Author Topic: ดูความเป็นตัวเรา ดูยังไง  (Read 11987 times)

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
แม้กระทั่งจะหลงตามอารมณ์ไป มันก็จะกลับมาเฉยๆ  เหมือนกับว่าหลงก็หลงไป ไม่สนใจ  มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง

ครับ อย่างนั้นล่ะครับ หากจิตให้ความสนใจต่อสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น ก็เท่ากับจิตหลงรู้ไปแล้วเรียบร้อยครับ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังมา ก็คือ รู้แล้วก็เป็นกลาง ไม่ได้ไปใส่ใจสนใจดูอะไรนักหนา แค่รู้ รู้ว่ามีอยู่ แล้วก็วางธุระเสีย ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ จิตต้องเป็นไปเองอย่างนั้นนะครับ

รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนใหม่ๆในการภาวนาค่ะ  แต่ยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพเหล่านี้ไม่ได้  และรู้สึกงงๆ
เพราะ ส่วนที่เคยเห็นได้ชัดมันก็ไม่สนใจจะดู   สิ่งใหม่ๆก็ไม่ค่อยจะเห็น  ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป


อะไรเกิดขึ้นมา ก็รู้ทัน ก็เท่านั้นครับ แต่หากจิตรู้สึกอึดอัด หรือเกิดความชอบใจ ก็รู้ทันอีกนะครับ เพราะความรู้สึกอึดอัด ชอบใจ ไม่ชอบใจ เป็นสภาวะที่ใหม่กว่าแล้ว แต่ถ้าหากไม่มี ก็ไม่ต้องไปควานหานะครับ หรือรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าอะไร ก็แค่รู้ว่ามีอะไรบางอย่าง ก็พอแล้วครับ

เวลาทำตามรูปแบบก็ไม่สงบค่ะเหมือนพยายามจะหาจะดูอะไรสักอย่าง

ครับ เป็นอย่างนั้นล่ะครับ เพราะเวลาทำตามรูปแบบ เรามีความจงใจอยู่เป็นส่วนประกอบครับ ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรนะครับ ก็รู้ไป ตามรูปแบบนั้นเราทำเพื่อเป็นการซ้อมครับ ไม่ใช่ของจริง ของจริงคือการเจริญสติในชีวิตประจำวันนี่ล่ะครับ

การรู้มาที่ความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นที่จิตเมื่อกระทบอารมณ์ คือสภาวะที่ละเอียดขึ้น กว่าความคิดปรุงแต่งที่เคยเห็นใช่ไหมคะ   

ก็รู้ทันความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ความเฉยๆ ความไม่ีรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ไม่แน่ใจ ประมาณนี้ ก็พอแล้ว เวลารู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจนว่ากำลังชอบใจ กำลังไม่ชอบใจ ด้วยซ้ำไปครับ แค่รู้ว่าจิตมีปฏิกริยาต่อสภาวะที่เห็น หรือที่เกิดขึ้น หรือที่เป็นอยู่ ก็พอแล้ว บางทีก็แค่ดูว่า จิตเป็นกลาง หรือไม่เป็นกลาง (หรือไม่รู้ว่าเป็นกลางอยู่หรือเปล่าก็ได้) ต่อสภาวะหรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็พอแล้วนะครับ

ส่วนสภาวะหยาบๆที่จิตมันไม่สนใจจะดูแล้วก็ปล่อยมันไปตามนั้นใช่ไหมคะ

จิตเป็นอย่างไร รู้ ว่าเป็นอย่างนั้น นะครับ ก็เขาจะเป็นของเขาอย่างนี้ เราก็แค่รู้ตามไป เท่านั้นครับ

ความยินดียินร้ายที่ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง  เราควรที่จะน้อมไปดูไหมคะ

ดู เท่าที่ดูได้ รู้เท่าที่รู้ได้ รู้แค่จิตมีปฏิกริยาด้านบวกหรือลบ หรือเป็นกลาง หรือไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน ต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ก็พอ แล้วก็ไม่ต้องน้อมด้วยครับ เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็ไม่เห็น หรือเห็นแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ได้ทั้งนั้น ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ ต้องรู้ว่าจิตยินดีหรือยินร้าย ไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องรู้ว่าจิตเป็นกลางจริงๆหรือเปล่า แต่จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้ระลึกถึงจิตน่ะครับ แต่ระลึกตรงๆไม่ได้หรอกครับ ต้องใช้เทคนิคนี้ครับ

ที่หลวงพ่อท่านเน้นอยู่เสมอๆก็คือ ให้เห็นความเป็นเกิดดับของสภาวะ ไม่ใช่ให้รู้ชื่อ รู้บัญญัติของสภาวะ ไม่ใช่ให้รู้จักลักษณะของสภาวะอย่างละเอียดๆนะครับ แต่ท่านเน้นให้รู้จักสามัญลักษณะหรือไตรลักษณ์ของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาปรากฎให้เราเห็นครับ

หรือว่าทั้งหมดที่ถามมานี้คือการไปสนใจในรายละเอียดมากเกินไป   ควรที่จะถอยออกมาดูอยู่ห่างๆอย่างที่มันเป็นเท่านั้นเอง

เห็นแค่ไหนก็แค่นั้น และถ้าหากจิตเขาไปสนใจในรายละเอียด ก็ให้รู้ทัน ไม่ต้องไปห้ามนะครับ แค่รู้ทัน ว่ากำลังเข้าไปคุ้ยดูรายละเอียดครับ รู้ทันแล้วจิตเขาจะละออกมา หรือจะไปทำต่อ ก็คอยสังเกตต่อไปรับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_

ไหว้ 3 หน ไหว้พระเถิดนะครับ  _/|\_
« Last Edit: Thu 17 Feb 11, 02:33:56 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

การที่เรามีความทุกข์จากความวิตกกังวล  จิตใจมีน้ำหนักมาก  มีความบีบเค้นอยู่ในอก 
การที่เรามีอาการขนาดนี้แล้ว เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์บีบคั้น     ตอนนั้นเรารู้อยู่หรือเราหลงตามอารมณ์ไปแล้วคะ?

ตอนนี้พยายามที่จะอยู่กับวิหารธรรมคือมีความรู้สึกตัว    ก็เห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ  พอเห็นความคิดก็จะกลับมารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้ความคิดความปรุงแต่งลากเราไปเป็นทุกข์  ก็ทำให้รู้สึกเบาขึ้นในบางครั้ง   
การทำอย่างนี้เป็นการแทรกแซงหรือเปล่าคะ?

 _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
การที่เรามีความทุกข์จากความวิตกกังวล  จิตใจมีน้ำหนักมาก  มีความบีบเค้นอยู่ในอก
การที่เรามีอาการขนาดนี้แล้ว เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์บีบคั้น     ตอนนั้นเรารู้อยู่หรือเราหลงตามอารมณ์ไปแล้วคะ?

ตอนที่ความทุกข์เกิด ตอนที่คิดเรื่องที่วิตกกังวล ตอนนั้นหลงไปแล้วครับ
ตอนที่เห็นความทุกข์ที่บีบคั้นจิตใจ ตอนที่เห็นว่าจิตมีน้ำหนัก ตอนนั้นรู้ครับ
ตอนที่ดิ้นรน หนีความทุกข์ที่บีบคั้นจิตใจ ตอนนั้นก็หลงไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
หากว่า ทันเห็นความดิ้นรนหนีทุกข์ของจิตใจ ตอนนี้รู้ครับ และรู้ตอนนี้สำคัญมากๆด้วยนะครับ เพราะเป็นเส้นทางสำคัญที่จะทวนกระแสของกิเลสเข้าหาจิตผู้รู้ได้ครับ และแม้จะทวนไม่ถึงจิตผู้รู้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น และตัดกระบวนการสร้างทุกข์ที่กำลังครอบงำจิตใจได้ชั่วขณะครับ จะเห็นเลยว่า แม้แต่ความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นกังวล เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน

Quote
ตอนนี้พยายามที่จะอยู่กับวิหารธรรมคือมีความรู้สึกตัว    ก็เห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ  พอเห็นความคิดก็จะกลับมารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้ความคิดความปรุงแต่งลากเราไปเป็นทุกข์  ก็ทำให้รู้สึกเบาขึ้นในบางครั้ง   

หากพูดในแง่ของเทคนิคการภาวนาแล้ว ไม่ผิดนะครับ แต่อาจจะผิดตรงที่เจตนาครับ เจตนาที่จะทำให้ความทุกข์ดับ เป็นเจตนาที่แฝงไว้ด้วยความโลภ ทำให้การภาวนาของเรา แม้จะทำให้ความทุกข์ดับไปได้ตามประสงค์ก็จริง แต่ก็สะสมกิเลสละเอียดคือ มานะอัตตา (ว่ากูเก่ง)เข้าไว้ด้วย มีแนวโน้มจะเกิด วิปัสสนูปกิเลส เอาได้ง่ายๆ (วิปัสสนูปกิเลส ก็คือ รู้ไม่ทันกิเลสละเอียดที่เกิดขึ้นและครอบงำจิต อันเกิดจากการเจริญวิปัสสนาครับ ไม่ใช่อาการที่ปรากฎนะครับ เช่น รู้ทันทุกข์แล้วดับ ตรงนี้ไม่ใช่วิปัสสนา แต่ถ้าเมื่อใดเกิดความสำคัญมั่นหมายว่ากูเก่ง กูสามารถดับทุกข์ได้ทุกเมื่อ ซึ่งเกิดจากการที่สามารถรู้ทันความทุกข์ แล้วทุกข์ดับไปทุกที ตรงนี้จึงจะเรียกว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลสนะครับ อุปกิเลสที่เกิดจากวิปัสสนานี้จะละเอียดมาก และยากที่ใครๆจะเห็นได้เอง ส่วนมากเกือบทั้งน้้น ต้องให้ครูบาอาจารย์ชี้ให้ครับ ถึงจะเห็น กิเลสที่ว่า "กูเก่ง"นี้ ก็คือตัวมานะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นจะละได้ จึงเป็นกิเลสที่ละเอียดมากๆครับ)

เจตนาที่ควรตั้งเอาไว้ก็คือ เราภาวนาเพื่อรู้ความจริงของกายของใจของเราเองครับ เราทำไปเพื่อรู้ความจริงของโลก ของกาย ของใจ นี้เท่านั้น หรือหากเราทำให้ดีกว่า นั้นก็คือ เราภาวนาเพื่อภาวนา เราภาวนาเพราะเราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เพื่อจะให้เราได้เป็นได้มีอะไร วางใจไว้อย่างนี้จะปลอดภัยที่สุดครับ
Quote
การทำอย่างนี้เป็นการแทรกแซงหรือเปล่าคะ?

ขึ้นอยู่กับว่า มีเจตนาหรือเปล่า หากมีเจตนาที่จะให้ทุกข์ดับ ก็แทรกแซงล่ะครับ แต่หากว่ารู้ทันนั้นเกิดเอง ไม่ได้เจตนา ก็ไม่ได้แทรกแซงครับ (แต่การแทรกแซงนี้ แม้ว่าจะไม่ได้แทรกแซง แต่เมื่อความทุกข์ดับ เกิดความภาคภูมิใจตามมาในภายหลัง แล้วรู้ไม่ทัน ต้องย้ำว่า เกิดความภาคภูมิใจตามมภายหลังแล้วรู้ไม่ทันนะครับ โอกาสที่จะเกิดวิปัสสนูปกิเลสครอบงำจิต ก็จะเกิดได้มากครับ แต่ถ้าเกิดความภาคภูมิใจแล้วรู้ทัน อย่างนี้ไม่เอื้อให้พลาดกับวิปัสสนูปกิเลสนะครับ)

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
« Last Edit: Thu 8 Sep 11, 05:42:27 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
กราบขอบพระคุณ คุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ   รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ 
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ  มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
 
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ  เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ
 
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง  ไม่หนี  ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ  เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก 
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน  การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น  มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

หากแทรกแซงก็ต้องรู้   ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ 

ขอขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ   รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ  มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
 
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ  เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ

ครับ ให้รู้ทัน ว่าจิตมีกิเลส กิเลสครอบงำจิต (ไม่ใช่อารมณ์ครอบงำจิตนะครับ) เช่น รู้ทันสภาวะแล้วจิตเกิดความไม่ชอบตามมา ก็ให้รู้ทันว่าไม่ชอบ

Quote
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง  ไม่หนี  ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ

ก็ต้องทนครับ แต่ว่า จะต้องทนแบบคนมีปัญญา แบบคนที่เจริญสติเป็น คือ ไม่ใช่ทนด้วยการข่มใจ แต่ให้ทนด้วยการรู้ทันความไม่ชอบใจ (ถ้าต้องทน ย่อมไม่ชอบใจ ใช่มั้ยครับ)

Quote
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ

ให้รู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากที่รุ้ทันความทุกข์ก่อนหน้านั้นด้วยนะครับ รู้ทันความไม่ชอบใจ รู้ทันความอยากหนีไป รู้ให้ทันอันหลัง เป็นกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ หลังจากที่กิเลสตัวเก่านั้น ถูกจิตผู้รู้เกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เราอย่ามัวไประลึกถึงกิเลสตัวเก่าอยู่เลย เพราะมันดับไปแล้ว เนื่องจากมีจิตที่รุ้ทันเกิดขึ้นมาคั่นแล้ว เพียงแต่เราทรงจำไว้ได้ด้วยสัญญา ทำให้ดูเหมือนว่ายังคงมีอยู่ และบดบังกิเลสตัวใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ความไม่ชอบใจใจสภาวะหรืออารมณ์อันเก่าโน้นน่ะครับ

Quote
  เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน  การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด

คนที่หัดภาวนาแบบเหลาะๆแหละๆก็มักจะหนีไป แล้วเตลิดไปเพลินกับโลกเลย เห็นต่อหน้าต่อตาก็มีอยู่ครับ ก็ปล่อยเขาไปก่อน เพราะอีกพักเดียวเขาก็จะรู้ว่า ไม่ได้สุขจริง ก็จะกลับมาภาวนาอีก ดังนั้นที่คุณ PlaDao รู้สึกได้อย่างนี้ ก็ขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งนะครับ  _/|\_ เป็นข้อความที่ทำให้ลุงถนอมเบิกบานใจในวันศุกร์ที่ดีเยี่ยมจริงๆครับ

Quote
เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น  มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

เมื่อทุกข์มากๆ จิตจะดิ้นรนมากๆ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอินทรียสังวรแท้ๆ คือ การมีสติรู้ทันผัสสะ รู้ทันจิตใจ เลยนะครับ แต่ถ้าเราปฏิบัติตามรูปแบบไว้ด้วย อาศัยการปฎิบัติตามรูปแบบนั้นฝึกซ้อมการรู้ทันจิต การรู้ทันการมีขึ้นของกิเลสในจิตใจ จะทำให้ในชีวิตประจำวันของเรามีสติ หรือมีอินทรียสังวรได้ดีขึ้น ได้รวดเร็วขึ้น และเป็นอัตโนมัติมากขึ้นด้วยนะครับ

เมื่อมีสติไวขึ้น บ่อยขึ้น จิตจะผ่อนคลายออกจากความบีบคั้นของกิเลสที่ครอบงำจิตได้เอง ความจริงก็คือ กระบวนการบีบคั้นจิตใจยังพัฒนาไปไม่ได้เต็มที่ กิเลสก็หมดสภาพขาดสะบั้นไปเพราะความมีสติของจิตเสียก่อน การบีบคั้นจากกิเลสก็น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อน ก็ดูเหมือนว่าจิตผ่อนคลายมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นครับ

ประเด็นปัญหาของคุณ PlaDao ตอนนี้ อยู่ที่ เมื่อรู้ทันสภาวะแล้วเกิดความไม่ชอบใจในสภาวะนั้น ด้วยรู้ว่ามันไม่เที่ยง แต่จิตไม่เป็นกลางจริง ให้รู้ทันจิตใจที่ไม่เป็นกลางนั้น ด้วยการสังเกตเห็นความกระวนกระวาย ความอยากหนีไปจากสถานการณ์ตรงนั้นของจิต รู้ทันตรงนี้ไปอีกชั้น จิตจะรู้ด้วยความเป็นกลางมากยิ่งขึ้นครับ

Quote
หากแทรกแซงก็ต้องรู้   ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ 

หากแทรกแซงไปแล้ว ก็ควรที่จะรู้ทันว่าแทรกแซงไปแล้ว แต่หากพลาดไปแล้ว (รู้ไม่ทัน) ก็แล้วกันไป บอกตัวเองว่าคราวหน้าจะรู้ทัน (แต่ไม่ถึงกับต้องสั่งตัวเองว่า "ต้อง"รู้ทันนะครับ แค่ "จะ" ก็พอ ไม่งั้นจะเครียดเกินไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ) แทรกแซงไปแล้ว ผลเป็นเช่นไร (คือเกิดวิบากตามมาอย่างไร) จะรู้ก็รู้ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร จะรู้ว่าที่กำลังรู้นี้เป็นวิบากจากการแทรกแซงหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ให้รู้เรื่อยๆเท่านั้นครับ รู้ไปเรื่อยๆแล้วก็จะเห็นว่า อะไรเกิดก็ดับ อะไรเกิดก็ดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับสักอย่างเดียว ดูอย่างนี้นะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

จากการตามรู้ตามดูมาเรื่อยๆ  ทำให้เห็นความคิดความปรุงแต่ง เห็นการทำงานของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา 
เห็นว่ามันทำงานของมันเองเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ  แม้กระทั่งความคิดว่าเป็นตัวเรามันก็เกิดขึ้นมาเอง   
มีความเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย  แล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย
แม้กระทั่งจะตามรู้ตามดูก็เบื่อ เกือบเดือนมาแล้วค่ะที่มันไม่ยอมดู 
มันไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบแต่รู้ว่าไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์  มันออกจะเฉยๆ เบื่อๆมากกว่า   
บางทีก็อยากให้มันพ้นๆไปซะที  แต่ก็รู้ว่าถ้ามันไม่ยอมดูอย่างนี้ มันจะพ้นไปได้ยังไง :(

ทำอย่างไรดีคะ ขอคุณลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
แม้กระทั่งจะตามรู้ตามดูก็เบื่อ เกือบเดือนมาแล้วค่ะที่มันไม่ยอมดู มันไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบแต่รู้ว่าไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์  มันออกจะเฉยๆ เบื่อๆมากกว่า  บางทีก็อยากให้มันพ้นๆไปซะที  แต่ก็รู้ว่าถ้ามันไม่ยอมดูอย่างนี้ มันจะพ้นไปได้ยังไง

ไม่ต้องดูตัวสภาวะที่เคยดูแล้วครับ ดูความรู้สึกเบื่อที่เกิดขึ้น ดูอาการของจิตที่ดิ้นรน ที่กระสับกระส่าย ที่ปฏิเสธที่จะดู ตัวนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆที่กำลังครอบงำใจ ให้ดูตัวนี้ต่อไปเลยครับ

อดทนนิดนึงนะครับ หากว่าที่ผ่านมา การดูสภาวะทั้งหลายทำได้ถูกต้อง เฉลียวใจดูความเบื่อ ดูอาการของจิตที่ดิ้นรน กระวนกระวาย เหมือนกับการดูสภาวะต่างๆที่เคยดูมาก่อน จะพบว่า ไปต่อได้ แต่ไม่บอกว่าไปยังไง คำตอบจะได้มาเอง เมื่อดูลงไปตรงๆนะครับ

แล้วมาเล่าสู่กันฟังเลยนะครับ  ;D
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบพระคุณค่ะ _/|\_

พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ แต่มันก็ยังทื่อๆเหมือนเดิม
หรือว่าดูยังไม่ถูกตัวที่ครอบงำจริงๆ? 
หรือว่าไม่ตั้งมั่นพอ? คือตอนนี้เหมือนตัวรู้มันหายยยยไปเลยยย
มีสติรู้แค่แว้บๆ  แต่สภาวะมันไม่แยกออกจากใจเหมือนก่อนหน้านี้ค่ะ

 :'(

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ

ดีแล้วครับ อนุโมทนาครับ

Quote
พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ

มีความพยายามเกิดขึ้น ก็รู้ทัน ว่าพยายาม รู้แล้วไม่ต้องแก้ไขอะไร แค่รู้นะครับ

Quote
แต่มันก็ยังทื่อๆเหมือนเดิม

ก็เห็นตามจริงแล้วนี่ครับ ไม่ต้องเอาอะไรมากไปกว่า "รู้ ตามความเป็นจริง"

Quote
หรือว่าไม่ตั้งมั่นพอ?

จิตตั้งมั่น ก็รู้ ว่าจิตตั้งมั่น จิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ ว่าจิตไม่ตั้งมั่น ครับ รู้ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ

Quote
คือตอนนี้เหมือนตัวรู้มันหายยยยไปเลยยย มีสติรู้แค่แว้บๆ  แต่สภาวะมันไม่แยกออกจากใจเหมือนก่อนหน้านี้ค่ะ

มันไม่แยกออกจากใจ ก็รู้ ว่าไม่แยกออกจากใจ

มันแยกออกจากใจ ก็รู้ ว่าแยกออกจากใจ

มันไม่แยกออกจากใจ แล้วไม่ชอบใจ ก็รู้ ว่าไม่ชอบใจ

 :)

รู้ ตามความเป็นจริงไปนะครับ รู้อย่างนี้ จะได้สติ

รู้ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง รู้อย่างนี้ จะได้ปัญญา

จิตไม่ตั้งมั่น รู้ ตามความเป็นจริง ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จะได้จิตที่ตั้งมั่น

พอมองเห็นร่องรอยหรือยังครับ ว่าอะไรคือ key ตัวสำคัญ ครับ

 ;D

ภาวนาแล้วไปแล้วเห็นว่า การภาวนานั้น บังคับให้ผลตามใจอยากไม่ได้ ให้ได้ตามใจปราถนาไม่ได้ นั่นก็เห็น "อนัตตา" แล้วนะครับ เห็นแล้วใจไม่ยอมรับ ก็รู้ ว่าใจไม่ยอมรับ ใจไม่ชอบใจ ก็รู้ ใจอยากได้อีกอย่างหนึ่ง ก็รู้  :)
« Last Edit: Wed 14 Dec 11, 12:16:39 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สาธุค่ะคุณลุงถนอม _/|\_

ตกลงคือ ไม่เห็นความไม่ชอบใจต่อสภาวะที่เป็นอยู่ค่ะ  ตอนแรกๆก็ตามดูไป แต่เอ๊ะ!ชักจะทื่อนานไปหน่อย
รู้สึกเหมือนเราย่อหย่อนไป แถมยังไหลยาวๆด้วย ก็เลยคิดแก้ไข รู้ไม่ทันตอนที่ให้ค่าความทื่อใช่ไหมคะ?
ที่แท้ก็มุขเก่าๆของกิเลส ที่มาเมื่อไหร่ก็โดนหลอกทุกที  ???

สรุปก็คือแค่รู้  แม้ไม่ได้ปัญญาก็แค่รู้
ช่วงไหนที่ไม่เดินปัญญาก็แค่มีสติรู้ตามจริงไปเรื่อยๆ(เท่าทีู่้รู้ได้... หรือเปล่าคะ?)   เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมาเขาก็จะเดินปัญญาเอง
เป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ?

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_


Offline PlaDao

  • Newbie
  • *
  • Posts: 15
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ข้อความที่โพสต์ก่อนนี้ไม่ผ่านอนุมัติหรือเปล่าคะ 
หากเป็นอย่างนั้น ต้องขออภัยลุงถนอมด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม

 _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
Quote
ข้อความที่โพสต์ก่อนนี้ไม่ผ่านอนุมัติหรือเปล่าคะ หากเป็นอย่างนั้น ต้องขออภัยลุงถนอมด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม

ต้องขออภัยครับ  _/|\_ เข้ามาแล้วไม่เห็นข้อความน่ะครับ เลยไม่ได้กด approve

Quote
ตกลงคือ ไม่เห็นความไม่ชอบใจต่อสภาวะที่เป็นอยู่ค่ะ  ตอนแรกๆก็ตามดูไป แต่เอ๊ะ!ชักจะทื่อนานไปหน่อย
รู้สึกเหมือนเราย่อหย่อนไป แถมยังไหลยาวๆด้วย ก็เลยคิดแก้ไข รู้ไม่ทันตอนที่ให้ค่าความทื่อใช่ไหมคะ?
ที่แท้ก็มุขเก่าๆของกิเลส ที่มาเมื่อไหร่ก็โดนหลอกทุกที

ใช่ครับ  ;D

Quote
สรุปก็คือแค่รู้  แม้ไม่ได้ปัญญาก็แค่รู้

ใช่ครับ  ;D

Quote
ช่วงไหนที่ไม่เดินปัญญาก็แค่มีสติรู้ตามจริงไปเรื่อยๆ(เท่าทีู่้รู้ได้... หรือเปล่าคะ?)   เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมาเขาก็จะเดินปัญญาเอง เป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ?

ใช่ครับ  ;D

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา