ขอบคุณครับ
นักปฏิบัติจริง ๆ ไม่ค่อยเถียงกันหรอกครับ
แต่พวกคิดมาก อ่านมาก พูดมาก แต่ไม่ค่อยดูของตัวเอง
พวกนี้ต่างหากที่มักจะก่อปัญหาตามที่ต่าง ๆ
ผมเองพึ่งจะเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาในวิถีพุทธอย่างแท้จริง
ช่วงที่มีเรื่องของหลวงพ่อตามหน้าหนังสือพิมพ์ครับ
เวลาคิดถึงก็รู้สึกใจมันจะทะยานออกไป อยากโวยวาย อยากแก้ตัว อยาก.....สารพัด
แม้แต่คิดโมโหว่าทำไมไม่ฟ้องกลับ เอาให้เละไปเลย
ตอนหลังค่อยเข้าใจว่า ตัวเองตามกิเลสที่เกิดขึ้นไม่ทันเลยสักกะนิด
ดูแล้วก็ค่อยเข้าใจอีกว่าทำไม่หลวงพ่อให้พวกลูกศิษย์เงียบ ๆ ไว้
พอสติเริ่มทัน ปัญญาก็เริ่มมา
เลยเข้าใจว่าทุกอย่างมีกรรมเป็นของตนเอง
เราดูของเราดีที่สุด เพราะกิเลสของเราก็ท้วมจนเอาตัวไม่รอดแล้ว
พอเป็นอย่างนี้ก็ไม่อยากมีปัญหากับใครให้เป็นเวรเป็นกรรม แล้วจิตต้องมาเศร้าหมองอีก
มีปัญหาก็แก้ไขไปตามสมควร แต่มากกว่านั้นไม่ต้องไปทำให้เป็นเวรเป็นกรรม
เมื่อก่อนตอนที่เริ่มหัดดูจิตแรก ๆ
จะรู้สึกว่าสิ่งที่เราพบนี้มันวิเศษมาก
อยากให้คนรอบข้างรู้อย่างเรา มีสติอย่างที่เราเป็น
ก็เริ่มจะยัดเยียดให้คนอื่นในครอบครัว แม้แต่น้อง ๆ ในที่ทำงาน
ใครไม่สนใจผมก็มักไม่ค่อยพอใจ
พอใครมีคำถามเรื่องวิธีการดูจิต ผมก็เริ่มมีอารมณ์
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาเข้าไม่ถึงเอง
พาลจะมาสงสัยครูบาอาจารย์ผม(ตู่เอาเอง)
ตอนหลังเลยรู้ว่ากิเลสล้วน ๆ มานะทั้งนั้น โทสะกรุ่นอยู่ตลอด อ้าปากโมหะก็ครอบแล้ว
เรียกว่าไปกระทบกับคนอื่นแล้วเลี่ยงกิเลสไม่ได้เลย
เป็นงี้แล้วก็ไม่ค่อยอยากไปพูดกับใครให้มากเกินไปแล้วครับ
ยิ่งพูดกับพวกไม่ปฏิบัติ หรือมากันคนละสายนี่ไม่เอาเลยครับ
พูดคุยบรรเทิงธรรม หรือแนะนำกันบ้างก็ได้ครับ
แต่พออ้าปากเถียง ก็ลาละครับ ทางใครทางมัน
กิเลสใครก็ไปหาทางละเอาเอง ตามแต่กรรม และบารมีที่ทำมา
ส่วนตัวผมเองขอหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อนละครับ