ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ
ครับ ให้รู้ทัน ว่าจิตมีกิเลส กิเลสครอบงำจิต (ไม่ใช่อารมณ์ครอบงำจิตนะครับ) เช่น รู้ทันสภาวะแล้วจิตเกิดความไม่ชอบตามมา ก็ให้รู้ทันว่าไม่ชอบ
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง ไม่หนี ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ
ก็ต้องทนครับ แต่ว่า จะต้องทนแบบคนมีปัญญา แบบคนที่เจริญสติเป็น คือ ไม่ใช่ทนด้วยการข่มใจ แต่ให้ทนด้วยการรู้ทันความไม่ชอบใจ (ถ้าต้องทน ย่อมไม่ชอบใจ ใช่มั้ยครับ)
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ
ให้รู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากที่รุ้ทันความทุกข์ก่อนหน้านั้นด้วยนะครับ รู้ทันความไม่ชอบใจ รู้ทันความอยากหนีไป รู้ให้ทันอันหลัง เป็นกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หลังจากที่กิเลสตัวเก่านั้น ถูกจิตผู้รู้เกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เราอย่ามัวไประลึกถึงกิเลสตัวเก่าอยู่เลย เพราะมันดับไปแล้ว เนื่องจากมีจิตที่รุ้ทันเกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เพียงแต่เราทรงจำไว้ได้ด้วยสัญญา ทำให้ดูเหมือนว่ายังคงมีอยู่ และบดบังกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ความไม่ชอบใจใจสภาวะหรืออารมณ์อันเก่าโน้นน่ะครับ
เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด
คนที่หัดภาวนาแบบเหลาะๆแหละๆก็มักจะหนีไป แล้วเตลิดไปเพลินกับโลกเลย เห็นต่อหน้าต่อตาก็มีอยู่ครับ ก็ปล่อยเขาไปก่อน เพราะอีกพักเดียวเขาก็จะรู้ว่า ไม่ได้สุขจริง ก็จะกลับมาภาวนาอีก ดังนั้นที่คุณ PlaDao รู้สึกได้อย่างนี้ ก็ขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งนะครับ
เป็นข้อความที่ทำให้ลุงถนอมเบิกบานใจในวันศุกร์ที่ดีเยี่ยมจริงๆครับ
เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ
เมื่อทุกข์มากๆ จิตจะดิ้นรนมากๆ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอินทรียสังวรแท้ๆ คือ การมีสติรู้ทันผัสสะ รู้ทันจิตใจ เลยนะครับ แต่ถ้าเราปฏิบัติตามรูปแบบไว้ด้วย อาศัยการปฎิบัติตามรูปแบบนั้นฝึกซ้อมการรู้ทันจิต การรู้ทันการมีขึ้นของกิเลสในจิตใจ จะทำให้ในชีวิตประจำวันของเรามีสติ หรือมีอินทรียสังวรได้ดีขึ้น ได้รวดเร็วขึ้น และเป็นอัตโนมัติมากขึ้นด้วยนะครับ
เมื่อมีสติไวขึ้น บ่อยขึ้น จิตจะผ่อนคลายออกจากความบีบคั้นของกิเลสที่ครอบงำจิตได้เอง ความจริงก็คือ กระบวนการบีบคั้นจิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้เต็มที่ กิเลสก็หมดสภาพขาดสะบั้นไปเพราะความมีสติของจิตเสียก่อน การบีบคั้นจากกิเลสก็น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อน ก็ดูเหมือนว่าจิตผ่อนคลายมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นครับ
ประเด็นปัญหาของคุณ PlaDao ตอนนี้ อยู่ที่ เมื่อรู้ทันสภาวะแล้วเกิดความไม่ชอบใจในสภาวะนั้น ด้วยรู้ว่ามันไม่เที่ยง แต่จิตไม่เป็นกลางจริง ให้รู้ทันจิตใจที่ไม่เป็นกลางนั้น ด้วยการสังเกตเห็นความกระวนกระวาย ความอยากหนีไปจากสถานการณ์ตรงนั้นของจิต รู้ทันตรงนี้ไปอีกชั้น จิตจะรู้ด้วยความเป็นกลางมากยิ่งขึ้นครับ
หากแทรกแซงก็ต้องรู้ ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ
หากแทรกแซงไปแล้ว ก็ควรที่จะรู้ทันว่าแทรกแซงไปแล้ว แต่หากพลาดไปแล้ว (รู้ไม่ทัน) ก็แล้วกันไป บอกตัวเองว่าคราวหน้าจะรู้ทัน (แต่ไม่ถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า "ต้อง"รู้ทันนะครับ แค่ "จะ" ก็พอ ไม่งั้นจะเครียดเกินไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ) แทรกแซงไปแล้ว ผลเป็นเช่นไร (คือเกิดวิบากตามมาอย่างไร) จะรู้ก็รู้ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร จะรู้ว่าที่กำลังรู้นี้เป็นวิบากจากการแทรกแซงหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ให้รู้เรื่อยๆเท่านั้นครับ รู้ไปเรื่อยๆแล้วก็จะเห็นว่า อะไรเกิดก็ดับ อะไรเกิดก็ดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับสักอย่างเดียว ดูอย่างนี้นะครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ