Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] พูดจาภาษาใจ โดย คุณสันตินันท์  (Read 3364 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนไว้เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 16 มีนาคม 2543 10:34:55

เราเพิ่งคุยกันเมื่อไม่นานมานี้เองว่า
นักปฏิบัติคุยกันคนละภาษา ก็สามารถสื่อความเข้าใจกันได้
เพราะต่างก็นำเอาสภาวะภายในที่พบเห็นจริงๆ มาคุยกัน
 
ผมเองก็ชอบที่จะสนทนากับนักปฏิบัติด้วยกัน เพราะคุยกันรู้เรื่องดี
อย่างเช่น เราพูดกันถึงเรื่องความมีสติและสัมปชัญญะ
เราก็นึกออกถึงภาวะที่ "ไม่ฝัน ทั้งที่ลืมตาตื่น"
ในขณะที่ผู้ที่ไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริงจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า
เขามีสติสัมปชัญญะ เขารู้ตัว เขาตื่น จะว่าเขาหลับฝันได้อย่างไร

หรือเมื่อเราพูดกันถึงเรื่องว่า "เรามีสติรู้กิเลสที่กำลังปรากฏ"
นักปฏิบัติจะไม่สงสัยเลยว่า มันเป็นไปได้อย่างไร
ในเมื่อตำราระบุไว้ว่า สติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้น
แล้วจะไปรู้อกุศลที่กำลังปรากฏได้อย่างไร

ความจริงตำราเองก็ไม่ผิด เพราะเมื่อใดจิตมีสติสัมปชัญญะ จิตก็เป็นกุศลจิต
เพียงแต่นักปฏิบัติไปพบว่า จิตที่เป็นกุศลนั้น
สามารถไปรู้อารมณ์ที่เป็นอกุศลได้
ทำนองเดียวกับจิตในตติยฌาน ที่เป็นอุเบกขา
แต่มีสติไประลึกรู้อารมณ์ ที่เป็นสุขเวทนาได้
ทั้งที่อุเบกขา กับสุขเวทนา ไม่น่าจะเกิดพร้อมกันได้เลย

ที่เราไม่สงสัยก็เพราะเราพบว่า จิตกับอารมณ์เป็นคนละส่วนกัน
แต่บางครั้ง อารมณ์ก็เข้าครอบงำจิต
บางครั้ง จิตกับอารมณ์จะต่างคนต่างอยู่
เช่นเมื่อเกิดความโกรธขึ้น บางครั้งจิตถูกความโกรธครอบงำ
จิตก็ดิ้นเร่าๆ ไปด้วยอำนาจของความโกรธ เป็นอกุศลจิต
แต่บางครั้งจิตมีสติ สัมปชัญญะ
จิตต่างคนต่างอยู่กับความโกรธ เหมือนดอกบัวที่อยู่กับน้ำ แต่ไม่ติดน้ำ

เมื่อนักปฏิบัติอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร
ที่ท่านสอนว่า "จิตมีราคะก็รู้ ไม่มีราคะก็รู้
มีโทสะก็รู้ ไม่มีโทสะก็รู้ มีโมหะก็รู้ ไม่มีโมหะก็รู้"

อ่านแล้วจะไม่สะดุดเลยว่า
ในขณะที่มีกิเลสนั้น ยังมีสติระลึกรู้เข้าไปได้อย่างไร

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราพบเห็นจากการปฏิบัติ
และลงกันได้อย่างลงตัวกับคำสอนดั้งเดิมทางพระพุทธศาสนา
แต่สิ่งเหล่านี้ หากพูดแพร่หลายไปในวงกว้าง
ก็จะเกิดความขัดแย้งอย่างไม่จบสิ้นกับผู้ศึกษาตำราชั้นหลัง
ซึ่งเป็นเรื่องเสียเวลามากเหลือเกิน ที่จะต้องกางตำราเถียงกัน

ไม่เหมือนการคุยกันในหมู่นักปฏิบัติ ที่พูดกันด้วยหัวใจ
บางทีไม่ทันต้องอ้าปาก ก็เข้าใจกันทะลุปรุโปร่งไปแล้ว

*************************************

เรื่องการกำหนดจิตผิดก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ
ส่วนมากก็เรื่องเผลอ กับเรื่องเพ่ง โดยไม่รู้ทันนี่เอง
จิตจึงไม่สามารถจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยความเป็นกลาง หรือสักแต่รู้ได้

นักปฏิบัติอย่าไปกังวลสนใจว่า เราจะเดินอย่างไรให้ถูกตรงทุกองศา
ถ้าคิดจะเดินให้ถูก ก็จะผิดทันที เพราะจะเกิดการเสแสร้งแกล้งปฏิบัติขึ้นมา
เช่นการกดข่มจิตใจ การเพ่งจ้อง ฯลฯ
ที่เหมาะที่ควร เอาแค่ว่า อย่าให้ผิด ด้วยการเผลอและการเพ่ง
เมื่อไม่ผิดแล้ว ก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องถูก มันจึงจะถูกได้จริง
ถ้ายังคิด ยังทำเรื่องถูก ยังไงก็ไม่ถูกครับ

ดังนั้นเวลาปฏิบัติอย่าไปกังวลใจใดๆ
ให้รู้เท่าทันกายใจของตนไปตามธรรมชาติธรรมดา
ยิ่งเป็นธรรมชาติธรรมดามากเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เพราะความจริงแล้ว ธรรมะก็คือเรื่องธรรมดานี่เอง
กิเลสต่างหาก ที่ทำให้การปฏิบัติธรรมกลายเป็นสิ่งยุ่งยากไปหมด


เมื่อวันเสาร์ก่อนผมไปที่วัดป่าเชิงเลน เพื่อกราบเยี่ยมครูบาติ๊ก
ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง อายุมากกว่าผม เธอเข้ามาถามธรรมะ
เมื่อผมอธิบายถึงสภาวะ "รู้" จนเธอเข้าใจและเห็นตามได้แล้ว
เธอก็อุทานออกมาว่า "ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ
แต่เธอเสียเวลาปฏิบัติ ทำโน่นทำนี่อยู่หลายสิบปี
เพราะไม่มีใครบอกให้เธอลืมตาตื่นต่อธรรมะที่เต็มบริบูรณ์อยู่ต่อหน้าแล้ว"


ดังนั้น จิตมีกิเลส ก็รู้ว่ามีกิเลส
จิตมีกุศล ก็รู้ว่ามีกุศล
จิตตั้งมั่น ก็รู้ว่าตั้งมั่น
จิตไม่ตั้งมั่นเพราะทะยานไปตามแรงผลักของตัณหา ก็รู้ทันมัน
ทำไปเถอะครับ ถ้ารู้ทันจริงๆ แล้ว ไม่ต้องไปคิดเรื่องผิดถูกอะไรหรอก
เพราะบรรดาความผิดทั้งหลายนั้น
มันมาจากความไม่รู้ทันมารยากิเลสที่มาหลอกจิตใจ
จึงไม่เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
เท่านั้นเอง




หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline nitivit

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 73
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • ดูอย่างเดียว
ขอบคุณครับ  _/|\_
นักปฏิบัติจริง ๆ ไม่ค่อยเถียงกันหรอกครับ
แต่พวกคิดมาก อ่านมาก พูดมาก แต่ไม่ค่อยดูของตัวเอง
พวกนี้ต่างหากที่มักจะก่อปัญหาตามที่ต่าง ๆ :-\

ผมเองพึ่งจะเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาในวิถีพุทธอย่างแท้จริง
ช่วงที่มีเรื่องของหลวงพ่อตามหน้าหนังสือพิมพ์ครับ
เวลาคิดถึงก็รู้สึกใจมันจะทะยานออกไป อยากโวยวาย อยากแก้ตัว อยาก.....สารพัด
แม้แต่คิดโมโหว่าทำไมไม่ฟ้องกลับ เอาให้เละไปเลย
ตอนหลังค่อยเข้าใจว่า ตัวเองตามกิเลสที่เกิดขึ้นไม่ทันเลยสักกะนิด
ดูแล้วก็ค่อยเข้าใจอีกว่าทำไม่หลวงพ่อให้พวกลูกศิษย์เงียบ ๆ ไว้
พอสติเริ่มทัน ปัญญาก็เริ่มมา
เลยเข้าใจว่าทุกอย่างมีกรรมเป็นของตนเอง
เราดูของเราดีที่สุด เพราะกิเลสของเราก็ท้วมจนเอาตัวไม่รอดแล้ว
พอเป็นอย่างนี้ก็ไม่อยากมีปัญหากับใครให้เป็นเวรเป็นกรรม แล้วจิตต้องมาเศร้าหมองอีก
มีปัญหาก็แก้ไขไปตามสมควร แต่มากกว่านั้นไม่ต้องไปทำให้เป็นเวรเป็นกรรม

เมื่อก่อนตอนที่เริ่มหัดดูจิตแรก ๆ
จะรู้สึกว่าสิ่งที่เราพบนี้มันวิเศษมาก
อยากให้คนรอบข้างรู้อย่างเรา มีสติอย่างที่เราเป็น
ก็เริ่มจะยัดเยียดให้คนอื่นในครอบครัว แม้แต่น้อง ๆ ในที่ทำงาน
ใครไม่สนใจผมก็มักไม่ค่อยพอใจ
พอใครมีคำถามเรื่องวิธีการดูจิต ผมก็เริ่มมีอารมณ์
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาเข้าไม่ถึงเอง
พาลจะมาสงสัยครูบาอาจารย์ผม(ตู่เอาเอง)
ตอนหลังเลยรู้ว่ากิเลสล้วน ๆ มานะทั้งนั้น โทสะกรุ่นอยู่ตลอด อ้าปากโมหะก็ครอบแล้ว
เรียกว่าไปกระทบกับคนอื่นแล้วเลี่ยงกิเลสไม่ได้เลย
เป็นงี้แล้วก็ไม่ค่อยอยากไปพูดกับใครให้มากเกินไปแล้วครับ
ยิ่งพูดกับพวกไม่ปฏิบัติ หรือมากันคนละสายนี่ไม่เอาเลยครับ
พูดคุยบรรเทิงธรรม หรือแนะนำกันบ้างก็ได้ครับ
แต่พออ้าปากเถียง ก็ลาละครับ ทางใครทางมัน
กิเลสใครก็ไปหาทางละเอาเอง ตามแต่กรรม และบารมีที่ทำมา
ส่วนตัวผมเองขอหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อนละครับ :P
 _/|\_
"สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา