เขียนไว้เมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 28 เมษายน 2543 21:45:31
พระครูนันทปัญญาภรณ์ ผู้เป็นหลานใกล้ชิด
และเป็นผู้ดูแลหลวงปู่มาอย่างยาวนาน
ได้เขียนประวัติของหลวงปู่ออกพิมพ์เผยแพร่
ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่
และเนื่องจากเป็นหนังสือที่ยาวพอประมาณ
ผมจึงขอตัดตอนมาเผยแพร่
เฉพาะตอนที่ท่านศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น
และตอนที่ท่านมรณภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าฟังสำหรับนักปฏิบัติ
***********************************
ความย่อ ประวัติตอนต้น
หลวงปู่ถือกำเนิดในเดือนตุลาคม 2431
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ณ บ้านปราสาท อ.เมือง จ.สุรินทร์
ท่านได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาให้อุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี
ณ วัดจุมพลสุทธาวาส ในเมืองสุรินทร์
จากนั้นท่านออกไปฝึกรรมฐานที่วัดคอโค ชานเมืองสุรินทร์
ด้วยการจุดเทียน 5 เล่มแล้วนั่งบริกรรมว่า
"ขออัญเชิญปีติทั้ง 5 จงมาหาเรา"
รวมทั้งการทรมานกายด้วยการลดอาหารลงเรื่อยๆ ตลอดพรรษา
แต่ก็ไม่ได้ผล จนเกิดความสลดสังเวชใจ
จนพรรษาที่ 6 ท่านจึงได้ข่าวว่ามีการสอนปริยัติธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี
จึงเดินทางไปศึกษา โดยพักเป็นพระอาคันตุกะอยู่ที่วัดสุทัศนาราม
ระหว่างนั้นท่านได้คุ้นเคยกับท่านอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
และเมื่อศึกษาปริยัติธรรมจนช่ำชองแล้ว
ท่านก็ได้ทราบข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
กลับจากธุดงค์มาพักที่วัดบูรพา
พระเณรและประชาชนแตกตื่นไปฟังธรรมกันเป็นการใหญ่
ท่านกับท่านอาจารย์สิงห์ก็พากันไปฟังธรรมอย่างไม่เคยขาด
นอกจากจะได้ฟังธรรมอันลึกซึ้งรัดกุมและกว้างขวางแล้ว
ยังได้เห็นปฏิปทาอันงดงามของท่านพระอาจารย์มั่น
ทำให้ซาบซึ้งใจ และสนใจการธุดงคกัมมัฏฐานมากยิ่งขึ้นทุกที
***********************************
ธุดงค์ครั้งแรก
ครั้นออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นได้ออกธุดงค์อีก
ภิกษุ 2 สหายคือพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม กับหลวงปู่ดูลย์
จึงตัดสินใจสละละทิ้งการสอนและการเรียนออกธุดงค์
ติดตามพระปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในทุกหนทุกแห่ง
ตลอดฤดูกาลนอกพรรษานั้น
ตามธรรมเนียมธุดงค์กัมมัฏฐานของท่านอาจารย์มั่นมีอยู่ว่า
เมื่อถึงกาลเข้าพรรษา ไม่ให้จำพรรษารวมกันมากเกินไป
ให้แยกกันไปจำพรรษาตามสถานที่อันวิเวก
ไม่ว่าจะเป็นวัด เป็นป่า เป็นถ้ำ เป็นเขา โคนไม้ ลอมฟาง เรือนว่าง
หรืออะไรตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล แต่ละคณะ
เมื่อออกพรรษาแล้ว หากทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่น อยู่ ณ ที่ใด
ก็พากันไปจากทุกทิศทุกทางมุ่งไปยัง ณ ที่นั้น
เพื่อเรียนพระกัมมัฏฐาน และเล่าแจ้งถึงผลการประพฤติปฏิบัติที่ผ่านมา
เมื่อมีอันใดผิด ท่านปรมาจารย์จักได้ช่วยแนะนำแก้ไข
อันใดถูกต้องดีแล้ว ท่านจักได้ช่วยแนะนำข้อกัมมัฏฐานยิ่งๆ ขึ้นไป
ดังนั้นเมื่อจวนจะเข้าปุริมพรรษา คือพรรษาแรกแห่งการธุดงค์ของท่าน
คณะของหลวงปู่ดูลย์ จึงพากันแยกจากท่านพระอาจารย์มั่น
เดินธุดงค์ผ่านไปทางอำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์
ครั้นถึงป่าท่าคันโท ก็สมมุติทำเป็นวัดป่า เข้าพรรษาด้วยกัน 5 รูป
ทุกท่านปฏิบัติตนปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฎ์แรงกล้า
ปฏิบัติตามคำอบรมสั่งสอนของท่านปรมาจารย์อย่างสุดขีด
ครั้งนั้น บริเวณแห่งนั้นเป็นสถานที่ทุรกันดาร
เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ป่าที่อำมหิตดุร้าย
ไข้ป่าเล่าก็ชุกชุมเหลือกำลัง ยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้
ดังนั้นเองยังไม่ทันถึงครึ่งพรรษาก็ปรากฏว่าเป็นไข้ป่ากันหมด
ยกเว้นท่านอาจารย์หนูองค์เดียว
ต่างก็ได้ช่วยรับใช้พยาบาลกันตามมีตามเกิด
หยูกยาที่จะนำมาเยียวยารักษากันก็ไม่มี
ความป่วยไข้เล่าก็ไม่ได้ลดละเห็นแก่หน้ากันบ้างเลย
จนกระทั่งองค์หนึ่งถึงแก่มรณภาพลงในกลางพรรษานั้น
ต่อน้าต่อตาเพื่อนสหธรรมิกอย่างน่าเวทนา
สำหรับหลวงปู่ดูลย์ ครั้นได้สำเหนียกรู้ว่ามฤตยูกำลังคุกคามอย่างแรง
ทั้งหยูกยาที่จะรักษาพยาบาลก็ไม่มี จึงตักเตือนตนว่า
"ถึงอย่างไร ตัวเราจักไม่พ้นเงื้อมมือของความตายในพรรษานี้เป็นแน่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นเราจักตาย ก็จงตายในสมาธิภาวนาเถิด
จึงปรารภความเพียรอย่างเอาเป็นเอาตาย
ตั้งสติให้สมบูรณ์ พยายามดำรงจิตให้อยู่ในสมาธิอย่างมั่นคงทุกอิริยาบถ
พร้อมทั้งพิจารณาความตาย คือมรณสติกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ไปด้วย
โดยไม่ย่อท้อพรั่นพรึงต่อมรณภัยที่กำลังคุกคาม จะมาถึงตัวในไม่ช้านี้เลย
เริ่มปรากฏผลจากการปฏิบัติ
ณ ป่าท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์นี้เอง
การปฏิบัติทางจิตที่หลวงปู่ดูลย์พากเพียรบำเพ็ญอย่างไม่ลดละ
ก็ได้บังเกิดผลอย่างเต็มภาคภูมิ
กล่าวคือขณะที่นั่งภาวนาอยู่ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกมากนั้น
จิตก็ค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบ และให้บังเกิดนิมิตขึ้นมา
คือเห็นพระพุทธรูปปรากฏขึ้นที่ตัวของท่าน
ประหนึ่งว่า ตัวของท่านเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
ท่านพยายามพิจารณาดูรูปนิมิตนั้นต่อไปอีก
แม้ขณะออกจากที่บำเพ็ญสมาธิภาวนาแล้ว
และขณะออกเดินไปสู่ละแวกบ้านชาวบ้านป่าเพื่อบิณฑบาต
ก็เห็นปรากฏอยู่เช่นนั้น
(หลายสิบปีต่อมาเมื่อมีผู้ถามท่าน
ถึงการปฏิบัติที่เพ่งจนพบพระพุทธรูปในกาย
ท่านจึงตอบได้อย่างมั่นใจว่า ยังเอาเป็นที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ - สันตินันท์)
วันต่อมาอีก ก่อนที่รูปนิมิตนั้นจะหายไป
ขณะที่เดินกลับจากบิณฑบาต ก็เห็นปรากฏอยู่เช่นนั้น
ท่านได้พิจารณาดูตัวเอง
ก็ได้ปรากฏเห็นชัดเจนว่า เป็นโครงกระดูกทุกสัดส่วน
วันนั้นจึงเกิดความรู้สึกไม่อยากฉันอาหาร
จึงอาศัยความอิ่มเอิบใจของสมาธิจิตกระทำความเพียรต่อไป
เช่นเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ตลอดวันตลอดคืน
และแล้วในขณะนั้นเอง แสงแห่งพระธรรมก็เกิดขึ้น
ปรากฏแก่จิตของท่านแจ่มแจ้ง
จนกระทั่งท่านสามารถแยกจิตกับกิเลสออกจากกันได้
รู้ชัดว่าอะไรคือจิต อะไรคือกิเลส
จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต
และเข้าใจสภาพเดิมแท้ของจิตที่แท้จริงได้
จนรู้ว่ากิเลสส่วนไหนละได้แล้ว ส่วนไหนยังละไม่ได้ ดังนี้
การปฏิบัติได้ผลเป็นประการใดในครั้งนั้น
ท่านมิได้เล่าบอกใครในพรรษานั้น
เคยเล่าให้ท่านอาจารย์สิงห์ฟังเพียงแต่ว่า
จิตของท่านเป็นสมาธิเท่านั้น
ซึ่งท่านอาจารย์สิงห์ก็ชมว่าถูกทางแล้ว และแสดงความยินดีด้วย
ตัวท่านนึกอยากให้ออกพรรษาโดยเร็ว
จะได้ไปนมัสการพระอาจารย์มั่น และกราบเรียนถึงผลการปฏิบัติ
ทั้งรับคำแนะนำทางปฏิบัติที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
(มีต่อ)