เขียนไว้เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 3 กันยายน 2543 18:40:55
ผมได้อ่านพระสูตรเรื่องหนึ่ง เป็นคำสอนของท่านพระมหากัสสปเถระ
เกี่ยวกับธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติสำคัญผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์
และธรรม 10 ประการที่เป็นความเสื่อมในธรรมวินัย
เห็นว่าเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เราสำรวจและเตือนตนเองได้เป็นอย่างดี
จึงขออัญเชิญมาให้พวกเราอ่านร่วมกัน
จาก พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 16
อังคุตรนิกาย ปัณณาสก์ที่ 2 เถรวรรคที่ 4 อัญญสูตร
ธรรมบทนี้ เป็นธรรมที่ท่านพระมหากัสสปเถระแสดงให้พระภิกษุฟัง
ณ วัดป่าไผ่ (เวฬุวันวิหาร) ใกล้เมืองราชคฤห์
เราจะเห็นว่า ท่านพระมหากัสสปเถระไม่ได้อยู่ถ้ำปิบผลิคูหาตลอดเวลา
แต่ท่านเข้ามาพักในวัดเป็นครั้งคราวเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม วัดในยุคนั้น ก็มักจะเป็นวัดนอกเมือง ไม่ใช่วัดกลางเมือง
เช่นวัดเวฬุวันอยู่ใกล้เมือง วัดอัมพวัน ก็อยู่นอกกำแพงเมือง เป็นต้น
การอยู่วัดของท่านในครั้งกระนั้น จึงไม่ต่างจากการอยู่วัดป่าในยุคนี้)
พระสูตรนี้เริ่มโดย ท่านพระมหากัสสปะได้เล่าให้พระภิกษุฟังว่า
มีพระบางองค์สำคัญผิดโดยสุจริต แล้วได้ประกาศตนว่าสำเร็จพระอรหันต์
แต่เมื่อ "พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต ผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ
ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น
ย่อมไล่เลียง สอบถาม ซักถามภิกษุนั้น
ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า ถึงความเป็นผู้ไม่มีคุณ
ถึงความไม่เจริญ ถึงความพินาศ" (หมายถึงพบว่าไม่ได้เป็นพระอรหันต์จริง)
ตรงนี้มีจุดน่าสังเกตนิดหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าและพระสาวกบางท่าน
สามารถกำหนดรู้ได้เอง ว่าใครบรรลุธรรมหรือไม่ เป็นพระอรหันต์หรือไม่
แต่ที่ท่านสอบซักไล่เลียง ก็เพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่า ตนยังไม่เป็นพระอรหันต์
ไม่ใช่ท่านจะต้องนั่งสอบอารมณ์เสียก่อน จึงจะทราบได้ว่า บรรลุหรือไม่
ถึงยุคนี้ พระป่าท่านก็ยังไม่นิยมสอบอารมณ์กัน เพราะเสียเวลาเกินจำเป็น
แค่เพียงมองหน้าก็รู้ถึงใจกันแล้ว
ท่านพระมหากัสสปเถระ เล่าให้พระภิกษุฟังต่อไปว่า
พระตถาคตหรือสาวกท่านย่อมพิจารณาว่า
เพราะเหตุใด จึงเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้โดยบริสุทธิ์ใจ
พระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ... กำหนดใจด้วยใจแล้ว
ย่อมรู้ภิกษุนั้น อย่างนี้ว่า
ท่านผู้นี้มีสุตะมาก ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก
ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้จึงมีความสำคัญผิด ...
จึงพยากรณ์อรหัตผลด้วยความสำคัญผิดว่า
เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว ... กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้
ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตบางประการคือ
กรณี "อรหันต์สำคัญผิด" นั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ
ที่ท่านพระมหากัสสปเถระยกมา น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งเท่านั้น
และแรงจูงใจให้ท่านยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว
ก็น่าจะเกิดจากเหตุการณ์จริงในช่วงนั้น
ที่พระเถระฝ่ายปริยัติธรรมสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์
แล้วพระพุทธเจ้า หรือพระสาวกชี้ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นจริง
น่าแปลกใจนะครับ ว่าทำไมท่านพระมหากัสสปเถระผู้เป็นพระป่า
จึงวิจารณ์ข้อผิดพลาดของพระฝ่ายปริยัติ
มิหนำซ้ำยังมาแสดงธรรมเรื่องนี้ในวัด
ซึ่งมีพระปริยัติและพระหนุ่มเณรน้อยมากมายเสียอีก
จะว่าท่านอคติต่อพระปริยัติก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
ผมเข้าใจว่า ท่านอาจจะเจตนาอธิบาย
ให้พระหนุ่มเณรน้อยเข้าใจว่า โอกาสพลาดมันมีได้จริง
ไม่ควรตระหนกตกใจจนระส่ำระสายว่าขนาดอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปริยัติยังพลาดได้
และควรถือเป็นบทเรียน ที่จะไม่ให้พลาดอย่างนั้นบ้าง
ท่านพระมหากัสสปเถระคงไม่มีเจตนาซ้ำเติมพระฝ่ายปริยัติ
แม้จะมีเรื่องราวในอรรถกถาธรรมบทอยู่มากมาย
ถึงความขัดแย้งระหว่างพระฝ่ายปริยัติต่อพระปฏิบัติ
(พระปฏิบัติท่านจะไม่ขัดแย้งด้วย
แต่มักจะถูกรุกรานจนมีเรื่องถึงพระพุทธเจ้าเสมอ
ดังนั้น หากนักปฏิบัติในยุคนี้ จะถูกนักปริยัติรุกรานบ้าง
ก็ขอให้เข้าใจว่า เป็นเรื่องธรรมดามาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล)
ข้อสังเกตประการต่อมาก็คือ ในครั้งพุทธกาลนั้น การศึกษาพระปริยัติธรรมมีขึ้นแล้ว
โดยพระภิกษุจะทรงจำพระวินัยบ้าง พระสูตรต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง
แล้วถ่ายทอดอบรมสั่งสอนต่อสานุศิษย์
กระทั่งบางคราว พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระภิกษุสาธยายพระสูตรให้ทรงฟังก็มี
พระปริยัติธรรมในยุคนั้น ยังไม่น่ากลัวเท่าพระปริยัติธรรมในยุคถัดๆ มา
ซึ่งยิ่งนานวัน ยิ่งละเอียดซับซ้อน
เพราะมีการเขียนตีความและขยายความธรรมในชั้นเดิมมากขึ้นทุกที
โอกาสที่ผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมในชั้นหลังจะพลาดเพราะรู้มากไป จึงยิ่งมีมาก
และเมื่อพลาดแล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า หรือพระสาวกที่ชำนาญทางจิตจะแก้ไขให้
เพราะท่านผู้ศึกษามากคงไม่ยอมฟังท่านที่เรียนตำรามาน้อยกว่าตน
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ
ท่านผู้ศึกษาและสั่งสอนพระปริยัติธรรมนั้น
ไม่ใช่อยู่ๆ ท่านจะสำคัญตนเป็นพระอรหันต์ได้
ผมเข้าใจว่า ท่านจะต้องลงมือเจริญสติไปแล้ว แล้วจึงเกิดวิปลาสขึ้น
(มีต่อ)