Author Topic: ดูความเป็นตัวเรา ดูยังไง  (Read 11982 times)

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียน คุณลุงถนอมค่ะ

เมื่อตอนที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ  หนูรู้สึกว่ามีตัวเรายืนพื้นอยู่  แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน   มาระยะนี้หนูเห็นความรู้สึกว่า เป็นเรากำลังทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น เรากำลังขับรถ  เรากำลังนั่ง เป็นต้น  และต่อจากนั้นก็หนีไปรับอารมณ์อื่น   
แต่ขณะที่อินอยู่กับการพูดคุย  หรืออินกับการทำงาน หรือคิดเรื่องต่างๆที่ต้องจดจ่อ  จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องราวเหล่านั้น  ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา
ก็เลยสงสัยว่า  โดยหลักปริยัติแล้วขณะนั้นมันปรุงแต่งไปจนเป็นภพ ชาติแล้วใช่ไหมคะ   มันก็ควรจะมีความเป็นตัวเป็นตนของเราแล้วใช่ไหมคะ  แต่หนูไม่รู้สึกถึงความเป็นตัวเราในขณะนั้น    แม้ว่าจะมีบางขณะที่สลับมารู้สึกถึงตัวเองบ้าง 
 
ขอรบกวนคุณลุงช่วยแจกแจงสภาวะให้หน่อยค่ะ  และหนูกำลังดูอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า

กราบขอบพระคุณค่ะ  _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ตามหลักปริยัติแล้ว ความเป็นตัวตน หรือความเป็นตัวเรา มิได้มีอยู่ หรือมิเคยมีอยู่ ไ่ม่ว่าในกาลไหนๆ ซึ่งปรากฎเอาไว้ใน ธรรมนิยามสูตรว่า "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" ครับ

สพฺเพ สงฺขารา ก็หมายถึง สังขารธรรมทั้งหลาย หมายถึงธรรมะฝ่ายปรุงแต่งทั้งหมด มีลักษณะไม่คงที่ (ไม่เที่ยง) มีลักษณะเสื่อมดับทำลาย (ทุกข์) ส่วน สพฺเพ ธมฺมา หมายถึง ธรรมะทุกอย่าง หมายถึง "ทุกๆสิ่ง" ไม่ใช่ตัวตน ไม่มียกเว้นสิ่งใดๆเลย

ใน "สพฺเพ ธมฺมา" หรือที่ว่า "ทุกๆสิ่ง" นั้น หมายถึง สังขารธรรม กับ วิสังขารธรรม (หรือธรรมะที่พ้นความปรุงแต่ง) ได้แก่ นิพพาน เอาไว้ด้วยครับ ดังนั้น ในธรรมนิยามสูตรได้ยืนยันเอาไว้เลยครับว่า ไม่มีตัวตนในที่ไหนๆทั้งสิ้น หรือหากพูดในความหมายที่หยาบๆสำหรับปุถุชนก็ต้องบอกว่า ไม่มีตัวเราในที่ไหนทั้งสิ้น ไม่มีตัวกูในที่ไหนทั้งสิ้น

แต่ทีนี้ ตัวเรา หรือ ตัวกู มาจากไหน?

หากลองสังเกตลงไปจริงๆแล้ว เราจะพบว่า ตัวเรา หรือ ตัวกู นี้ ความจริงมันคือ "ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา" หาใช่ "ความเป็นตัวเราที่แท้จริง" ไม่ สำหรับปุถุชนแล้ว ความรู้สึกเป็นตัวเราจะเด่นชัดอยู่ตลอดเวลา เกิดดับสืบเนื่องอยู่ตลอดเวลา แทบไม่มีเวลาใดที่เว้นว่างจากการมี "ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา" นี้เลยครับ แต่เมื่อเป็นนักภาวนาที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ถูกต้องจริงๆแล้ว จึงจะพบว่า "ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา" ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา

นักภาวนาบางท่าน ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน หากแต่ไปแทรกแซงจิต ไปปรุงแต่งจิต ก็ยังมีทิำฎฐิประหลาดๆได้ครับ เช่น มีทิฎฐิว่า "ตัวเรามีอยู่ ต้องทำลายตัวเรา" แต่หากเป็นนักภาวนาที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ถูกต้อง แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ จะเห็นว่า "ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา" ไม่มีอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี

ดังนั้น สิ่งที่คุณ PlaDao รู้สึกอยู่ นั้นถูกต้อง ทั้งส่วนที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ กับเมื่อปฎิบัติไปแล้วช่วงหนึ่ง ทุกๆคนก็จะเป็นดังที่คุณ PlaDao พบนั่นเองครับ

แต่ที่ต้องขอปรับความเข้าใจอีกส่วนก็คือ การปรุงแต่งไปเป็นภพ เป็นชาติ ไม่ใช่การปรุงแต่งไปเป็น "ตัวเรา" นะครับ คำว่า ภพในภาษาไทยนั้น ภาษาบาลีใช้คำว่า ภว (พะวะ) หรือ ภโว ส่วนภาษาสันสกฤติใช้คำว่า "สภาวะ" เห็นอะไรหรือยังครับ ที่เราๆชอบไปส่งการบ้านหลวงพ่อกันว่า เห็นสภาวะอย่างนั้น เห็นสภาวะอย่างนี้ ความจริงแล้ว คือการเห็น สังขารธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นมา เห็นกิเลสที่ปรุงแต่งขึ้นมา จนสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่มี "ความรู้สึกเป็นตัวเรา" ถูกปรุงแต่งขึ้นมาครับ

การปรุงแต่งจนเกิด "สภาวะ" ตามที่เราชอบส่งการบ้านกับหลวงพ่อนั้น หากปรุงแต่งถึงเพียงแ่ค่นี้ "ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา" ยังไม่เกิดหรอกครับ หากแต่เมื่อไรที่จิตยังคงไม่มีสติ และปรุงแต่งต่อ จิตจะหลง จิตจะไหล เข้าไปแนบแน่น เข้าไปเกาะ กับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาต่อแล้วล่ะก็ ถัดจากนั้นจะเกิดความยึดถือ ว่าสิ่งนี้ๆเป็นของเรา สิ่งนี้ๆเป็นตัวเรา "ความรู้สึกเป็นตัวเรา" จึงจะเกิดขึ้นครับ เกิดขึ้นกันตรงนี้แหละครับ

ดังนั้น นักภาวนาที่เจริญสติปัฏฐานได้ถูกต้องช่วงหนึ่งแล้ว บางขณะ จิตที่มีสติ (เพราะจดจำสภาวธรรมนั้นได้อย่างแม่นยำ) เกิดขึ้นตามหลังการเกิดขึ้นของกิเลส จิตไม่ไหลไปเกาะกับสภาวธรรม ความรู้สึกเป็นตัวเราก็ไม่เกิดขึ้น

เมื่อความรู้สึกเป็นตัวเราไม่เกิดขึ้น นักภาวนาก็จะเห็นได้ว่า บางครั้ง ไม่มีตัวเรา มีแต่สภาวธรรมเกิดขึ้น หากเห็นซ้ำๆก็จะเห็นว่า ความเป็นตัวเรา (หรือความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆไป เห็นซ้ำๆไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มยอมรับความจริงที่ว่า ตัวเราไม่ได้มีอยู่จริงๆ ความรู้สึกว่าตัวเราเที่ยง(มาแต่ไหนแต่ไร) เป็นเพียงแค่สภาวะหนึ่งๆ เหมือนๆกับสภาวะอื่นๆ แต่บางท่านไม่ได้เห็นอย่างนี้นะครับ เพราะบางท่านไปเห็นความรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้น เกิดขึ้นแนบแน่น หนักแน่น ที่จิตผู้รู้ก็มีนะครับ ซึ่งแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่ก็ตาม แต่กระบวนการของการภาวนาและการตัด (คือ อริยมรรค) เหมือนๆกัน คือ เข้าไปเห็นความจริงที่จิต ว่าจิตก็มีความเกิดดับเหมือนๆสภาวธรรมอื่นๆ จะเกิดอริยมรรคขึ้นที่จิต เหมือนๆกันครับ

สำหรับที่คุณ PlaDao ถามว่า เวลาที่คุย เวลาที่อิน กับเรื่องต่างๆ ทำไมถึงมีแต่เรื่องราว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา ก็เพราะ ในขณะนั้นที่จิตเกิดความรู้สึกตัวขึ้น เป็นการเกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ เกิดขึ้นเพราะจิตไปสัมผัสกับสภาวธรรมที่จิตเขาจดจำสภาวธรรมนั้นได้แม่นยำ จึงเกิดจิตที่มีสติขึ้น จิตที่มีสติจริงๆเกิดขึ้นมาแล้ว ในขณะนั้น ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราไม่ได้มีอยู่ เพราะเป็นจิตที่มีสติ ดังนั้น คุณ PlaDao เห็นถูกแล้ว ส่วนเวลาอื่น เช่น เวลาขับรถ เวลานั่ง หากจงใจที่จะปฏิบัติ จงใจที่จะรู้ ความรู้สึกเป็นตัวเราจะยังคงถูกปรุงขึ้นมาครับ เพราะมีความจงใจเป็นเหตุ (ตรงนี้แหละครับ ที่นักภาวนาพวกหนึ่งจึงมีความเห็นว่า ตัวเรานั้นมีอยู่ แล้วต้องทำลายไป แท้จริงแล้ว ตัวเรามีอยู่ เพราะมีความจงใจปฏิบัติครับ) แต่เพราะเราต้องฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ทำให้เรายังต้องพึ่งความจงใจนะครับ เพราะหากไม่จงใจจะปฎิบัติแล้ว เราก็คงไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นแน่ เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ให้พอดีๆ เหมือนกับการเติมเกลือลงในอาหารนั่นแหละครับ ใส่มากไปก็ทานไม่ได้ ใส่แต่น้อยๆ พอดีๆ ครับ

สรุปว่า การภาวนาไม่ได้คลาดเคลื่อนนะครับ เห็นตามความเป็นจริงอยู่แล้วครับ เพียงแต่สมมุติฐานที่ตั้งเอาไว้ในใจนั้น ไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงครับ ก็ขอให้ภาวนาต่อไป แล้วตัวสมมุติฐานที่ตั้งเอาไว้ในใจ ก็จะค่อยๆเปลี่ยนไปคล้อยตามกับความเป็นจริงได้เอง จนวันหนึ่งในที่สุด ก็ไม่ต้องมีสมมุติฐานใดๆ เพราะได้พบกับความจริงฝ่ายหลุดพ้นทั้งหมดครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_

คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สาธุค่ะคุณลุง  _/|\_   

หนูยังงงๆตรง paragraph นี้ค่ะ 
“สำหรับที่คุณ PlaDao ถามว่า เวลาที่คุย เวลาที่อิน กับเรื่องต่างๆ ทำไมถึงมีแต่เรื่องราว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา ก็เพราะ ในขณะนั้นที่จิตเกิดความรู้สึกตัวขึ้น เป็นการเกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ เกิดขึ้นเพราะจิตไปสัมผัสกับสภาวธรรมที่จิตเขาจดจำสภาวธรรมนั้นได้แม่นยำ จึงเกิดจิตที่มีสติขึ้น จิตที่มีสติจริงๆเกิดขึ้นมาแล้ว ในขณะนั้น ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราไม่ได้มีอยู่ เพราะเป็นจิตที่มีสติ ดังนั้น คุณ PlaDao เห็นถูกแล้ว ส่วนเวลาอื่น เช่น เวลาขับรถ เวลานั่ง หากจงใจที่จะปฏิบัติ จงใจที่จะรู้ ความรู้สึกเป็นตัวเราจะยังคงถูกปรุงขึ้นมาครับ เพราะมีความจงใจเป็นเหตุ (ตรงนี้แหละครับ ที่นักภาวนาพวกหนึ่งจึงมีความเห็นว่า ตัวเรานั้นมีอยู่ แล้วต้องทำลายไป แท้จริงแล้ว ตัวเรามีอยู่ เพราะมีความจงใจปฏิบัติครับ) แต่เพราะเราต้องฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ทำให้เรายังต้องพึ่งความจงใจนะครับ เพราะหากไม่จงใจจะปฎิบัติแล้ว เราก็คงไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นแน่ เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ให้พอดีๆ เหมือนกับการเติมเกลือลงในอาหารนั่นแหละครับ ใส่มากไปก็ทานไม่ได้ ใส่แต่น้อยๆ พอดีๆ ครับ”


คือที่ “หนูเห็นความรู้สึกว่า  เป็นเรากำลังทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น เรากำลังขับรถ  เรากำลังนั่ง เป็นต้น  และต่อจากนั้นก็หนีไปรับอารมณ์อื่น”  นั้น     มันรู้ขึ้นมาตอนที่จิตหนีจากอารมณ์อื่นมารู้กาย  และเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า “เรา”   ตอนนั้นทำให้หนูเข้าใจว่า ความเป็นเรานั้นเป็นเพียงความคิด  แท้จริงกายก็อยู่ส่วนกายไม่ใช่เรา   ส่วนความรู้สึกว่า “เรา” และเรื่องราวอื่นนอกจากนั้นก็เป็นเพียงนามธรรมที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

คำถามคือว่า   การรู้เห็นสภาวะที่ว่านี้  หนูกำลังจงใจดูหรือว่า หนูกำลังเห็นว่าความเป็นตัวเราเป็นสิ่งที่ถูกรู้


ส่วนที่ว่า “แต่ขณะที่อินอยู่กับการพูดคุย  หรืออินกับการทำงาน หรือคิดเรื่องต่างๆที่ต้องจดจ่อ  จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องราวเหล่านั้น  ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา”   นั้น ขณะหนูกำลังหลงยาวค่ะ  นานๆก็จะรู้สึกถึงร่างกายบ้าง  แต่ไม่ได้สนใจว่ามีตัวเราหรือไม่มีตัวเรา       

จากคำอธิบายของคุณลุง  หนูเข้าใจว่าอย่างนี้ค่ะ... จริงๆแล้วหนูกำลังหลงจนไม่รู้ไม่เห็นว่า  มีการปรุงความเป็นเราสลับอยู่...    เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ

ขอบพระคุณค่ะ 
_/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
คำถามคือว่า   การรู้เห็นสภาวะที่ว่านี้  หนูกำลังจงใจดูหรือว่า หนูกำลังเห็นว่าความเป็นตัวเราเป็นสิ่งที่ถูกรู้

ตอนนั้น นึกขึ้นได้ว่า ต้องรู้กาย จึงมีความจงใจมารู้ที่กาย ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ความรู้สึกตัวเกิดก่อนหน้าที่จะนึกได้ว่า ต้องรู้กาย แล้วล่ะครับ พอจงใจมารู้กาย ก็จะเกิด "เรารู้" ขึ้นมาครับ


ส่วนที่ว่า “แต่ขณะที่อินอยู่กับการพูดคุย  หรืออินกับการทำงาน หรือคิดเรื่องต่างๆที่ต้องจดจ่อ  จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องราวเหล่านั้น  ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา”   นั้น ขณะหนูกำลังหลงยาวค่ะ  นานๆก็จะรู้สึกถึงร่างกายบ้าง

ครับ ตอนนั้นรู้ขึ้นเองโดยอัตโนมัติ รู้ขึ้นเองเฉยๆ เลยเห็นแต่สภาวะ ไม่ได้ปรุงแต่สภาวะ เรารู้ ขึ้นมา เพราะไม่ได้จงใจ เกิดจากจิตเกาะกับอารมณ์จนนาน จิตเลยถอยมาเป็นผู้รู้ผู้ดูแว่บหนึ่ง เป็นการรู้โดยไม่จงใจครับ

และสำหรับตอนนี้ ไม่ต้องไปดูว่า ไม่เห็นการปรุงความเป็นเราขึ้นมานะครับ อย่าไปตั้งแง่มุมว่า จะหลุดพ้นได้ ต้องเห็นความเป็นเราเกิดขึ้นและดับลงเท่านั้น อย่าไปกะเกณฑ์อย่างนั้นครับ เพราะหากเป็นอย่างนั้น จะเกิดความจงใจที่จะดู จะเกิดความดิ้นรนที่จะดู จะเกิดความลังเลสงสัย เพราะเราไปตั้งเป้า ว่าจะหลุดพ้นจะต้องรู้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงแล้ว ในขั้นของปุถุชน ที่จะฝึกฝนตนเองให้ถึงอริยภูมิ แค่เห็นว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป เป็นธรรมดา นะครับ จะใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็ช่าง แค่รู้ แค่เห็น ตามความเป็นจริง ที่แสดงไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้วครับ

เวลาที่ความสงสัยเกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่ากำลังสงสัย เวลาที่มีความร้อนใจที่จะรู้คำตอบ ต้องการรู้ให้แน่ชัด ก็ให้รู้ทัน ว่าร้อนใจนะครับ การรู้เห็นว่าเราเกิดดับ ไม่ใช่ตำตอบสำเร็จรูปนะครับ แต่การรู้เห็นว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไป เป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดเกิดแล้วไม่ดับ อย่างนี้สิครับ ที่เป็นกุญแจสำคัญของการภาวนาในระดับปุถุชนครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
กราบขอบพระคุณค่ะ คุณลุงถนอม _/|\_

หายไปหลายวัน เพราะไม่สบายค่ะ 
ช่วงนี้รู้สึกว่า  จิตไม่ยอมดูอะไรเลย  เหมือนมันเบื่อที่จะดู  เหมือนจับจด  ดูๆปล่อยๆ เหมือนไม่ได้อะไร  เหมือนภาวนาไม่เป็น
ก็พยายามรู้มันไปอย่างนั้นค่ะ  แต่ก็หวั่นใจว่าจะกลายเป็นปล่อยปละละเลย 

ต้องปรับอะไรไหมคะ ทุกวันก็ทำตามรูปแบบอยู่ค่ะ

รบกวนคุณลุงอีกนิดนะคะ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เวลาที่ไม่สบายนะครับ จิตใจมักจะสลดหดหู่ และไม่มีกำลัง ให้ดูความไม่ชอบใจไว้นะครับ ดูเรื่อยไป แล้วเราจะสังเกตเห็นว่า ความไม่ชอบใจไม่ใช่ตัวจิต แต่เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้าครับ แต่หากมีความไม่ชอบใจแล้วไม่ยอมดูนะครับ พยายามไปดูสิ่งอื่นๆ จิตจะไม่มีกำลัง เพราะไม่รู้ทันกิเลสที่กำลังครอบงำจิตใจอยู่น่ะครับ แล้วจิตก็จะมีอาการดิ้นรน บางทีดิ้นรนน้อยๆนะครับ ไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้จิตกระสับกระส่าย ไม่มีกำลัง แล้วเราก็ดูไม่ออก รู้ไม่ทันนะครับ

ก็คอยสังเกตความไม่ชอบใจไว้ เวลาที่ไม่สบายน่ะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ปกติถ้าเรารู้ทันว่ากิเลสตัวไหนครอบงำเราอยู่ มันจะหายไปใช่ไหมคะ  พอไปดูความไม่ชอบใจอย่างที่คุณลุงแนะนำ มันก็ไม่หายจากสภาวะซึมๆที่ว่า 
แต่พอไปดูความหดหู่ รู้สึกว่ามันจะโปร่งขึ้นมาสักพัก  แล้วเผลอๆก็กลับไปอีก   เป็นอย่างนี้ไม่ทราบว่าเราดูถูกตัวรึเปล่า แต่เหตุมันยังไม่หมดมันก็เลยถูก
ความหดหู่ครอบงำอีก  เข้าใจถูกไหมคะ

(พอดีว่า ช่วงนี้นอกจากไม่สบายแล้ว ยังมีเรื่องราวน่ากังวลหลายเรื่องเกิดขึ้นด้วย)

 _/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
สาธุครับ คุณ Pladao ดูได้ถูกต้องแล้วครับ คือ ดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำจิต เมื่อดูได้ถูกต้องจริง คือ ดูโดยไม่ได้จงใจจะดู หรือ ดูโดยไม่ได้ไปบังคับให้กิเลสหาย กิเลสจะดับเอง เพราะเกิดจิตดวงใหม่ที่มีสติ เป็นกุศล ทำให้กิเลส อันเป็นกุศล ไม่เกิดใหม่ (แต่ขณะจิตถัดๆมาจะเกิดอีกก็ได้ เมื่อเหตุยังมีอยู่ เช่น ความไม่สบายกายเป็นเหตุ ทำให้จิตหดหู่ ครับ)

แต่หลักสำคัญนะครับ เราไม่ได้ดูเพื่อให้กิเลสหายไปตลอด (ไม่กลับมาใหม่) แต่เราดูเพื่อที่จะรู้ว่า กิเลสเกิดขึ้นมาได้ ก็ดับได้ กิเลสเป็นของชั่วคราว ไม่อยู่ถาวร ครับ

หมายเหตุ ความหดหู่ เป็นกิเลสตระกูลเดียวกับพวกโทสะ ซึ่งรวมถึงความไม่ชอบใจด้วย แต่ถึงจะเป็นตระกูลเดียวกันก็ตาม แต่ก็มีลักษณะเฉพาะของกิเลสที่ไม่เหมือนกันครับ

อนุโมทนาที่ดูได้อย่างนี้นะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สาธุค่ะคุณลุงถนอม _/|\_ _/|\_ _/|\_

หลายวันมานี้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ที่มากระทบ  บางอารมณ์เมื่อกระทบแล้วจิตก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร  บางอารมณ์กระทบแล้วรู้สึกกังวล 
พอเห็นความกังวล  ความกังวลก็หายไป  บางทีก็เห็นความคิดที่กำลังจะเกิดต่อทันทีแต่พอรู้ทันก็หายไป  สรุปคือได้เห็นว่าความกังวลเป็นสิ่งที่ถูกรู้

ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มักจะรู้เห็นแต่ความคิดมากมายที่เกิดขึ้น  ถ้าเป็นความคิดธรรมดาทั่วๆไป รู้แล้วเห็นแล้วก็ดับไป  หรือรู้สึกเพียงแค่ว่าจิตโกรธ จิตมีความสุขฯลฯ   แต่บางอารมณ์หรือบางความคิดที่เรายังให้ความสำคัญอยู่มาก มันก็ถูกกิเลสตัวชอบไม่ชอบครอบงำจนเละเทะ ปรุงแต่งจนวิตกกังวลใหญ่โต   
ไม่เคยเห็นปฏิกิริยาของจิตที่เกิดขึ้นจะๆ  ต่อจากการรับอารมณ์  ทำให้รู้สึกว่าที่ทำอยู่มันวนเวียนอยู่กับที่

จากความแตกต่างที่เล่ามาทำให้เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ เราไปเห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้  ไม่เห็นอาการของผู้รู้  --ใช่ไหมคะ?
พอได้เห็นปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ที่มากระทบ ทำให้ขณะนั้นรู้สึกได้ว่า ที่แท้ผู้รู้มันเบาๆโปร่งๆ   และทำให้เห็นว่า ผู้รู้ที่เคยมีนั้นมันหนักๆตันๆ  ทำให้เกิดความเข้าใจว่ามันถูกปฏิกิริยาคือความรู้สึกชอบไม่ชอบนั่นแหละห่อหุ้มอยู่  มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ? 

ในชั่วขณะนั้นได้รู้สึกขึ้นมาแว่บหนึ่งว่าแท้จริงแล้วสิ่งต่างๆ มันเป็นของบนโลกนี้ทั้งหมด  ความเป็นเราเป็นเพียงความคิด  และเมื่อไหร่ที่มีความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  หรือให้ค่าให้ความสำคัญ ก็เท่ากับว่าเพื่อที่จะให้มีตัวตนของเราไปรับผลเหล่านั้น 

แต่ตอนนี้มันก็กลับมาเผลอนานอีกแล้วค่ะ  แล้วความรู้ความเข้าใจที่ได้มาก็เหลือเพียงแค่สัญญา  ทุกอย่างก็คลุกเคล้าปะปนกันเหมือนเดิม   รู้สึกว่าการจะเห็นได้ว่า "ปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้" มันยากจังเลยค่ะ ส่วนมากจิตกับกิเลสมันมักจะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน   

รู้สึกว่าจิตไม่ตั้งมั่นพอและขาดความต่อเนื่อง  ขอรบกวนลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
อนุโมทนาสาธุครับ _/|\_

เห็นสิ่งต่างๆตรงตามความเป็นจริงได้แล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นเทคนิคที่ต้องแนะนำ แต่ต้องกลับมาปรับพื้นฐานด้านกำลังครับ ก็คือ ต้องอยู่กับวิหารธรรมให้สม่ำเสมอ ต้องมีกรรมฐานที่เป็นของตนเองที่ต้องมีวินัย ฝึกฝนทุกวันครับ

เมื่อฝึกฝนทุกวันสม่ำเสมอแล้ว การภาวนาจะดีก็ได้ จะเสื่อมก็ได้ ก็รู้ตามความเป็นจริงครับ เราไม่ได้เอาเจริญ เราไม่ได้ปฏิเสธความเสื่อม หากแต่เราภาวนารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่างๆที่มีความเกิดขึ้นมา ย่อมเสื่อมไป ดับไป เป็นธรรมดาครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_

มีคำแนะนำเล็กน้อยนะครับ "เมื่อใดที่รู้สึกว่าการภาวนายาก ก็หมายความว่า เราถูกความอยากภาวนาให้ดี อยากหลุดพ้น ครอบงำแล้ว"
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สาธุค่ะคุณลุงถนอม  _/|\_ _/|\_ _/|\_

หลังจากที่รู้จัก “การรู้”  ตามที่เล่าให้ลุงถนอมฟังแล้ว  ก็รู้สึกว่าการรู้มันเบาสบาย ความที่เข้าใจว่าขันธ์ ๕ เขาทำงานของเขาเอง  ทำให้รู้แบบเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ   แต่พอการรู้มันเสื่อมลงส่วนหนึ่งมาจากเทศกาลปีใหม่ที่ต้องร่วมและอยากร่วมตามสมควรทำให้การปฏิบัติในรูปแบบตกหล่นไป   ก็เริ่มเผลอนานหลงนานขันธ์ ๕เป็นเราเต็มอัตรา  ปัญหาก็เริ่มมาเพราะอยากให้รู้ได้เหมือนเดิม  ก็เริ่มดิ้น เริ่มเพ่ง ดักรู้สารพัด  จนหนักๆแข็งๆ  ตอนนี้ก็พยายามตามรู้ความดิ้นรนที่เกิดขึ้น  --อย่างนี้ถูกไหมคะ


อีกอย่างคือไปอ่าน (กระทู้เก่าเล่าใหม่) เพ่ง, เผลอ, ว่าง และนานาสาระการดูจิต โดยคุณ สันตินันท์
มีท่อนหนึ่งที่คิดว่ากำลังเป็นอยู่ด้วยคือ “หลงไปกับการสร้างความรู้ตัว  คือไม่รู้เท่าทันจิต ที่กำลังสร้างความรู้ตัวขึ้นมานั่นเอง  บางคนใช้เวลาเกือบปีครับ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ได้ แต่บางคนใช้เวลาไม่มาก ….”   
--มันเรื่องเดียวกับการดิ้นรนอยากรู้ ก็เลยไป เพ่ง ดักรู้หรือเปล่าคะ


แล้วตอนที่เผลอนานหลงนาน  หากเราพยายามทำความรู้ตัวให้เร็ว  พอทำบ่อยๆมันเหมือนเพ่งเลยค่ะ – จริงๆแล้วพอเผลอนานแล้วเราจะระวังอย่างไรคะ  หรือต้องเพียรอยู่กับวิหารธรรม 

พอเริ่มเรียบเรียงคำถามก็เหมือนกับเริ่มได้คำตอบเอง  --แต่ก็ยังอยากได้ฟังคำแนะนำอยู่ค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ปัญหาก็เริ่มมาเพราะอยากให้รู้ได้เหมือนเดิม  ก็เริ่มดิ้น เริ่มเพ่ง ดักรู้สารพัด  จนหนักๆแข็งๆ  ตอนนี้ก็พยายามตามรู้ความดิ้นรนที่เกิดขึ้น  --อย่างนี้ถูกไหมคะ

ถูกแล้วครับ แล้วพอจิตสงบลงไปได้บ้างแล้ว หากมีโอกาสทำสมถะ ก็ทำนะครับ ทำอย่างที่เคยทำแล้วทำให้จิตสงบ มีกำลังได้เร็ว ไม่กระสับกระส่าย หรือฟุ้งซ่าน แส่ส่าย ก็เอาอันนั้นครับ จะสวดมนต์ก็ได้ จะหายใจก็ได้ จะบริกรรม (เช่นพุทโธ) ก็ได้ หรือจะรู้กายเคลื่อนไหว รู้ท้องพองยุบ เดินจงกรม ได้ทั้งนั้นครับ เอาที่ถนัดนะครับ

มันเรื่องเดียวกับการดิ้นรนอยากรู้ ก็เลยไป เพ่ง ดักรู้หรือเปล่าคะ

มันก็กิเลสตัวเดียวกันแหละครับ ลุงถนอมเพิ่งไปส่งการบ้านหลวงพ่อมา ก็ยังพลาดเรื่องนี้เหมือนกันครับ

แล้วตอนที่เผลอนานหลงนาน  หากเราพยายามทำความรู้ตัวให้เร็ว  พอทำบ่อยๆมันเหมือนเพ่งเลยค่ะ – จริงๆแล้วพอเผลอนานแล้วเราจะระวังอย่างไรคะ  หรือต้องเพียรอยู่กับวิหารธรรม

ก็ต้องทำตามรูปแบบอย่างสม่ำเสมอครับ และหากว่าทำแล้วยังเป็นอยู่ ก็อย่าตกอกตกใจครับ ธรรมชาติแสดงอนัตตาให้ดู แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ผลการภาวนา ก็ยังบังคับเอาให้ดีตลอดเวลาไม่ได้เลย

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียน คุณลุงถนอมค่ะ  _/|\_

พักนี้ไม่มั่นใจว่าที่ทำอยู่นี่  มันยังอยู่ในทางหรือหลงเข้าป่าไปแล้ว  เพราะแม้กระทั่งจะถามครูบาอาจารย์ก็ยังไม่รู้จะถามว่าอย่างไร

ขอเล่าสภาวะที่เป็นอยู่ให้ฟังดีกว่านะคะ  คือมันรู้เหมือนไม่รู้  รู้แบบไม่สนใจรายละเอียดของสิ่งที่ถูกรู้  ก็แค่แว่บไปแว่บมา  รู้สึกไม่ได้ปัญญาอะไร  สิ่งที่ถูกรู้ไม่อยู่ห่างเท่าแต่ก่อน (คือมันอยู่ใกล้ผู้รู้กว่าเดิมเยอะ)  อยู่กับวิหารธรรมได้ไม่นานก็หลง  แต่ก็พยายามรู้สึกตัว  ทำตามรูปแบบทุกวันค่ะ  รู้สึกว่าลึกๆมีความเข้าใจว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง” อยู่เป็นแบ๊คกราวน์ เกือบตลอด 

วิเคราะห์ตัวเองว่า...  เป็นเพราะจิตไม่ตั้งมั่นมีนิวรณ์กลุ้มรุม  และเป็นเพราะความรู้สึกที่ว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง” มันเลยทำให้ไม่สนใจจะดูอารมณ์ต่างๆ  เหมือนที่เคยเล่าให้ลุงถนอมว่า รู้สึกเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ  แต่ความที่ตัวเองไม่มีความตั้งมั่นพอ  มันก็เลยหลงตามไปอารมณ์ไป  ไม่เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ห่างๆ    เหลือแค่สัญญาว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง”   โดยไม่ได้เห็นจากสภาวะจริง ๆ...   

ขอรบกวนลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ   
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เท่าที่เล่าให้ฟังมา เป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่งในการภาวนานะครับ เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าที่เราไม่ได้เป็นไปตามใจเราครับ

คือมันรู้เหมือนไม่รู้ นั่นล่ะครับ คือรู้ชั้นดี

รู้แบบไม่สนใจรายละเอียดของสิ่งที่ถูกรู้ นั่นล่ะครับ เมื่อไม่สนใจรายละเอียดเฉพาะของสภาวะ จิตก็จะได้เห็นสามัญลักษณะของสภาวะ (สามัญลักษณะ = ไตรลักษณ์) อันเป็นสุดยอดปัญญาในพระพุทธศาสนา (ตามมติ หรือความเห็น ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่ได้กล่าวถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

รู้สึกไม่ได้ปัญญาอะไร ความจริงได้อยู่ แต่ไม่ได้หวือหวาหรือเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจ แต่เป็นการเห็นปัญญาที่ทุกคนมองข้ามไป หากไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้ ใครๆก็พากันมองข้ามกันไปหมด

สิ่งที่ถูกรู้ไม่อยู่ห่างเท่าแต่ก่อน (คือมันอยู่ใกล้ผู้รู้กว่าเดิมเยอะ) ก็นั่นล่ะครับ เพระาสภาวะละเอียดขึ้น ไม่ได้หยาบๆอย่างแต่ก่อน ก็เลยรู้สึกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คล้ายกับว่า แยกออกไปไม่ห่าง ไม่สำีัคัญอะไรว่าห่างหรือไม่ห่าง อยุ่ที่รู้ หรือไม่รู้

อยู่กับวิหารธรรมได้ไม่นานก็หลง วิหารธรรมก็แสดงความไม่เที่ยง ผลของการอยู่กับวิหารธรรมก็แสดงความไม่เที่ยง ความไม่เป็นไปตามอำนาจปราถนา (เป็นอนัตตาอย่างหนึ่ง)

สึกว่าลึกๆมีความเข้าใจว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง” อยู่เป็นแบ๊คกราวน์ เกือบตลอด แล้วจะบอกว่าไม่มีปัญญาได้อย่างไรครับ นี่ล่ะครับตัวปัญญาตตัวสำคัญครับ ขอให้เพียรต่อไปครับ มาถูกทางแล้ว แต่ทีนี้อาจต้องทำความสงบด้วยนะครับ ทำความสงบด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวครับ

เหลือแค่สัญญาว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง”   โดยไม่ได้เห็นจากสภาวะจริง ๆ... ก็ไม่เชิงหรอกนะครับ ขอให้ภาวนาต่อไปครับ และรักษาการทำตามรูปแบบที่เหมาะกับจริตของตนด้วยครับ อย่าให้จิตเดินปัญญาแต่อย่างเดียวนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบพระคุณค่ะคุณลุงถนอม _/|\_

เมื่อมาพิจารณาสภาวะของตัวเองที่เป็นอยู่เทียบกับคำแนะนำของลุงถนอม   ก็เลยมีสภาวะที่อยากเล่าเพื่อสอบถามเพิ่มอีกนิดหน่อยนะคะ

คือที่ว่าช่วงนี้ “รู้แบบไม่สนใจรายละเอียดของสิ่งที่ถูกรู้”  นั้นคือ  ไม่สนใจความคิดปรุงแต่งต่างๆที่เกิดขึ้น  มันจะตามความคิดไปแป๊บนึงแล้วก็รู้สึกตัว แล้วก็เฉยๆ   
บางความคิดก็ทำให้กังวล บางความคิดก็ทำให้เบิกบาน  พอรู้ตัวมันก็เฉยๆ  แต่ทั้งหมดนี้มันไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนนะคะ   การเกิดดับก็ไม่ชัด     
บางขณะที่คิดได้ก็พยายามน้อมไปดูความยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้นกับจิตเมื่อมีการกระทบอารมณ์  ก็ไม่ได้เห็นชัดเจนอะไร  และส่วนมากมันจะเฉยๆกับสิ่งที่ถูกรู้ 
แม้กระทั่งจะหลงตามอารมณ์ไป มันก็จะกลับมาเฉยๆ  เหมือนกับว่าหลงก็หลงไป ไม่สนใจ  มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง 

รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนใหม่ๆในการภาวนาค่ะ  แต่ยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพเหล่านี้ไม่ได้  และรู้สึกงงๆ
เพราะ ส่วนที่เคยเห็นได้ชัดมันก็ไม่สนใจจะดู   สิ่งใหม่ๆก็ไม่ค่อยจะเห็น  ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป   เวลาทำตามรูปแบบก็ไม่สงบค่ะเหมือนพยายามจะหาจะดูอะไรสักอย่าง   

เขียนมาถึงตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองถ่ายทอดสภาวะที่เป็นอยู่ได้ชัดเจนกว่าครั้งก่อนค่ะ

อยากสอบถามลุงถนอมว่า 
- การรู้มาที่ความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นที่จิตเมื่อกระทบอารมณ์ คือสภาวะที่ละเอียดขึ้น กว่าความคิดปรุงแต่งที่เคยเห็นใช่ไหมคะ   
- ส่วนสภาวะหยาบๆที่จิตมันไม่สนใจจะดูแล้วก็ปล่อยมันไปตามนั้นใช่ไหมคะ
- ความยินดียินร้ายที่ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง  เราควรที่จะน้อมไปดูไหมคะ

- หรือว่าทั้งหมดที่ถามมานี้คือการไปสนใจในรายละเอียดมากเกินไป   ควรที่จะถอยออกมาดูอยู่ห่างๆอย่างที่มันเป็นเท่านั้นเอง

 _/|\_ _/|\_ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
แม้กระทั่งจะหลงตามอารมณ์ไป มันก็จะกลับมาเฉยๆ  เหมือนกับว่าหลงก็หลงไป ไม่สนใจ  มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง

ครับ อย่างนั้นล่ะครับ หากจิตให้ความสนใจต่อสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น ก็เท่ากับจิตหลงรู้ไปแล้วเรียบร้อยครับ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังมา ก็คือ รู้แล้วก็เป็นกลาง ไม่ได้ไปใส่ใจสนใจดูอะไรนักหนา แค่รู้ รู้ว่ามีอยู่ แล้วก็วางธุระเสีย ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ จิตต้องเป็นไปเองอย่างนั้นนะครับ

รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนใหม่ๆในการภาวนาค่ะ  แต่ยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพเหล่านี้ไม่ได้  และรู้สึกงงๆ
เพราะ ส่วนที่เคยเห็นได้ชัดมันก็ไม่สนใจจะดู   สิ่งใหม่ๆก็ไม่ค่อยจะเห็น  ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป


อะไรเกิดขึ้นมา ก็รู้ทัน ก็เท่านั้นครับ แต่หากจิตรู้สึกอึดอัด หรือเกิดความชอบใจ ก็รู้ทันอีกนะครับ เพราะความรู้สึกอึดอัด ชอบใจ ไม่ชอบใจ เป็นสภาวะที่ใหม่กว่าแล้ว แต่ถ้าหากไม่มี ก็ไม่ต้องไปควานหานะครับ หรือรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอะไร ก็แค่รู้ว่ามีอะไรบางอย่าง ก็พอแล้วครับ

เวลาทำตามรูปแบบก็ไม่สงบค่ะเหมือนพยายามจะหาจะดูอะไรสักอย่าง

ครับ เป็นอย่างนั้นล่ะครับ เพราะเวลาทำตามรูปแบบ เรามีความจงใจอยู่เป็นส่วนประกอบครับ ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรนะครับ ก็รู้ไป ตามรูปแบบนั้นเราทำเพื่อเป็นการซ้อมครับ ไม่ใช่ของจริง ของจริงคือการเจริญสติในชีวิตประจำวันนี่ล่ะครับ

การรู้มาที่ความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นที่จิตเมื่อกระทบอารมณ์ คือสภาวะที่ละเอียดขึ้น กว่าความคิดปรุงแต่งที่เคยเห็นใช่ไหมคะ   

ก็รู้ทันความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ความเฉยๆ ความไม่ีรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ไม่แน่ใจ ประมาณนี้ ก็พอแล้ว เวลารู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจนว่ากำลังชอบใจ กำลังไม่ชอบใจ ด้วยซ้ำไปครับ แค่รู้ว่าจิตมีปฏิกริยาต่อสภาวะที่เห็น หรือที่เกิดขึ้น หรือที่เป็นอยู่ ก็พอแล้ว บางทีก็แค่ดูว่า จิตเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง (หรือไม่รู้ว่าเป็นกลางอยู่หรือเปล่าก็ได้) ต่อสภาวะหรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็พอแล้วนะครับ

ส่วนสภาวะหยาบๆที่จิตมันไม่สนใจจะดูแล้วก็ปล่อยมันไปตามนั้นใช่ไหมคะ

จิตเป็นอย่างไร รู้ ว่าเป็นอย่างนั้น นะครับ ก็เขาจะเป็นของเขาอย่างนี้ เราก็แค่รู้ตามไป เท่านั้นครับ

ความยินดียินร้ายที่ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง  เราควรที่จะน้อมไปดูไหมคะ

ดู เท่าที่ดูได้ รู้เท่าที่รู้ได้ รู้แค่จิตมีปฏิกริยาด้านบวกหรือลบ หรือเป็นกลาง หรือไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน ต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ก็พอ แล้วก็ไม่ต้องน้อมด้วยครับ เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็ไม่เห็น หรือเห็นแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ได้ทั้งนั้น ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ ต้องรู้ว่าจิตยินดีหรือยินร้าย ไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องรู้ว่าจิตเป็นกลางจริงๆหรือเปล่า แต่จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้ระลึกถึงจิตน่ะครับ แต่ระลึกตรงๆไม่ได้หรอกครับ ต้องใช้เทคนิคนี้ครับ

ที่หลวงพ่อท่านเน้นอยู่เสมอๆก็คือ ให้เห็นความเป็นเกิดดับของสภาวะ ไม่ใช่ให้รู้ชื่อ รู้บัญญัติของสภาวะ ไม่ใช่ให้รู้จักลักษณะของสภาวะอย่างละเอียดๆนะครับ แต่ท่านเน้นให้รู้จักสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์ของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาปรากฎให้เราเห็นครับ

หรือว่าทั้งหมดที่ถามมานี้คือการไปสนใจในรายละเอียดมากเกินไป   ควรที่จะถอยออกมาดูอยู่ห่างๆอย่างที่มันเป็นเท่านั้นเอง

เห็นแค่ไหนก็แค่นั้น และถ้าหากจิตเขาไปสนใจในรายละเอียด ก็ให้รู้ทัน ไม่ต้องไปห้ามนะครับ แค่รู้ทัน ว่ากำลังเข้าไปคุ้ยดูรายละเอียดครับ รู้ทันแล้วจิตเขาจะละออกมา หรือจะไปทำต่อ ก็คอยสังเกตต่อไปรับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_

ไหว้ 3 หน ไหว้พระเถิดนะครับ  _/|\_
« Last Edit: Thu 17 Feb 11, 02:33:56 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

การที่เรามีความทุกข์จากความวิตกกังวล  จิตใจมีน้ำหนักมาก  มีความบีบเค้นอยู่ในอก 
การที่เรามีอาการขนาดนี้แล้ว เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์บีบคั้น     ตอนนั้นเรารู้อยู่หรือเราหลงตามอารมณ์ไปแล้วคะ?

ตอนนี้พยายามที่จะอยู่กับวิหารธรรมคือมีความรู้สึกตัว    ก็เห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ  พอเห็นความคิดก็จะกลับมารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้ความคิดความปรุงแต่งลากเราไปเป็นทุกข์  ก็ทำให้รู้สึกเบาขึ้นในบางครั้ง   
การทำอย่างนี้เป็นการแทรกแซงหรือเปล่าคะ?

 _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
การที่เรามีความทุกข์จากความวิตกกังวล  จิตใจมีน้ำหนักมาก  มีความบีบเค้นอยู่ในอก
การที่เรามีอาการขนาดนี้แล้ว เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์บีบคั้น     ตอนนั้นเรารู้อยู่หรือเราหลงตามอารมณ์ไปแล้วคะ?

ตอนที่ความทุกข์เกิด ตอนที่คิดเรื่องที่วิตกกังวล ตอนนั้นหลงไปแล้วครับ
ตอนที่เห็นความทุกข์ที่บีบคั้นจิตใจ ตอนที่เห็นว่าจิตมีน้ำหนัก ตอนนั้นรู้ครับ
ตอนที่ดิ้นรน หนีความทุกข์ที่บีบคั้นจิตใจ ตอนนั้นก็หลงไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
หากว่า ทันเห็นความดิ้นรนหนีทุกข์ของจิตใจ ตอนนี้รู้ครับ และรู้ตอนนี้สำคัญมากๆด้วยนะครับ เพราะเป็นเส้นทางสำคัญที่จะทวนกระแสของกิเลสเข้าหาจิตผู้รู้ได้ครับ และแม้จะทวนไม่ถึงจิตผู้รู้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น และตัดกระบวนการสร้างทุกข์ที่กำลังครอบงำจิตใจได้ชั่วขณะครับ จะเห็นเลยว่า แม้แต่ความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นกังวล เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน

Quote
ตอนนี้พยายามที่จะอยู่กับวิหารธรรมคือมีความรู้สึกตัว    ก็เห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ  พอเห็นความคิดก็จะกลับมารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้ความคิดความปรุงแต่งลากเราไปเป็นทุกข์  ก็ทำให้รู้สึกเบาขึ้นในบางครั้ง   

หากพูดในแง่ของเทคนิคการภาวนาแล้ว ไม่ผิดนะครับ แต่อาจจะผิดตรงที่เจตนาครับ เจตนาที่จะทำให้ความทุกข์ดับ เป็นเจตนาที่แฝงไว้ด้วยความโลภ ทำให้การภาวนาของเรา แม้จะทำให้ความทุกข์ดับไปได้ตามประสงค์ก็จริง แต่ก็สะสมกิเลสละเอียดคือ มานะอัตตา (ว่ากูเก่ง)เข้าไว้ด้วย มีแนวโน้มจะเกิด วิปัสสนูปกิเลส เอาได้ง่ายๆ (วิปัสสนูปกิเลส ก็คือ รู้ไม่ทันกิเลสละเอียดที่เกิดขึ้นและครอบงำจิต อันเกิดจากการเจริญวิปัสสนาครับ ไม่ใช่อาการที่ปรากฎนะครับ เช่น รู้ทันทุกข์แล้วดับ ตรงนี้ไม่ใช่วิปัสสนา แต่ถ้าเมื่อใดเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูเก่ง กูสามารถดับทุกข์ได้ทุกเมื่อ ซึ่งเกิดจากการที่สามารถรู้ทันความทุกข์ แล้วทุกข์ดับไปทุกที ตรงนี้จึงจะเรียกว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลสนะครับ อุปกิเลสที่เกิดจากวิปัสสนานี้จะละเอียดมาก และยากที่ใครๆจะเห็นได้เอง ส่วนมากเกือบทั้งน้้น ต้องให้ครูบาอาจารย์ชี้ให้ครับ ถึงจะเห็น กิเลสที่ว่า "กูเก่ง"นี้ ก็คือตัวมานะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นจะละได้ จึงเป็นกิเลสที่ละเอียดมากๆครับ)

เจตนาที่ควรตั้งเอาไว้ก็คือ เราภาวนาเพื่อรู้ความจริงของกายของใจของเราเองครับ เราทำไปเพื่อรู้ความจริงของโลก ของกาย ของใจ นี้เท่านั้น หรือหากเราทำให้ดีกว่า นั้นก็คือ เราภาวนาเพื่อภาวนา เราภาวนาเพราะเราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เพื่อจะให้เราได้เป็นได้มีอะไร วางใจไว้อย่างนี้จะปลอดภัยที่สุดครับ
Quote
การทำอย่างนี้เป็นการแทรกแซงหรือเปล่าคะ?

ขึ้นอยู่กับว่า มีเจตนาหรือเปล่า หากมีเจตนาที่จะให้ทุกข์ดับ ก็แทรกแซงล่ะครับ แต่หากว่ารู้ทันนั้นเกิดเอง ไม่ได้เจตนา ก็ไม่ได้แทรกแซงครับ (แต่การแทรกแซงนี้ แม้ว่าจะไม่ได้แทรกแซง แต่เมื่อความทุกข์ดับ เกิดความภาคภูมิใจตามมาในภายหลัง แล้วรู้ไม่ทัน ต้องย้ำว่า เกิดความภาคภูมิใจตามมภายหลังแล้วรู้ไม่ทันนะครับ โอกาสที่จะเกิดวิปัสสนูปกิเลสครอบงำจิต ก็จะเกิดได้มากครับ แต่ถ้าเกิดความภาคภูมิใจแล้วรู้ทัน อย่างนี้ไม่เอื้อให้พลาดกับวิปัสสนูปกิเลสนะครับ)

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
« Last Edit: Thu 8 Sep 11, 05:42:27 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
กราบขอบพระคุณ คุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ   รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ 
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ  มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
 
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ  เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ
 
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง  ไม่หนี  ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ  เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก 
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน  การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น  มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

หากแทรกแซงก็ต้องรู้   ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ 

ขอขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ   รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ  มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
 
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ  เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ

ครับ ให้รู้ทัน ว่าจิตมีกิเลส กิเลสครอบงำจิต (ไม่ใช่อารมณ์ครอบงำจิตนะครับ) เช่น รู้ทันสภาวะแล้วจิตเกิดความไม่ชอบตามมา ก็ให้รู้ทันว่าไม่ชอบ

Quote
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง  ไม่หนี  ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ

ก็ต้องทนครับ แต่ว่า จะต้องทนแบบคนมีปัญญา แบบคนที่เจริญสติเป็น คือ ไม่ใช่ทนด้วยการข่มใจ แต่ให้ทนด้วยการรู้ทันความไม่ชอบใจ (ถ้าต้องทน ย่อมไม่ชอบใจ ใช่มั้ยครับ)

Quote
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ

ให้รู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากที่รุ้ทันความทุกข์ก่อนหน้านั้นด้วยนะครับ รู้ทันความไม่ชอบใจ รู้ทันความอยากหนีไป รู้ให้ทันอันหลัง เป็นกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หลังจากที่กิเลสตัวเก่านั้น ถูกจิตผู้รู้เกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เราอย่ามัวไประลึกถึงกิเลสตัวเก่าอยู่เลย เพราะมันดับไปแล้ว เนื่องจากมีจิตที่รุ้ทันเกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เพียงแต่เราทรงจำไว้ได้ด้วยสัญญา ทำให้ดูเหมือนว่ายังคงมีอยู่ และบดบังกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ความไม่ชอบใจใจสภาวะหรืออารมณ์อันเก่าโน้นน่ะครับ

Quote
  เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน  การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด

คนที่หัดภาวนาแบบเหลาะๆแหละๆก็มักจะหนีไป แล้วเตลิดไปเพลินกับโลกเลย เห็นต่อหน้าต่อตาก็มีอยู่ครับ ก็ปล่อยเขาไปก่อน เพราะอีกพักเดียวเขาก็จะรู้ว่า ไม่ได้สุขจริง ก็จะกลับมาภาวนาอีก ดังนั้นที่คุณ PlaDao รู้สึกได้อย่างนี้ ก็ขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งนะครับ  _/|\_ เป็นข้อความที่ทำให้ลุงถนอมเบิกบานใจในวันศุกร์ที่ดีเยี่ยมจริงๆครับ

Quote
เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น  มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

เมื่อทุกข์มากๆ จิตจะดิ้นรนมากๆ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอินทรียสังวรแท้ๆ คือ การมีสติรู้ทันผัสสะ รู้ทันจิตใจ เลยนะครับ แต่ถ้าเราปฏิบัติตามรูปแบบไว้ด้วย อาศัยการปฎิบัติตามรูปแบบนั้นฝึกซ้อมการรู้ทันจิต การรู้ทันการมีขึ้นของกิเลสในจิตใจ จะทำให้ในชีวิตประจำวันของเรามีสติ หรือมีอินทรียสังวรได้ดีขึ้น ได้รวดเร็วขึ้น และเป็นอัตโนมัติมากขึ้นด้วยนะครับ

เมื่อมีสติไวขึ้น บ่อยขึ้น จิตจะผ่อนคลายออกจากความบีบคั้นของกิเลสที่ครอบงำจิตได้เอง ความจริงก็คือ กระบวนการบีบคั้นจิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้เต็มที่ กิเลสก็หมดสภาพขาดสะบั้นไปเพราะความมีสติของจิตเสียก่อน การบีบคั้นจากกิเลสก็น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อน ก็ดูเหมือนว่าจิตผ่อนคลายมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นครับ

ประเด็นปัญหาของคุณ PlaDao ตอนนี้ อยู่ที่ เมื่อรู้ทันสภาวะแล้วเกิดความไม่ชอบใจในสภาวะนั้น ด้วยรู้ว่ามันไม่เที่ยง แต่จิตไม่เป็นกลางจริง ให้รู้ทันจิตใจที่ไม่เป็นกลางนั้น ด้วยการสังเกตเห็นความกระวนกระวาย ความอยากหนีไปจากสถานการณ์ตรงนั้นของจิต รู้ทันตรงนี้ไปอีกชั้น จิตจะรู้ด้วยความเป็นกลางมากยิ่งขึ้นครับ

Quote
หากแทรกแซงก็ต้องรู้   ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ 

หากแทรกแซงไปแล้ว ก็ควรที่จะรู้ทันว่าแทรกแซงไปแล้ว แต่หากพลาดไปแล้ว (รู้ไม่ทัน) ก็แล้วกันไป บอกตัวเองว่าคราวหน้าจะรู้ทัน (แต่ไม่ถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า "ต้อง"รู้ทันนะครับ แค่ "จะ" ก็พอ ไม่งั้นจะเครียดเกินไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ) แทรกแซงไปแล้ว ผลเป็นเช่นไร (คือเกิดวิบากตามมาอย่างไร) จะรู้ก็รู้ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร จะรู้ว่าที่กำลังรู้นี้เป็นวิบากจากการแทรกแซงหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ให้รู้เรื่อยๆเท่านั้นครับ รู้ไปเรื่อยๆแล้วก็จะเห็นว่า อะไรเกิดก็ดับ อะไรเกิดก็ดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับสักอย่างเดียว ดูอย่างนี้นะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

จากการตามรู้ตามดูมาเรื่อยๆ  ทำให้เห็นความคิดความปรุงแต่ง เห็นการทำงานของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา 
เห็นว่ามันทำงานของมันเองเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ  แม้กระทั่งความคิดว่าเป็นตัวเรามันก็เกิดขึ้นมาเอง   
มีความเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย  แล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย
แม้กระทั่งจะตามรู้ตามดูก็เบื่อ เกือบเดือนมาแล้วค่ะที่มันไม่ยอมดู 
มันไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบแต่รู้ว่าไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์  มันออกจะเฉยๆ เบื่อๆมากกว่า   
บางทีก็อยากให้มันพ้นๆไปซะที  แต่ก็รู้ว่าถ้ามันไม่ยอมดูอย่างนี้ มันจะพ้นไปได้ยังไง :(

ทำอย่างไรดีคะ ขอคุณลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
แม้กระทั่งจะตามรู้ตามดูก็เบื่อ เกือบเดือนมาแล้วค่ะที่มันไม่ยอมดู มันไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบแต่รู้ว่าไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์  มันออกจะเฉยๆ เบื่อๆมากกว่า  บางทีก็อยากให้มันพ้นๆไปซะที  แต่ก็รู้ว่าถ้ามันไม่ยอมดูอย่างนี้ มันจะพ้นไปได้ยังไง

ไม่ต้องดูตัวสภาวะที่เคยดูแล้วครับ ดูความรู้สึกเบื่อที่เกิดขึ้น ดูอาการของจิตที่ดิ้นรน ที่กระสับกระส่าย ที่ปฏิเสธที่จะดู ตัวนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆที่กำลังครอบงำใจ ให้ดูตัวนี้ต่อไปเลยครับ

อดทนนิดนึงนะครับ หากว่าที่ผ่านมา การดูสภาวะทั้งหลายทำได้ถูกต้อง เฉลียวใจดูความเบื่อ ดูอาการของจิตที่ดิ้นรน กระวนกระวาย เหมือนกับการดูสภาวะต่างๆที่เคยดูมาก่อน จะพบว่า ไปต่อได้ แต่ไม่บอกว่าไปยังไง คำตอบจะได้มาเอง เมื่อดูลงไปตรงๆนะครับ

แล้วมาเล่าสู่กันฟังเลยนะครับ  ;D
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบพระคุณค่ะ _/|\_

พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ แต่มันก็ยังทื่อๆเหมือนเดิม
หรือว่าดูยังไม่ถูกตัวที่ครอบงำจริงๆ? 
หรือว่าไม่ตั้งมั่นพอ? คือตอนนี้เหมือนตัวรู้มันหายยยยไปเลยยย
มีสติรู้แค่แว้บๆ  แต่สภาวะมันไม่แยกออกจากใจเหมือนก่อนหน้านี้ค่ะ

 :'(

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ

ดีแล้วครับ อนุโมทนาครับ

Quote
พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ

มีความพยายามเกิดขึ้น ก็รู้ทัน ว่าพยายาม รู้แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไร แค่รู้นะครับ

Quote
แต่มันก็ยังทื่อๆเหมือนเดิม

ก็เห็นตามจริงแล้วนี่ครับ ไม่ต้องเอาอะไรมากไปกว่า "รู้ ตามความเป็นจริง"

Quote
หรือว่าไม่ตั้งมั่นพอ?

จิตตั้งมั่น ก็รู้ ว่าจิตตั้งมั่น จิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ ว่าจิตไม่ตั้งมั่น ครับ รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ

Quote
คือตอนนี้เหมือนตัวรู้มันหายยยยไปเลยยย มีสติรู้แค่แว้บๆ  แต่สภาวะมันไม่แยกออกจากใจเหมือนก่อนหน้านี้ค่ะ

มันไม่แยกออกจากใจ ก็รู้ ว่าไม่แยกออกจากใจ

มันแยกออกจากใจ ก็รู้ ว่าแยกออกจากใจ

มันไม่แยกออกจากใจ แล้วไม่ชอบใจ ก็รู้ ว่าไม่ชอบใจ

 :)

รู้ ตามความเป็นจริงไปนะครับ รู้อย่างนี้ จะได้สติ

รู้ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง รู้อย่างนี้ จะได้ปัญญา

จิตไม่ตั้งมั่น รู้ ตามความเป็นจริง ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จะได้จิตที่ตั้งมั่น

พอมองเห็นร่องรอยหรือยังครับ ว่าอะไรคือ key ตัวสำคัญ ครับ

 ;D

ภาวนาแล้วไปแล้วเห็นว่า การภาวนานั้น บังคับให้ผลตามใจอยากไม่ได้ ให้ได้ตามใจปราถนาไม่ได้ นั่นก็เห็น "อนัตตา" แล้วนะครับ เห็นแล้วใจไม่ยอมรับ ก็รู้ ว่าใจไม่ยอมรับ ใจไม่ชอบใจ ก็รู้ ใจอยากได้อีกอย่างหนึ่ง ก็รู้  :)
« Last Edit: Wed 14 Dec 11, 12:16:39 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สาธุค่ะคุณลุงถนอม _/|\_

ตกลงคือ ไม่เห็นความไม่ชอบใจต่อสภาวะที่เป็นอยู่ค่ะ  ตอนแรกๆก็ตามดูไป แต่เอ๊ะ!ชักจะทื่อนานไปหน่อย
รู้สึกเหมือนเราย่อหย่อนไป แถมยังไหลยาวๆด้วย ก็เลยคิดแก้ไข รู้ไม่ทันตอนที่ให้ค่าความทื่อใช่ไหมคะ?
ที่แท้ก็มุขเก่าๆของกิเลส ที่มาเมื่อไหร่ก็โดนหลอกทุกที  ???

สรุปก็คือแค่รู้  แม้ไม่ได้ปัญญาก็แค่รู้
ช่วงไหนที่ไม่เดินปัญญาก็แค่มีสติรู้ตามจริงไปเรื่อยๆ(เท่าทีู่้รู้ได้... หรือเปล่าคะ?)   เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมาเขาก็จะเดินปัญญาเอง
เป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ?

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_


Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ข้อความที่โพสต์ก่อนนี้ไม่ผ่านอนุมัติหรือเปล่าคะ 
หากเป็นอย่างนั้น ต้องขออภัยลุงถนอมด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม

 _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
ข้อความที่โพสต์ก่อนนี้ไม่ผ่านอนุมัติหรือเปล่าคะ หากเป็นอย่างนั้น ต้องขออภัยลุงถนอมด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม

ต้องขออภัยครับ  _/|\_ เข้ามาแล้วไม่เห็นข้อความน่ะครับ เลยไม่ได้กด approve

Quote
ตกลงคือ ไม่เห็นความไม่ชอบใจต่อสภาวะที่เป็นอยู่ค่ะ  ตอนแรกๆก็ตามดูไป แต่เอ๊ะ!ชักจะทื่อนานไปหน่อย
รู้สึกเหมือนเราย่อหย่อนไป แถมยังไหลยาวๆด้วย ก็เลยคิดแก้ไข รู้ไม่ทันตอนที่ให้ค่าความทื่อใช่ไหมคะ?
ที่แท้ก็มุขเก่าๆของกิเลส ที่มาเมื่อไหร่ก็โดนหลอกทุกที

ใช่ครับ  ;D

Quote
สรุปก็คือแค่รู้  แม้ไม่ได้ปัญญาก็แค่รู้

ใช่ครับ  ;D

Quote
ช่วงไหนที่ไม่เดินปัญญาก็แค่มีสติรู้ตามจริงไปเรื่อยๆ(เท่าทีู่้รู้ได้... หรือเปล่าคะ?)   เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมาเขาก็จะเดินปัญญาเอง เป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ?

ใช่ครับ  ;D

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา