หลวงพ่อปราโมทย์ : เรียนกรรมฐานอย่าหวังพึ่งคนอื่น ส่วนมากชอบอ้างว่ากัลยาณมิตรสอนอย่างนั้นอย่างนี้ ปัญหาก็คือ เราไม่รู้หรอกว่าใครคือกัลยาณมิตร
อย่างไปเรียนกับครูบาอาจารย์ กระทั่งหลวงพ่อปราโมทย์ รู้ได้ไงว่าเป็นกัลยาณมิตร เราเอาภูมิอะไรมาตัดสินว่าคนนี้ถูกคนนี้ไม่ถูก สิ่งที่จะช่วยเราได้มากคือโยนิโสมนสิการ พระพุทธเจ้าเคยสอนว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของอริยมรรค แต่สอนอีกที่นึงท่านบอกว่า โยนิโสมนสิการเป็นทั้งหมดของอริยมรรค หมายถึง ถ้ามีโยนิโสมนสิการก็จะได้มรรคได้ผลได้ หรือมี กัลยาณมิตรที่แท้จริงก็จะได้มรรคได้ผลได้
คนสมัยพุทธกาลมีกัลยาณมิตร มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร มีพระอรหันตสาวก ที่ท่านรับรอง มาถึงยุคเรานี้ อย่าหวังพึ่งกัลยาณมิตร เราไม่รู้ว่าใครคือกัลยาณมิตรตัวจริง เราจะเชื่อเอาก็จะงมงายนะเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนอื่นไม่ได้อย่างเด็ดขาดเลย
สิ่งที่จะช่วยเราได้มากคือ โยนิโสมนสิการ คำว่าโยนิโสมนสิการคือความแยบคายในการสังเกตเอา เช่นถ้าเราภาวนาแล้วจิตสว่างว่างโล่ง อยู่เป็นเดือนๆ ปีๆ เราต้องรู้แล้วว่ามันผิด เพราะอะไร พระพุทธเจ้าสอนว่ามันไม่เที่ยง ทำไมมันเที่ยง ท่านสอนว่ามันทุกข์ ทำไมมันสุข ท่านสอนว่าเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ นี่เหมือนมันบังคับได้ กูเก่งๆ อยู่ซะอีก ถ้ามันฝืนมันทวนกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องรู้แล้วว่ามันผิด ต้องคิดพิจารณาเทียบเคียงเข้ากับคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของกาย ของเวทนา ของจิตที่ไปรู้เข้า ต้องดูเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ดูเพื่อเอาชนะขันธ์ หรือถือศีลแล้วไปบลัฟคนอื่นว่าคนอื่นไม่มีศีล อันนี้ไม่ใช่การถือศีลที่ถูกแล้ว เราต้องสำรวจตัวเองได้
โยนิโสมนสิการ ก็คือการตรวจสอบตัวเองด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนี้แหละสำคัญที่สุดเลย ต้องเรียนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร คำสอนหลักของพระพุทธเจ้าก็อยู่ในเรื่องของอริยสัจสี่ ในอริยสัจสี่ มีเรื่องทุกข์กับสมุทัยเป็นฝ่ายโลก นิโรธกับมรรคเป็นฝ่ายที่จะพ้นจากโลก พ้นจากทุกข์ มีเหตุกับผล ทำเหตุอย่างนี้ได้ผลเป็นทุกข์ ทำเหตุอย่างนี้ได้ความพ้นทุกข์ หน้าที่ต่อทุกข์ อะไรคือทุกข์ ต้องรู้ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือขันธ์ห้านั่นเอง กายใจเรานี่เอง
หน้าที่ต่อทุกข์คือรู้อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่ละ ถ้าเราภาวนาแล้วเราพยายามละทุกข์ เรามีโยนิโสมนสิการเราก็รู้แล้วว่าทำผิดแล้วล่ะ แทนที่เราจะรู้ทุกข์อย่างที่มันเป็น รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น เราก็พยายามไปดัดแปลง แสดงว่าเราออกนอกทางแล้ว ความสังเกตจะช่วยเราได้ดีที่สุดเลย ในกรอบคำสอนของพระพุทธเจ้า สมุทัยให้ละ อะไรเป็นสมุทัย สมุทัยคือความอยาก นั่นเอง ให้ละอย่าไปเชื่อมันอย่าไปตามมันไป นิโรธ นิพานทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ มรรคย่อลงมาก็คือศีล สมาธิ ปัญญา คือทำสิ่งที่หลวงพ่อสอนวันนี้แหละ ศีล สมาธิ ปัญญาก็เจริญขึ้น สุดท้ายอริยมรรคเกิด แจ้งนิพพาน แจ้งนิโรธ ทุกข์ก็พ้นไป
อย่าเชื่อกัลยานมิตรนะ ใช้โยนิโสมนสิการให้มากขึ้นหน่อย พึ่งตัวเองให้เยอะหน่อย ว่างๆอ่านพระไตรปิฎกบ้าง อ่านพระวินัย กับพระสูตร นะ อภิธรรมถ้าไม่ได้เรียนอ่านไม่รู้เรื่อง อภิธรรมเป็นการแยกแยะสภาวะธรรม รู้กระบวนการทำงานของสภาวะธรรมต่างๆ รู้ที่มาที่ไป รู้เหตุรู้ผล ชึ่งเราภาวนาแล้วเราจะเห็นอภิธรรม ภาวนาเอาแล้วจะเห็น อ่านเท่าที่อ่านได้ อ่านพระวินัย กับพระสูตรดู เราจะได้แม่น ไม่ใช่ใครเขาพูดอะไรก็เชื่อๆไปหมดนะ สังเกตเอา เรียนหลักให้แม่นแล้วสังเกตเอา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แสดงธรรมที่ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๖ ช่วงเวลา ชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๘ ถึง ชั่วโมงที่ ๑ นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๕
ขอขอบคุณ คุณ Janjira Chaisunee
เว็บไซต์ Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่