ตั้งกระทู้ โดย คุณไพ นำคำสอนหลวงปู่ดูลย์ จาก อตุโลไม่มีใดเทียม
เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 12:55:20
จากหนังสือ อตุโลไม่มีใดเทียม
ในระหว่างการสนทนาระหว่างพระราชาคณะรูปหนึ่ง
กับหลวงปู่ดูลย์ ท่านเจ้าคุณรูปนั้นเอ่ยขึ้นตอนหนึ่งว่า
"เขาว่าคนที่สนใจเรียนคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์
สมัยก่อนเป็นยักษ์"
หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งทันที แล้วกล่าวว่า
" ผมไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้เลยท่านเจ้าคุณ
ท่านเจ้าคุณเองเคยศึกษาถึง ปัญจทวาราวัชชนจิตไหม"
ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่กับทวารทั้ง 5
ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกิริยาจิตที่ทำหน้าที่
ประจำรูปกาย อาศัยอยู่ตามทวารทั้ง 5 เป็นทางที่
ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสิ่งภายนอก
หรืออารมณ์ภายนอก เป็นกิริยาจิตอยู่อย่างนั้น
เป็นอยู่อย่างนั้น ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ให้เป็นไปไม่ได้
แต่อาจเป็นพาหะให้เกิดทุกข์ได้และที่น่าตื่นใจก็คือ
ให้กิริยาจิตเหล่านี้เป็นไปได้โดยประการที่ทุกข์จะ
เกิดขึ้นไม่ได้ก็ได้
อันนี้แหละที่น่าสนใจ น่าสำเหนียกศึกษาที่สุด
ว่าทำอย่างไร เมื่อตาเห็นรูปแล้วรู้ว่าสวยงาม
หรือน่ารังเกียจอย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้
เมื่อหูได้ยินเสียง รู้ว่าไพเราะ หรือน่ารำคาญอย่างไร
แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อลิ้นได้ลิ้มรส รู้ว่าอร่อย
หรือไม่อร่อย เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหรือเหม็น
อย่างไร แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อกายสัมผัส
โผฏฐัพพะ รู้ว่าอ่อนแข็งเป็นอย่างไร แล้วก็หยุด
เพียงเท่านี้
ครั้นเมื่อศึกษาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะปรากฏเหตุอัน
น่าอัศจรรย์ที่เรียกว่า "หัสสิตุปปาทะ" คือ
กิริยาที่จิตยิ้มขึ้นมาเองโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
หาสาเหตุที่มาไม่ได้
อันหัสสิตุปปาทะ หรือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง
ย่อมไม่ปรากฏมีในสามัญชนโดยทั่วไป
ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรกระทำไว้ในใจ
ในอันที่จะสำเหนียกศึกษา ทำความกระจ่างแจ้งใน
"อเหตุกจิต"อันนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐาน
ในการปฏิบัติ
ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เมื่อปฏิบัติไปถึงลำดับนี้แล้ว
จิตจะเกิดยิ้มขึ้นมาเองไม่มีการกระทำ ไม่มีการบังคับ
ให้เกิดขึ้น ย่อมเป็นไปเองโดยไม่รู้ตัว
อนึ่ง เมื่อปฏิบัติตามหลัก "จิตเห็นจิต"
อันมีการ "หยุดคิดหยุดนึก" เป็นลักษณะ
ถ้าใช้ปัญญาอันยิ่งสอดส่องสำรวจตรวจตราดู
ตามทวารทั้ง 5 เหล่านี้ เพื่อจะหาวิธีป้องกันจิต
จะแล่นไปหาเรื่องใส่ตัวในภายนอก ก็จะเห็นและ
เข้าใจได้ว่า เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนเราใช้ทวาร
ทั้ง 5 เหล่านั้น กระทำการอันสัมพันธ์กับภายนอก
เมื่อพิจารณาให้ถ้วนถี่ยิ่งขึ้น ก็จะได้อุบายอันแยบคาย
ว่าในขณะที่เกิดสัมพันธภาพกับภายนอก
จิตก็ควรจะกำหนดให้อยู่ในจิต
เมื่อเห็นก็กำหนดให้รู้เท่าทันการเห็น
แต่ไม่ถึงกับต้องรำพึงรำพันออกมาว่า เห็นแล้วนะ
เห็นแล้วหนออะไรหรอก เพราะขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้น
ม้นไม่กินเวลาอะไร เมื่อรู้เท่าทันแล้ว ก็ไม่ต้อง
ไปรำพึงรำพันเป็นการปรุงแต่งเพิ่มเติมอีก
ในการกำหนดให้รู้ให้เท่าทันนั้น อย่าได้ถูกลวง
ด้วยสัญญาแห่งภาษาคน ภาษาโลก ดังเช่นการรู้
เท่าทันคนที่จะมาหลอกลวงเรา เป็นต้น
การรู้เท่าทันอารมณ์ในภาษาธรรมนั้น
หมายความว่า ความ "รู้" จะต้องทันกันกับการ
รับอารมณ์ของทวารทั้ง 5 เช่น ในขณะที่ตาเห็นรูป
จะต้องมีสติรู้อยู่อย่างเต็มที่สมบูรณ์ มีความรู้ตัวพร้อม
อยู่ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรู้อะไร
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกข์อันอาศัยปัจจัย คือ การเห็น
เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เกิด และเราก็จะสามารถ
มองอะไรได้อย่างอิสระเสรี โดยที่รูปหรือสิ่งที่เรา
มองเห็นไม่อาจมีอิทธิพลอันไดเหนือเราได้เลย
แม้แต่น้อย
ปัญจทวารวัชชนจิต หรือกิริยาจิตที่แล่นอยู่ตาม
ทวารทั้ง 5 ย่อมสัมพันธ์กับมโนทวาร ในมโนทวาร
นั้นมี มโนทวาราวัชชนจิต อันเป็นกิริยา
จิตที่แฝงอยู่ มีหน้าที่คิดนึกต่างๆสนองตอบอารมณ์
ที่มากระทบไปตามธรรมดา
ดังนั้นในการปฏิบัติ จะให้หยุดคิดหยุดนึกทุกกรณี
ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ด้วยการอาศัยอุบายวิธีดังกล่าว
นี้แหละ เมื่อจิตตรึกความนึกคิดอันใดออกมา
ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ก็ทำความกำหนดรู้พร้อม
ให้เท่าทันกัน
เช่นเดียวกัน เมื่อมีความรู้พร้อมทันๆกันกับ
การรับอารมณ์ ดังนี้แล้ว ปัญญาที่รู้เท่าเอาทัน
ย่อมตัดวัฏจักรให้ขาดออกจากกัน ไม่อาจสืบเนื่อง
หมุนเวียนต่อไปได้
กล่าวคือ การก่อรูปก่อร่างต่อไปของจิตย่อมไม่
อาจเกิดขึ้นได้ และความไม่ยึดมั่นถือมั่นก็มีอยู่เอง
โดยไม่ต้องมีการลวงๆว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย
ความไม่ยึดมั่นนั้นก็เป็นแต่เพียงชื่อที่เรานำมาใข้
เรียกขานกันให้รู้เรื่อง เมื่อวัฏฏะมันขาดไปเท่านั้น
โดยนัยอย่างนี้ จึงน่าจะศึกษาให้เข้าใจในอันที่
จะกำหนดรู้อย่างไรจึงจะถูกต้อง เมื่อจิตกระทบเข้ากับ
อารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น
อย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง อย่าไปเอออวยเห็นดี
เห็นงามให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะ
เป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อย่าไปวิพากย์
วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียง
รู้อารมณ์เท่านี้ หยุดกันเพียงเท่านี้"