Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] ปรากฏการณ์ จิตสอนจิต โดย คุณสันตินันท์  (Read 5669 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนไว้เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 25 กันยายน 2543 11:22:00

ขึ้นชื่อว่าจิตแล้ว จะหาสิ่งใดวิจิตรพิสดารเท่า  นั้นยากจริงๆครับ
ทั้งที่จิตเองก็เป็นเพียงธรรมชาติรู้อารมณ์เท่านั้นเอง
แต่กลับมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดได้ตั้งมากมาย

*****************************************

ถ้าพวกเรายังจำกันได้ถึงเรื่องราวของคุณแม่น้อยแห่งวัดหินหมากเป้ง
หรือประวัติและธรรมเทศนาของครูบาอาจารย์อีกหลายองค์
จะพบว่าจิตของท่าน(บางองค์) จะมีปรากฏการณ์ประหลาด
เช่นจะเกิดการถามตอบถกเถียงปัญหากันภายในจิต
ในลักษณะผู้หนึ่งถาม อีกผู้หนึ่งตอบ ราวกับว่ามีจิตสองดวง ทั้งที่จิตย่อมมีดวงเดียว
เรื่องนี้เกิดกับผู้ปฏิบัติบางท่านเท่านั้น บางท่านไม่เกิดเลย
ซึ่งก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะไม่เกิดก็ไม่เสียหาย
ถ้าเกิดแล้วรู้ไม่ทัน กลับจะพาเสียหายได้มากกว่า

คือเมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง เกิดติดขัดหรือสงสัยในธรรมขึ้นมา
จิตก็อาจจะตั้งคำถามขึ้น แล้วจู่ๆ โดยที่ไม่ได้จงใจคิดนึก
ก็มีผู้พูด หรือตอบคำถามนั้นขึ้นมาในจิต
บางคราวก็สั่งสอนกันดีๆ
แต่บางคราวถ้าตัวที่สงสัยมีความเห็นแย้ง ก็จะเกิดโต้แย้งกันภายใน
มีการสอบสวนถกเถียงกันจนแน่ใจ แล้วสรุปลงในวงของไตรลักษณ์
จิตก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมเรื่องนั้น เกิดความสุขความเบิกบานขึ้นมา

แต่ถ้าเถียงกันแล้ว ไม่ลงในวงไตรลักษณ์
ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ว่า นั่นจะเป็นกลมายาของกิเลสหลอกลวงเอา
ด้วยกำลังความฟุ้งซ่านของจิต
ถ้าไปหลงยึดถือเข้าก็อาจจะติดวิปัสสนูปกิเลสโดยง่าย

บางท่านไม่เพียงแต่จิตแสดงธรรม หรือถกเถียงธรรมะกัน
แต่จะเกิดเป็นนิมิตรูปพระพุทธเจ้าบ้าง รูปครูบาอาจารย์บ้าง
ปรากฏขึ้นมาแสดงธรรมให้ฟังบ้าง มาตอบข้อข้องใจที่กำลังติดขัดอยู่บ้าง
ความจริงแล้วก็เป็นกระบวนการแสดงธรรมของจิตนั่นเอง เพียงแต่มีภาพนิมิตประกอบ
ถ้าเล่าให้ผู้อื่นฟัง ก็อาจจะเกิดงงขึ้นมา
เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ในพระนิพพานจะมาแสดงธรรมให้ฟัง
ทั้งที่นิพพานปราศจากรูปและนาม ปราศจากอายตนะที่จะเชื่อมต่อกับโลก
ท่านที่นิพพานเหมือนไฟที่ดับสลายไปแล้ว
จะกลับเป็นเปลวไฟขึ้นอีกย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

การที่จิตเกิดถามปัญหาแล้วมีผู้ตอบ
หรือเกิดนิมิตครูบาอาจารย์หรือเทพมาแสดงธรรมให้ฟังนั้น
ยังมีได้อีกสาเหตุหนึ่ง คือมีเทพที่เคยอุปการะกันมา เมตตามาชี้แนะให้
เช่นเดียวกับพระพรหมสุทธาวาสองค์หนึ่ง มาเตือนท่านพาหิยะให้ตระหนักว่า
ตนเองไม่ใช่พระอรหันต์ และเวลานี้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
ท่านพาหิยะจึงรีบไปเฝ้าฟังธรรม แล้วได้เป็นพระสาวกที่รู้ธรรมเร็วที่สุด

ผมเองก็เคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน
และเมื่อเช้านี้ คุณธีรชัยก็มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แล้วขอให้ช่วยเขียนเรื่องนี้
คุณธีรชัยกลัวว่าจะปฏิบัติผิดพลาด ก็เลยทิ้งความรู้ทั้งหมดนั้น โดยไม่สนใจกับมัน
ซึ่งนับเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะจิตนั้นสอนธรรมก็ได้ กิเลสมาหลอกเอาก็ได้
โอปปาติกะหลอกหลอนเอาก็ได้
ถึงอย่างไรก็ต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน

ดังนั้น ถ้าปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ความเห็นใดๆ ก็ควรทิ้งเสีย
เพราะเราปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อปล่อยวางภาระ ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้ใดๆ

ส่วนความรู้นั้น จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่สำคัญ
เหมือนที่เซ็นกล่าวว่า จริงคือเท็จ เท็จคือจริง
คือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ควรปล่อยวางเสีย
ถ้าสิ่งที่แสดงขึ้นนั้นเป็นธรรมจริงๆ จะพิจารณาลงในวงของไตรลักษณ์
แล้วจิตจะสงบเบิกบานอยู่ช่วงหนึ่ง
ถึงเราไม่จดจำไว้ หรือไม่ยินดียินร้ายด้วย
จิตเองนั่นแหละ ได้ซึมซับธรรมที่ถูกต้องเข้าไว้ในดวงจิตแล้ว

สำหรับประเด็นสุดท้ายก็คือปัญหาที่ว่า
จิตสอนธรรมให้ตัวเองได้อย่างไร
เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินในตำรา
แต่ผมเคยถามครูบาอาจารย์หลายองค์ เช่นหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
คำตอบที่ได้รับก็คือ จิตเป็นธรรมชาติรู้
เขาจะรู้ขึ้นเฉยๆ ก็ได้ หรือเขาจะแสดงสัญลักษณ์ออกมาเป็นสมมุติบัญญัติ
เช่นภาษาพูด หรือนิมิตภาพพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ด้วยก็ได้

********************************************

จิตสอนจิต กับการคิดเอาเองมีความต่างกันครับ
คือจิตสอนจิตนั้น ไม่มีความจงใจ เช่นกำลังเดินจงกรมทำสติสัมปชัญญะอยู่
เกิดเห็นเงาอะไรวูบวาบมา จิตเกิดความกลัวขึ้น
จิตก็จะเตือนตนเองว่าให้มีสติไว้ แล้วอาจจะแสดงธรรมให้ฟัง
บางคราวนั่งสมาธิอยู่ โดยก่อนนั่งติดขัดในข้อธรรมบางอย่าง
ระห่างนั่งก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้ว เฝ้าทำสติสัมปชัญญะไป รู้ตัว ไม่เผลอ ไม่เพ่ง
จู่ๆ จิตรวมลงนิดหนึ่งแล้วเกิดนิมิตเป็นครูบาอาจารย์มาแสดงธรรมเรื่องนั้นให้ฟัง
หรือเกิดนิมิตเป็นสัญลักษณ์ให้แปลความหมายแก้ข้อสงสัยได้
จิตมีความชุ่มชื่นเบิกบานรื่นเริงในธรรม
แต่ทั้งหมดนี้ อย่าไปยึดถือนะครับ
จริงหรือเท็จไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ทันจิตตนเองเท่านั้น
ส่วนความคิดจะจงใจตั้งแต่หาหัวข้อมาคิดแล้ว
แล้วก็หาเหตุผล คิดเทียบตำราและคำของครูบาอาจารย์
แต่การคิดก็มีประโยชน์ในระดับหนึ่งนะครับ
เวลาจิตเตลิดเอาไม่อยู่ ก็ใช้ความคิดนี้แหละ สอนมันตรงๆ เข้าไปเลย
หรือจะพิจารณาธรรมด้วยความคิด เช่นพิจารณาความตาย พิจารณากายก็ได้
เหมือนคนจะจมน้ำ เจอสิ่งใดลอยมาพอจะช่วยตัวได้ ก็เอาไว้ก่อนเถอะครับ

**********************************************

การทำญาณให้เห็นจิตเหมือนดังตาเห็นรูปนั้น
หมายถึงให้รู้เท่าทันกิริยาอาการทั้งหมดที่กำลังปรากฏ

เช่นเมื่อเกิดราคะ ก็เห็นสภาวะหรือปรมัตถธรรมของราคะ
อันเป็นความรู้สึกที่แทรกเข้ามาในจิต
เมื่อจิตเกิดตัณหา คือมีแรงผลักดันให้ทะยานส่งออกไปยึดอารมณ์ด้วยอำนาจของราคะ
ก็รู้ถึงแรงผลักดันและอาการทะยานไปยึดอารมณ์ของจิต
ที่ไปทางตา หู .. ใจ(โลกของความคิด)

สรุปแล้ว ก็คือให้รู้ปรมัตถธรรมหรือสภาวะของจิตใจตนเองให้ทันครับ
ไม่ใช่นั่งคิดๆ เอาว่า ตอนนี้จิตเราคงจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
คงจะมีเจตสิกฝ่ายอกุศลตัวนั้นตัวนี้ ฯลฯ
แบบนั้นรู้แต่ชื่อกิเลสตัณหา รู้แต่ชื่อกุศลต่างๆ เอาไปทำอะไรจริงไม่ได้
เหมือนเข้าไปชกกับนักมวยฝ่ายตรงข้ามที่หายตัวได้ คงจะโดนชกข้างเดียวเท่านั้นเอง
« Last Edit: Thu 13 Jan 11, 04:54:09 by หงส์น้อยบ้านโค้งดารา »
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline nitivit

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 73
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • ดูอย่างเดียว
อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงผมเองก่อนหน้านี้
เคยคิดว่าอภิญญาเป็นของดี
คิดว่าอยากได้อภิญญา เพราะถ้าพ้นทุกข์เฉย ๆ คงไม่เท่ห์เท่าไหร่ :P
หรือเรียกอีกอย่างว่าพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสกะ เพราะไม่เก่งเท่าท่านที่ได้อภิญญา6 หรือวิชา3
พอดูจิตมาได้ระยะใหญ่ ๆ ก็เคยคิดทบทวนเรื่องนี้ว่า
ความจริงอภิญญาต่าง ๆ หาประโยชน์จริง ๆ ในการทำให้ตนเองบริสุทธิ หลุดพ้นจากความทุกข์ไม่ได้เลย
เช่นเรารู้ว่าชาติก่อนเราไปทำอะไรมา ก็ไม่ได้ทำให้อะไร ๆ ในปัจจุบันดีขึ้นสักนิด
อาจช่วยได้ก็แค่สบายใจได้ว่าไม่มีเทพองค์ใดมาบันดารให้เราแย่อย่างที่เป็นอยู่นี้หรอก นอกจากเราทำตัวเราเอง
ที่เห็นจะเป็นประโยชน์จริง ๆ ก็มีเจโตฯ กับทิพจักษุที่เห็นสภาวะจิตผู้อื่นได้
ซึ่งจะทำให้แนะนำผู้อื่นให้ได้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมอย่างมากมาย
คิดได้อย่างนี้ก็ไม่คิดอยากได้อภิญญาต่าง ๆ อย่างตอนแรก ๆ ที่เริ่มปฏิบัติธรรมอีก เพราะกลัวหลงของเล่นไปกันใหญ่
รวมถึงนิมิตต่าง ๆ เช่น เคยได้ยินว่ามีผู้เห็นพระพุทธเจ้าปรากฎตัวเพื่อสอนธรรมะให้ หรือบอกให้ทำภารกิจบางอย่าง(เหมือนศาสนาอื่นเลย)
ผมก็อิจฉาว่า เราจะมีวาสนาอย่างนั้นบ้างหรือเปล่าหนอ
มาถึงตอนนี้ รู้สึกว่าถ้าเห็นแบบนั้นคงแย่แน่เลยครับ เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า ;D
แถมต้องเอาสิ่งที่ได้เห็นได้ยิมมาเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้ากันยกใหญ่แน่เลย
ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจริง หรือไม่จริง ผมคงเป๋ไปพักใหญ่แน่ ๆ เลยครับ
คิดว่าเอาแบบไม่ต้องเห็นอะไร ดูจิตไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละดีที่สุดแล้วครับสำหรับผม
 _/|\_
"สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช