่ว่ามันไม่พ้นทุกข์น่ะ ถือศีลมันก็ดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์หรอก ทำสมาธิก็ดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์หรอก ในศาสนาอื่นเขาก็มี การทำทาน การรักษาศีล การทำสมาธิ มีทุกศาสนานะ มีอยู่ทุกๆศาสนา

สิ่งที่จะได้มา จากการทำทาน รักษาศีล การทำสมาธิ คือการไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือมีความสุขอยู่ในปัจจุบันนี้ ชั่วครั้งชั่วคราว เวลาที่เราทำทานนั้นอิ่มเอิบ แป๊บเดียวเราก็โลภ พอความโลภเกิดขึ้นมา ความอิ่มเอิบเบิกบานจากการทำทานก็หายไป เรารักษาศีล ตั้งใจรักษา แป๊บเดียวศีลขาดแล้ว นึกถึงศีลทีไรแทนที่จะสดชื่นนะกลับเศร้าหมอง เมื่อเราไม่มีปัญญาจะรักษา ทำสมาธิได้ก็สงบได้ชั่วครั้งชั่วคราว ออกจากสมาธิฟุ้งซ่าน บางคนฟุ้งยิ่งกว่าเก่าอีก

คนที่ติดสมาธินะ ติดสมถะน่ะ หลวงพ่อก็เคยเห็น แต่ก่อนตามวัดตามวานั้นมีเยอะ นั่งสมาธิกันมากเลย ไม่รู้ว่านั่งสมาธิเพื่ออะไร ความจริงนั่งสมาธินั้นเป็นการเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา ไม่ใช่นั่งสมาธิเพื่อจะทำสมาธิ พอนั่งสมาธิก็สงบ น้อมใจให้นิ่งๆไป ออกจากสมาธินะ อารมณ์ร้ายกว่าเก่าอีก เพราะตอนทำสมาธิมันเก็บกดน่ะ ข่มกิเลสเอาไว้ เรียบๆ กิเลสไม่ทำงานขึ้นมา

เพราะฉะนั้นการที่จะทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ก็ดีนะ แต่ไม่พ้นทุกข์หรอก แต่จำเป็น มันเป็นพื้นฐานในการที่จะลดละความเห็นแก่ตัวลง ทำทานได้ก็ลดละความเห็นแก่ตัว ยกตัวอย่างเราให้วัตถุทาน ก็ลดละความเห็นแก่ตัวลง เราให้อภัยทานก็ลดละความเห็นแก่ตัวลง เราให้ธรรมทาน ให้ความรู้ความเข้าใจกับคน ยกตัวอย่างคนทำมาหากินไม่เป็น เราสอนวิธี.. เมื่อก่อนมี ใครนะ ชื่ออะไร.. ลุงขาว ไขอาชีพ สอนทอดปาท่องโก๋ ก็เป็นธรรมทานนะ ให้ความรู้ความเข้าใจให้คน อย่างนั้นมันก็ดี ก็ลดละความเห็นแกตัวไป

ถือศีลก็ต้องละความเห็นแก่ตัว ถือศีลแล้วเห็นแก่ตัวมากนะ ก็ถือยาก ทำสมาธินะ ก็ตัดความวุ่นวายจากโลกภายนอกออกไป มาสงบอยู่กับตัวเอง ค่อยๆมาเรียนรู้ตัวเอง ก็ดีเหมือนกัน

ก็ไม่ใช่ว่า หลวงพ่อบอกว่าไม่ควรทำนะ มีโอากาสทำก็ทำ ทำทานรักษาศีลทำจิตให้สงบ เราต้องฝึกตัวเองทุกวันๆ แต่ถัดจากนั้นมาต้องเจริญปัญญาให้เป็น ถ้าเจริญปัญญาไม่เป็น ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริงหรอก เพราะชาวพุทธนะ คำสอนของพระพุทธเจ้าถึงขั้นเจริญปัญญา ไม่ใช่ให้เชื่อ ไม่ใช่ให้ศรัทธา ไม่ใช่มีแค่ศรัทธา เชื่อเอา ไม่ใช่แค่ทำทาน แค่รักษาศีล แค่ทำสมาธิ ต้องเจริญปัญญา เพราะอะไร เพราะบุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่การไฟฟ้าผ่านผลิตแห่งประเทศไทย
ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย นนทบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
File: 540530
ระหว่างนาทีที่  ๕ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 6 of 10« First...45678...Last »